คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : 00 ✧ ระเบิดเวลา
00
ระเบิดเวลา
‘เราต่างได้ครองเวลาที่มีทั้งหมด...ด้วยกัน
แต่กลับไม่มองเห็นความสำคัญของกัน...ปล่อยทิ้งไป’
ระเบิดเวลา - Greasy Cafe
✧
ดวงตาคมไล่อ่านตัวอักษรบนหน้ากระดาษที่มีไม่ต่ำกว่ายี่สิบบรรทัดด้วยสีหน้าเรียบเฉย
กระทำอย่างนี้ทุกวันจนกลายเป็นความเคยชิน เขาต้องอ่านให้ละเอียดก่อนจะเซ็นลายลักษณ์อักษรลงไปเพื่อยืนยันว่ายอมรับ
ครู่เดียวเรียวคิ้วขมวดเข้าหากันยุ่งเมื่อความตั้งใจถูกพรากออกไปเพราะเสียงโทรศัพท์ดังขึ้นขัดจังหวะ
“ว่าไง” เสียงทุ้มเอ่ยถามทันทีเมื่อกดรับสายโดยไม่ลังเลเพราะคนที่โทรเข้ามาคือเพื่อนสนิทอย่างเบส
(มาไหมเนี่ย)
“ไม่แน่ใจ งานไม่เสร็จ”
(มึงจะเบี้ยวอีกเหรอ
วันนี้ไอ้หมออุตส่าห์ว่างนะเว้ย) ชายหนุ่มวางปากกาลงก่อนเหลือบมองนาฬิกาบนฝาผนัง
บ่งบอกว่าเป็นเวลาสองทุ่มกว่าแล้วและเขานั่งอยู่ในห้องทำงานมาตั้งแต่เย็น (พักบ้างนะสัด
เดี๋ยวจะตายห่าก่อนได้เมีย)
“พูดมาก”
(กูย้ำอีกที ไอ้เหี้ยหมอแลกเวรมาเพื่อมึง)
“...”
(เอาไง)
“เออ เดี๋ยวไป” เขากดตัดสายหลังได้ยินเสียงเบสโหวกเหวกโวยวายด้วยความดีใจ
แผ่นหลังกว้างแนบชิดไปกับเก้าอี้ทรงสูงสำหรับผู้บริหาร ถอดแว่นสายตาออกแล้ววางลงบนโต๊ะ
ปกติแล้วเขาจะใส่เฉพาะเวลาทำงานเพราะต้องใช้สายตามากเป็นพิเศษ
นิ้วชี้และนิ้วโป้งยกขึ้นมานวดระหว่างหัวคิ้วคลายความเมื่อยล้า
เข็มทิศเป็นบุตรชายคนโตของครอบครัวเตชวิรุฬห์วัชรโชติพ่วงตำแหน่งรองประธานบริษัท BLANC N MERCI
รวมถึงเป็นผู้ช่วยอยู่เบื้องหลังแบรนด์
DEGRÉS N BLEU
หรือที่รู้จักกันในนามองศาสีน้ำเงิน
คนภายนอกชอบมองว่าเขาทำงานเก่งทุกด้าน สามารถทำได้ดีเสมอและทุ่มเทกับทุกอย่าง
แต่สำหรับคนใกล้ชิดมองว่าเป็นพวกบ้างานเสียมากกว่า กระนั้นไม่อาจปฏิเสธเพราะนาฬิกาชีวิตหนึ่งวันของเข็มทิศหมดไปกับโต๊ะทำงาน
เจ้าของร่างสูงวางปากกาลงอีกครั้งหลังเซ็นเอกสารแผ่นสุดท้ายเสร็จ
จัดการปิดแฟ้มสำคัญก่อนรวบไปวางรวมไว้มุมหนึ่งของโต๊ะ เขายกมือขึ้นนวดไหล่สลับซ้ายขวาก่อนรีบลุกขึ้นยืนเมื่อเห็นนาฬิกาบอกเวลา
วันนี้เบสนัดออกไปเจอด้วยเหตุผลว่าอยากสังสรรค์ตามประสาเพื่อนสนิทที่ไม่ได้พบกันมาพักหนึ่ง
การนัดเพื่อนในสมัยมัธยมหลังจากเข้ามหา’ลัยว่ายากแล้ว
แต่การนัดเพื่อนวัยทำงานให้ออกมาเจอกันได้นั้นยากยิ่งกว่า แม้จะคุยกันทุกอาทิตย์แต่ถ้าเวลาว่างไม่ตรงกันก็อด
เพราะต่างฝ่ายต่างมีภาระที่ต้องรับผิดชอบ
รถยนต์คันหรูเคลื่อนตัวออกจากหน้าบริษัทด้วยความรวดเร็ว
เวลานัดคือสี่ทุ่มตรงที่ร้านประจำของพวกเขา ไม่ใช่ผับบาร์เหมือนสมัยมหา’ลัยแต่เป็นร้านข้าวต้มโต้รุ่ง
ใช้เวลาเพียงครึ่งชั่วโมงสำหรับการขับรถมาถึงจุดหมาย เขาจอดรถต่อหลังรถยนต์ป้ายทะเบียนคุ้นตา
เข็มทิศดึงเนคไทบนคอเสื้อตัวเองออกลวกๆ แล้วโยนมันไปเบาะหลัง
ปลดกระดุมสองเม็ดบนเพื่อคลายความร้อน ชายหนุ่มถกแขนเสื้อทั้งสองข้างขึ้นมาไว้บริเวณข้อศอกอย่างเคยชิน
เสี้ยวหนึ่งของรอยสักบนข้อพับแขนจึงปรากฏ ส่วนตัวเขาไม่ใช่คนมีระเบียบอะไรมากเท่าไหร่นัก
ทว่าตอนออกงานหรือต้องไปพบแขกผู้ใหญ่จะเนี้ยบตลอดเวลาเพราะไม่อยากโดนนินทาตามหลังว่าไม่เป็นมืออาชีพ
“ฝนฟ้ามันถึงได้ตก” คุณหมอหนุ่มเบะปากทักทายทันทีที่พ่อหนุ่มนักธุรกิจก้าวเท้าเข้ามาภายในร้าน
เข็มทิศกระตุกยิ้มหนหนึ่งเพราะเพื่อนสนิทยังเป็นเหมือนเดิมไม่เคยเปลี่ยน
พัตเตอร์เป็นเพื่อนสนิทของเขาตั้งแต่สมัยมัธยม
สอบติดมหา’ลัยเดียวกันแต่คนละคณะ เขาเรียนบริหารแต่พัตเรียนหมอ ส่วนเบสเป็นเพื่อนที่เพิ่งรู้จักกับเขาช่วงเรียนปริญญาเลยมาเกาะอยู่ด้วยกัน
เรามีเพื่อนคนอื่นบ้างแต่ไม่สนิทเท่าไหร่นัก
“เหมือนเดิม” เข็มทิศว่าพลางทิ้งตัวลงนั่ง
ยกแขนข้างหนึ่งขึ้นเท้าคางแล้วมองหน้าพัตเตอร์นิ่งๆ
“อะไรวะ” เบสขมวดคิ้วถามอย่างสงสัยเมื่อไม่เข้าใจคำพูดและการกระทำของเข็มทิศ
“มึงอย่าพูดอะไรที่รู้กันสองคนได้ปะ”
“มันหมายถึงว่ามึงขี้เสือกเหมือนเดิม”
หมอพัตเตอร์พูดก่อนเอื้อมไปคีบกระดูกหมูราดซอสมาไว้ในชามตัวเอง เนื่องจากเขาแลกเวรมาทำให้คืนนี้มีเวลาพักประมาณหนึ่ง
“ป้าครับ ขอข้าวสวยเพิ่มหนึ่งถ้วยครับ”
“มึงจะแดกอะไรก็สั่งเพิ่มเอานะ” เบสเอ่ยพลางหยิบกระดาษเขียนเมนูอาหารออกจากกล่องพร้อมดินสอทู่ๆ
เหมือนไม่เคยผ่านการเหลามายื่นให้เพื่อนสนิท “แต่สั่งไส้หมูพะโล้เพิ่มให้กูด้วย”
“แหม ตอนปีสองเสือกบอกไม่เอา ไม่ชอบ ไม่แดก แล้วดูตอนนี้สามจานแดกคนเดียวหมด” หมอพัตแขวะด้วยเสียงติดหัวเราะก่อนเบสจะสบถด่าด้วยคำหยาบคาย
“เข้าเวรอีกทีตอนไหนหมอ”
“ตอนที่มึงไม่เห็น”
“สัด กูด่าแทนแล้วเพื่อนเข็ม” เบสขานตอบแทน พัตเตอร์เป็นคู่กัดกับพวกเขามาตั้งแต่ไหนแต่ไร
เวลาปกติพึ่งพากันได้เสมอแต่บางคราวอีกฝ่ายชอบตอบคำถามอย่างกวนอารมณ์
ส่วนเรื่องถนัดของพัตเตอร์คือปั่นประสาทเข็มทิศ “ไอ้เข็มมันถามดีๆ มึงก็ตอบดีๆ
สิวะ”
“ดีๆ”
“พัต โกรธอะไร” เข็มทิศถามเสียงเบา ช้อนสายตาขึ้นมองแล้วเห็นเพื่อนสนิทเบะปากก่อนมันจะหลุดขำ
หลังจากเขาพูดต่อ “ออกมาเจอแล้วนี่ไง งอแงอะไรนัก”
“งอแงพ่อมึงเถอะ
เบี้ยวนัดกูมาสี่รอบได้กว่าจะโผล่หนังหน้ามาให้เห็น กูก็มีเมียแล้ว” พัตมุ่ยหน้าหลังโดนจับได้
เพราะเป็นเพื่อนกันมานานแค่เห็นรอยยิ้มของมันก็รู้แล้วว่ากำลังคิดอะไรอยู่ “เออ
แค่ทำงานกูก็จะตายแล้ว จะเอาเวลาไหนไปหาเมีย”
“พวกคุณครับ ผมอยู่ตรงนี้น้า ...ครับ เงียบก็ได้”
เบสรูดซิปปากเมื่อเพื่อนทั้งสองตวัดสายตาดุๆ มามอง จากนั้นเลยคิดเปลี่ยนเรื่องคุย “ว่าแต่ไอ้เข็ม...”
เบสยังพูดไม่ทันจบเข็มทิศก็เป็นคนหยุดบทสนทนาเอาไว้ก่อนเพราะโทรศัพท์เกิดสั่นขึ้นมา
แถมยังเป็นสายที่จำเป็นต้องรับเสียด้วย
แค่เห็นรายชื่อที่ปรากฏบนหน้าจอก็รู้ทันทีว่าเป็นใคร แม้จะบันทึกชื่อเอาไว้แค่อีโมจิรูปหัวใจสีดำอย่างเดียวก็ตาม
(พรุ่งนี้ไม่ได้ไปไหนใช่ไหม แม่จะเข้าไปหาที่บริษัท)
“ไม่ได้ไป” เข็มทิศขานตอบปลายสาย ก่อนผงกศีรษะให้กับคุณป้าที่เอาถ้วยข้าวมาเสิร์ฟแล้วยื่นใบเมนูอาหารให้แทน
(งั้นพรุ่งนี้เข้าไปตอนสิบโมงนะ)
“เธอมาด้วยหรือเปล่า”
(ไม่อะ เข้ามอ ...วางแล้วนะ)
“อือ” เขาตอบรับสั้นๆ ก่อนวางโทรศัพท์ลงบนโต๊ะเมื่อปลายทางตัดสายไปแล้ว
ยังไม่ทันจะได้พูดอะไรพัตเตอร์ก็เป็นฝ่ายถามขึ้นมา
“สรุปน้องมาฝึกงานกับมึงเหรอ?”
“เปล่า”
“เอ้า แล้วที่คุยเมื่อกี้คือไรอะ
ทำไมมึงต้องถามว่าน้องจะมาไม่มา” เบสเสริมทัพ แอบเงี่ยหูฟังตามประสาคนขี้เสือกแต่ไม่ได้อะไรกลับมาสักอย่างเพราะไม่ได้ยิน
ความเสียงเบาเป็นจุดจบของสายเสือกโดยแท้ แต่สรรพนามการเรียกแทนตัวแบบนั้น...
มีอยู่แค่คนเดียวในลิสต์ของเข็มทิศนั่นแหละ
“คุณน้านิ่มจะเข้ามาที่บอเฉยๆ” เข็มทิศว่าพลางหันไปหยิบช้อนก่อนวางบนลงในถ้วยข้าวสวย
พรูลมหายใจหนหนึ่งตอนรู้สึกว่าถูกสายตาของเพื่อนจับจ้อง “น้องเรียนจบแล้วไม่ได้มาฝึกงาน
แล้วก็คงไม่มาลองทำงานที่นี่หรอก ถ้าไม่มีเรื่องจำเป็น นับไม่มาให้กูเจอ
พวกมึงก็รู้”
“เผื่อมึงไปขอน้องรีเทิร์นเงียบๆ ไง” พัตแสยะยิ้มหลังเห็นเพื่อนชะงัก
เป็นอันรู้กันว่าเหตุการณ์ในประโยคเมื่อครู่ไม่มีทางเกิดขึ้น “รักเขาจนไปรักคนอื่นไม่ได้
แต่ไม่ไปขอคืนดีเนอะคนเรา”
“แหม ไอ้พัตมึงก็รู้ว่าพ่อคุณคนนี้เขาคิดอะไรหลายตลบ
มึงเชื่อกูดิว่าที่มันไม่ไปขอน้องคืนดีเพราะคิดว่าสุดท้ายจะจบแบบเดิม” ถึงเป็นคู่กัดแต่พอเข้าเรื่องของเข็มทิศกับแฟนเก่า
เบสและพัตเตอร์สามารถเข้าหากันได้ดี พ่อหนุ่มนักธุรกิจไม่เถียงอะไรกลับมาสักคำเลยนอกจากหัวเราะเบาๆ
เข็มทิศไม่ได้โกรธที่เพื่อนสนิททั้งสองคนจะพูดแขวะเรื่องแฟนเก่าเพราะทุกถ้อยคำเป็นความจริง
เขารู้จักนับเงินผ่านน้องชายของตนเองเพราะอีกฝ่ายเป็นหนึ่งในกลุ่มเพื่อน
น่าจะเป็นช่วงที่เด็กๆ กำลังจะขึ้นปีสองแล้วยกโขยงมาทำงานกลุ่มที่บ้าน
ยอมรับว่านับเงินสร้างความสนใจได้ตั้งแต่แรกพบ ยังจดจำถ้อยคำกล่าวหาของเด็กคนนั้นได้อย่างแม่นยำ
‘พี่มึงดูเพลย์บอยกว่ามึงอีกอะศา’ เพิ่งเคยพบหน้ากันครั้งแรกแต่ดันตัดสินเขาจากภายนอกน่ะหรือ
แรกเริ่มคิดว่าไม่ถูกชะตาทว่าการทักทายครั้งนั้นเป็นจุดเริ่มต้นของความสัมพันธ์ระหว่างเรา
หากให้รื้อความทรงจำทุกเรื่องคงยากเกินไปหน่อย
เพราะตอนนี้เข็มทิศรู้จักกับนับเงินมาสามปีกว่าแล้ว
เราเป็นพี่น้องกันได้สักพักหนึ่งและเขาดันตกหลุมรักแบบไม่รู้ตัว
นานวันเข้าจึงขอเลื่อนสถานะขึ้นมาเป็นคนรัก
สุดท้ายประคับประคองไม่ได้คนรู้จักเลยแทบไม่ได้เป็น
ตลอดเวลาเกือบสองปีที่คบหากับนับเงินทางครอบครัวของเราทั้งคู่รับรู้มาโดยตลอดเพราะเข็มทิศเป็นคนทำอะไรเปิดเผย
แต่เราจำต้องลดความสัมพันธ์ลงเมื่อไปด้วยกันไม่ได้ ปากบอกกับผู้ใหญ่ว่ากลับไปเป็นพี่น้อง
แต่ความเป็นจริงนั้นนับแทบไม่มองหน้าเขาเลยด้วยซ้ำหากไม่มีเรื่องจำเป็น
ท่าทีและความเปลี่ยนแปลงทำให้พวกผู้ใหญ่ผิดสังเกตจนมีคำถามว่า
‘ถามจริงๆ
เถอะว่าทำไมถึงเลิกกัน’
หรือ ‘เลิกกันด้วยดีจริงหรือเปล่า’ พวกเขาเลยคิดปรึกษาก่อนตอบออกไปเป็นคำพูดเดียวกันว่า
‘เลิกเพราะเวลาไม่ตรงกัน
นับต้องเรียนส่วนพี่เข็มทำงาน แต่เรายังคุยกันได้’
เขาเคยเอาประโยคเหล่านั้นมาพูดกับเพื่อนสนิท
แน่นอนว่าโดนตอกกลับว่า ‘โทษนะ กูขอหัวเราะหน่อย แต่หาข้ออ้างอื่นที่ดีกว่านี้ไม่ได้แล้วหรือไง’ ก็ใช่สิ เข็มทิศเก่งเหลือเกินกับการหาข้ออ้างห่วยๆ
มาใช้ ความผิดแรกเริ่มมาจากตัวเขา แต่อีกหนึ่งความคิดกลับบอกว่าพวกเราผิดด้วยกันทั้งคู่
ปัญหาไม่ได้มาจากเวลาไม่ตรงกันอย่างเดียวแต่เกิดจากทุกองค์ประกอบของความสัมพันธ์
กระทบกระทั่งจนบานปลายและต่างฝ่ายต่างไม่ยอมกัน เขาเคยคิดจะกลับไปง้อ
แต่สำหรับเข็มทิศ...
นอกจากเรื่องงานก็ไม่เก่งอะไรอีกแล้ว
✧
“นับโทรบอกให้แล้วนะแม่” เจ้าของร่างโปร่งเอ่ยปากเสียงเรียบก่อนหันไปมองคนข้างกาย
คุณแม่กำลังนั่งดูโทรทัศน์ฆ่าเวลาระหว่างมาร์กหน้า “พรุ่งนี้เข้าไปได้
พี่เข็มอยู่”
“จะไม่เข้าไปกับแม่เหรอ” เธอขยับริมฝีปากอย่างยากลำบาก
เมื่อเห็นลูกชายพยักหน้าลงจึงเอ่ยปากพูดต่อ “จะปล่อยให้แม่ไปคนเดียวเหรอ บริษัทพี่เข็มออกจะใหญ่โต
แม่เป็นคนตัวเล็กๆ เองนะมันจะไม่...”
“แม่ไปบ่อยแล้วนะนั่น อีกอย่างใครๆ ก็รู้จักแม่นะ
จะกลัวอะไรล่ะครับ” นับเงินหลุดหัวเราะเมื่อแม่ทำเสียงฟึดฟัดใส่ “อย่าเอามาอ้างให้นับไปเจอหน้าพี่เข็มเลย
ไม่สำเร็จแล้ว”
“ฮึ น้องนับนี่ยังไง จะต้องไปทำงานกับพี่เขาอยู่แล้วยังหลบหน้าหลบตาอยู่อีก”
เธอว่าพลางตีขาลูกชายเบาๆ จะขมวดคิ้วแสดงให้เห็นถึงความไม่พอใจก็ไม่ได้เพราะกลัวแผ่นมาร์กยับ
“ถ้าแม่ไม่บังคับ ให้ตายนับก็ไม่ไปทำงานด้วยหรอก”
เขาพูดด้วยน้ำเสียงนิ่งเฉย อาทิตย์หน้าแม่จะให้ไปทำงานกับพี่เข็มเพื่อเรียนรู้วิธีแล้วเอามาปรับใช้กับบริษัทย่อยของครอบครัว
แน่นอนว่าคุณรองประธานยังไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่าต้องมาช่วยสอนงาน
แถมเขาไม่คิดปริปากบอกด้วยเผื่ออ้อนให้แม่เปลี่ยนใจได้ “นับพูดจริงๆ นะ
ถ้าไปทำงานกับพี่เข็มได้...”
“ได้เก่งขึ้นแน่ๆ ค่ะ” เธอพยายามยิ้ม
ฟังคำพูดของลูกชายเข้าหูซ้ายทะลุหูขวา “เมื่อก่อนรักพี่เขานักหนา
เดี๋ยวนี้มาทำเป็นไม่อยากไปเจอหน้า”
“มันไม่เหมือนเดิมแล้วนี่” นับเงินว่าพลางเอื้อมไปคว้ารีโมตมากดเปลี่ยนช่องโทรทัศน์เพื่อหนีรายการผี
เขาเป็นคนกลัวผีจนขึ้นสมอง ต่อให้บางรายการมีข่าวหลุดมาว่าเตี๊ยมกันแต่มันก็ยังน่ากลัวอยู่ดี
“อะไรที่ว่าไม่เหมือนเดิม” มารดาถามเสียงเรียบ “สถานะหรือใจล่ะ”
คนถูกถามชะงักปลายนิ้ว
แม้ว่าสายตาจะจดจ้องอยู่บนโทรทัศน์เพื่อเลือกช่องที่จะปักหลักต่อจากนี้
ทว่าภายในใจผสมคำถามของแม่กับความรู้สึกจนมันตีกันยุ่ง เขาพรูลมหายใจเบาๆ
แล้วขานตอบกลับไป
“ทุกอย่างแหละ ไม่มีอะไรเหมือนเดิม
แล้วจะไม่เป็นเหมือนเดิมด้วย แม่กับคุณน้ารัศมีเลิกคิดได้แล้วว่าจะรีเทิร์น” นับเงินร่ายยาวตามใจคิด
ทำไมเขาจะไม่รู้ว่าคุณแม่ของเราทั้งคู่ต้องการสร้างสถานการณ์ให้กลับไปอยู่ใกล้กัน
“แต่ตอนกลับมาจากสิงคโปร์แรกๆ ก็เหมือนจะดีนี่
แล้ว...” เธอทิ้งน้ำเสียงขาดห้วงไปช่วงหนึ่งเพื่อดูว่าลูกชายจะแย้งอะไรกลับมาหรือไม่
...พอน้องนับไม่ขานอะไรจึงพูดต่อ “ไปทะเลาะอะไรกันมาเพิ่มหรือเปล่า”
“เปล่าเลย แต่แม่น่าจะรู้หรือเปล่าครับว่ามันก็แค่ภาพที่สร้างขึ้น
นับกับพี่เข็มห่างกันมานานแล้ว ไม่มีทางกลับไปเหมือนก่อนหรอก” เขาอธิบาย
ไม่ใช่เรื่องแปลกหากจะมีคุณแม่เป็นที่ปรึกษาด้านความรัก ตอนเลิกกับเข็มทิศใหม่ๆ
เขาร้องไห้เสียแทบขาดใจ แต่ทางครอบครัวตัดขาดกันไม่ได้เพราะติดสัญญาด้านธุรกิจ
กระนั้นถึงไม่ติดปัญหาใดก็ยังคงไปมาหาสู่กันอยู่เพราะทั้งสองบ้านดันคุยกันถูกคอแถมเห็นชอบเรื่องความรักของเขากับพี่เข็มเลยหาทางให้กลับไปอยู่ใกล้กันบ่อยๆ
“งั้นไอ้เรื่องที่กลับมาจากสิงคโปร์...”
“มันดีแค่ช่วงนั้นแหละครับ” นับเงินตอบแทรกโดยไม่ปล่อยให้แม่ได้ถามจบประโยค
ล่าสุดเขาไปดูงานกับพี่เข็มทิศที่สิงคโปร์มาหลายวัน ช่วงนั้นมันเหมือนจะดีขึ้น
แต่สุดท้ายเราเถียงกันอีกครั้งหลังจากเขาไปเคลียร์ปัญหาความรักให้เพื่อนสนิทอย่างคราม
เรื่องของเรื่องคือนับเงินเป็นตัวปัญหา คิดอะไรไม่ถี่ถ้วนเลยทำให้มันแย่ลงแถมยังเกือบทำลายความรักของเพื่อนอีก
ครามเคยชอบเขามาก่อนก็จริงแต่พอมันเจอน้องพู่ทุกอย่างเลยเริ่มเปลี่ยนผัน เหตุผลหลักนั่นมาจากเขาเพราะไม่ว่าจะพยายามสักเท่าไหร่ก็เปลี่ยนใจไปรักคนอื่นไม่ได้สักที
มันเลยเป็นบทเรียนครั้งสำคัญว่าไม่ควรลากใครเข้ามาเกี่ยวข้องกับหัวใจตัวเองอีก
ยิ่งช่วงไหนกลับเข้าไปวนเวียนใกล้กับเข็มทิศ
มันยิ่งตอกย้ำว่าทุกพื้นที่ภายในใจยังคงเป็นคนเดิมมาเสมอ ...ไม่เคยเปลี่ยนไปเลย
“ฮึ ถ้าพี่เข็มหนีไปมีใครใหม่
อย่ามาร้องไห้น้ำตาเช็ดหัวเข่าแม่แล้วกัน” เธอกล่าวเสียงติดประชด แต่ถึงเวลาแล้วทุกอย่างไม่สามารถกลับไปเป็นอย่างเดิมได้จริงๆ
เพราะต่างคนต่างไม่รักหรืออยากเริ่มต้นกับคนใหม่ เธอก็ยินดีกับทุกความรักของลูกชายอยู่แล้ว
นับเงินนั่งนิ่งเก็บเอาคำพูดของมารดามาคิด
หากพี่เข็มมีคนใหม่หรือ...
นอกจากทำใจแล้วเขาจะไปทำอะไรได้อีกล่ะ
“นับไปอาบน้ำนอนแล้วนะ”
“ถ้าเปลี่ยนใจจะไปด้วยกันพรุ่งนี้ก็บอกนะ”
ผู้เป็นแม่ยังคงแซวยิ้มๆ ก่อนโบกไม้โบกมือไล่ “ฝันดีจ้ะพ่อเด็กปากแข็ง”
“โธ่” เขาส่ายหน้าเชิงระอาแล้วเดินปลีกตัวมาอีกทาง ตอนโทรหาเข็มทิศแล้วบอกว่าจะเข้ามหา’ลัยพรุ่งนี้ก็โกหกทั้งเพ อ้างว่าไปหางานทำยังฟังดูเข้าท่ากว่าอีก
แต่ช่างเถอะ... ยังไงเข็มทิศก็ไม่ได้มาใส่ใจอะไรหรอก
เจ้าของร่างเล็กกลับขึ้นมาบนห้อง
ทิ้งตัวลงบนเตียงพยายามสะบัดคำพูดของคนเป็นแม่ให้พ้นจากหัวสมอง แต่ดันทำไม่ได้ …น้ำตาเช็ดหัวเข่าเหรอ
มันต้องเป็นอย่างนั้นอยู่แล้วหากเข็มทิศมีใครใหม่ แต่จะให้ทำอย่างไรในเมื่อกลับไปก็ต้องจบแบบเดิม
ดีไม่ดีทำให้มันแย่กว่าที่เป็นอยู่ตอนนี้ด้วย
เขาตั้งใจให้เรื่องของเราจบลงตั้งแต่บอกเลิกกันไป
แต่ทุกอย่างไม่เคยเป็นใจเลยเพราะพอเลิกกันแม่กับคุณน้ารัศมียังคอยตะล่อมให้กลับไปเจอกันบ่อยๆ
ไอ้ความพยายามจะตัดใจหรือหาคนใหม่เข้ามาแทนนั้นตัดทิ้งไปได้เลย ...มันพังเละไม่เป็นท่าทุกที
นับเงินถอนหายใจแผ่ว
หันไปมองโต๊ะข้างเตียงของตัวเองก่อนเม้มปากเมื่อเห็นกรอบรูปที่ตั้งโชว์อยู่มันเป็นรูปคู่กับเข็มทิศ
เคยทำใจแข็งหิ้วเอาไปเก็บลงกล่องเพราะยังไม่อยากทิ้งแต่สุดท้ายต้องขนมันกลับมาวางไว้เช่นเคย
เวลามองกลับมาที่เดิมแล้วไม่เจอรูปนี้มันทำให้เขาใจหวิวแปลกๆ
แต่ถึงอย่างนั้นทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับเข็มทิศมันยังคงอยู่เหมือนเดิม
บนพื้นที่ส่วนตัวของเขายังไม่ได้เปลี่ยนแปลง
ไม่ว่าจะเป็นหน้าจอโน้ตบุ๊กหรือภาพถ่ายในแอคเคานต์ส่วนตัว
แม้ช่วงเวลาที่คบหากันไม่ได้ยาวนาน แต่เขาไม่สามารถลืมเรื่องราวที่มีเข็มทิศได้สักที
จะหยิบจับอะไรก็ชอบมีภาพจางๆ ซ้อนทับขึ้นมาเสมอ
แค่คนคนเดียวแต่ลืมยากฉิบหายเลย
เขากลิ้งไปกลิ้งมาบนเตียงอยู่พักหนึ่ง ก่อนพลิกกายนอนคว่ำแล้วคว้าโทรศัพท์ขึ้นมาดูเมื่อมันสั่นอยู่สองครั้ง
เรียวคิ้วย่นเข้าหากันทีละน้อยตอนพบว่าคนที่ทักมาไม่ใช่ใครไหนไกล
ก็คนที่อยู่ในระบบความคิดเมื่อครู่นั่นแหละ
khem
t.
เธอ
สรุปพรุ่งนี้ไม่ว่าง?
นับเงินยังไม่ทันได้พิมพ์ข้อความตอบกลับ
บนหน้าจอก็เปลี่ยนเป็นสายเรียกเข้าของคนที่เพิ่งทักมาได้ไม่ถึงสองนาที เขาเม้มปากเล็กน้อยผ่อนลมหายใจแล้วตั้งสติก่อนกดรับสายแต่โดยดี
“กำลังจะตอบ”
(เธอช้า) สรรพนามแทนตนยังคงเหมือนเดิม
ไม่เคยลืมเลยว่าตนเองเคยมีความสุขเพียงใดเวลาได้ยินเสียงของอีกฝ่าย ทว่าหลังจากเลิกกันแล้วทุกอย่างเปลี่ยนแปลงจนเขาเจ็บ...
เจ็บที่ยังคงได้ยินทั้งที่รู้ว่ามันยากหากเราจะกลับไปเป็นเหมือนเดิม
แอบใจหวิวอยู่ไม่น้อยตอนคิดถึง... ถ้าเสียงนี้จะต้องไปบอกรักคนอื่น
“เธอใจร้อน” เขาตอบกลับเสียงเรียบเราทั้งคู่ต่างเรียกแทนกันว่าเธอ
นับเงินเคยคิดเปลี่ยนกลับไปเรียกพี่อยู่หลายครั้งแต่สุดท้ายพ่ายแพ้ให้กับความเคยชิน “ให้เวลานับปลดล็อกโทรศัพท์หน่อยได้ไหม”
(โอเค พี่ใจร้อน
แล้วตกลงพรุ่งนี้เธอไม่ว่างใช่ไหม)
“อือ นับต้องเข้ามอ”
(ทำไมต้องเข้า เธอส่งโปรเจกต์จบแล้วไม่ใช่หรือไง)
“เธอรู้ได้ไง”
หรี่ตาลงแล้วพยายามปรับระดับลมหายใจให้เป็นปกติ
จับได้ว่าโกหกอย่างนั้นเหรอ กลายเป็นเรื่องแปลกสำหรับเขาด้วยซ้ำ ปกติแล้วเข็มทิศเคยสนใจอะไรที่ไหน
“เธอหันมาสนใจเรื่องอื่นนอกจากเรื่องงานตั้งแต่เมื่อไหร่”
(ศาบอก)
“อ๋อ งั้นก็ใช่…
ส่งไปแล้ว
แต่…”
(เธอไม่อยากเจอหน้าพี่เลยเอามาอ้าง)
“...เธอโทรมาเพราะเรื่องแค่นี้เหรอ”
นับเงินพรูลมหายใจก่อนขบริมฝีปากเล็กน้อย
อีกฝ่ายรู้จักนิสัยใจคอเขาดีขนาดนี้เลยหรืออย่างไร เขาเปลี่ยนเรื่องเพราะเป็นอย่างเดียวที่สามารถทำได้เพื่อกลบความกระอักกระอ่วน
นั่นเลยทำให้ปลายสายแค่นหัวเราะเบาๆ “ถ้าไม่มีนับจะ…”
(พรุ่งนี้มากับคุณแม่ด้วย)
“ไม่เข้าใจ” เขาสวนกลับทันควัน “ให้นับไปกับแม่เหรอ”
(ใช่)
“ทำไมต้องไปอะ”
เจ้าของร่างเล็กหยัดกายขึ้นนั่งตัวตรง
คว้าหมอนหนุนมากอดแล้วซุกใบหน้ากับความนุ่มนิ่ม ภาวนาขอให้เข็มทิศอย่าตอบอะไรเอาแต่ใจนัก
“นับไม่อยากเจอเธอ”
(เธอต้องมา)
“เหตุผล”
(พี่อยากเจอเธอ)
สิ้นสุดเสียงทุ้มต่ำ
นับเงินนั่งนิ่งเหมือนถูกสาปให้เป็นหิน ความรู้สึกปั่นป่วนตีรวนขึ้นมาจนต้องผ่อนลมหายใจอีกครั้ง
ไม่เคยคาดเดาอะไรจากคนคนนี้ได้เลยจริงๆ บทจะพูดในสิ่งที่คิดก็พูดแบบไม่เกรง
แต่บทจะไม่พูดเขาก็ไม่เคยได้รับรู้อะไรสักอย่าง เขารู้จักเข็มทิศจริงแต่ไม่ได้หมายความว่าตลอดเวลาที่ผ่านมาจะทำให้เลื่อนมาใช้คำว่ารู้จักกันดีได้หรอกมั้ง
เพราะเขาไม่เคยตามเข็มทิศทันเลย
“ทำงานมากไปเหรอ”
(เปล่า)
“แล้วเธอ…”
(เธอไม่กล้ามาเจอพี่เพราะกลัวหวั่นไหวหรือไง)
นับเงินกัดปากเมื่อปลายสายพูดเชิงเย้ยหยัน ถ้อยคำพูดของเข็มทิศเป็นชนวนสำคัญของระเบิดเวลา
“ไม่กลัว ทำไมต้องกลัว
ในเมื่อนับไม่ได้คิดอะไรกับเธอแล้ว” เขาตอบกลับอย่างปากเก่งแต่ภายในหัวใจเจ็บร้าวเป็นช่วงจังหวะ
เลิกกันมานานแล้วแต่ไอ้ความรู้สึกเหล่านี้ยังไม่จางหายไปสักที
เป็นแค่แฟนเก่าทำไมต้องมามีอิทธิพลกับหัวใจขนาดนี้ด้วย
(พี่หวังว่าพรุ่งนี้จะเจอเธอ)
“…”
(แต่ถ้าเธอไม่มา)
“…”
(พี่จะคิดเองว่าเธอยังไม่ลืม)
“งั้นพรุ่งนี้เธอรอเจอหน้านับได้เลย” ระเบิดเวลาเริ่มทำงานเมื่อเขาตอบตกลง
การกลับไปใช้ชีวิตวนเวียนอยู่ใกล้กันทำให้มันยากมากขึ้นไปอีก
แต่ไม่อยากให้เข็มทิศพูดจาเหมือนรู้ใจไปเสียทุกอย่างแบบนี้ อยากทำให้เข็มทิศได้รู้ว่าไม่มีใครอยู่ที่เดิมเสมอไป
(…)
“เพราะนับลืมเธอได้แล้ว”
ไม่รู้ว่าหลังจากนี้จะมีอะไรเข้ามาเป็นตัวเร่งทำปฏิกิริยาให้ระเบิดเวลาทำงานเร็วขึ้นอีกไหม
ระหว่างนี้เขาต้องตัดใจจากเข็มทิศให้ได้ ไม่ว่าต้องพยายามมากมายสักเท่าไหร่ เมื่อมันถึงจุดที่ระเบิดต้องทำงาน...
จะต้องไม่มีเศษเสี้ยวของเข็มทิศหลงเหลืออยู่
ไม่ว่าจะส่วนใดของหัวใจ จะอยู่ลึกสุดสักแค่ไหนก็ตาม
✧
tbc
05/05/2564
รีไรท์ใหม่คับผม จะอัปเนื้อหาครั้งละหนึ่งตอนแบบวันเว้นวันนะคะ
ความคิดเห็น