คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #4 : 03 ✧ ปฏิกิริยา
03
ปฏิกิริยา
เธอและฉันเรื่องราวของเรา
ยังคลุมเป็นเงา แม้นเวลาได้ผ่านไปนานเท่าไหร่แล้ว
ปฏิกิริยา - Greasy Cafe
✧
“นับต้องเริ่มจากอะไร”
เจ้าของนามนับเงินท้วงถามด้วยความสงสัยขณะเดินเข้ามาภายในห้องทำงานของเข็มทิศ อันที่จริงเป็นห้องที่เขาคุ้นเคยดีเพราะสมัยคบกันมานั่งรออยู่บ่อยครั้ง
ไม่ว่าอีกฝ่ายจะเลิกประชุมดึกขนาดไหนแค่เดินเข้ามาก็จะเห็นเขาเสมอ
“อ่านที่พี่ส่งให้ในเมลแล้วทำความเข้าใจ”
เข็มทิศว่าพลางขยับเนกไทของตน รู้สึกว่าวันนี้ไม่เข้าที่เข้าทางอย่างไรไม่รู้
“ตอนสิบโมงพี่มีประชุม เธอเข้าไปกับพี่ด้วย”
“นับเพิ่งมาวันนี้วันแรก
เธอจะให้เข้าประชุมเลยเหรอ ไปนั่งเฉยๆ เดี๋ยวคนอื่นก็มองว่านับไร้ประโยชน์พอดี”
“ไม่มีใคร
มีแค่พี่กับหัวหน้าแผนกไม่กี่คน” ชายหนุ่มตอบขณะทิ้งตัวลงนั่ง
ทอดสายตามองไปยังโต๊ะทำงานฝั่งตรงข้าม ขนาดเว้นระยะห่างพอสมควรแล้วนับเงินยังโวยวายเลย
“ไม่ต้องห่วง เธอรู้จักทุกคน พี่ให้คุณขิมเข้าไปด้วย เธอแค่นั่งฟัง พอจบจากประชุมคุณขิมจะสอนงานเธออีกที”
“ถ้าเธอมีคุณขิมแล้วจะให้นับเข้าไปนั่งทำไม
เกะกะเปล่าๆ” คุณขิมเป็นเลขาฯ ของเข็มทิศซึ่งเธอทำงานเก่งทุกด้านจึงกลายเป็นคนสนิท
แน่นอนว่านับเงินรู้จักเป็นอย่างดี เขาไม่อยากทำตัวติดอีกฝ่ายตลอดเวลาหรอก
แค่เข้ามาอยู่ในบริษัทแถมยังได้นั่งทำงานภายในห้องของรองประธานยิ่งชวนปวดหัว “ดูยังไงนับก็เด็กเส้นชัดๆ”
“เรื่องที่เธอมานั่งทำงานในห้อง
พี่ไม่นับเป็นเด็กเส้นครับ”
“…”
“เพราะถ้าเธอทำงานผิดพี่ก็ดุเหมือนกัน”
“นับทำงานวันแรก
ไม่รู้ระบบงานมาก่อน ถ้านับทำผิดแล้วเธอดุตั้งแต่วันนี้ล่ะก็
เชิญเธอทำไปคนเดียวเลย นับไม่อยู่ด้วยหรอก” เขาเบะปาก
อย่างน้อยถ้าทำผิดก็ขอให้สอนไม่ใช่ดุ
คนเราจะเพอร์เฟ็กต์ตั้งแต่เริ่มงานวันแรกได้ยังไง “แล้วนี่โน้ตบุ๊กของนับเหรอ”
“ครับ
หรือเธอจะเปลี่ยนเอาโน้ตบุ๊กส่วนตัวมาใช้ก็ได้” เข็มทิศให้เลขาฯ
จัดการซื้อทุกอย่างใหม่ทั้งหมด ไม่ว่าจะโต๊ะ เก้าอี้ อุปกรณ์อื่นที่จำเป็น
เขารู้นิสัยของอีกฝ่ายดี นับเงินไม่ชอบนั่งทำงานนานๆ
เก้าอี้จึงต้องปรับระดับได้พอเหมาะ มีพนักรองคอจะได้ไม่เมื่อย แต่หากน้องอยากพักขึ้นมาก็คงลุกแล้วเดินไปทิ้งตัวนอนบนโซฟา
“เธออยากเปลี่ยนอะไรก็บอกพี่แล้วกัน”
“อยากเปลี่ยนที่ทำงาน”
“ข้อนี้ตัดทิ้งครับ”
ชายหนุ่มขานติดหัวเราะ อีกฝ่ายจึงส่งเสียงฟึดฟัดให้ได้ยิน
“หลังจากประชุมเสร็จแล้ว
เธอต้องทำอะไรต่อ” เขาถามด้วยความอยากรู้ หากให้มาเป็นผู้ช่วยก็จะทำให้ดีต้องยอมรับแล้วแยกงานกับเรื่องส่วนตัวออกจากกันให้ได้
“ไปเช็กงานฝ่ายผลิต”
“ประชุมเสร็จกี่โมงนะ?”
“สิบเอ็ดโมงครึ่ง” เข็มทิศตอบเรียบนิ่ง สายตาจดจ้องอยู่กับตัวอักษรบนแท็บเล็ต
ทว่ายังคงรอฟังคำพูดจากนับเงินอยู่
“จากนั้นล่ะ”
“ออกไปคุยกับลูกค้าตอนบ่ายโมง”
“แล้ว?”
“กลับมาบริษัท” รองประธานตอบทุกข้อสงสัย หากทำงานด้วยกันต้องเรียนรู้ระบบและหน้าที่ในแต่ละวันของเขา
“พี่ไม่ได้ทำงานของวันนี้แล้วจบ
ตอนกลับมาเช็กเอกสารถ้าเหลือเวลาอีกจะเป็นงานวันต่อไป”
“ถึงว่า ...ปกติเลิกห้าโมง”
“…”
“แต่งานของคุณเข็มทิศเลิกห้าทุ่ม”
นับเงินแขวะแล้วไหวไหล่ราวกับไม่ได้ใส่ใจอีกฝ่ายสักเท่าไหร่
นัยน์ตาคมเหลือบมองกระถางแคคตัสบนโต๊ะก่อนคว้ามันขึ้นมาดู “ทำไมเธอใช้แคคตัส”
“เลี้ยงง่าย”
“เลี้ยงง่ายแต่ถ้าเลี้ยงผิดวิธีมันก็ตายนะ
เธอไม่รู้เหรอ?” มีต้นไม้อยู่บนโต๊ะเขา ส่วนโต๊ะของเข็มทิศมีแต่แฟ้มเอกสาร
กระดาษสารพัดอย่างเกี่ยวกับงาน อย่าหาว่าอย่างนั้นอย่างนี้เลยแก้วน้ำไว้จิบระหว่างวันยังไม่มี
“พี่ไม่รู้ครับ”
“ใส่ใจอะไรรอบข้างบ้างนะ”
“…”
“ทั้งชีวิตเธอจะสนใจแค่งานหรือยังไง”
✧
การประชุมหัวหน้าแผนกเสร็จสิ้นตรงเวลา
พอมาอยู่ในพื้นที่การทำงานจึงได้รู้ว่ารองประธานบริษัททำงานเก่งมากเพียงใด ระบบความคิดรอบคอบ
แก้ปัญหาเฉพาะหน้าได้ดี มีตัวเลือกอื่นเสนอขึ้นมาทันทีเมื่อได้รูปแบบแผนงาน
แถมไม่ได้ใช้อารมณ์เวลาประชุมจึงไม่ค่อยมีความเครียดมากนัก
ไม่แปลกเลยหากจะคนในบริษัทจะนับถือและรักเข็มทิศ
“เดี๋ยวตอนเที่ยงขิมส่งเข้าอีเมลให้นะคะ”
เสียงของเลขาฯ สาวเอ่ยขึ้นทันทีหลังหัวหน้าแผนกทยอยออกไปจากห้องประชุมจนหมดแล้ว
“ถ้าคุณเข็มอยากได้อะไรเพิ่มเติมบอกได้เลยนะคะ”
“เดี๋ยวผมเช็กแล้วจะบอกอีกที
...รบกวนคุณขิมสอนงานให้นับด้วยนะครับ”
“ได้ค่ะ” เธอขานรับเต็มเสียงก่อนหันไปยิ้มให้กับนับเงินหนหนึ่งแล้วถามต่อ
“ถ้าอย่างนั้นให้ขิมเริ่มสอนตอนไหนดีคะ...”
“เดี๋ยวผมบอกครับ
แต่ไม่ใช่ตอนนี้” นับเงินรีบบอกทันที
เจ้าของร่างสูงจึงตวัดสายตามามองอย่างสงสัย
เขาเลยอ้าปากสานต่อบทสนทนาโดยไม่เปิดโอกาสให้เข็มทิศทักท้วง
“คุณขิมต้องลงไปเช็กงานฝ่ายผลิตด้วยหรือเปล่าครับ”
“ไม่ได้ไปค่ะ”
“เวลาลงฝ่ายผลิตพี่ไปกับคุณทิม”
เข็มทิศขานตอบ ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายต้องการจะทำอะไรกันแน่ กระนั้นเขายังต้องวางแผนให้อยู่ดี
“เธออยู่ให้คุณขิมสอนงานที่นี่”
“นับยังไม่เรียน
คุณขิมไปทานข้าวก่อนเถอะครับ นี่สิบเอ็ดโมงครึ่งแล้ว” ไม่รู้ว่าหนึ่งวันเข็มทิศพักกินข้าวตอนไหนแล้วสั่งงานต่อเนื่องอย่างนี้เลขาฯ
ส่วนตัวจะได้พักผ่อนเมื่อไหร่ “เดี๋ยวผมพร้อมแล้วจะไปหาคุณขิมเองครับ
แต่ไม่เลยเวลากลับบ้านแน่นอน”
“คือว่า...”
“ตามนั้นเลยครับคุณขิม”
นับเงินเผยยิ้มกว้าง ยืนยันคำตอบเดิม
เขาเบี่ยงสายตาสบกับคุณรองประธานอย่างเอาแต่ใจ
คิดว่าบางเรื่องยังพอหยวนได้อยู่เพราะไม่ใช่งานเร่งขนาดนั้น “ไปกินข้าวเถอะครับ”
“แต่...” เธอไม่ค่อยกล้าฟังคำสั่งของนับเงินสักเท่าไหร่
เพราะเจ้านายยังคงเป็นเข็มทิศ
กระนั้นดูเหมือนว่ารองประธานจะตามใจและกลายเป็นเรื่องที่พบได้ยาก
“อ่า
ตามที่นับบอกเลยครับ” เข็มทิศเห็นเลขาฯ
ทำตัวไม่ถูกจึงเป็นฝ่ายเอ่ยปากตัดบทนสนทนา
พอคุณขิมเดินออกจากห้องประชุมไปแล้วจึงกลับมาสนใจเด็กข้างกาย “เธอคิดจะทำอะไร”
“เธอนั่นแหละคิดจะทำอะไร
คนอื่นเขาเป็นคนนะไม่ใช่หุ่นยนต์เหมือนเธอ เลิกประชุมสิบเอ็ดโมงครึ่ง
คุณขิมบอกจะส่งงานให้ตอนเที่ยงเธอไม่ค้านสักคำ ไหนจะต้องมาสอนงานนับอีก
ตอนบ่ายเธอจะพานับไปข้างนอกด้วย เวลากระชั้นชิดไปไหม คุณขิมจะเอาเวลาพักจากไหน”
“...”
“ไม่ใช่แค่คุณขิมนะ
วันๆ เธอไม่คิดจะกินข้าวบ้างเหรอ” นับเงินถามเสียงหงุดหงิด
เขาผ่อนลมหายใจแผ่วเบาเพื่อระงับอารมณ์ก่อนพูดต่อ
“กว่าเธอจะเช็กงานเสร็จเกือบบ่ายโมงแล้วออกไปข้างนอกต่อ ถามจริงๆ นะ
ข้าวเช้าแต่ละวันของเธอคือตอนไหน ห้าทุ่มหรือไง”
“ไม่ถึงขนาดนั้น”
“เธอฟังนะ
นับไม่เรียนตอนนี้แต่จะไปกินข้าว”
เขาแสดงความคิดเห็นอย่างเอาแต่ใจ ไม่ใช่ว่าไม่อยากทำงานหรอกแต่คิดว่าเข็มทิศบริหารเวลาแปลกเกินไป
“ปกติแล้วเธอลงฝ่ายผลิตทุกวันเหรอ”
“อาทิตย์ละครั้ง”
“คือวันนี้?”
“ครับ” เข็มทิศหยัดกายขึ้นจากเก้าอี้ผู้บริหาร กวาดแฟ้มเอกสารขึ้นมากอดแนบอก การมาเถียงกับน้องอยู่แบบนี้ทำให้เสียเวลาพอสมควร
เกรงว่าแพลนงานทุกอย่างจะผิดเพี้ยน “กุญแจรถอยู่บนโต๊ะ
ถ้าเธอจะไปกินข้าวก็กลับมาก่อนบ่ายโมง”
“แล้วเธอจะไปไหน”
“พี่เพิ่งบอกไปเมื่อกี้ว่าต้องเช็กงาน”
ชายหนุ่มขมวดคิ้ว เห็นใบหน้าบึ้งตึงของนับเงินแล้วอดถอนหายใจไม่ได้ “มีอะไรก็พูดมาครับ”
“หน้าที่นี้คนอื่นทำแทนเธอไม่ได้เหรอ”
“ทำได้ แต่พี่ไม่ไว้ใจ”
“รู้ว่าเธอทุ่มเท”
ถ้อยเสียงหวานอ่อนลงกว่าเดิม
นัยน์ตาคู่สวยฉายแววสั่นไหวเมื่อสบกับลูกแก้วมั่นคง เขาชอบที่เข็มทิศจริงจังกับงานทว่าหลายครั้งให้ความรู้สึกว่ามากเกินไป
“จะกี่ปีเธอก็ยังเป็นเหมือนเดิม
แต่เธอจะเป็นแบบนี้ไปถึงเมื่อไหร่”
“…”
“จำได้ว่าเคยขอเรื่องนี้
ขอให้เธอห่วงตัวเองบ้าง”
“…”
“นับขอแค่นี้เองนะ”
“…”
“พี่เข็มทำให้กันไม่ได้เหรอ”
✧
เห็นแววทำงานขัดแข้งขัดขากันตั้งแต่เริ่มงานวันแรก
ซ้ำยังต่อล้อต่อเถียงด้วยเรื่องพักกินข้าว อาจจะไม่ใช่เรื่องใหญ่สำหรับใคร
ทว่านับเงินถือเป็นเรื่องหนักหนา หนึ่งวันคนทำงานใช้สมองควรมีอะไรตกถึงท้องบ้าง นี่อีกฝ่ายไม่กินอะไรแถมน้ำเปล่ายังแทบไม่ได้จิบ
ความเอาแต่ใจของเขาทำให้เผลอแสดงท่าทีไม่ดีใส่เข็มทิศ
“เลิกหน้างอได้แล้ว” เจ้าของเสียงทุ้มท้วงขึ้นมาหลังจากวางโทรศัพท์ลงบนโต๊ะ
อีกฝ่ายเบะปากแล้วยกสองแขนขึ้นกอดอกก่อนเบือนหน้าหนีไปอีกทาง “นับ”
“เธอก็อย่ามามองหน้านับ
จะได้ไม่ต้องเห็นว่าหน้างอ” นับเงินเถียงคำไม่ตกฟาก ก่อนหน้านี้คุณรองประธานไปเช็กงานฝ่ายผลิตแล้วพาเขาออกมากินข้าวตามที่ขอ
ส่วนงานถัดไปคือพบลูกค้าและค่อยกลับบริษัทหลังพูดคุยเสร็จ อีกฝ่ายทำงานหนักมากเกินไปจริงๆ
เขาเคยคิดว่าเลิกกันแล้วคงมีอะไรเปลี่ยนแปลงไปบ้าง
แต่ไม่...
เข็มทิศยังคงเป็นคนเดิมและใช้ชีวิตเหมือนเดิม
“เธอครับ”
เป็นเข็มทิศคนเดิมที่รู้ว่าพูดจาอย่างไรถึงจะกระตุกหัวใจของเขาได้
มันเป็นแบบนั้นมาเสมอ
“อะ...อะไร” เจ้าของใบหน้ามุ่ยลอบกลืนน้ำลายลงคอ เมื่อก่อนเข็มทิศชอบเรียกเขาแบบนี้เวลาอ้อนหรือง้อ
ยอมรับเลยว่าหัวใจสั่นไม่เป็นท่าแถมเกือบหลุดมาดนิ่งออกไปให้เห็นอีกต่างหาก
“อย่าหน้างอ”
“อือ” นับเงินขานรับแล้วผ่อนลมหายใจ ก้มหน้าก้มตากินข้าวและมื้ออาหารเที่ยงไม่ค่อยน่าพึงใจสักเท่าไหร่
มีแต่ความรู้สึกชวนอึดอัด เขาภาวนาขอให้นาฬิกาของวันนี้เดินให้เร็วขึ้นจะได้จบลงสักที
บรรยากาศบนโต๊ะอาหารไร้ซึ่งบทสนทนากระทั่งเสร็จสิ้นอย่างเรียบง่าย
เข็มทิศเป็นฝ่ายจ่ายเงินให้ทั้งหมดและเราถกเถียงกันอีกครั้งเพราะเขาไม่อยากรบกวน
แต่สุดท้ายนับเงินยอมแพ้เพราะเอาชนะไม่ได้ เจ้าของร่างเล็กเดินตามต้อยๆ มาจนถึงรถ
สอดตัวเองเข้านั่งแล้วเบือนหน้ามองทางหน้าต่าง อีกฝ่ายคงรู้ว่าจะไม่มีเรื่องพูดคุยอีกจึงไม่ถามไถ่และรับหน้าที่ขับรถไปเฉยๆ
หากเป็นเมื่อก่อนน่ะหรือ...
ไม่มีเงียบหรอก
“เธออยากไปเจอลูกค้าด้วยไหม” ชายหนุ่มเป็นฝ่ายเปิดประเด็นคำถาม เขารู้ดีว่าน้องไม่ได้หลับและมองทิวทัศน์นอกหน้าต่างเพราะไม่อยากมีบทสนทนาร่วมกัน
กระนั้นไม่ได้อยากรบกวนเวลาทว่าจำเป็นต้องถามจะได้รู้ว่าควรทำอย่างไร
“ทำไมถามแบบนั้น”
“ก็ถามดู”
“ถ้านับไม่อยากไปแล้วเธอจะทำยังไง”
นับเงินเบี่ยงใบหน้ากลับมามองถนน แอบปรายสายตามองคนขับด้วยหัวใจอันแสนประหม่า
อีกฝ่ายคิดตามใจเขาหรือยังไง “จะไม่ให้นับไปเหรอ”
“ครับ
พี่จะให้เธอขับรถกลับ”
“แล้วเธอจะกลับยังไง”
“ค่อยคิดทีหลัง”
ยังไม่ได้วางแผนว่าจะทำอย่างไรหากนับเงินปฏิเสธการไปพบลูกค้า เมื่อก่อนเวลาไปไหนมาไหนด้วยกันแล้วเขามีนัดเร่งด่วนน้องจะนั่งรออยู่บนรถ
และไม่เคยแสดงอาการไม่พอใจเว้นเสียแต่วันไหนเขาทำงานเกินเวลา “ว่าไงครับ”
“นับจะไปกับเธอ”
“…” เข็มทิศยกยิ้มมุมปากเล็กน้อยเมื่อได้ยินคำตอบ
“ยิ้มอะไร
เธอให้นับมาทำงาน อยู่ดีๆ จะให้ชิ่งกลับก่อนก็ไม่ใช่เรื่อง ถ้าเกิดเธอเอาไปฟ้องแม่
นับก็โดนดุอีก”
“พี่ยังไม่ได้พูดอะไรสักคำ”
เขาหัวเราะในลำคอเมื่อได้ยินประโยคแก้ต่าง
กระนั้นไม่คิดจะหยิบยกมาเป็นประเด็นเพราะคิดว่าดีแล้วที่น้องยอมอยู่ด้วยกันก่อน “งั้นเธอฟังพี่”
“ฟังอะไร”
“พี่จะบอกว่าเธอจะต้องไปเจอใคร”
“โอเค พูดมาเลย”
ถึงแม้นับเงินจะเป็นคนงี่เง่า แต่ถ้าถึงเวลาทำงานก็ไม่คิดบ่ายเบี่ยง
เขารับฟังเข็มทิศทุกถ้อยคำระหว่างนั้นหยิบเอาโทรศัพท์ขึ้นมาจดข้อมูลบางส่วนที่คิดว่าตนเองจะจำไม่ได้
อีกฝ่ายอธิบายด้วยน้ำเสียงชวนฟัง พูดช้าและชัดเจน
ไม่ได้ดุหรือขึ้นเสียงเวลาเขาถามอะไรซ้ำๆ
เมื่อถึงสถานที่นัดพบ
เข็มทิศลงจากรถก่อนตามด้วยเขา เจ้าของร่างโปร่งเดินไปประตูด้านหลังหยิบรองเท้าหนังอีกคู่ขึ้นมาสวมใส่แทน
ปกติแล้วนับเงินไม่ค่อยใส่รองเท้าหนังสักเท่าไหร่เพราะไม่ชิน
เขาชอบความสบายอย่างผ้าใบมากกว่า
แต่กรณีนี้ไม่อยากให้เข็มทิศโดนติเตียนว่าเขาแต่งกายไม่สุภาพเลยเปลี่ยน
“เธอใส่ได้เหรอ”
เข็มทิศถามขณะก้มมองเด็กตรงหน้าสวมรองเท้าหนังสีน้ำตาลเข้ม
เห็นน้องหิ้วมาใส่หลังรถของตนแต่ไม่ได้ถามอะไรและตอนนี้เขาสังเกตว่ามันไม่ใช่คู่เดิมเลยต้องถามให้รู้เรื่อง
“เคยใส่ไหมคู่นี้”
“ไม่เคย ซื้อมาเก็บไว้”
เขาสวมรองเท้าเรียบร้อยแล้วจึงยืดกายเต็มความสูง
ขยับปลายเท้าเล็กน้อยและรู้สึกได้ว่ามันคับนิดหน่อย “เธอนำเลย
นับไม่รู้ทาง”
“คับไหม”
“นิดหน่อย” คงจะเป็นไม่กี่ครั้งที่เราสามารถโต้ตอบกันด้วยความเรียบนิ่งได้ “เธอมีอะไร”
“แค่กลัวเธอจะโดนกัด”
“…”
“ไม่เคยใส่ ไหนจะคับอีก
เธอเปลี่ยนไปใส่ผ้าใบก็ได้” เขาแสดงความเป็นห่วงชัดเจน รู้ดีว่าเวลาถูกรองเท้ากัดมันเจ็บขนาดไหน
ไม่ใช่ว่านับเงินบอบบางหรอกแต่เป็นไปได้ก็ไม่อยากมีเรื่องให้เจ็บตัว
“ไม่เอา
ไม่อยากให้เธอโดนมองไม่ดี พานับมาครั้งแรกแล้วแต่งตัวไม่เรียบร้อยอีก มันไม่กัดหรอก
แป๊บเดียวไม่ใช่เหรอ” นับเงินจำต้องพูดให้เข้าใจ ไม่อยากมาโต้แย้งอะไรกันตอนนี้
อีกฝ่ายยังยืนนิ่งและแสดงสีหน้าไม่วางใจเขาเลยต้องเอ่ยซ้ำ “ไม่เป็นไร
ไปเถอะ เผื่อเขามาแล้ว”
“ค่อยๆ เดินแล้วกัน”
มือใหญ่กดล็อกรถพร้อมถือกระเป๋าเอกสาร ส่วนกระเป๋าแท็บเล็ตนับเงินอาสาถือให้
เขาเป็นฝ่ายเดินนำทว่าเอี้ยวใบหน้ามองคนด้านหลังเป็นระยะ
ร่างเล็กเดินช้าเพราะรู้สึกว่ารองเท้าเสียดสีแถมยังคับแน่น
ขนาดใส่ถุงเท้าแล้วแต่ดูเหมือนมันจะช่วยไม่ได้สักเท่าไหร่
พยายามฮึดเดินให้เร็วกว่าเดิมจะได้ตามเข็มทิศทัน เขาไม่ได้อยากเป็นภาระสักหน่อย
เข็มทิศกดลิฟต์ไปยังชั้นที่ต้องการ
เหลือบสายตามองเด็กข้างกายด้วยความรู้สึกเป็นห่วง
นับเงินไม่ได้ระเบียบจัดเหมือนเขาแต่เวลาออกงานร่วมกันไม่เคยมีเลยสักครั้งที่ทำให้เขาลำบากใจ
ไม่ว่าจะเป็นกิริยาการวางตัว คำพูดหรือกระทั่งเครื่องแต่งกาย
เมื่อขึ้นมาถึงจุดนัดหมายยังไม่พบลูกค้าคนสำคัญ
เขารีบเดินไปนั่งเก้าอี้เพื่อให้นับได้พักเท้า เกรงว่าหากฝืนเดินต่อคงไม่ดีสักเท่าไหร่
ผ้าปูโต๊ะคลุมยาวจนมิดปลายเท้า เข็มทิศลอบเลียริมฝีปากแล้วสังเกตน้องโดยไม่พูดอะไร
ทว่าอีกฝ่ายนั้นเรียกเขาขึ้นมาเอง
“เธอ”
“ว่าไง”
“นับถอดรองเท้าแป๊บนึงได้ไหม”
จำต้องขออนุญาตเพราะเกรงใจ ทว่าตอนนี้รู้สึกคับมากขนาดขยับเล็กน้อยยังรู้สึกได้ถึงความแสบหลังส้นเท้า
“เจ็บเหรอ”
“เจ็บนิ้วก้อย อึดอัด”
“ถอดเลย” เข็มทิศตอบโดยไม่ต้องคิด ครู่เดียวน้องผ่อนลมหายใจแผ่วเบาจึงรับรู้ว่าอีกฝ่ายถอดมันเรียบร้อยแล้ว
“เธอไม่มีคู่อื่นแล้วหรือไง”
“ไม่มี”
“ไม่มีหรือไม่อยากใส่”
นับว่าเป็นคำถามสร้างความอึดอัดใจ เข็มทิศจดจ้องดวงตาคู่นั้นอย่างคาดคั้นเอาคำตอบ
“คู่ที่เธอใส่ออกงานตลอด”
“พังไปแล้ว” นับเงินรู้ว่าหมายถึงคู่ไหน ช่วงที่โดนแม่หลอกให้ไปออกงานคู่กับพี่เข็มบ่อยๆ
ยังสวมรองเท้าหนังสีดำอยู่ ซึ่งเป็นคู่ที่พวกเขาซื้อมาด้วยกัน “ไม่มีอะไรที่มันจะทนได้หลายปีหรอก”
“…”
“ใส่บ่อยแต่ไม่ดูแลมันก็พัง”
“…”
“พอมันพังก็ถึงเวลาต้องเปลี่ยน”
เข็มทิศมองหน้านับเงินนิ่งเฉยโดยไม่เอ่ยปากบอกว่ากำลังคิดอะไรอยู่และหนนี้เป็นฝ่ายหลบเลี่ยง
พอเขาหันมามองทางอื่นจึงได้ยินคนข้างกายแค่นหัวเราะเบาๆ ให้รู้สึกตงิดใจ เบื้องต้นหมายถึงรองเท้าแน่ชัดทว่ามันมีความหมายแฝงอยู่
ไม่ว่าจะผ่านไปกี่ปี
นับเงินก็ยังคงเป็นเด็กที่รับมือยากอยู่เสมอ
✧
คู่สนทนามาช้ากว่ากำหนดประมาณสิบนาทีเพราะมีเหตุทางจราจรนิดหน่อย
แต่เมื่อมาถึงได้เริ่มพูดคุยเรื่องงานทันทีเพราะเข็มทิศเตรียมทุกอย่างไว้พร้อมแล้วขาดแต่คนฟัง
ใช้เวลาไม่นานสักเท่าไหร่กับการตกลงและทำสัญญา ปกติแล้วจะนัดกันที่บริษัททว่าวันนี้ลูกค้าบอกให้มานอกสถานที่เพราะมีธุระต้องไปต่อ
“ยินดีที่ได้ร่วมงานนะครับ”
เสียงของลูกค้าหนุ่มเอ่ยเมื่อการพูดคุยผ่านไปได้ด้วยดี
“เช่นกันครับ” เข็มทิศยิ้มรับก่อนลุกขึ้นยืนเพื่อจับมือแสดงความยินดีอย่างที่ทำเป็นประจำ
พวกเขาเดินคุยกันมาตลอดทางจนกระทั่งลงมาจนถึงชั้นล่างแล้วลูกค้าจึงขอตัวกลับ
“เธอ
มีบางเรื่องที่นับไม่เข้าใจ แต่จดไว้แล้ว ถ้าว่างแล้วอธิบายให้ฟังหน่อย” นับเงินพูดขึ้นมาทันทีเมื่อลูกค้ารายสำคัญเดินหายลับจากตัวตึก ยอมรับเลยว่าตอนพูดคุยกันนั้นบางเรื่องเขาจับต้นชนปลายไม่ถูกเลยด้วยซ้ำและแน่ชัดว่ายังต้องเรียนรู้งานอีกมาก
“ครับ”
“เธอกลับบริษัทอีกใช่ไหม”
“ใช่ครับ
เธอกลับบ้านเลยไหม พี่จะแวะไปส่งก่อน”
“ยังไม่ถึงเวลาเลิกงาน นับกลับไปกับเธอก็ได้
เดี๋ยวค่อยให้ยิ้มมารับ” ดูนาฬิกาแล้วพบว่ายังไม่ถึงเวลาเลิก
ไม่อยากให้ใครมาคิดว่าเขาใช้อภิสิทธิ์
แม้ขัดใจกับเข็มทิศหลายเรื่องแต่พร้อมทำงานในส่วนของตนเองให้ดี
“ถ้าเธอจะกลับก็บอก
เดี๋ยวพี่ไปส่ง”
“เธอปลีกเวลาจากโต๊ะทำงานได้เหรอ”
นับเงินเลิกคิ้วเล็กน้อยตั้งใจถามยียวนอย่างเห็นได้ชัด ทว่าเข็มทิศไม่ว่าอะไรสักคำแถมยังพยักหน้าลงเหมือนเป็นคำตอบเขาจึงพูดต่อ
“คราวหลังเธอเอาเวลาที่จะปลีกไปส่งนับ
ไปกินข้าวหรือพักร่างกายเถอะ”
“…”
“เธอห่วงตัวเองบ้างนะ”
น้ำเสียงอ่อนลงกว่าเดิมเป็นเท่าตัว นับเงินพยายามไม่ใช้อารมณ์และอยากพูดให้อีกฝ่ายเข้าใจ
สมัยยังคบกันอยู่แล้วถกเถียงเรื่องนี้ก็เพราะความเป็นห่วงทั้งนั้น “เข้าใจหรือเปล่าเนี่ย”
“ครับ จะพยายาม”
“เธอก็พูดแบบนี้ ไม่เห็นจะทำได้สักที”
นับเงินผ่อนลมหายใจ กอดกระเป๋าแท็บเล็ตแนบอกแล้วเดินนำไปข้างหน้าเพื่อกลับไปยังรถ
นัยน์ตาคมมองตามแผ่นหลังของนับเงินอย่างใช้ความคิดก่อนเลื่อนสายตาจดจ้องอยู่กับเท้า
ท่าทางเดินไม่ทะมัดทะแมงไม่สมกับเป็นน้องเลยสักนิด และเมื่อเดินมาถึงรถอีกฝ่ายรีบถอดรองเท้าหนังทันทีนั่นทำให้รู้ว่าคงโดนรองเท้ากัด
นับเงินเม้มปากแล้วคว้ารองเท้าผ้าใบมากองไว้ตรงหน้าขณะรอเข็มทิศขึ้นมานั่งบนรถ
เขาสอดเท้าสวมใส่แบบเหยียบส้นเพราะหลังเท้าคงเป็นแผลแล้ว มันแสบแน่ๆ
หากมีอะไรไปเสียดสีอีก ทว่าเสี้ยวนาทีเรียวคิ้วขมวดเข้าหากันมุ่นเมื่อได้ยินคนข้างกายคุยโทรศัพท์กับเลขาฯ
จะไม่ใส่ใจเลยหากเข็มทิศพูดอะไรเป็นปกติ แต่เมื่อครู่น่ะบอกกับคุณขิมว่าจะไม่เข้าไปบริษัทแล้วและฝากปิดห้องทำงานด้วย
นับเงินไม่ทันได้ถามอะไรสักคำ ชายหนุ่มก็เปิดประตูลงจากรถแล้วเดินอ้อมมาฝั่งเขา
“ไหนดู”
“ดะ...ดูอะไร” เขาลนลานเมื่อเข็มทิศเปิดประตูรถแล้วย่อตัวลงมา “เป็นอะไรของเธอ”
“ยกเท้ามา”
“เฮ้ย เธอ!” นับเงินรีบวางมือลงบนไหล่หมายจะดันคนโตกว่าให้ถอยออกไป ทว่าเข็มทิศไม่ฟังอะไรทั้งนั้น
มือใหญ่คว้าข้อเท้าของเขาไปดูแถมถอดถุงเท้าให้อย่างเรียบร้อย พลิกซ้ายทีขวาทีเพื่อสำรวจความผิดปกติและหลังส้นเท้าเขาเป็นรอยสีแดงจางๆ
ถึงจะยังไม่ใหญ่มากแต่สร้างความเจ็บแสบให้มากพอควร รวมถึงนิ้วยังขึ้นสีเข้มจากการโดนบีบรัดอีก
“พอแล้ว ไม่เป็นอะไรหรอกน่า”
“พี่จะพาเธอไปซื้อรองเท้าใหม่”
“ไม่เอา จะกลับไปทำงาน”
“เธอใส่คู่นี้ไม่ได้หรอก” ชายหนุ่มว่าพลางเงยหน้าขึ้นมอง
จัดการสวมถุงเท้าให้นับเงินเหมือนเคยก่อนลุกขึ้นยืนเต็มความสูง
“เดี๋ยวนับไปซื้อเอง”
เขากลืนน้ำลายแล้วชักเท้ากลับมาวางตามเดิมหลังอีกฝ่ายจัดแจงทำให้เรียบร้อย
ดูเหมือนว่าเราจะพูดคุยกันรู้เรื่อง แต่ไม่หรอก...
เพราะนับเงินรู้จักนิสัยของเข็มทิศดีกว่าใคร “เธอไม่ต้องลงทุนไปซื้อให้หรอก”
“จะแวะซื้อพลาสเตอร์ให้ก่อน
เธอเดินไหวใช่ไหม” เข็มทิศคาดเข็มขัดนิรภัย ไม่ได้ฟังคำพูดของเด็กข้างกายเลยสักนิด
เขาเอนใบหน้ามองซึ่งเราสบตากันวินาทีนั้น “นับ พี่ถามอยู่”
“ไหว
ไม่ได้เป็นอะไรขนาดนั้น” นับเงินตอบเสียงเบาโดยไม่รู้ว่าต้องทำอย่างไร
อีกฝ่ายเปลี่ยนเรื่องดื้อๆ แถมต้องยอมรับว่าท่าทางและน้ำเสียงเหล่านั้นมันทำให้หัวใจของเขาสั่นระรัว
“แต่เธอไม่ต้องไปซื้อให้หรอก นับไปซื้อเองได้”
“เธอเลือกรองเท้าหนังไม่เป็น”
“ก็มัน...”
“พี่จะไปเลือกให้” ชายหนุ่มยืนยันคำเดิมด้วยสีหน้าเรียบเฉยแต่ภายในใจกำลังไหวสั่น
“นับเพิ่งซื้อคู่นี้มา”
“มันใส่ไม่ได้ก็อย่าฝืน”
“…”
“ฟังกันหน่อย
พี่ไม่อยากให้เธอเจ็บ”
tbc.
กับคนเดิมๆ บางอย่างมันก็จำได้อะแหละ แง
แต่คู่นี้คุยกันดีได้ไม่ถึงสองนาทีจริง งับกันตลอด 555555555555555
#กฎของเข็มทิศ
ความคิดเห็น