คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : 01 ✿ อรุณสวัสดิ์
อรุณสวัสดิ์ , ต้นเหมย
นับว่าเป็นวันที่สามของการมาเที่ยวญี่ปุ่น
เวลาเดินเร็วจนเขาคิดว่าหนึ่งเดือนคงน้อยเกินไปหากจะเที่ยวตามแพลนให้ครบ
เขายังไม่ได้ออกไปไหนเลยตั้งแต่เมื่อวาน สถานที่ก็ไม่คุ้นเคยได้แต่พึ่งใบบุญของเจ้าบ้านที่คอยหาอะไรให้กินประทังชีวิต
เหมยยุ่งอยู่กับการจัดของและเรียนรู้อุปกรณ์เครื่องใช้ต่างๆ
ภายในบ้าน ไอ้ที่บอกว่าไม่มีความทันสมัยเป็นเรื่องจริงแต่เฉพาะในห้องนอน
พอเข้าห้องน้ำ ห้องครัว ทุกอย่างทันสมัยจนเขางงว่ามาจากโลกเดียวกันหรือไม่ ถ้าในห้องนอนเขามีปัญหากับการใช้รีโมตแอร์
ยังไม่รู้ว่าปรับอะไรตรงไหนเท่าที่ทำได้คือเปิดปิดและเพิ่มลดอุณหภูมิ
ยอมรับว่าไม่เคยคิดว่าตัวเองโง่ในการใช้ชีวิตได้มากขนาดนี้
เมื่อคืนเขาจำได้ว่ามันโคตรหนาวแบบนอนห่มผ้ายังไม่อุ่นเพราะแอร์ดันลงจ่อตรงฟูกนอนพอดี
จะให้เดินไปถามเจ้าบ้านว่าปรับให้เป็นโหมดสวิงตรงไหนก็ไม่กล้าเพราะมันดึกแล้ว เขาไม่อยากรบกวน
สุดท้ายเลยต้องนั่งค้นข้อมูลในอินเทอร์เน็ตว่าแต่ละตัวมีความหมายอย่างไร
เรียกได้ว่าหนึ่งเดือนนี้เขาคงได้อะไรกลับไปเยอะเหมือนกัน
อีกอย่างหนึ่งถามน้ำเงินแล้วด้วยว่าเขาเคยเจอเจ้าบ้านมาก่อนหรือไม่เพราะรู้สึกคุ้นหน้าแต่นึกไม่ออก
สรุปแล้วอีกฝ่ายเป็นลูกพี่ลูกน้องของพี่ยิ้มซึ่งเป็นเพื่อนกับแฟนของน้ำเงินอีกที
ส่วนที่ว่าคุ้นหน้าเป็นเพราะเคยเจอกันมาแล้วรอบหนึ่งตอนญี่ปุ่นกลับไปเที่ยวไทยแล้วพี่ยิ้มพามาเดินตลาด
พอรู้แบบนั้นแล้วอยากขอโทษมากที่จำอะไรไม่ได้เลย
ปกติเขาไม่ใช่พวกชอบจดจำรายละเอียดรอบตัว ยิ่งเรื่องจิปาถะยิ่งไม่สนใจ
สิ่งที่จะอยู่ในลิสต์ความจำของเขามีแค่เรื่องสำคัญเท่านั้น
และตอนนี้เรื่องสำคัญของเขาคือการเรียนรู้วิถีชีวิตของคนที่นี่
เจ้าของร่างสูงลุกขึ้นจากฟูกนอนหรือที่ญี่ปุ่นเรียกมันว่าฟุตง[1]ก่อนจะพับเก็บให้เรียบร้อยแล้วเอามันไปใส่ไว้ในตู้เสื้อผ้าตามคำแนะนำของเจ้าบ้าน
เมื่อวานตอนทำความรู้จักกันใหม่อีกครั้ง
ญี่ปุ่นแนะนำมาว่าถ้าอยู่ในห้องที่มีเสื่อทาทามิ[2]ให้สวมถุงเท้าหรือเดินเท้าเปล่า
ส่วนไอ้เรื่องรองเท้าสลิปเปอร์ตัดทิ้งไปได้เลยเพราะอีกฝ่ายบอกว่ามันทำความสะอาดลำบากถ้ามีฝุ่นติดเข้ามา
แต่สามารถใส่เดินภายในส่วนที่ไม่มีเสื่อทาทามิได้
ถึงอย่างนั้นเขาไม่ได้มีปัญหาอะไร
จะให้สวมถุงเท้าเดินทั่วทั้งบ้านก็ทำได้เพราะมันหนาวเกินกว่าจะเดินเท้าเปล่า แม้ไม่ได้มาในช่วงฤดูหนาวหรือมีหิมะตกแต่อุณหภูมิยังต่ำกว่าประเทศไทยอยู่ดี
อีกอย่างหนึ่งเขาเป็นคนขี้หนาว อุณหภูมิแค่ยี่สิบต้นๆ ก็เริ่มอยู่ไม่สุขแล้ว
หลังจากเก็บข้าวของตัวเองเรียบร้อยเขาหิ้วผ้าขนหนูส่วนตัวพาดบ่าออกมาเพื่อหวังจะไปอาบน้ำตอนเช้า
แต่การเดินไปห้องอาบน้ำต้องผ่านทั้งห้องของญี่ปุ่นและห้องนั่งเล่น
“ต้นเหมย”
เจ้าของชื่อหันขวับไปทางห้องที่กำลังจะเดินผ่านทันที
เขาไม่ทันได้สังเกตว่าญี่ปุ่นนั่งอยู่ “อรุณสวัสดิ์นะ”
“อ่า
ไม่ต้องขนาดนั้นก็ได้”
เหมยขานตอบก่อนเจ้าคนตัวเล็กจะหยุดสิ่งที่ตัวเองกำลังกระทำอยู่แล้วลุกขึ้นมาหาเขาพร้อมสีหน้าสงสัย
เป็นอีกหนึ่งวันที่อีกฝ่ายมัดผมจุกเป็นต้นมะพร้าว
“อ้าว
ปกติเวลาทักกันตอนเช้าไม่ได้ใช้คำนี้เหรอ”
“ก็ใช้”
ไม่ปฏิเสธว่ามันถูกต้องแต่ที่เขาหมายถึงคือไม่ต้องทักทายเป็นทางการแบบนี้เพราะมันไม่ชิน
ถึงอย่างนั้นยังไม่รู้อยู่ดีว่าถ้าไม่ให้ทักว่าอรุณสวัสดิ์แล้วจะให้ทักแบบไหน
“แล้ว...”
“แต่กับ...”
เขาชะงักเล็กน้อยเพราะไม่รู้ว่าควรจะแทนตัวเองอย่างไร “เหมยไม่ต้อง”
“กับต้นเหมยไม่ต้องใช้คำนี้เหรอ”
ญี่ปุ่นถามย้ำอีกครั้ง แม้เคยอยู่ประเทศไทยมาบ้างแต่ไม่ได้ใช้คำศัพท์ถูกบริบทสักเท่าไหร่นักหรอก
แถมยังไม่แน่ใจด้วยว่ากับคนนี้ใช้คำนี้จะถูกต้องไหม
หรืออีกฝ่ายอยากให้พูดแบบนี้หรือเปล่า
เพราะคนไทยหากใช้ประโยคผิดบางทีถึงขั้นบาดหมางกันเลยทีเดียว
พี่ยิ้มบอกเขามาแบบนั้นน่ะนะ
“อือ”
“เราถามได้ไหมอะว่าทำไม”
ญี่ปุ่นยิ้มเล็กๆ
ความโดดเด่นบนใบหน้าที่เห็นได้ชัดคือนัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มฉายแววความสดใสอยู่ตลอดเวลา
“เราเป็นคนขี้สงสัยอะ ต้นเหมยจะรำคาญไหม”
“ไม่หรอก”
“จริงนะ”
เหมยพยักหน้าเพื่อยืนยันคำตอบ สงสัยเขาไม่ว่าแถมยินดีตอบแต่ต้องหลังจากที่เขาทำธุระส่วนตัวเสร็จแล้ว
“เดี๋ยวเล่าได้ไหม”
“...”
“ขออาบน้ำก่อน”
“อาบน้ำตอนเช้าเนี่ยเหรอ”
ญี่ปุ่นถามอย่างสงสัย พอรู้ว่าคนไทยอาบน้ำกันวันละสองรอบ
ยิ่งช่วงไหนร้อนก็มากกว่าสอง แต่ที่นี่อากาศไม่ได้ร้อนขนาดนั้นและวันๆ แทบไม่มีเหงื่อออกเลยด้วยซ้ำ
มันคงไม่แปลกอะไรหากจะอาบวันละครั้ง “อาบตอนเย็นทีเดียวก็ได้นะ”
“ปกติอาบวันละครั้งเหรอ”
“ใช่
เราอาบก่อนนอนครั้งเดียวแค่ช่วงอากาศแบบนี้นะ
ถ้าหน้าร้อนเราก็อาบสองครั้งเหมือนกัน”
“แล้วเช้าทำอะไรบ้าง”
“ล้างหน้า
แปรงฟัน แต่ถ้าต้นเหมยอยากอาบน้ำก็ไม่เป็นปัญหานะ เราแค่บอกเฉยๆ ว่าอาบรอบเย็นได้”
“ถ้าอาบจะเปลืองน้ำไหม”
“ไม่เปลืองหรอกน่า
เราเข้าใจว่ามันชิน พี่ยิ้มก็เป็นแบบนี้ตอนมาหาเรา” เหมยพยักหน้าลง ให้ปรับคงยากพอสมควร
ไม่ได้คิดว่าเป็นความสกปรกอะไรเพราะอากาศช่วงนี้ไม่ได้ทำให้ร่างกายขับเหงื่อมากขนาดนั้น
แม้ว่าตัวจะไม่ได้เหนียวแต่สำหรับเขามันเป็นความเคยชินไปแล้ว “งั้นต้นเหมยไปอาบน้ำ
เดี๋ยวเราไปหาอะไรให้ทานตอนเช้า”
“ใช้คำว่ากินก็ได้”
เหมยท้วงเบาๆ หากไม่บอกมีหวังคงได้เป็นภาษาสุภาพไปหมดแน่ๆ
“ใช้ได้เหรอ
พี่ยิ้มบอกว่ามันเป็นคำแบบกันเองเลยไม่กล้าใช้กับต้นเหมย”
“ใช้ได้”
เขาตอบกลับแบบไม่ต้องคิด “แล้วก็ไม่ต้องหาอะไรให้กินหรอก”
“อ้าว
ถ้าต้นเหมยไม่ให้เราทำแล้วจะไปกินที่ไหน”
“เดี๋ยวออกไปหาเอาครับ”
เมื่อวานเขาก็รบกวนไปทีหนึ่งแล้วจะให้มารบกวนอีกคงไม่ใช่เรื่อง
“ต้นเหมยคุ้นทางเหรอ”
“ก็ไม่”
“กินที่นี่แหละ
เดี๋ยวเราทำให้”
“เกรงใจ”
“ไม่เป็นไร
แลกกับที่จะเล่าให้เราฟังไงว่าทำไมกับต้นเหมยห้ามใช้อรุณสวัสดิ์”
“แต่...”
“ถ้าจะไม่ตกลง...”
เหมยขมวดคิ้วยุ่งเพราะรูปประโยคที่อีกฝ่ายเอ่ยออกมานั้นค่อนข้างคุ้น
“ก็เป็นเรื่องของต้นเหมยนะ”
“...”
“แต่เราจะทำให้อยู่ดี”
“โอเค”
สุดท้ายแล้วเขาไม่สามารถเถียงอะไรได้พอตอบตกลงญี่ปุ่นพยักหน้าให้ เขาจึงเป็นฝ่ายเดินออกมาก่อน
แต่ยังไปได้ไม่พ้นสามก้าวก็ต้องหันกลับไปมองอีกครั้ง
แน่นอนว่าอีกฝ่ายดูสงสัยที่เขาหันมา “ญี่ปุ่น”
“หือ
ต้นเหมยอยากได้เพิ่มหรือเปล่า”
“เปล่า”
“แล้วมีอะไรเหรอ”
“เวลาเจอกันตอนเช้า”
“...”
“เดี๋ยวเหมยทักเอง”
✿
“ต้นเหมย”
เสียงใสดังท้วงทันทีที่เดินออกมาจากห้องน้ำ เขาใช้เวลาในการอาบน้ำนานพอสมควร ศึกษาวิธีการอาบน้ำของคนญี่ปุ่นมาแล้วว่าต้องทำอย่างไรบ้าง
เช้าวันนี้เขาเพียงแค่อาบน้ำผ่านฝักบัว
ไม่ได้ลงไปแช่ในอ่างเพราะขี้เกียจทำอะไรให้มันยุ่งยาก
“ครับ?” เขาขานขณะใช้ผ้าขนหนูผืนเล็กซับเส้นผมเปียกชื้นของตัวเอง
“เราทำไข่ม้วนกับปลาย่างให้นะ
ที่จริงมีซุปมิโซะ[3]กับนัตโตะ[4]ด้วย
แต่เรากลัวต้นเหมยไม่เคยกินแล้วมันอาจจะไม่ถูกปากเลยไม่ได้เอาออกมาวางไว้ให้
อยากได้อะไรเพิ่มไหมอะ”
“พอแล้ว
ขอบคุณนะครับ”
“เอ้ย
ไม่ต้องขอบคุณก็ได้ เราเต็มใจทำให้ ต้นเหมยเดินไปห้องครัวก่อนเลยนะ
เดี๋ยวเราตามไป”
“ไม่กินด้วยกันเหรอ”
เขาถามด้วยความสงสัยจะให้ไปนั่งกินข้าวคนเดียวคงแปลกไม่น้อย
“เราไม่ชอบกินข้าวเช้าอะ”
“ทำไม”
“ปกติเราขี้เกียจทำเลยไม่กินจนตอนนี้ชินแล้ว
...แต่เดี๋ยวเราไปนั่งเป็นเพื่อน ขอไปให้ข้าวมารุก่อน”
“มารุ?” เหมยขมวดคิ้วเล็กน้อย
เขาเคยได้ยินชื่อมารุบ่อยๆ ทว่าไม่เคยรู้ความหมาย
ถึงอย่างนั้นก็ไม่รู้ว่ามารุที่อีกฝ่ายหมายถึงคนหรือสัตว์แต่ที่มาอยู่ยังไม่เคยเห็นใครสักคน
“อุซางิ”
คนพูดฉีกยิ้มแป้นแถมยังพูดภาษาญี่ปุ่นที่ทำให้คนไทยอย่างเขาไม่เข้าใจ
แม้มันเป็นเพียงคำสั้นๆ แต่ใครจะไปรู้ความหมาย “กระต่าย”
“กระต่ายที่ซื้อไปตอนนั้นเหรอ”
เขานึกออกทันทีตอนอีกฝ่ายบอกว่ามารุคือกระต่าย คราแรกที่เจอกันเป็นครั้งเดียวกันกับตอนที่ญี่ปุ่นไปซื้อ
ถ้ายังใช่ตัวเดียวกันอยู่น่ะนะ “สีเทา”
“อื้อๆ
ต้นเหมยจำได้ด้วยเหรอ ...เรานึกว่าจำไม่ได้อะ
ตอนเจอหน้าเราครั้งแรกต้นเหมยยังดูงงๆ อยู่เลย ไม่นึกไม่ฝันเลยว่าจะจำมารุได้ด้วย”
ไอ้ประโยคไม่นึกไม่ฝันที่ญี่ปุ่นพูดออกมานั่นทำให้เขาแทบหลุดหัวเราะ
“เดี๋ยวเรามานะ สามนาที”
“ไม่ต้อง—”
ยังไม่ทันที่เขาจะได้บอกว่าไม่ต้องรีบ
คนตัวเล็กก็เอื้อมมาคว้าข้อมือเขาแล้วพาเดินไปยังห้องครัวทันที อ่า
ไม่คิดจะปล่อยให้คนอื่นเขาได้พูดเลยหรือยังไงกัน แม้เพิ่งพบกันแต่เขาพอรู้ว่าอีกฝ่ายเป็นคนเอาแต่ใจพอสมควร
ตั้งแต่ที่บอกว่าหากไม่ชอบให้เรียกต้นเหมยก็เป็นเรื่องของเขา
ทั้งที่นั่นมันเป็นชื่อเขาแท้ๆ
“กินข้าวก่อน
เดี๋ยวเราทวงคำตอบ” เหมยพยักหน้าเพราะหากตอบอะไรไปอีกฝ่ายคงไม่อยู่ฟัง
เจ้าของร่างเล็กรีบเดินออกจากห้องครัวไปทิ้งเขาไว้กับอาหารที่อีกฝ่ายทำแล้ววางเอาไว้ให้แบบพร้อมทาน
เขานั่งลงก่อนลงมือใช้ตะเกียบกินข้าว
ซึ่งตะเกียบของญี่ปุ่นและจีนมีความแตกต่างกันตรงส่วนปลายเพราะของญี่ปุ่นจะแหลมแต่ของจีนเป็นทรงมน
เหมยใช้เวลาไม่นานนักกับการทำตัวให้คุ้นกับตะเกียบปลายแหลมเพราะส่วนตัวเขาถนัดใช้ตะเกียบอยู่แล้ว
แต่หากเป็นน้องชายรายนั้นมีหวังได้คว่ำโต๊ะอาหารทิ้ง นั่นเป็นเหตุผลหนึ่งที่หมิงไม่ยอมมาญี่ปุ่นด้วยกัน
“กินได้ไหม”
เจ้าของบ้านกลับเข้ามาหลังจากหายไปประมาณสิบนาที
อีกฝ่ายไม่ได้ทิ้งตัวลงนั่งข้างหน้าเขาแต่กลับเดินไปเปิดตู้เพื่อรื้อหาอะไรบางอย่าง
เขาเลยไม่แน่ใจนักว่าญี่ปุ่นต้องการคำตอบมากแค่ไหน
เขาไม่ได้ตอบคำถามแล้ววางตะเกียบไว้บนที่พักตะเกียบ
หากอยู่ไทยคงวางพาดชามข้าวไปแล้วแต่พอมาอยู่ที่บ้านคนอื่นต้องศึกษาเรื่องมารยาทและกระทำตามนั้น
“หาอะไร”
“อาหารมารุ
เราไม่แน่ใจว่าเอาไปเก็บไว้ตรงไหน” คนที่ก้มๆ เงยๆ อยู่ตรงตู้เก็บของหันมาบอก
ใบหน้าแสดงความไม่พอใจผ่านการย่นจมูก “หรือเราจะเก็บไว้ข้างบน”
ไม่ว่าเปล่าไอ้คนตัวเล็กรีบปิดตู้ด้านล่างแล้วเอื้อมไปเปิดด้านบนซึ่งเป็นประตูบานพับเช่นกัน
เหมยได้แต่นั่งมองเพราะไม่กล้าลุกขึ้นไปกลางคัน
“ข้างหน้าจะหล่นแล้ว”
เหมยส่งเสียงทักก่อนทิ้งเรื่องมารยาทเอาไว้แล้วรีบลุกขึ้นไปเพื่อช่วยคนที่กำลังเอื้อมมือไปหยิบของที่อยู่ด้านในสุด
แต่ไม่ยอมเอาถุงข้างหน้าออกมาให้หมดก่อน “เดี๋ยวหยิบให้”
“เราหยิบถึงนะ
เราวางได้ก็ต้องหยิบได้” คนช่างเถียงหันมาท้วงขณะที่ยังเอื้อมแขนไปสุด
ญี่ปุ่นสูงกว่าน้ำเงินเพียงนิดเดียวแต่ยังเตี้ยกว่าเขาในระดับหนึ่งอยู่ดี
“ทำไมไม่เอาของข้างหน้าออกมาก่อน”
ใช่ว่าญี่ปุ่นหยิบไม่ถึงแต่การจะล้วงเอาของด้านในนั่นควรเอาสิ่งที่ขวางอยู่ออกมาก่อนหรือเปล่า
เขาต้องลุกมาช่วยเพราะกลัวว่าสิ่งของแถบหน้าจะร่วงใส่หัวเสียก่อนน่ะสิ
“ถ้าเอาออกมาเราก็ต้องเรียงเข้าไปใหม่สิ
ขี้เกียจตายเลย”
“ไม่กลัวมันจะร่วงใส่หัวหรือยังไง”
เหมยถามก่อนเป็นฝ่ายหยิบถุงอาหารกระต่ายด้านในออกมาให้แล้ววางมันลงบนศีรษะของคนตัวเตี้ยกว่า
“ทำให้มันเรียบร้อยหน่อย”
“ต้นเหมยดุเราเหรอ”
ญี่ปุ่นหันมาทำหน้าบึ้งขณะหยิบเอาถุงอาหารบนศีรษะไปกอดเอาไว้
เหมยเขยิบถอยหลังออกมาหลังจากภารกิจของตัวเองเสร็จสิ้น
“เปล่า”
“ก็ดุอยู่อะ”
“เหมยแค่เสียงดุ”
“ไม่จริง
ต้นเหมยก็ดุเองด้วย” น้ำเสียงงอแงนั่นทำให้เขาเผลอถอนหายใจออกมา
“ต้นเหมยถอนหายใจด้วยอะ”
“อ่า”
เหมยขานเบาๆ ไม่รู้ว่าควรจะตอบไปแบบไหนดี แต่พูดจริงๆ
ว่าเขาไม่ได้ดุเลยแม้แต่นิดแค่หลุดพูดไปเหมือนที่เคยพูดกับหมิงเวลาน้องชายทำอะไรไม่เรียบร้อยก็เท่านั้น
“ต้นเหมยโกรธเราเหรอ”
“ไปกันใหญ่แล้ว”
“ก็ต้นเหมยดุอะ”
“ถ้าบอกว่าไม่ได้ดุจะเชื่อไหม”
คนถูกถามส่ายหน้าแถมยังกระชับถุงอาหารของมารุไว้แน่น
เมื่ออีกฝ่ายยืนยันแบบนั้นจึงไม่เถียงอีก “โอเค ดุก็ดุ”
“แต่เราไม่อยากให้ต้นเหมยดุ”
“ไม่อยากให้ดุจริงเหรอ”
เขาเดินเข้าไปหาก่อนวางมือลงบนกลุ่มผมที่อีกฝ่ายมัดเอาไว้เป็นต้นมะพร้าวจนมันราบลงไป
ญี่ปุ่นมองหน้าเขาตาไม่กะพริบ
“อื้อ
ใครจะอยากให้ดุ”
“ถ้าไม่อยากให้ดุ”
“...”
“ญี่ปุ่นก็อย่าดื้อ”
✿
(ทำไมใส่เสื้อบางจังล่ะอาเหมย
เดี๋ยวก็ไม่สบายหรอก ...โหย ม้า มันไม่หนาวหรอก เย็นๆ)
ประโยคแรกนั่นเป็นเสียงของม้าที่ถามอย่างเป็นห่วง
ส่วนประโยคถัดมานั่นไม่พ้นแฝดตัวแสบนั่งทำหน้าทำตาล้อเลียนอยู่ข้างหลัง
(อาหมิงก็พูดได้สิ ลื้อไม่ได้ไปอยู่อย่างเฮียเขานี่)
“ไม่หนาวหรอกม้า”
เขาขานตอบเพราะไม่อยากเห็นไอ้แฝดโดนดุ
ความจริงเขาตั้งใจวีดิโอคอลหาน้องเพื่อจะถามเรื่องการใช้คำว่าอรุณสวัสดิ์แต่พอโทรไปแล้วดันเป็นจังหวะที่ม้านั่งอยู่ด้วยพอดีเลยต้องเก็บคำถามไว้ก่อน
(ให้มันจริงเถอะ
ถ้าอาหมิงบอกว่าลื้อป่วยเมื่อไหร่ล่ะน่าดู ...ลื้อคุยกันไปนะ ม้าจะไปตลาดแล้ว)
“อย่าซื้อของเยอะนะม้า
เดี๋ยวถือไม่ไหว” เหมยสั่งก่อนคนในหน้าจอโทรศัพท์จะพยักหน้าให้แล้วแทนที่ด้วยหน้าตี๋ๆ
เหมือนกับเขายื่นเข้ามา “ออกไปไกลๆ”
(เอ้า
โทรหากูแล้วสั่งให้กูออกไปไกลๆ ก็ได้เหรอ แต่ไทยกับญี่ปุ่นมันก็ไกล—)
“แค่นี้นะ”
(เดี๋ยว!
แหม แค่ล้อเล่นปะ)
เหมยหรี่ตามองคล้ายติดรำคาญแต่ภายในใจกำลังนึกหัวเราะกับท่าทางหงุดหงิดของอีกฝ่าย
(มึงมีไรอะ อยู่ไม่ได้เหรอ หรือคิดถึงกู)
“แค่—”
(แม่งเอ๊ย
เล่นนิดเล่นหน่อยไม่ได้เลย) คนในจอบ่นอุบอิบแล้วถอนหายใจเฮือกใหญ่ (งอนมึง
แต่มีอะไรพูดมา ไม่กวนตีนละ)
“ถ้าไม่ใช้อรุณสวัสดิ์
ใช้คำไหนได้บ้าง”
(ฮะ?) หมิงท้วงด้วยน้ำเสียงฉงนแถมยังขมวดคิ้วยุ่ง
(คือมึงโทรมาแบบจริงจัง หน้าเครียดมาก
เพื่อถามกูว่าจะใช้อะไรแทนคำว่าอรุณสวัสดิ์เนี่ยเหรอวะ)
“อือ
ทำไม”
(ก็เปล่า
แต่แบบถามทำไมอะ งง ต้องใช้ด้วยเหรอ อ๋อ หรือเอาไว้ทักเพื่อนใหม่) เหมยพยักหน้าเพราะไม่รู้จะอธิบายอย่างไร
ตอนนี้บอกญี่ปุ่นไปว่าการใช้อรุณสวัสดิ์กับเขานั่นมันค่อนข้างเป็นทางการไปหน่อย
และที่มันเป็นปัญหาเพราะเขาเองยังไม่รู้ว่าถ้าเจอหน้ากันตอนเช้าแล้วจะทักทายด้วยคำไหนเพื่อไม่ให้อีกฝ่ายสงสัย
(กูจะช่วยมึงยังไงดีล่ะแบบนี้ ปกติเวลากูตื่นมาเจอหน้าไอ้เพลิงมันก็ถามกูแค่ว่า
นอนหรือตาย มึงจะเอาไปใช้กับเพื่อนใหม่คงไม่ดีมั้ง)
“ปรึกษาผิดคนสินะ”
(ไม่ดิ
เหมยก็รู้ว่ากูพึ่งพาได้)
หมิงว่าอย่างภาคภูมิแถมตบอกตัวเองเพื่อให้พี่ชายเห็นถึงความมั่นใจ (ถ้าให้แนะนำ
เอาเป็นงี้ดีปะ ...อืมม เป็นไง หลับสบายไหม หรือ...)
“หมิง
พอ”
(กูตั้งใจช่วยมึงอยู่นะ)
น้องชายทำเสียงงอแงเมื่อเขาสั่งให้หยุด (ทักว่า ตื่นแล้วเหรอ)
“ถ้ายังไม่ตื่นจะลุกมาเดินได้ยังไง”
เขาขมวดคิ้วแล้วถามกลับ มั่นใจว่าหากทักแบบนั้นมีหวังญี่ปุ่นคงได้สวนกลับมาแน่ๆ
รายนั้นขี้สงสัยแถมยังดื้อกว่าหมิงอีกเป็นเท่าตัว
จากตอนที่เขาบอกว่าถ้าไม่อยากให้ดุก็อย่าดื้อ
นึกว่าจะตอบกลับมาเชิงโอเคหรือก็ได้ แต่ไม่ ญี่ปุ่นกลับย่นจมูกแถมบ่นอุบอิบว่า ‘ถ้าไม่ชอบที่เราดื้อก็เป็นเรื่องของต้นเหมย’
แน่นอนว่าทุกอย่างที่เกิดขึ้นแล้วเขาไม่ชอบกลายเป็นเรื่องของเขาทั้งหมด ถึงอย่างนั้นอีกฝ่ายยังย้ำมาว่าเขาห้ามดุไม่ว่าจะกรณีใดๆ
แต่พูดก็พูดเถอะ ถ้าไม่ดุเวลาเจออะไรไม่ถูกใจ
คงจะยากหน่อย
(ตกลงเอาคำไหนอะ
ให้กูโทรไปปรึกษาไอ้เพลิงไหม)
“ไม่ต้อง
ช่างเถอะ”
(เอ้า
ทำไมไม่ปรึกษาเพื่อน ...นี่มึงไม่ออกไปไหนเหรอ สรุปไปญี่ปุ่นจะอยู่แต่บ้านหรือไง)
“กำลังจะไป”
(ไปไหนอะ)
“เดินแถวๆ
นี้” เขาตอบตามความจริง แพลนวันนี้คือเขาจะเดินออกไปสำรวจรอบๆ
เสียก่อนว่าพอจะมีร้านสะดวกซื้อหรือไม่ เอาไว้ออกมาซื้อเวลาต้องหาอะไรกินเอง
“งั้นแค่นี้”
(บทจะโทรก็โทร
บทจะทิ้งก็—)
“เดี๋ยวโทรไปใหม่”
(ไอ้—)
เหมยกดตัดสายทันทีที่ได้ยินเสียงแหวกำลังจะก่นด่าเมื่อเขาไม่ยอมฟังคำตัดพ้อแต่หมิงไม่โกรธหรอกเพราะรู้ดีว่าเขาเป็นแบบไหน
วันนี้เขายังใจดีกว่าทุกครั้ง อุตส่าห์บอกว่าจะตัดสาย หากเป็นปกติเวลาพูดไม่จบเขาชิงตัดสายก่อนทุกที
ตอนอยู่ไทยเขาต้องคอยปราบหมิง แต่ใครจะรู้ว่าพอหนีมาอยู่ที่นี่กลับมีคนให้ปราบอีก
แถมยังดื้อกว่าหลายเท่า
หวังว่าตัวเองน่าจะปราบได้บ้างเช่นกัน
✿
สุดท้ายเมื่อวานที่บอกว่าจะออกไปเดินเล่นก็ไม่ได้ไปไหน
เขาต้องนั่งสรุปแพลนเที่ยวของตัวเองใหม่ทั้งหมด
คิดไปคิดมาหนึ่งเดือนแค่ตระเวนเที่ยวฮอกไกโดมันหมดเวลาแล้ว
แอบไปเสิร์ชดูพบว่าแถวนี้มีสถานที่เที่ยวน่าสนใจเยอะเช่นกันจึงคิดว่าคงอยู่เก็บให้ครบ
ใกล้ๆ วันกลับค่อยลงไปโอซาก้า
เขาลุกขึ้นนั่งสะบัดศีรษะไล่ความง่วง
บิดร่างกายด้วยความเมื่อยล้าหลังจากนั่งหลังแข็งจัดแพลนใหม่
แม้จะนอนดึกแต่ยังติดนิสัยตื่นแต่เช้าตรู่
อีกอย่างเขาเป็นพวกปรับตัวง่ายแค่สองสามวันก็ไม่มีปัญหาเรื่องเวลาแล้ว เขาพับฟูกนอนเก็บเข้าตู้
คาดว่าหนึ่งเดือนจากนี้จะเป็นความเคยชิน
เจ้าของร่างสูงเดินไปหยิบอุปกรณ์จำเป็นสำหรับการอาบน้ำตอนเช้า
แพลนของวันนี้คือการเดินเท้าไปยังคลองโอตารุหามุมถ่ายรูป พิพิธภัณฑ์กล่องดนตรี
แลนมาร์กสำคัญที่อยากจะเห็นคือนาฬิกาไอน้ำ และสุดท้ายคือร้าน LeTAO
เหมยเดินออกจากห้องภายในใจหวังว่าอย่าเพิ่งเจอกับเจ้าของบ้านในยามเช้าแบบนี้
เพราะเขายังไม่รู้ว่าควรจะหยิบคำไหนมาใช้แทนอรุณสวัสดิ์
อย่างมากที่คิดออกก็สวัสดีตอนเช้าหรือเมื่อคืนฝันดีหรือเปล่า
หากจะทักทายอย่างหลังคงต้องกำชับว่าทักทายกับเขาได้แค่คนเดียว
เพราะมันคงแปลกไม่หยอกหากอีกฝ่ายเผลอเอาคำนี้ไปใช้กับคนอื่น
ความคิดทุกอย่างเป็นไปตามนั้นหลังจากอาบน้ำเสร็จแล้วเดินสำรวจ
เขาไม่พบญี่ปุ่นไม่ว่าจะห้องนั่งเล่นหรือห้องครัว ในหัวคิดว่าคงยังไม่ตื่นแต่พอเดินออกไปดูตรงชั้นวางรองเท้ากลับได้รู้ว่าเจ้าบ้านไม่อยู่
เพราะงั้นเขาจึงเดินกลับไปที่ห้องครัวอีกครั้งเพื่อหาอะไรกิน
พอเปิดตู้เย็นแล้วพบถุงพลาสติกมีกระดาษโน้ตแปะเอาไว้
ลายมือภาษาไทยยุกยิกเหมือนคนไม่เคยฝึกคัดเขียนว่า ‘เราไปมหาวิทยาลัย
ทำข้าวไว้ให้แล้ว อุ่นเอานะต้นเหมย’ เขาเผลอยิ้มให้กับความใจดีของอีกฝ่าย แม้ดูขี้ดื้อไปบ้างแต่เหมือนจะห่วงเพื่อนร่วมบ้านอย่างเขาพอสมควร
เขาจัดการอุ่นอาหารทุกอย่างหลังจากวางมันลงบนโต๊ะก็คิดได้ว่าควรทักไปขอบคุณ
เหมยถ่ายรูปมื้อเช้าของตัวเองแล้วกดส่งให้กับอีกฝ่าย
คิดว่าญี่ปุ่นคงไม่ว่างตอบกลับ แต่ไม่เป็นเช่นนั้น
เพราะไม่ถึงห้านาทีให้หลังบนหน้าจอปรากฏข้อความเด้งขึ้นมายาวจนไม่ครบประโยค เขาจึงต้องกดเข้าไปอ่านให้ครบ
あい:
อุ่นแล้วเหรอ
อย่าลืมซุปมิโซะนะ ต้นเหมยกินได้ใช่ไหมอะ
เราคิดว่าจะกลับไปทันเลยไม่ได้เตรียมอะไรไว้ให้เยอะ
梅:
พอแล้ว
เยอะเดี๋ยวไม่หมด
เขาพิมพ์กลับไปด้วยความคุ้นชิน
แต่อีกฝ่ายกลับอ่านแล้วหายไปพักใหญ่ๆ ถึงได้ตอบกลับมา หมายความได้ว่าคงจะนั่งจิ้มแป้นโทรศัพท์อยู่
เล่นพิมพ์เสียยาวขนาดนี้จะใช้เวลานานก็ไม่แปลก
あい:
ฮือออ
จริงนะ ต้นเหมยอยากได้อะไรไหม
เรารบกวนอะไรอย่างหนึ่งได้หรือเปล่า
ถ้ากินข้าวเสร็จแล้วเราฝากเข้าไปดูมารุให้หน่อยได้ไหม
เมื่อเช้าเหมือนเราจะลืมเปลี่ยนน้ำให้อะ
梅:
เดี๋ยวไปดูให้
あい:
โอเคเลยย
ขอบคุณนะ
เดี๋ยวเรารีบกลับ
ต้นเหมยจะได้ไม่เหงา
เขาขมวดคิ้วเล็กกับข้อความนั้น
จะว่าเหงาคงเหงาหูเสียมากกว่า
พออยู่บ้านคนเดียวแล้วมันเงียบจนผิดกับตอนที่ญี่ปุ่นอยู่ ยังดีที่ไม่เจอกันตอนเช้า
พอเหลือเวลาให้คิดบ้างว่าเช้าวันถัดไปจะทำอย่างไรกับคำว่าอรุณสวัสดิ์
เหมยยังไม่ทันจะได้ตอบแชต หน้าจอโทรศัพท์ก็เปลี่ยนเป็นการโทรเข้าแบบวอยซ์
จะไม่รับคงไม่ได้เพราะเขาเพิ่งเปิดอ่านข้อความไปเมื่อกี้
(ต้นเหมย
เราลืมถาม ตกลงว่าเวลาเจอกันตอนเช้าต้องทักว่าอะไรเหรอ
วันนี้เราไม่เจอต้นเหมยตอนเช้าอะ เราจะยังได้รู้คำตอบไหม) น้ำเสียงสดใสดังแทรกเข้ามาทันที
นึกว่ามีเรื่องด่วนอะไร หลงคิดไว้ว่ามีเวลามากพอจะหาคำตอบแต่คงไม่ได้แล้ว
(ต้นเหมย)
อ่า
...ช่างสงสัยเหลือเกิน
“เมื่อคืนฝันดีหรือเปล่า”
สุดท้ายแล้วกลับแสดงความคิดบ้าๆ
ออกไปให้อีกฝ่ายรับรู้ผ่านความหน้ามืดและน้ำเสียงของตัวเอง
เหมยเผลอถอนหายใจหนักเพราะคิดว่าอย่างไรคนช่างสงสัยต้องถามกลับมาว่าทำไมถึงเป็นเช่นนั้น
ปกติคนเขาทักทายกันแบบนี้ใช่ไหม หรือเราสามารถใช้กับใครได้บ้าง
แต่ไม่...
ญี่ปุ่นทำให้เหตุการณ์ที่คาดเดาไว้ผิดทั้งหมด
(เมื่อคืนเราฝันดีมากๆ
เดี๋ยวเรากลับไปเล่าให้ฟังนะ ตอนนี้เรากำลังจะเข้าห้องอะ ไม่สะดวกเท่าไหร่เลย)
“ค่อยคุยกันก็ได้”
(ถ้าอยากได้อะไรทักมาทิ้งไว้ได้นะเดี๋ยวซื้อกลับไปฝาก
เราจะรีบกลับนะ)
“อือ
ญี่ปุ่น” แทนที่เหมยจะตอบกลับว่าไม่เป็นไร ไม่ต้องรีบอย่างเช่นปกติ
แต่ไม่รู้ว่าความคิดในส่วนไหนสั่งให้เขาตอบกลับไปแค่…
(หือ)
“กลับบ้านดีๆ
นะครับ”
✿
tbc
ยัยจี้ปุ่งกับต้นเหมยจะอัปเดตใหม่เรื่อยๆ นะคะ ♥
[1] ฟูกนอนแบบญี่ปุ่นที่ทำจากผ้าฝ้ายเป็นหลัก
[2] ทอจากหญ้าชนิดหนึ่งที่เรียกว่า
อิกุสะ มีลักษณะคล้ายกับต้นกก ซึ่งมีคุณสมบัติดูดซับและระบายความชื้นได้ดี
[3] ซุปญี่ปุ่นแบบดั้งเดิมที่ประกอบไปด้วยน้ำสต็อกดาชิกับเต้าเจี้ยวมิโซะแบบนิ่มผสมเข้าด้วยกัน และใส่เครื่องปรุงอื่นๆ ตามความชอบ
[4] เป็นอาหารพื้นเมืองของประเทศญี่ปุ่น
ทำจากถั่วเหลือง หมักด้วยเชื้อแบคทีเรีย Bacillus subtilis สายพันธุ์
natto นิยมรับประทานเป็นอาหารเช้า
ความคิดเห็น