ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    เรื่องของต้นเหมย ` ✿ (end. สนพ.sensebook)

    ลำดับตอนที่ #2 : 01 ✿ อรุณสวัสดิ์

    • อัปเดตล่าสุด 12 พ.ค. 64



    อรุณสวัสดิ์ , ต้นเหมย

     

    นับว่าเป็นวันที่สามของการมาเที่ยวญี่ปุ่น เวลาเดินเร็วจนเขาคิดว่าหนึ่งเดือนคงน้อยเกินไปหากจะเที่ยวตามแพลนให้ครบ เขายังไม่ได้ออกไปไหนเลยตั้งแต่เมื่อวาน สถานที่ก็ไม่คุ้นเคยได้แต่พึ่งใบบุญของเจ้าบ้านที่คอยหาอะไรให้กินประทังชีวิต

    เหมยยุ่งอยู่กับการจัดของและเรียนรู้อุปกรณ์เครื่องใช้ต่างๆ ภายในบ้าน ไอ้ที่บอกว่าไม่มีความทันสมัยเป็นเรื่องจริงแต่เฉพาะในห้องนอน พอเข้าห้องน้ำ ห้องครัว ทุกอย่างทันสมัยจนเขางงว่ามาจากโลกเดียวกันหรือไม่ ถ้าในห้องนอนเขามีปัญหากับการใช้รีโมตแอร์ ยังไม่รู้ว่าปรับอะไรตรงไหนเท่าที่ทำได้คือเปิดปิดและเพิ่มลดอุณหภูมิ ยอมรับว่าไม่เคยคิดว่าตัวเองโง่ในการใช้ชีวิตได้มากขนาดนี้

    เมื่อคืนเขาจำได้ว่ามันโคตรหนาวแบบนอนห่มผ้ายังไม่อุ่นเพราะแอร์ดันลงจ่อตรงฟูกนอนพอดี จะให้เดินไปถามเจ้าบ้านว่าปรับให้เป็นโหมดสวิงตรงไหนก็ไม่กล้าเพราะมันดึกแล้ว เขาไม่อยากรบกวน สุดท้ายเลยต้องนั่งค้นข้อมูลในอินเทอร์เน็ตว่าแต่ละตัวมีความหมายอย่างไร เรียกได้ว่าหนึ่งเดือนนี้เขาคงได้อะไรกลับไปเยอะเหมือนกัน

    อีกอย่างหนึ่งถามน้ำเงินแล้วด้วยว่าเขาเคยเจอเจ้าบ้านมาก่อนหรือไม่เพราะรู้สึกคุ้นหน้าแต่นึกไม่ออก สรุปแล้วอีกฝ่ายเป็นลูกพี่ลูกน้องของพี่ยิ้มซึ่งเป็นเพื่อนกับแฟนของน้ำเงินอีกที ส่วนที่ว่าคุ้นหน้าเป็นเพราะเคยเจอกันมาแล้วรอบหนึ่งตอนญี่ปุ่นกลับไปเที่ยวไทยแล้วพี่ยิ้มพามาเดินตลาด

    พอรู้แบบนั้นแล้วอยากขอโทษมากที่จำอะไรไม่ได้เลย ปกติเขาไม่ใช่พวกชอบจดจำรายละเอียดรอบตัว ยิ่งเรื่องจิปาถะยิ่งไม่สนใจ สิ่งที่จะอยู่ในลิสต์ความจำของเขามีแค่เรื่องสำคัญเท่านั้น

    และตอนนี้เรื่องสำคัญของเขาคือการเรียนรู้วิถีชีวิตของคนที่นี่

    เจ้าของร่างสูงลุกขึ้นจากฟูกนอนหรือที่ญี่ปุ่นเรียกมันว่าฟุตง[1]ก่อนจะพับเก็บให้เรียบร้อยแล้วเอามันไปใส่ไว้ในตู้เสื้อผ้าตามคำแนะนำของเจ้าบ้าน เมื่อวานตอนทำความรู้จักกันใหม่อีกครั้ง ญี่ปุ่นแนะนำมาว่าถ้าอยู่ในห้องที่มีเสื่อทาทามิ[2]ให้สวมถุงเท้าหรือเดินเท้าเปล่า ส่วนไอ้เรื่องรองเท้าสลิปเปอร์ตัดทิ้งไปได้เลยเพราะอีกฝ่ายบอกว่ามันทำความสะอาดลำบากถ้ามีฝุ่นติดเข้ามา แต่สามารถใส่เดินภายในส่วนที่ไม่มีเสื่อทาทามิได้

    ถึงอย่างนั้นเขาไม่ได้มีปัญหาอะไร จะให้สวมถุงเท้าเดินทั่วทั้งบ้านก็ทำได้เพราะมันหนาวเกินกว่าจะเดินเท้าเปล่า แม้ไม่ได้มาในช่วงฤดูหนาวหรือมีหิมะตกแต่อุณหภูมิยังต่ำกว่าประเทศไทยอยู่ดี อีกอย่างหนึ่งเขาเป็นคนขี้หนาว อุณหภูมิแค่ยี่สิบต้นๆ ก็เริ่มอยู่ไม่สุขแล้ว

    หลังจากเก็บข้าวของตัวเองเรียบร้อยเขาหิ้วผ้าขนหนูส่วนตัวพาดบ่าออกมาเพื่อหวังจะไปอาบน้ำตอนเช้า แต่การเดินไปห้องอาบน้ำต้องผ่านทั้งห้องของญี่ปุ่นและห้องนั่งเล่น

    ต้นเหมย” เจ้าของชื่อหันขวับไปทางห้องที่กำลังจะเดินผ่านทันที เขาไม่ทันได้สังเกตว่าญี่ปุ่นนั่งอยู่ “อรุณสวัสดิ์นะ”

    อ่า ไม่ต้องขนาดนั้นก็ได้” เหมยขานตอบก่อนเจ้าคนตัวเล็กจะหยุดสิ่งที่ตัวเองกำลังกระทำอยู่แล้วลุกขึ้นมาหาเขาพร้อมสีหน้าสงสัย เป็นอีกหนึ่งวันที่อีกฝ่ายมัดผมจุกเป็นต้นมะพร้าว

    อ้าว ปกติเวลาทักกันตอนเช้าไม่ได้ใช้คำนี้เหรอ”

    ก็ใช้” ไม่ปฏิเสธว่ามันถูกต้องแต่ที่เขาหมายถึงคือไม่ต้องทักทายเป็นทางการแบบนี้เพราะมันไม่ชิน ถึงอย่างนั้นยังไม่รู้อยู่ดีว่าถ้าไม่ให้ทักว่าอรุณสวัสดิ์แล้วจะให้ทักแบบไหน

    แล้ว...”

    แต่กับ...” เขาชะงักเล็กน้อยเพราะไม่รู้ว่าควรจะแทนตัวเองอย่างไร “เหมยไม่ต้อง”

    กับต้นเหมยไม่ต้องใช้คำนี้เหรอ” ญี่ปุ่นถามย้ำอีกครั้ง แม้เคยอยู่ประเทศไทยมาบ้างแต่ไม่ได้ใช้คำศัพท์ถูกบริบทสักเท่าไหร่นักหรอก แถมยังไม่แน่ใจด้วยว่ากับคนนี้ใช้คำนี้จะถูกต้องไหม หรืออีกฝ่ายอยากให้พูดแบบนี้หรือเปล่า เพราะคนไทยหากใช้ประโยคผิดบางทีถึงขั้นบาดหมางกันเลยทีเดียว พี่ยิ้มบอกเขามาแบบนั้นน่ะนะ

    อือ”

    เราถามได้ไหมอะว่าทำไม” ญี่ปุ่นยิ้มเล็กๆ ความโดดเด่นบนใบหน้าที่เห็นได้ชัดคือนัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มฉายแววความสดใสอยู่ตลอดเวลา “เราเป็นคนขี้สงสัยอะ ต้นเหมยจะรำคาญไหม”

    ไม่หรอก”

    จริงนะ” เหมยพยักหน้าเพื่อยืนยันคำตอบ สงสัยเขาไม่ว่าแถมยินดีตอบแต่ต้องหลังจากที่เขาทำธุระส่วนตัวเสร็จแล้ว

    เดี๋ยวเล่าได้ไหม”

    “...”

    ขออาบน้ำก่อน”

    อาบน้ำตอนเช้าเนี่ยเหรอ” ญี่ปุ่นถามอย่างสงสัย พอรู้ว่าคนไทยอาบน้ำกันวันละสองรอบ ยิ่งช่วงไหนร้อนก็มากกว่าสอง แต่ที่นี่อากาศไม่ได้ร้อนขนาดนั้นและวันๆ แทบไม่มีเหงื่อออกเลยด้วยซ้ำ มันคงไม่แปลกอะไรหากจะอาบวันละครั้ง “อาบตอนเย็นทีเดียวก็ได้นะ”

    ปกติอาบวันละครั้งเหรอ”

    ใช่ เราอาบก่อนนอนครั้งเดียวแค่ช่วงอากาศแบบนี้นะ ถ้าหน้าร้อนเราก็อาบสองครั้งเหมือนกัน”

    แล้วเช้าทำอะไรบ้าง”

    ล้างหน้า แปรงฟัน แต่ถ้าต้นเหมยอยากอาบน้ำก็ไม่เป็นปัญหานะ เราแค่บอกเฉยๆ ว่าอาบรอบเย็นได้”

    ถ้าอาบจะเปลืองน้ำไหม”

    ไม่เปลืองหรอกน่า เราเข้าใจว่ามันชิน พี่ยิ้มก็เป็นแบบนี้ตอนมาหาเรา” เหมยพยักหน้าลง ให้ปรับคงยากพอสมควร ไม่ได้คิดว่าเป็นความสกปรกอะไรเพราะอากาศช่วงนี้ไม่ได้ทำให้ร่างกายขับเหงื่อมากขนาดนั้น แม้ว่าตัวจะไม่ได้เหนียวแต่สำหรับเขามันเป็นความเคยชินไปแล้ว “งั้นต้นเหมยไปอาบน้ำ เดี๋ยวเราไปหาอะไรให้ทานตอนเช้า”

    ใช้คำว่ากินก็ได้” เหมยท้วงเบาๆ หากไม่บอกมีหวังคงได้เป็นภาษาสุภาพไปหมดแน่ๆ

    ใช้ได้เหรอ พี่ยิ้มบอกว่ามันเป็นคำแบบกันเองเลยไม่กล้าใช้กับต้นเหมย”

    ใช้ได้” เขาตอบกลับแบบไม่ต้องคิด “แล้วก็ไม่ต้องหาอะไรให้กินหรอก”

    อ้าว ถ้าต้นเหมยไม่ให้เราทำแล้วจะไปกินที่ไหน”

    เดี๋ยวออกไปหาเอาครับ” เมื่อวานเขาก็รบกวนไปทีหนึ่งแล้วจะให้มารบกวนอีกคงไม่ใช่เรื่อง

    ต้นเหมยคุ้นทางเหรอ”

    ก็ไม่”

    กินที่นี่แหละ เดี๋ยวเราทำให้”

    เกรงใจ”

    ไม่เป็นไร แลกกับที่จะเล่าให้เราฟังไงว่าทำไมกับต้นเหมยห้ามใช้อรุณสวัสดิ์”

    แต่...”

    ถ้าจะไม่ตกลง...” เหมยขมวดคิ้วยุ่งเพราะรูปประโยคที่อีกฝ่ายเอ่ยออกมานั้นค่อนข้างคุ้น “ก็เป็นเรื่องของต้นเหมยนะ”

    “...”

    แต่เราจะทำให้อยู่ดี”

    โอเค” สุดท้ายแล้วเขาไม่สามารถเถียงอะไรได้พอตอบตกลงญี่ปุ่นพยักหน้าให้ เขาจึงเป็นฝ่ายเดินออกมาก่อน แต่ยังไปได้ไม่พ้นสามก้าวก็ต้องหันกลับไปมองอีกครั้ง แน่นอนว่าอีกฝ่ายดูสงสัยที่เขาหันมา “ญี่ปุ่น”

    หือ ต้นเหมยอยากได้เพิ่มหรือเปล่า”

    เปล่า”

    แล้วมีอะไรเหรอ”

    เวลาเจอกันตอนเช้า”

    “...”

    เดี๋ยวเหมยทักเอง”

     

     

    ต้นเหมย” เสียงใสดังท้วงทันทีที่เดินออกมาจากห้องน้ำ เขาใช้เวลาในการอาบน้ำนานพอสมควร ศึกษาวิธีการอาบน้ำของคนญี่ปุ่นมาแล้วว่าต้องทำอย่างไรบ้าง เช้าวันนี้เขาเพียงแค่อาบน้ำผ่านฝักบัว ไม่ได้ลงไปแช่ในอ่างเพราะขี้เกียจทำอะไรให้มันยุ่งยาก

    ครับ?เขาขานขณะใช้ผ้าขนหนูผืนเล็กซับเส้นผมเปียกชื้นของตัวเอง

    เราทำไข่ม้วนกับปลาย่างให้นะ ที่จริงมีซุปมิโซะ[3]กับนัตโตะ[4]ด้วย แต่เรากลัวต้นเหมยไม่เคยกินแล้วมันอาจจะไม่ถูกปากเลยไม่ได้เอาออกมาวางไว้ให้ อยากได้อะไรเพิ่มไหมอะ”

    พอแล้ว ขอบคุณนะครับ”

    เอ้ย ไม่ต้องขอบคุณก็ได้ เราเต็มใจทำให้ ต้นเหมยเดินไปห้องครัวก่อนเลยนะ เดี๋ยวเราตามไป”

    ไม่กินด้วยกันเหรอ” เขาถามด้วยความสงสัยจะให้ไปนั่งกินข้าวคนเดียวคงแปลกไม่น้อย

    เราไม่ชอบกินข้าวเช้าอะ”

    ทำไม”

    ปกติเราขี้เกียจทำเลยไม่กินจนตอนนี้ชินแล้ว ...แต่เดี๋ยวเราไปนั่งเป็นเพื่อน ขอไปให้ข้าวมารุก่อน”

    มารุ?เหมยขมวดคิ้วเล็กน้อย เขาเคยได้ยินชื่อมารุบ่อยๆ ทว่าไม่เคยรู้ความหมาย ถึงอย่างนั้นก็ไม่รู้ว่ามารุที่อีกฝ่ายหมายถึงคนหรือสัตว์แต่ที่มาอยู่ยังไม่เคยเห็นใครสักคน

    อุซางิ” คนพูดฉีกยิ้มแป้นแถมยังพูดภาษาญี่ปุ่นที่ทำให้คนไทยอย่างเขาไม่เข้าใจ แม้มันเป็นเพียงคำสั้นๆ แต่ใครจะไปรู้ความหมาย “กระต่าย”

    กระต่ายที่ซื้อไปตอนนั้นเหรอ” เขานึกออกทันทีตอนอีกฝ่ายบอกว่ามารุคือกระต่าย คราแรกที่เจอกันเป็นครั้งเดียวกันกับตอนที่ญี่ปุ่นไปซื้อ ถ้ายังใช่ตัวเดียวกันอยู่น่ะนะ “สีเทา”

    อื้อๆ ต้นเหมยจำได้ด้วยเหรอ ...เรานึกว่าจำไม่ได้อะ ตอนเจอหน้าเราครั้งแรกต้นเหมยยังดูงงๆ อยู่เลย ไม่นึกไม่ฝันเลยว่าจะจำมารุได้ด้วย” ไอ้ประโยคไม่นึกไม่ฝันที่ญี่ปุ่นพูดออกมานั่นทำให้เขาแทบหลุดหัวเราะ “เดี๋ยวเรามานะ สามนาที”

    ไม่ต้อง—” ยังไม่ทันที่เขาจะได้บอกว่าไม่ต้องรีบ คนตัวเล็กก็เอื้อมมาคว้าข้อมือเขาแล้วพาเดินไปยังห้องครัวทันที อ่า ไม่คิดจะปล่อยให้คนอื่นเขาได้พูดเลยหรือยังไงกัน แม้เพิ่งพบกันแต่เขาพอรู้ว่าอีกฝ่ายเป็นคนเอาแต่ใจพอสมควร

    ตั้งแต่ที่บอกว่าหากไม่ชอบให้เรียกต้นเหมยก็เป็นเรื่องของเขา ทั้งที่นั่นมันเป็นชื่อเขาแท้ๆ

    กินข้าวก่อน เดี๋ยวเราทวงคำตอบ” เหมยพยักหน้าเพราะหากตอบอะไรไปอีกฝ่ายคงไม่อยู่ฟัง เจ้าของร่างเล็กรีบเดินออกจากห้องครัวไปทิ้งเขาไว้กับอาหารที่อีกฝ่ายทำแล้ววางเอาไว้ให้แบบพร้อมทาน

    เขานั่งลงก่อนลงมือใช้ตะเกียบกินข้าว ซึ่งตะเกียบของญี่ปุ่นและจีนมีความแตกต่างกันตรงส่วนปลายเพราะของญี่ปุ่นจะแหลมแต่ของจีนเป็นทรงมน เหมยใช้เวลาไม่นานนักกับการทำตัวให้คุ้นกับตะเกียบปลายแหลมเพราะส่วนตัวเขาถนัดใช้ตะเกียบอยู่แล้ว แต่หากเป็นน้องชายรายนั้นมีหวังได้คว่ำโต๊ะอาหารทิ้ง นั่นเป็นเหตุผลหนึ่งที่หมิงไม่ยอมมาญี่ปุ่นด้วยกัน

    กินได้ไหม” เจ้าของบ้านกลับเข้ามาหลังจากหายไปประมาณสิบนาที อีกฝ่ายไม่ได้ทิ้งตัวลงนั่งข้างหน้าเขาแต่กลับเดินไปเปิดตู้เพื่อรื้อหาอะไรบางอย่าง เขาเลยไม่แน่ใจนักว่าญี่ปุ่นต้องการคำตอบมากแค่ไหน

    เขาไม่ได้ตอบคำถามแล้ววางตะเกียบไว้บนที่พักตะเกียบ หากอยู่ไทยคงวางพาดชามข้าวไปแล้วแต่พอมาอยู่ที่บ้านคนอื่นต้องศึกษาเรื่องมารยาทและกระทำตามนั้น

    หาอะไร”

    อาหารมารุ เราไม่แน่ใจว่าเอาไปเก็บไว้ตรงไหน” คนที่ก้มๆ เงยๆ อยู่ตรงตู้เก็บของหันมาบอก ใบหน้าแสดงความไม่พอใจผ่านการย่นจมูก “หรือเราจะเก็บไว้ข้างบน”

    ไม่ว่าเปล่าไอ้คนตัวเล็กรีบปิดตู้ด้านล่างแล้วเอื้อมไปเปิดด้านบนซึ่งเป็นประตูบานพับเช่นกัน เหมยได้แต่นั่งมองเพราะไม่กล้าลุกขึ้นไปกลางคัน

    ข้างหน้าจะหล่นแล้ว” เหมยส่งเสียงทักก่อนทิ้งเรื่องมารยาทเอาไว้แล้วรีบลุกขึ้นไปเพื่อช่วยคนที่กำลังเอื้อมมือไปหยิบของที่อยู่ด้านในสุด แต่ไม่ยอมเอาถุงข้างหน้าออกมาให้หมดก่อน “เดี๋ยวหยิบให้”

    เราหยิบถึงนะ เราวางได้ก็ต้องหยิบได้” คนช่างเถียงหันมาท้วงขณะที่ยังเอื้อมแขนไปสุด ญี่ปุ่นสูงกว่าน้ำเงินเพียงนิดเดียวแต่ยังเตี้ยกว่าเขาในระดับหนึ่งอยู่ดี

    ทำไมไม่เอาของข้างหน้าออกมาก่อน” ใช่ว่าญี่ปุ่นหยิบไม่ถึงแต่การจะล้วงเอาของด้านในนั่นควรเอาสิ่งที่ขวางอยู่ออกมาก่อนหรือเปล่า เขาต้องลุกมาช่วยเพราะกลัวว่าสิ่งของแถบหน้าจะร่วงใส่หัวเสียก่อนน่ะสิ

    ถ้าเอาออกมาเราก็ต้องเรียงเข้าไปใหม่สิ ขี้เกียจตายเลย”

    ไม่กลัวมันจะร่วงใส่หัวหรือยังไง” เหมยถามก่อนเป็นฝ่ายหยิบถุงอาหารกระต่ายด้านในออกมาให้แล้ววางมันลงบนศีรษะของคนตัวเตี้ยกว่า “ทำให้มันเรียบร้อยหน่อย”

    ต้นเหมยดุเราเหรอ” ญี่ปุ่นหันมาทำหน้าบึ้งขณะหยิบเอาถุงอาหารบนศีรษะไปกอดเอาไว้ เหมยเขยิบถอยหลังออกมาหลังจากภารกิจของตัวเองเสร็จสิ้น

    เปล่า”

    ก็ดุอยู่อะ”

    เหมยแค่เสียงดุ”

    ไม่จริง ต้นเหมยก็ดุเองด้วย” น้ำเสียงงอแงนั่นทำให้เขาเผลอถอนหายใจออกมา “ต้นเหมยถอนหายใจด้วยอะ”

    อ่า” เหมยขานเบาๆ ไม่รู้ว่าควรจะตอบไปแบบไหนดี แต่พูดจริงๆ ว่าเขาไม่ได้ดุเลยแม้แต่นิดแค่หลุดพูดไปเหมือนที่เคยพูดกับหมิงเวลาน้องชายทำอะไรไม่เรียบร้อยก็เท่านั้น

    ต้นเหมยโกรธเราเหรอ”

    ไปกันใหญ่แล้ว”

    ก็ต้นเหมยดุอะ”

    ถ้าบอกว่าไม่ได้ดุจะเชื่อไหม” คนถูกถามส่ายหน้าแถมยังกระชับถุงอาหารของมารุไว้แน่น เมื่ออีกฝ่ายยืนยันแบบนั้นจึงไม่เถียงอีก “โอเค ดุก็ดุ”

    แต่เราไม่อยากให้ต้นเหมยดุ”

    ไม่อยากให้ดุจริงเหรอ” เขาเดินเข้าไปหาก่อนวางมือลงบนกลุ่มผมที่อีกฝ่ายมัดเอาไว้เป็นต้นมะพร้าวจนมันราบลงไป ญี่ปุ่นมองหน้าเขาตาไม่กะพริบ

    อื้อ ใครจะอยากให้ดุ”

    ถ้าไม่อยากให้ดุ”

    “...”

    ญี่ปุ่นก็อย่าดื้อ”

     

     

    (ทำไมใส่เสื้อบางจังล่ะอาเหมย เดี๋ยวก็ไม่สบายหรอก ...โหย ม้า มันไม่หนาวหรอก เย็นๆ) ประโยคแรกนั่นเป็นเสียงของม้าที่ถามอย่างเป็นห่วง ส่วนประโยคถัดมานั่นไม่พ้นแฝดตัวแสบนั่งทำหน้าทำตาล้อเลียนอยู่ข้างหลัง (อาหมิงก็พูดได้สิ ลื้อไม่ได้ไปอยู่อย่างเฮียเขานี่)

    ไม่หนาวหรอกม้า” เขาขานตอบเพราะไม่อยากเห็นไอ้แฝดโดนดุ ความจริงเขาตั้งใจวีดิโอคอลหาน้องเพื่อจะถามเรื่องการใช้คำว่าอรุณสวัสดิ์แต่พอโทรไปแล้วดันเป็นจังหวะที่ม้านั่งอยู่ด้วยพอดีเลยต้องเก็บคำถามไว้ก่อน

    (ให้มันจริงเถอะ ถ้าอาหมิงบอกว่าลื้อป่วยเมื่อไหร่ล่ะน่าดู ...ลื้อคุยกันไปนะ ม้าจะไปตลาดแล้ว)

    อย่าซื้อของเยอะนะม้า เดี๋ยวถือไม่ไหว” เหมยสั่งก่อนคนในหน้าจอโทรศัพท์จะพยักหน้าให้แล้วแทนที่ด้วยหน้าตี๋ๆ เหมือนกับเขายื่นเข้ามา “ออกไปไกลๆ”

    (เอ้า โทรหากูแล้วสั่งให้กูออกไปไกลๆ ก็ได้เหรอ แต่ไทยกับญี่ปุ่นมันก็ไกล—)

    แค่นี้นะ”

    (เดี๋ยว! แหม แค่ล้อเล่นปะ) เหมยหรี่ตามองคล้ายติดรำคาญแต่ภายในใจกำลังนึกหัวเราะกับท่าทางหงุดหงิดของอีกฝ่าย (มึงมีไรอะ อยู่ไม่ได้เหรอ หรือคิดถึงกู)

    แค่—”

    (แม่งเอ๊ย เล่นนิดเล่นหน่อยไม่ได้เลย) คนในจอบ่นอุบอิบแล้วถอนหายใจเฮือกใหญ่ (งอนมึง แต่มีอะไรพูดมา ไม่กวนตีนละ)

    ถ้าไม่ใช้อรุณสวัสดิ์ ใช้คำไหนได้บ้าง”

    (ฮะ?) หมิงท้วงด้วยน้ำเสียงฉงนแถมยังขมวดคิ้วยุ่ง (คือมึงโทรมาแบบจริงจัง หน้าเครียดมาก เพื่อถามกูว่าจะใช้อะไรแทนคำว่าอรุณสวัสดิ์เนี่ยเหรอวะ)

    อือ ทำไม”

    (ก็เปล่า แต่แบบถามทำไมอะ งง ต้องใช้ด้วยเหรอ อ๋อ หรือเอาไว้ทักเพื่อนใหม่) เหมยพยักหน้าเพราะไม่รู้จะอธิบายอย่างไร ตอนนี้บอกญี่ปุ่นไปว่าการใช้อรุณสวัสดิ์กับเขานั่นมันค่อนข้างเป็นทางการไปหน่อย และที่มันเป็นปัญหาเพราะเขาเองยังไม่รู้ว่าถ้าเจอหน้ากันตอนเช้าแล้วจะทักทายด้วยคำไหนเพื่อไม่ให้อีกฝ่ายสงสัย (กูจะช่วยมึงยังไงดีล่ะแบบนี้ ปกติเวลากูตื่นมาเจอหน้าไอ้เพลิงมันก็ถามกูแค่ว่า นอนหรือตาย มึงจะเอาไปใช้กับเพื่อนใหม่คงไม่ดีมั้ง)

    ปรึกษาผิดคนสินะ”

    (ไม่ดิ เหมยก็รู้ว่ากูพึ่งพาได้) หมิงว่าอย่างภาคภูมิแถมตบอกตัวเองเพื่อให้พี่ชายเห็นถึงความมั่นใจ (ถ้าให้แนะนำ เอาเป็นงี้ดีปะ ...อืมม เป็นไง หลับสบายไหม หรือ...)

    หมิง พอ”

    (กูตั้งใจช่วยมึงอยู่นะ) น้องชายทำเสียงงอแงเมื่อเขาสั่งให้หยุด (ทักว่า ตื่นแล้วเหรอ)

    ถ้ายังไม่ตื่นจะลุกมาเดินได้ยังไง” เขาขมวดคิ้วแล้วถามกลับ มั่นใจว่าหากทักแบบนั้นมีหวังญี่ปุ่นคงได้สวนกลับมาแน่ๆ รายนั้นขี้สงสัยแถมยังดื้อกว่าหมิงอีกเป็นเท่าตัว

    จากตอนที่เขาบอกว่าถ้าไม่อยากให้ดุก็อย่าดื้อ นึกว่าจะตอบกลับมาเชิงโอเคหรือก็ได้ แต่ไม่ ญี่ปุ่นกลับย่นจมูกแถมบ่นอุบอิบว่า ‘ถ้าไม่ชอบที่เราดื้อก็เป็นเรื่องของต้นเหมย’ แน่นอนว่าทุกอย่างที่เกิดขึ้นแล้วเขาไม่ชอบกลายเป็นเรื่องของเขาทั้งหมด ถึงอย่างนั้นอีกฝ่ายยังย้ำมาว่าเขาห้ามดุไม่ว่าจะกรณีใดๆ แต่พูดก็พูดเถอะ ถ้าไม่ดุเวลาเจออะไรไม่ถูกใจ

    คงจะยากหน่อย

    (ตกลงเอาคำไหนอะ ให้กูโทรไปปรึกษาไอ้เพลิงไหม)

    ไม่ต้อง ช่างเถอะ”

    (เอ้า ทำไมไม่ปรึกษาเพื่อน ...นี่มึงไม่ออกไปไหนเหรอ สรุปไปญี่ปุ่นจะอยู่แต่บ้านหรือไง)

    กำลังจะไป”

    (ไปไหนอะ)

    เดินแถวๆ นี้” เขาตอบตามความจริง แพลนวันนี้คือเขาจะเดินออกไปสำรวจรอบๆ เสียก่อนว่าพอจะมีร้านสะดวกซื้อหรือไม่ เอาไว้ออกมาซื้อเวลาต้องหาอะไรกินเอง “งั้นแค่นี้”

    (บทจะโทรก็โทร บทจะทิ้งก็—)

    เดี๋ยวโทรไปใหม่”

    (ไอ้—)

    เหมยกดตัดสายทันทีที่ได้ยินเสียงแหวกำลังจะก่นด่าเมื่อเขาไม่ยอมฟังคำตัดพ้อแต่หมิงไม่โกรธหรอกเพราะรู้ดีว่าเขาเป็นแบบไหน วันนี้เขายังใจดีกว่าทุกครั้ง อุตส่าห์บอกว่าจะตัดสาย หากเป็นปกติเวลาพูดไม่จบเขาชิงตัดสายก่อนทุกที ตอนอยู่ไทยเขาต้องคอยปราบหมิง แต่ใครจะรู้ว่าพอหนีมาอยู่ที่นี่กลับมีคนให้ปราบอีก แถมยังดื้อกว่าหลายเท่า

    หวังว่าตัวเองน่าจะปราบได้บ้างเช่นกัน

     

     

    สุดท้ายเมื่อวานที่บอกว่าจะออกไปเดินเล่นก็ไม่ได้ไปไหน เขาต้องนั่งสรุปแพลนเที่ยวของตัวเองใหม่ทั้งหมด คิดไปคิดมาหนึ่งเดือนแค่ตระเวนเที่ยวฮอกไกโดมันหมดเวลาแล้ว แอบไปเสิร์ชดูพบว่าแถวนี้มีสถานที่เที่ยวน่าสนใจเยอะเช่นกันจึงคิดว่าคงอยู่เก็บให้ครบ ใกล้ๆ วันกลับค่อยลงไปโอซาก้า

    เขาลุกขึ้นนั่งสะบัดศีรษะไล่ความง่วง บิดร่างกายด้วยความเมื่อยล้าหลังจากนั่งหลังแข็งจัดแพลนใหม่ แม้จะนอนดึกแต่ยังติดนิสัยตื่นแต่เช้าตรู่ อีกอย่างเขาเป็นพวกปรับตัวง่ายแค่สองสามวันก็ไม่มีปัญหาเรื่องเวลาแล้ว เขาพับฟูกนอนเก็บเข้าตู้ คาดว่าหนึ่งเดือนจากนี้จะเป็นความเคยชิน

    เจ้าของร่างสูงเดินไปหยิบอุปกรณ์จำเป็นสำหรับการอาบน้ำตอนเช้า แพลนของวันนี้คือการเดินเท้าไปยังคลองโอตารุหามุมถ่ายรูป พิพิธภัณฑ์กล่องดนตรี แลนมาร์กสำคัญที่อยากจะเห็นคือนาฬิกาไอน้ำ และสุดท้ายคือร้าน LeTAO

    เหมยเดินออกจากห้องภายในใจหวังว่าอย่าเพิ่งเจอกับเจ้าของบ้านในยามเช้าแบบนี้ เพราะเขายังไม่รู้ว่าควรจะหยิบคำไหนมาใช้แทนอรุณสวัสดิ์ อย่างมากที่คิดออกก็สวัสดีตอนเช้าหรือเมื่อคืนฝันดีหรือเปล่า หากจะทักทายอย่างหลังคงต้องกำชับว่าทักทายกับเขาได้แค่คนเดียว เพราะมันคงแปลกไม่หยอกหากอีกฝ่ายเผลอเอาคำนี้ไปใช้กับคนอื่น

    ความคิดทุกอย่างเป็นไปตามนั้นหลังจากอาบน้ำเสร็จแล้วเดินสำรวจ เขาไม่พบญี่ปุ่นไม่ว่าจะห้องนั่งเล่นหรือห้องครัว ในหัวคิดว่าคงยังไม่ตื่นแต่พอเดินออกไปดูตรงชั้นวางรองเท้ากลับได้รู้ว่าเจ้าบ้านไม่อยู่ เพราะงั้นเขาจึงเดินกลับไปที่ห้องครัวอีกครั้งเพื่อหาอะไรกิน

    พอเปิดตู้เย็นแล้วพบถุงพลาสติกมีกระดาษโน้ตแปะเอาไว้ ลายมือภาษาไทยยุกยิกเหมือนคนไม่เคยฝึกคัดเขียนว่า ‘เราไปมหาวิทยาลัย ทำข้าวไว้ให้แล้ว อุ่นเอานะต้นเหมย’ เขาเผลอยิ้มให้กับความใจดีของอีกฝ่าย แม้ดูขี้ดื้อไปบ้างแต่เหมือนจะห่วงเพื่อนร่วมบ้านอย่างเขาพอสมควร

    เขาจัดการอุ่นอาหารทุกอย่างหลังจากวางมันลงบนโต๊ะก็คิดได้ว่าควรทักไปขอบคุณ เหมยถ่ายรูปมื้อเช้าของตัวเองแล้วกดส่งให้กับอีกฝ่าย คิดว่าญี่ปุ่นคงไม่ว่างตอบกลับ แต่ไม่เป็นเช่นนั้น เพราะไม่ถึงห้านาทีให้หลังบนหน้าจอปรากฏข้อความเด้งขึ้นมายาวจนไม่ครบประโยค เขาจึงต้องกดเข้าไปอ่านให้ครบ

     

    あい:

    อุ่นแล้วเหรอ อย่าลืมซุปมิโซะนะ ต้นเหมยกินได้ใช่ไหมอะ

    เราคิดว่าจะกลับไปทันเลยไม่ได้เตรียมอะไรไว้ให้เยอะ

     

    :

    พอแล้ว

    เยอะเดี๋ยวไม่หมด

     

    เขาพิมพ์กลับไปด้วยความคุ้นชิน แต่อีกฝ่ายกลับอ่านแล้วหายไปพักใหญ่ๆ ถึงได้ตอบกลับมา หมายความได้ว่าคงจะนั่งจิ้มแป้นโทรศัพท์อยู่ เล่นพิมพ์เสียยาวขนาดนี้จะใช้เวลานานก็ไม่แปลก

     

    あい:

    ฮือออ จริงนะ ต้นเหมยอยากได้อะไรไหม

    เรารบกวนอะไรอย่างหนึ่งได้หรือเปล่า ถ้ากินข้าวเสร็จแล้วเราฝากเข้าไปดูมารุให้หน่อยได้ไหม

    เมื่อเช้าเหมือนเราจะลืมเปลี่ยนน้ำให้อะ

     

    :

    เดี๋ยวไปดูให้

     

    あい:

    โอเคเลยย ขอบคุณนะ

    เดี๋ยวเรารีบกลับ ต้นเหมยจะได้ไม่เหงา

     

    เขาขมวดคิ้วเล็กกับข้อความนั้น จะว่าเหงาคงเหงาหูเสียมากกว่า พออยู่บ้านคนเดียวแล้วมันเงียบจนผิดกับตอนที่ญี่ปุ่นอยู่ ยังดีที่ไม่เจอกันตอนเช้า พอเหลือเวลาให้คิดบ้างว่าเช้าวันถัดไปจะทำอย่างไรกับคำว่าอรุณสวัสดิ์ เหมยยังไม่ทันจะได้ตอบแชต หน้าจอโทรศัพท์ก็เปลี่ยนเป็นการโทรเข้าแบบวอยซ์ จะไม่รับคงไม่ได้เพราะเขาเพิ่งเปิดอ่านข้อความไปเมื่อกี้

    (ต้นเหมย เราลืมถาม ตกลงว่าเวลาเจอกันตอนเช้าต้องทักว่าอะไรเหรอ วันนี้เราไม่เจอต้นเหมยตอนเช้าอะ เราจะยังได้รู้คำตอบไหม) น้ำเสียงสดใสดังแทรกเข้ามาทันที นึกว่ามีเรื่องด่วนอะไร หลงคิดไว้ว่ามีเวลามากพอจะหาคำตอบแต่คงไม่ได้แล้ว (ต้นเหมย)

    อ่า ...ช่างสงสัยเหลือเกิน

    เมื่อคืนฝันดีหรือเปล่า”

    สุดท้ายแล้วกลับแสดงความคิดบ้าๆ ออกไปให้อีกฝ่ายรับรู้ผ่านความหน้ามืดและน้ำเสียงของตัวเอง เหมยเผลอถอนหายใจหนักเพราะคิดว่าอย่างไรคนช่างสงสัยต้องถามกลับมาว่าทำไมถึงเป็นเช่นนั้น ปกติคนเขาทักทายกันแบบนี้ใช่ไหม หรือเราสามารถใช้กับใครได้บ้าง

    แต่ไม่... ญี่ปุ่นทำให้เหตุการณ์ที่คาดเดาไว้ผิดทั้งหมด

    (เมื่อคืนเราฝันดีมากๆ เดี๋ยวเรากลับไปเล่าให้ฟังนะ ตอนนี้เรากำลังจะเข้าห้องอะ ไม่สะดวกเท่าไหร่เลย)

    ค่อยคุยกันก็ได้”

    (ถ้าอยากได้อะไรทักมาทิ้งไว้ได้นะเดี๋ยวซื้อกลับไปฝาก เราจะรีบกลับนะ)

    อือ ญี่ปุ่น” แทนที่เหมยจะตอบกลับว่าไม่เป็นไร ไม่ต้องรีบอย่างเช่นปกติ แต่ไม่รู้ว่าความคิดในส่วนไหนสั่งให้เขาตอบกลับไปแค่…

    (หือ)

    กลับบ้านดีๆ นะครับ”


    tbc

    ยัยจี้ปุ่งกับต้นเหมยจะอัปเดตใหม่เรื่อยๆ นะคะ ♥



    [1] ฟูกนอนแบบญี่ปุ่นที่ทำจากผ้าฝ้ายเป็นหลัก

    [2] ทอจากหญ้าชนิดหนึ่งที่เรียกว่า อิกุสะ มีลักษณะคล้ายกับต้นกก ซึ่งมีคุณสมบัติดูดซับและระบายความชื้นได้ดี

    [3] ซุปญี่ปุ่นแบบดั้งเดิมที่ประกอบไปด้วยน้ำสต็อกดาชิกับเต้าเจี้ยวมิโซะแบบนิ่มผสมเข้าด้วยกัน  และใส่เครื่องปรุงอื่นๆ ตามความชอบ

    [4] เป็นอาหารพื้นเมืองของประเทศญี่ปุ่น ทำจากถั่วเหลือง หมักด้วยเชื้อแบคทีเรีย Bacillus subtilis สายพันธุ์ natto นิยมรับประทานเป็นอาหารเช้า


    TB
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×