คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #5 : 04 ✧ ภาพของเรา
04
ภาพของเรา
เสียงเธอยังลอยอยู่
รูปเราที่ถ่ายอยู่คู่กัน
ฉันยังเก็บมันอยู่ตรงนั้นเลยและไม่เคยที่จะไม่มอง
*ภาพของเรา - greasy cafe
✧
ร้านเพ้นท์ไทม์กลายเป็นสถานที่นัดพบของกลุ่มเพื่อนสนิท
พวกเขานัดกันมาตามคำเชิญชวนของครามและเลือกนั่งสุมกันอยู่หลังร้านเพราะจะได้ไม่รบกวนลูกค้าท่านอื่น
“ทำหน้าแบบนี้ ตีกับพี่เข็มมาอีกดิ” ยิ้มเป็นฝ่ายทักทายเมื่อเห็นนับเงินเดินมานั่งด้วยใบหน้ามู่ทู่
“เออ”
นับเงินตอบก่อนหย่อนกายลงนั่ง นัยน์ตาตวัดมองน้องชายของแฟนเก่า หากรู้จักและมองภาพรวมลักษณะนิสัยต่างกันมากพอสมควร
ทว่ามีหนึ่งอย่างที่เหมือนกันคือความนิ่งเย็น “พี่เข็มกวนประสาทมากศา”
“เดี๋ยวก็ดีกัน”
องศาเอ่ยเสียงเรียบก่อนยื่นแก้วน้ำเย็นให้ดับอารมณ์
เขาชินเสียแล้วเพราะเป็นแบบนี้อยู่บ่อยๆ เวลานับเงินกับพี่ชายเจอหน้ากันต้องมีเรื่องถกเถียงตลอด
หากวันไหนไม่มีถือว่าผิดปกติ
“ถามกูยังว่าอยากดีไหม”
เขามุ่ยหน้าพลางถอนหายใจ คว้าแก้วน้ำขึ้นกระดกแล้วหรี่ตาลงเล็กน้อยเมื่อเห็นเพื่อนสนิทอีกคนหนึ่งเปิดประตูหลังร้านออกมาพร้อมกับแฟนของมัน
นับเงินยิ้มให้พู่กันตอนน้องเดินมาวางขนมลงบนโต๊ะ “ขอบคุณนะครับพู่”
“ไม่เป็นไรครับ
ถ้าอยากได้อะไรเพิ่มให้พี่ครามเข้าไปบอกผมได้เลยนะ” เจ้าของร้านบอกด้วยรอยยิ้ม
กลุ่มของพี่ครามยึดครองหลังร้านส่วนกลุ่มเพื่อนของเขายึดโต๊ะประจำด้านใน ต้องนั่งแยกกันเพราะพวกเขามีงานต้องทำขืนรวมกลุ่มได้โม้กระจายจนงานไม่เดินแน่ๆ
“พี่ไปนั่งกับหนูไม่ได้เหรอ”
ครามถามเสียงออดอ้อนจนแฟนเด็กหันมาย่นจมูกใส่ เขาจึงยกมือลูบหลังท้ายทอยน้องเบาๆ
“ไม่กวนหรอก”
“ไม่เอาอะ
พี่นั่งอยู่นี่แหละ” เขาปฏิเสธ
ไม่ว่าครามจะทำหน้าออดอ้อนเพียงใดก็ยังยืนยันคำเดิม “งอแงอะไรเนี่ยพี่คราม
ดูพี่ศาไม่เห็นจะต้องไปเกาะแกะไอ้เงินเลย”
“ไม่เกาะแกะอะไรหนู
มันโดนน้ำไล่มาเหมือนกัน” ชายหนุ่มพูดติดหัวเราะและน้องไม่เชื่อคำพูดเลยหันไปมองหน้าองศา
เพื่อนสนิทเขาจึงพยักหน้าลงเพื่อยืนยันว่าเป็นอย่างนั้น “เห็นปะ
พี่ไม่ได้หลอกหนูเลย”
“ถ้าพี่ยิ้มกลับแล้วค่อยเข้าไปข้างใน”
พู่กันยื่นข้อเสนอเพราะอยากแกล้งรุ่นพี่คนหนึ่งที่กำลังดูดน้ำโดยไม่สนใจคนรอบข้าง
และคำพูดเขาทำให้แฟนตัวโตอ้าปากไล่เพื่อนแบบติดหัวเราะ
“ไอ้ยิ้ม มึงกลับไปเลย”
“แค่ก— กูว่าแล้วไอ้เวร” ยิ้มแทบสำลัก เขาวางแก้วลงแล้วหรี่ตาเล็กน้อย
รู้อยู่ว่าไอ้ครามมันติดพู่กันแต่ไม่คิดว่าจะติดหนึบขนาดนี้ “มึงปล่อยไอ้พู่บ้างเหอะ ตัวติดหนึบจนกูคิดว่าทากาวติดกันแล้ว”
“พู่ไปทำงานเถอะครับ”
องศาที่นั่งฟังอยู่นานพูดขึ้นมาบ้าง
เขาเหลือบสายตามองนับเงินเพื่อให้สัญญาณ เสี้ยวนาทีครามถูกหิ้วคอแล้วผลักให้นั่งลงบนเก้าอี้
“เดี๋ยวพี่ล่ามไว้”
“กูไม่ใช่หมา” ครามสบถแต่ยอมนั่งนิ่ง ขืนลุกขึ้นไปตอนนี้ได้โดนนับเงินทุบหลังแอ่นแน่ เขาฉีกยิ้มให้แฟนเด็กก่อนพู่กันจะส่ายหน้าเบาๆ
แล้วเดินหายเข้าไปภายในร้าน เมื่อเหลือแค่กลุ่มเพื่อนจึงหันไปแยกเขี้ยวใส่ทุกคน “พวกมาร ขัดขวางความรักกู”
“มึงเพ้อเจ้อนะไอ้เหี้ย”
ยิ้มสบถด้วยเสียงหัวเราะ “หยุด ไม่ต้องด่า
กูจะเสือกเรื่องไอ้นับ”
“เรื่องอะไรของกู?”
นับเงินท้วงเสียงฉงน เขาหยิบน้ำขึ้นดูดก่อนนึกได้ว่าเมื่อครู่กำลังพูดถึงเข็มทิศ
“เรื่องพี่เข็มอะนะ?”
“เออ
มึงฟัดอะไรกับเขามาอีก”
“มึงใช้คำพูดให้มันรื่นหูได้ไหม
ฟัดเฟิดอะไร” เขาถอนหายใจหน่าย
ตามด้วยเสียงหัวเราะคิกคักของไอ้ครามและยิ้ม “หัวเราะอะไร”
“หัวเราะคนปากแข็ง
กูเห็นนะว่ามึงโพสต์รูปรองเท้าคู่ใหม่” ครามกดรอยยิ้มมุมปาก
นั่งเท้าคางแล้วสลับสายตาไปมององศาที่กำลังตีหน้านิ่งเฉย “พี่เข็มซื้อไม่ใช่เหรอวะ
ถ้ามึงไม่คิดอะไรแล้ว…”
“แล้ว?” นับเงินท้วงเมื่อครามเงียบไป ก่อนถูกสมทบด้วยคำพูดของยิ้ม
“อีโมจิรูปหัวใจสีดำ”
“สัด”
เขาด่าคำหนึ่งทว่าเรียกเสียงหัวเราะจากเพื่อนได้อีกครั้ง เป็นอันรู้กันว่าอีโมจิรูปหัวใจสีดำเป็นสัญลักษณ์แทนความรู้สึกของเขามาตั้งแต่ต้น
คนอื่นใช้ความหมายอย่างไรไม่รู้ แต่สำหรับเขาหมายถึงความรักที่มีให้เข็มทิศ
มันอาจจะหมองหม่นเช่นสีดำแต่สุดท้ายก็ยังรัก
“ใจสั่นเลยดิ
หวั่นไหวเลยดิ อยากกลับไปเลยดิ” ยิ้มแซวหนักจนต้องเบี่ยงศีรษะหลบกำปั้นหนักๆ
ของนับเงิน “เฮ้ย ขี้โมโหจังวะไอ้สัด”
“มึงรู้กันได้ไงว่าพี่เข็มซื้อ”
นับเงินถามเพราะคาใจ
หากบอกว่าเห็นมาจากโซเซียลคงไม่ใช่เพราะเข็มทิศไม่ลงอะไรเลย
เรียกว่าไม่ค่อยได้เล่นด้วยจะดีกว่า
มันสองคนตอบคำถามของเขาด้วยการหันไปมององศาเป็นตาเดียว “มึงเหรอศา”
“พวกมันถาม” องศาตอบเสียงเรียบเฉย เขาไม่ได้หลบสายตาและไม่ได้กลัวการคาดโทษจากนับเงินเลยสักนิด
“พี่เข็มเลือกรองเท้าเก่ง”
“ไม่ใช่ประเด็นเลย”
เขาถอนหายใจครั้งหนึ่ง เอนหลังพิงพนักเก้าอี้
โชคดีที่วันนี้ไม่มีแดด ไม่อย่างนั้นคงออกมานั่งตากลมด้านหลังร้านไม่ได้ “กูไม่ได้ขอให้เขาซื้อด้วยซ้ำ”
“พี่เข็มบอกว่ารองเท้ากัดมึง”
ครามพูดบ้างทำให้นับเงินขมวดคิ้วมุ่น “กูรู้หมดแหละว่าวันนั้นมึงทำอะไรมาบ้าง
เพราะพี่เข็มเขาเล่าให้ไอ้ศาฟัง”
“เล่าหมดเลยเหรอ”
“ระบายมากกว่า”
“บ่นกูยับเลยมั้ง”
ใจของนับเงินนิ่งเย็นตามท่าทางขององศา ปกติแล้วสองพี่น้องคู่นี้ไม่ค่อยได้คุยกันสักเท่าไหร่เพราะเข็มทิศมัวแต่หมกอยู่กับงาน
กระนั้นพักหลังมีประโยคหนึ่งที่เพื่อนสนิทชอบพูดให้ฟังนั่นคือ...
“ไม่บ่นสักคำ เดี๋ยวนี้เริ่มสนใจเรื่องอื่นนอกจากเรื่องงานแล้วด้วย”
“มึงไม่ลองกลับไปคุยกับพี่เขาดีๆ
ดูวะ” ยิ้มเสนอทางเลือก ก่อนหน้าเพื่อนเขามีปัญหาจุกจิกหัวใจหลายอย่างจนพังกันเป็นแถบๆ
แต่ตอนนี้ต่างคนต่างมีความรักลงตัว
เหลือแต่ไอ้นับนี่แหละที่ไม่รู้ว่าจะทำยังไงกับรักที่ยังไม่ลืม “กูว่าเขาก็รักมึงอยู่”
“กูก็คิดแบบนั้น
มึงกลับไปอยู่ใกล้เขาไม่เท่าไหร่ แต่เขาเริ่มสนใจเรื่องอื่นนอกจากงานแล้ว
มึงไม่คิดว่าพี่เข็มจะยอมปรับตัวเองบ้างหรือไง” ครามเสริมขึ้นมา
ตอนเขามีปัญหากับพู่กันต้องยอมรับว่าส่วนหนึ่งเกิดขึ้นเพราะนับและจบลงได้เพราะมันเช่นกัน
เรียกว่าเป็นเพื่อนทุกช่วงจังหวะของชีวิต เขาสมหวังแล้วก็อยากให้มันปรับความเข้าใจกับพี่เข็มสักที
“กูว่าเขายังรักมึง”
“สำหรับกูคำว่ารักกันอยู่มันเป็นแค่ส่วนหนึ่งเท่านั้นแหละ
มันมีหลายอย่างที่ทำให้ไปต่อกันไม่ได้ ก่อนจะเลิกกัน
มึงคิดว่าพวกกูไม่จูนหากันเหรอ”
“…”
“พยายามจนมันไม่ได้แล้วอะ”
“…”
“ทำได้อย่างเดียวคือเลิกกัน”
นับเงินอธิบายด้วยถ้อยเสียงเรียบง่าย
ไม่ได้สั่นไหวหรือรู้สึกอยากร้องไห้เมื่อนึกย้อนไปถึงเหตุการณ์ก่อนเลิกกับเข็มทิศ
มันผ่านมานานแล้วแต่ความรู้สึกทุกอย่างยังตรึงอยู่ในความทรงจำจนเหมือนชินชา
เขาคิดเปลี่ยนหัวข้อสนทนา
ไม่อยากให้บรรยากาศบนโต๊ะเสียเพราะเรื่องของหัวใจอันสับสนของเขา
ทว่าโทรศัพท์ที่วางคว่ำหน้าไว้ข้างฝ่ามือกลับสั่นขึ้นมาเสียก่อน
“ของแรงจริงๆ ว่ะคนนี้”
ยิ้มพูดติดหัวเราะตอนเจ้าของโทรศัพท์หงายหน้าขึ้นมาแล้วผู้โทรเข้าคืออีโมจิหัวใจสีดำ
“ไปรับดิ”
“เออ”
นับเงินพรูลมหายใจแล้วคว้าโทรศัพท์มาถือ
ลุกขึ้นยืนแล้วเดินหลบมาคุยมุมอื่นเพราะไม่อยากให้เพื่อนได้ยิน
แน่นอนว่าไม่มีใครอ้าปากแซวอะไรต่อเพราะรู้ดีว่าหากทำอย่างนั้นเขาจะกดตัดสายทันที
(อยู่ไหน)
“ร้านน้องพู่” เขาขานตอบพลางยกแขนข้างหนึ่งขึ้นกอดอก
ปลายเท้าเตะฝุ่นไปมาระหว่างรอคำพูดจากปลายสาย
(กลับบ้านเมื่อไหร่)
“ไม่แน่ใจ เธอมีอะไร”
นับเงินถามด้วยความไม่เข้าใจ ช่างน่าแปลกที่อีกฝ่ายโทรหาเขาเพราะเข็มทิศไม่น่าจะว่างโทรหาแม้เป็นวันหยุด
ปกติแล้วคนส่วนมากจะใช้เวลาพักผ่อนอยู่บ้าน ออกไปหาของกินอร่อยๆ
หรือทำกิจกรรมที่ตนเองสนใจแต่สำหรับคนปลายทางน่ะหรือ...
แหล่งพักผ่อนคือห้องทำงานในบริษัท
(สโนว์โกลบที่เคยให้
เธอซื้อมาจากไหน)
“สั่งทำมา” ลูกแก้วหิมะอันนั้นเป็นของที่นับเงินตั้งใจสั่งแบบพิเศษให้อีกฝ่าย
เขาเลือกของตกแต่งด้านในด้วยตนเองเพื่อเป็นของขวัญวันครบรอบชิ้นหนึ่ง “เธอจะซื้อให้ใคร”
(ไม่ได้จะซื้อให้ใคร
เบสฝากให้ถาม)
“เดี๋ยวนับส่งร้านให้”
เขาลอบเลียริมฝีปากแล้วเผลอหัวใจพองโตขึ้นมาเสียดื้อๆ ตอนรู้ว่าอีกฝ่ายไม่ได้คิดซื้อเป็นของขวัญพิเศษให้กับคนอื่น
“ให้พี่เบสไปดูเอานะ”
(ครับ)
ปลายทางเงียบไปครู่หนึ่งจนนับเงินคิดว่าบทสนทนาคงจบลงเพียงเท่านั้นเพราะธุระของเข็มทิศเสร็จสิ้นแล้ว
แต่เปล่า... (เธอ)
“อะไร”
(รีบกลับบ้าน)
“ทำไมต้องรีบ”
(พี่รอกินข้าว)
“…”
(อยู่บ้านเธอ)
“เธอไปบ้านนับได้ยังไง”
เรียวคิ้วขมวดเข้าหากันมุ่น
นับเงินยกมือข้อมือขึ้นดูนาฬิกาและพบว่าเป็นเวลาสี่โมง
ใครจะคิดเล่าว่าอีกฝ่ายจะไปอยู่บ้านเขา ทั้งที่ควรจะอยู่บริษัทมากกว่า “เธอได้ยินไหมเนี่ย”
(กลับมาบ้านสิ
เธอจะได้รู้)
“นับไม่กลับถ้าเธอไม่บอก”
นับเงินยื่นคำขาด
สงครามประสาทก่อตัวขึ้นแล้วเพราะเขาจะไม่ยอมและคิดว่าตนเองต้องเป็นฝ่ายชนะเกมนี้
ทว่าเสียงหัวเราะของปลายทางทำให้เขาเม้มปากเข้าหากันแน่น
(เธอก็รู้ว่าพี่จะไม่บอก)
“เธอก็รู้ว่านับจะไม่กลับ”
เขายอกย้อน อย่างไรหนนี้ก็จะไม่ยอมเด็ดขาด “เธออย่าเอาแต่ใจ
บอกมา ไม่งั้นนับไม่กลับจริงๆ”
(ถ้าพี่บอกว่าอยากเจอเธอ)
“…”
(เธอจะกลับไหม)
✧
นับเงินขับรถกลับบ้านด้วยความจำยอม
เขาไม่ได้อยากเจอหรอกเพียงแต่ข้องใจว่าเข็มทิศกำลังเล่นตลกอะไรกันแน่
หลังจากจอดรถเรียบร้อยแล้วร่างสูงโปร่งเลยรีบเดินจ้ำเข้าไปภายในบ้าน
แน่ชัดว่าอีกฝ่ายไม่ได้โกหกเพราะเห็นรถจอดอยู่ ลมหายใจร้อนผ่อนออกเล็กน้อย
เดินผ่านห้องรับแขกไปจนถึงห้องครัวด้วยความรวดเร็ว
“แม่” เขาเรียกมารดาเสียงขุ่นซึ่งเธอกำลังจัดวางอาหารบนโต๊ะ
โดยมีเข็มทิศยืนช่วยอยู่ข้างๆ เสี้ยวนาทีเห็นรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ปรากฏมุมปากของอีกฝ่าย
นับเงินกรอกตาไม่สบตาอารมณ์ก่อนเปลี่ยนสีหน้าฉับไวเมื่อแม่หันมาพูดคุยด้วย
“น้องนับ
มากินข้าวกันค่ะ” คำสั่งส่งผ่านน้ำเสียงมาเบาๆ
ไม่เปิดโอกาสให้ลูกชายได้โต้แย้ง “ประมาณหนึ่งทุ่ม แม่จะออกไปข้างนอกนะ
มีนัดตัดชุดกับคุณผกา วันนี้อาจจะกลับดึก”
“แล้วทำไมพี่เข็มถึงต้องมากินข้าวที่นี่”
คำถามของเขาทำให้คนเป็นแม่หยุดชะงัก สายตาดุมองลูกชายอย่างคาดโทษ “แค่ถามเฉยๆ”
“แม่ชวนพี่เข็มเองค่ะ” เธอขานตอบเสียงเรียบ เลิกให้ความสนใจลูกชายแล้วหันไปมองแขกคนสำคัญ “กว่าจะกินข้าวเสร็จคงเย็นพอดี ถ้าพี่เข็มไม่ว่าอะไรนอนค้างที่นี่ก็ได้นะคะ”
“พี่เข็มเขาไม่ว่างหรอกครับ
แม่อย่าไปกวนสิ” นับเงินรีบท้วงขณะหย่อนกายลงนั่งเก้าอี้ประจำ
ตั้งแต่เข้ามาเข็มทิศยังไม่เอ่ยปากพูดอะไรสักคำ
ทว่าเห็นมารดาส่งสายตาประกายวิบวับให้คนเป็นพี่แล้วรู้สึกประหม่าในใจ เขาคาดเดาไว้แล้วว่าอีกฝ่ายคงไม่อยู่ค้างคืนที่นี่แน่
“ผมจะไม่รบกวนใช่ไหมครับ”
เข็มทิศไม่ได้ฟังคำพูดของเด็กหนุ่มแต่เลือกให้ความสนใจกับคุณแม่
ริมฝีปากคลี่ยิ้มเล็กน้อยยามเห็นคนตรงข้ามหรี่ตาจดจ้องเขาอย่างเอาเรื่อง
“รบกวนอะไรกันเล่าคะ
ดีเสียอีกจะได้มีคนอยู่เป็นเพื่อนน้อง อีกอย่างพรุ่งนี้แม่จะได้ฝากน้องนับไปทำงานด้วยเลย
...พี่เข็มเถอะค่ะ สะดวกใช่ไหมถ้าจะนอนค้าง”
“สะดวกครับ”
นับเงินเผลอขบริมฝีปากเมื่อได้ยินคำตอบของอีกฝ่าย
ทว่ายังคงตีหน้านิ่งไม่แสดงอาการไม่พอใจเพราะไม่อยากโดนแม่ดุซ้ำสอง ตอนแม่ออกไปธุระแล้วค่อยไล่อีกฝ่ายกลับ
หากมารดาถามว่าเกิดอะไรขึ้นก็อ้างว่าพี่เข็มมีงานด่วนเลยขอตัวกลับก่อน แต่ไอ้เรื่องยากเย็นน่ะ...
มันอยู่ตรงที่เข็มทิศจะยอมกลับไหมต่างหาก
มื้ออาหารเย็นผ่านไปเรียบง่าย
บทสนทนาระหว่างแม่กับพี่เข็มเกิดขึ้นเป็นระยะจนกระทั่งอีกฝ่ายยืนรอส่งมารดาของเขาหน้าประตูบ้าน
หลังจากนั้นนับเงินคิดว่าทุกอย่างจะง่ายดาย แต่ไม่เลย ตั้งแต่แม่ออกไปทำธุระก็ผ่านมาเกือบหนึ่งชั่วโมงแล้ว
ทว่าคนเป็นพี่ยังคงนั่งอยู่ในห้องรับแขกเหมือนเป็นบ้านของตนเอง
ถ้าเป็นเมื่อก่อนเขาไม่เถียงเลยเพราะไปมาหาสู่กันบ่อย
ครอบครัวของเราทั้งสองต่างต้อนรับขับสู้เป็นอย่างดีเวลาเราไปหากัน
ทว่าตอนนี้มันเปลี่ยนไปหมดแล้วจะมาทำตัวเหมือนเดิมได้อย่างไร
“สรุปเธอจะไม่กลับบ้านใช่ไหม”
นับเงินเอ่ยถามหลังนั่งอยู่ด้วยกันมานานสองนานจนหมดความอดทน พอเห็นอีกฝ่ายยกแขนขึ้นเท้าคางแล้วเบนใบหน้ามามองจึงผ่อนลมหายใจเสียงดัง
“ลำบากใจเหรอครับ”
เขาถามกลับทั้งที่รู้คำตอบอยู่แล้ว
ตอนตัดสินใจว่าจะนอนค้างที่นี่ก็รู้อยู่แก่ใจว่านับต้องขุ่นเคือง
“เธอไม่น่าถามคำนี้เลย”
นับเบะปากก่อนลุกขึ้นยืน อย่างไรวันนี้คงไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง
เขาทอดสายตามองเข็มทิศด้วยสีหน้าหงุดหงิด
สังเกตมาครู่หนึ่งแล้วว่าอีกฝ่ายเริ่มนั่งไม่สบายตัว อาจเพราะพนักโซฟามันรองรับแผ่นหลังได้ไม่ดีเท่าที่ควร
“เธอไปอาบน้ำไป”
“…”
“ห้องนับ” จำต้องพูดต่อเมื่อคนอายุมากกว่ามองหน้าเชิงสงสัย
ตอนคบกันอยู่มันก็มีอยู่แค่ห้องเดียวที่เข็มทิศจะเข้าไปนอนพัก
อีกอย่างบ้านเขาไม่มีห้องนอนแขกเหลือหรอก แม่เล่นเอาของเข้าไปเก็บจนรกไปหมดแล้วยังไม่เก็บกวาด
“เธออย่าลีลา อาบน้ำจะได้นอน”
“ครับ” เข็มทิศหยัดกายขึ้นจากโซฟา บิดหัวไหล่สองสามครั้งก่อนเดินตามเจ้าบ้านขึ้นมาบนห้อง
เขามีเวลาพักผ่อนเวลาไม่ได้อยู่บ้านของตนเองเพราะไม่มีอุปกรณ์สำหรับทำงาน ชายหนุ่มเข้ามาภายในห้องนอนของน้องและเพิ่งได้รู้ว่าตลอดเวลาที่ผ่านมานับเงินไม่ได้เคลื่อนย้ายหรือเปลี่ยนแปลงอะไร
ทุกอย่างยังคงวางอยู่มุมเดิม
รวมไปถึงกรอบรูปคู่ของเรา
“เดี๋ยวเอาชุดให้”
“ยังมีอยู่เหรอ”
ชายหนุ่มเลือกตอบบทสนทนาแทนการทักเรื่องกรอบรูปเพราะกลัวว่าหลังจากเข้าไปอาบน้ำ
ออกมาจะไม่ได้เห็นมันอีกแล้ว
“แม่ไม่ให้ทิ้ง”
นับเงินเอ่ยตอบเสียงเย็นชา แน่นอนว่าโกหกทั้งนั้นเพราะแม่ไม่ได้เข้ามารู้เห็นด้วยว่ามีอะไรของเข็มทิศหลงเหลืออยู่ในห้องของเขาบ้าง
มันเป็นชุดที่ซื้อมาเก็บเผื่อเวลาอีกฝ่ายมานอนค้างด้วยกะทันหัน ไม่ได้คิดเลยว่าจะต้องหยิบออกมาใช้อีกครั้ง
“ขอบคุณครับ”
“อือ” บทสนทนากระอักกระอ่วน
นับเงินเปิดตู้เสื้อผ้าของตนรื้อเอาชุดนอนไซซ์ของเข็มทิศออกมาจากด้านในสุดซึ่งมันถูกพับเอาไว้อย่างเรียบร้อย
รวมถึงหยิบแปรงสีฟันอันใหม่ออกมาให้ด้วยและแทนที่เขาจะเดินกลับไปยื่นอีกฝ่าย
แต่ดันเดินผ่านเข้ามาภายในห้องน้ำแล้ววางลงด้วยความเคยชิน
พอนึกได้ว่าไม่ควรจึงจิ๊ปากไม่สบอารมณ์
นับเงินเดินออกมาจากห้องน้ำโดยไม่พูดอะไร
เช่นเดียวกันกับเข็มทิศที่ไม่ได้ทักทายเรื่องที่เขาเผลอไป
ต่างคนต่างเดินสวนกันหน้าห้องน้ำเงียบๆ กระทั่งประตูปิดลงและได้ยินเสียงหยาดน้ำกระทบพื้น
เจ้าของห้องจึงยกมือลูบใบหน้าคลายความประหม่า ทั้งที่ท่องไว้แล้วว่าห้ามเผลอเด็ดขาด
ทว่าความเคยชินมันน่ากลัวเกินไป
แม้จะผ่านมานานแล้วแต่เมื่อได้ใกล้ชิดอีกครั้งดันกระทำอย่างเดิมง่ายๆ เขาถอนหายใจเฮือกใหญ่แล้วล้มตัวลงนอนบนเตียง
จังหวะนั้นสายตาจึงหยุดอยู่ตรงกรอบรูปข้างเตียง ร่างโปร่งผุดลุกขึ้นแล้วคว้ามันอย่างตระหนกก่อนเอาไปยัดลงลิ้นชัก
หัวใจดวงน้อยเต้นตึกตัก คาดว่าเข็มทิศคงเห็นแล้วแต่ไม่ทักเท่ากับว่าเขาเสียฟอร์มไปหนึ่งแต้ม
เขาปล่อยความคิดเหล่านั้นให้ไหลผ่านเข้ามาแล้วผ่านออกไป
ไม่นานนักเข็มทิศเดินออกมาจากห้องน้ำพร้อมสวมชุดนอนเรียบร้อยทว่ายังไม่ได้ติดกระดุมเสื้อเลยสักเม็ด
นับเงินจดสายตาจับจ้องเจ้าของร่างสูงเนิ่นนานจนอีกฝ่ายรู้ตัว
“ข้องใจอะไร”
“ทำไมเธอไม่ติดกระดุม”
“จะมาติดข้างนอก
เธอจะได้รีบเข้าไปอาบน้ำ” เข็มทิศว่าพลางหยิบผ้าขนหนูผืนเล็กขึ้นมาเช็ดศีรษะเปียกชื้นของตน
แค่ไม่อยากให้น้องรอนานจึงรีบสวมชิ้นหลักๆ อย่างเดียว
“ถ้าเธอง่วงก็ปิดไฟนอนไปเลย”
นับงินพูดแค่นั้นก่อนรีบเดินเข้าห้องน้ำไป
ชายหนุ่มหลุดหัวเราะเมื่อเกิดความรู้สึกเอ็นดูเหมือนเมื่อก่อน
เวลานับเงินต้องการจะหนีเขาสามารถมองออกได้อย่างชัดเจน เข็มทิศทิ้งกายลงนั่งบนเตียงหันมองกรอบรูปคู่แล้วส่ายหน้าเล็กน้อยเมื่อไม่เห็นมันอีกแล้ว
ทั้งที่ไม่ได้อ้าปากทักเลยสักคำ แต่อีกฝ่ายคงรู้แล้วเก็บแอบไปไว้ไหนสักแห่ง
เขาหยิบหมอนบนเตียงมากองกับพื้นใบหนึ่ง
ไร้ซึ่งผ้าปูรองนอนรวมถึงผ้าห่ม
คิดเอาไว้ว่าหากนับออกมาค่อยถามว่ามีอะไรใช้รองนอนไหม แค่นอนห้องเดียวกันก็ยั่วประสาทน้องได้มากพอควรแล้ว
ขืนนอนเตียงเดียวกันคืนนี้อีกฝ่ายคงนอนไม่หลับ
เข็มทิศเอนแผ่นหลังพิงเตียง
เช็ดผมพลางกดโทรศัพท์ตอบแชตเลขาฯ ส่วนตัว เขาไล่เช็กตารางงานคร่าวๆ ของวันพรุ่งนี้
หากตอนนี้อยู่บ้านคงยังอยู่บนโต๊ะทำงานกว่าจะได้ล้มตัวลงนอนก็ปาไปตีหนึ่งตีสอง
ช่วงไหนงานเยอะหน่อยก็เกือบสว่าง บางวันเหลือเวลานอนไม่ถึงสามชั่วโมง
ไม่มีใครบังคับให้เขาทำงานหามรุ่งหามค่ำอย่างนี้
แต่ส่วนหนึ่งดันเป็นเพราะตนเองต้องการความสมบูรณ์ทุกกระเบียดนิ้ว
เขาบ้างานจึงทำให้ทะเลาะกับนับเงินอยู่บ่อยครั้ง ชายหนุ่มสะบัดศีรษะไล่ความคิดเมื่อเห็นเจ้าของห้องเดินออกมาจากห้องน้ำแล้ว
น้องขมวดคิ้วยุ่งขณะเอาผ้าไปแขวนบนราว
“เธอมีผ้าห่มไหม”
“ทำไมถึงลงไปนอนตรงนั้น”
นับเงินถามอย่างเรียบเฉย ทว่าแฝงเอาไว้ด้วยความเป็นห่วง
“ไม่อยากให้เธออึดอัด”
“…”
“ตกลงว่าเธอมีให้พี่ไหม”
“ขึ้นไปนอนบนเตียง”
เจ้าของห้องเอ่ยสั่งเสียงเรียบก่อนเดินไปหน้าโต๊ะเครื่องแป้ง หยิบกระปุกครีมขึ้นมาป้ายบนผิว
เขาทาครีมอยู่พักหนึ่งจนเสร็จแต่พอหันกลับไปมองแล้วดันเกิดความรู้สึกหงุดหงิดเพราะเข็มทิศยังคงนั่งอยู่บนพื้นไม่ขยับไหว
“อย่านอนบนพื้น”
“ทำไม”
“เธอนอนไม่ไหวหรอก”
“ผมพี่ยังไม่แห้ง”
นับเงินเม้มปากเมื่ออีกฝ่ายขานตอบคนละเรื่อง
แต่สามารถเข้าใจได้ว่าเข็มทิศรู้แล้วว่าต้องย้ายขึ้นมานอนบนเตียง พื้นแข็งอย่างนั้นต่อให้มีผ้าปูรองนอนหนาขนาดไหนก็ไม่ได้ทำให้นอนสบายตัวหรอก
ร่างโปร่งเดินไปนั่งบนเตียง
ท่าทางเงอะงะเวลาไถโทรศัพท์และเช็ดผมไปพร้อมกันแอบทำให้เขาไม่พอใจ
มองเข็มทิศเช็ดผมอย่างลังเลอยู่ครู่หนึ่ง กระทั่งทนไม่ไหวจึงเอื้อมมือไปแย่งผ้าขนหนูมาถือไว้
“จะคุยงานก็คุยไป”
เขาเผลอกลั้นลมหายใจเมื่ออีกฝ่ายพยักหน้าลงโดยไม่หันมามองกัน
ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายกำลังทำอะไรอยู่แต่คาดว่าคงไม่พ้นเรื่องงาน
ฝ่ามือเล็กไล่จับช่อผมทีละส่วน
ละเมียดเช็ดแผ่วเบาเพื่อไม่ให้ศีรษะของคนตรงหน้าสั่นคลอนมากนัก “ผมเธอยาวมันถึงแห้งช้า”
“เดี๋ยวว่างแล้วค่อยตัด”
“เดี๋ยวว่างคือเมื่อไหร่
ปลายปีล่ะสิ” ถ้อยเสียงแขวะทำให้อีกฝ่ายหัวเราะในลำคอจากนั้นความเงียบเข้าปกคลุมอีกครั้ง
ได้ยินเพียงเสียงลมหายใจสลับกับเสียงผ้าขนหนูแนบเส้นผม เขาเช็ดเรือนผมของเข็มทิศจนแห้งสนิทก่อนวางผ้าขนหนูคืนไว้บนหัวไหล่
“ปิดไฟให้ด้วยนะ”
เข็มทิศพยักหน้ารับ
หยัดกายขึ้นเต็มความสูงแล้วเอาผ้าขนหนูไปแขวนให้เรียบร้อย ปิดสวิตช์ไฟดวงใหญ่แล้วเดินกลับมาดับโคมไฟสลัวบนโต๊ะข้างเตียง
จังหวะกำลังจะทิ้งตัวลงนอนนับเงินก็เอื้อมมาจับแขนเอาไว้แน่นและเขารู้ดีว่าอีกฝ่ายต้องการอะไร
“ไม่มีอะไรหรอก”
ชายหนุ่มขานเสียงเบาแล้วเอนกายลงนอน
นับเงินไม่ชอบให้ห้องมืดสนิทอย่างน้อยต้องเปิดโคมไฟข้างเตียงพอสลัว ผิดกันกับเขาที่ไม่ชอบให้มีแสงอะไรเล็ดลอดเข้ามาและเขารู้ว่าน้องไม่วางใจจึงพูดให้รับรู้
“พี่อยู่”
“แต่มัน...”
“พี่ไม่เคยหลับก่อนเธอ”
จำต้องย้ำให้มั่นใจ เขาเป็นห่วงน้องเสมอเวลานอนด้วยกันและเข็มทิศเป็นคนปิดไฟทุกครั้งจะให้ทิ้งตัวหลับโดยไม่สนใจอีกฝ่ายได้อย่างไร
และคำพูดหนนี้คงทำให้นับเงินเบาใจจึงยอมปล่อยมือจากแขนของเขาแล้วล้มตัวลงนอนอีกครั้ง
“นอนเถอะครับ”
“อือ”
ท่ามกลางความมืดช่างเงียบสงบจนได้ยินเสียงแผ่วเบาของลมหายใจ
เข็มทิศนอนมองเพดานคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อย ความใกล้ชิดทำให้ได้กลิ่นน้ำหอมเจือจางซึ่งไม่แน่ใจว่ามาจากตนเองหรือคนข้างกายกันแน่
เขาคิดว่าน้องคงหลับแล้วแต่สักพักอีกฝ่ายขยับร่างกายเลยต้องท้วงถาม
“นอนไม่หลับหรือยังไง”
“นอนไม่หลับ”
“เพราะ?”
“ไม่รู้เหมือนกัน”
นับเงินขานราวกระซิบ
ครู่เดียวลมหายใจของเขาสะดุดเมื่อคนข้างกายพลิกตัวมาหากัน
เสี้ยวนาทีสัมผัสอบอุ่นจากฝ่ามือใหญ่วางลงบนเรือนผม “ทำอะไร”
“ลูบผมให้เธอ”
“นับไม่ใช่เด็กแล้ว”
“ไม่เกี่ยวว่าเด็กหรือไม่เด็ก”
ฝ่ามือใหญ่ยังคงลูบไล้เส้นผมเชื่องช้า
นับเงินไม่ได้เอนศีรษะหลบหนีนั่นแปลความหมายได้ว่าเขาสามารถลูบผมต่อไปได้เรื่อยๆ “หลับตาไว้”
“เธอนอนเถอะ”
“พี่รอเธอหลับ”
“ถ้านับไม่หลับ
เธอจะลูบอยู่แบบนี้เหรอ”
“อืม”
สิ้นเสียงตอบรับนับเงินจึงกลั้นใจพลิกตัวไปหาอีกฝ่ายบ้างเป็นการบอกให้หยุดการกระทำ
การลูบผมให้เขาจนกว่าจะหลับนั่นไม่ใช่ทางเลือกที่ดีเลยเพราะเข็มทิศต้องเมื่อยมือแน่ๆ
“ไม่ต้องลูบผมให้แล้ว”
เขาจับมือของเข็มทิศออกจากศีรษะ มันมืดจึงไม่เห็นว่าอีกฝ่ายกำลังทำหน้าแบบไหน
ทว่าสองข้างแก้มของนับเงินตอนนี้เห่อร้อนไปหมดแล้ว ไม่เคยคิดว่าจะได้กลับมานอนข้างกันกับคนที่ยังรักอย่างนี้เลย
“...เธอ”
เข็มทิศไม่ได้ขานตอบอะไร
ฝ่ามือใหญ่เลื่อนไล้วางแนบบนแก้มนิ่มก่อนลากปลายนิ้วโป้งเชื่องช้า ซึ่งเป็นท่าทางที่เขาทำอยู่บ่อยครั้งสมัยยังคบกันอยู่และเป็นเหมือนยานอนหลับชั้นดีให้กับนับเงิน
“หลับตา”
“เธอไม่ต้องทำ...”
“นอนได้แล้ว”
“ก็ได้” เพราะไม่อยากเถียงเลยตอบตกลงโดยอัตโนมัติ
เขาข่มตานอนและปฏิเสธไม่ได้เลยว่าสัมผัสจากปลายนิ้วบางเบาเป็นยากล่อมให้เขานอนหลับ
ปกติแล้วเข็มทิศลูบอยู่ไม่กี่นาทีหรอกพอแน่ใจว่าเขาหลับแล้วถึงจะละมือลง ทว่าหนนี้ไม่เป็นอย่างนั้นเพราะนับเงินไม่มีความรู้สึกง่วงเลยสักนิด
ต่อให้ฝืนมากมายสักเท่าไหร่แต่หลับไม่ลงแถมหัวใจยังสั่นไหวอย่างอธิบายไม่ได้อีก
สัมผัสชวนเคลิบเคลิ้มจางหายไปทีละน้อย
นับเงินลืมตาขึ้นมาภายใต้ความมืดอีกครั้ง ได้ยินเสียงเข็มทิศเรียกชื่อแผ่วเบาเหมือนเช็กดูว่าหลับไปหรือยัง
แต่มีหรือเขาจะตอบรับให้รู้ว่ายังตื่นอยู่ ทว่าเสี้ยวนาทีก้อนเนื้อภายในอกกระตุกสั่นเป็นจังหวะเมื่อลมหายใจร้อนของอีกฝ่ายรินรดอยู่ข้างแก้ม
...พร้อมกับเสียงทุ้มเอ่ยหยอกใกล้ชิดใบหู
“ต้อง
Goodnight kiss ใช่ไหม”
“…”
“เธอถึงจะยอมนอนสักที”
tbc.
ฮึ่ม นั่นแหละ 55555555555 ไม่มีอะไรจะพูด แง่ง
คสพ.ไม่ได้ซับซ้อนแต่มันไม่ได้ มันแบบ ฮือ พยายามจนมันไม่ได้แล้วอะ T___T
ความคิดเห็น