ตอนที่ 1 : บททำ
แสงที่ส่องลอดผ่านผ้าม่านขาวแยงตาคนที่นอนอยู่ต้องตื่นขึ้นมาอย่างไม่ตั้งใจเพราะถูกรบกวน มือหนาคว้าไปหยิบนาฬิกาที่หัวเตียงขึ้นมาดูบอกเวลาเจ็ดโมงเช้า
เช้าชิบ!
ลม หรือ วาโย อัศวพาณิชย์ ผู้กำกับหนุ่มไฟแรงบอกกับตัวเอง แล้วหันนอนเท้าแขนมองคนที่อยู่ข้างกายกำลังนอนหลับสนิท เขามองดวงหน้าใสของคนที่ไม่เคยคิดว่าชาตินี้จะอยู่ร่วมชายคาเดียวกันได้เลย ดวงตาเรียวมองดูหน้าอกที่กระเพื่อมขึ้นลงเป็นจังหวะการหายใจที่ปกติของคนรัก
“หลับสบายเลยนะครับน้องฟ้า มอร์นิ้งคิสนะครับ”
ลมพูดพร้อมกับก้มลงจุมพิตที่หน้าผากมนของคนที่หลับสนิท แล้วรีบลุกออกไปจัดการกับตัวเองวันนี้เขามีงานสำคัญที่สุดคือการแคสนักแสดงที่จะมารับบทในซีรีส์เรื่องใหม่ของตัวเองคือ “ลมห่มฟ้า”ซีรีส์วายเรื่องแรกที่ลงมือกำกับเป็นเรื่องราวที่เล่าถึงความรักที่โคตรจะโรแมนติกหรือ (วะ) สร้างจากเรื่องจริงเมื่อสามปีก่อนของ….วาโย อัศวพาณิชย์ และ ห่มฟ้า นภนท์ ยุทธนากร
3ปีก่อน
ใครว่าการเป็นไอดอลมันง่ายผมแม่งอยากจะแย้งขาดใจ จริงอยู่ที่อาชีพนี้ทำให้คนมีชื่อเสียง มีเงิน มีในสิ่งที่หลายๆคนต้องการ งานง่ายรายได้ดี แค่ทำงานไม่กี่นาทีก็รับค่าตัวเหยียบเลขห้าถึงหลักแล้วแต่ความนิยม แต่กว่าจะถึงจุดนั้นเราทุกคนที่ก้าวเข้าสู่สายอาชีพนี้มักถูกสอนให้อยู่ในกรอบของคนอื่นที่สร้างไว้ เพื่อให้ได้ทุกอย่างที่ต้องการแลกกับอิสรภาพเป็นนกน้อยในกรงทองให้คนชม มันไม่ง่ายเลยซักนิดแต่อาชีพนี้ก็ไม่จีรังยั่งยืน ชีวิตขึ้นลงเหมือนเกรียวคลื่นยามขึ้นก็ดีชิบหายมีงาน มีเงิน มีคนชอบ มีชื่อเสียง แต่ยามลงก็แบบชิบหายเหมือนกัน หายแบบหายไปเลย
ความรักจากปากคนที่บอกว่าชอบผมชื่นชมในวันที่เราดวงดี มันก็แค่คำหลอกลวงทั้งเพพวกแฟนคลับก็ไม่ต่างจากผู้เข้าชมพิพิธภัณฑ์ ส่วนไอดอลอย่างผมมันก้แค่วัตถุที่เอาไว้ตั้งโชว์ในตู้กระจกพอเก่าแล้วคนก็เลิกสนใจ คุณคิดว่าที่ผมพูดมาถูกหรือเปล่าละ แต่ผมว่ามันคือความจริงที่หนีไม่พ้นซักวันหนึ่งคนทำอาชีพอย่างเราต้องได้เจอ เช่นเดียวกับตอนนี้
ผมโยนไอแพดลงบนโซฟาพลางถอนหายใจออกมาอย่างเหนื่อยหน่าย สำนักข่าวหลายสำนักพาดหัวข่าวเรื่องที่ผมไปทำรุ่นน้องในค่ายท้อง ซึ่งผมก็งงมากถึงแม้ว่าผมจะเป็นคนชอบกินแต่ผมก็เลือกนะ และสาบานได้ว่าถึงผมจะร้ายแต่ก็ไม่หยาบช้า มีผู้หญิงมากมายมาเสนอถึงที่แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่ใช่ว่าผมจะสนใจทั้งหมด เพราะผมมันคนเลือกกิน
Rrrrr
เสียงโทรศัพท์มือถือดังขึ้น ผมอ่านชื่อหน้าจอก่อนจะกดรับ
“ว่าไงพี่เก่ง” เสียงทุ้มกรอกสายลงไป สีหน้ามีแววเคร่งเครียดนิดหน่อย
[ลมท่านประธานเรียกพบด่วน รีบเตรียมตัวเลยนะเดี๋ยวพี่เข้าไปรับ]
“อือ” ผมตอบแค่นั้นแล้วกดตัดสายทิ้งไป
พี่เก่งเป็นผู้จัดการส่วนตัวของผมเองครับอยู่ดูแลผมมาตั้งแต่ผมเดบิวต์เมื่อหกปีก่อน เป็นคนที่ผมเคารพมากคนหนึ่ง เพราะไม่ว่าจะเกิดอะไรที่ไม่ดีขึ้นกับผมพี่เก่งจะเป็นคนที่คอยยื่นมือมาช่วยเหลือทุกครั้งในขณะที่ใครหลายคนต่างทอดทิ้งผมไว้ข้างหลัง ชีวิตของคนในวงการเราก็แบบนี้ละครับผมชินแล้วละ
สามชั่วโมงต่อมา…
“บอกมาเดี๋ยวนี้ลมว่าข่าวนี้มันมาได้ยังไง ไปทำอะไรมา” เสียงเข้มของพี่ภู เจ้าของค่ายของผมเองดังขึ้นพี่ภูถามผมพร้อมกับฟาดหนังสือพิมพ์รายวันลงบนโต๊ะ เฉียดหน้าผมไปเล็กน้อยเท่านั้น
“ผมไม่ได้ทำ พูดแบบนี้พี่เชื่อผมไหมละ” ผมตอบเสียงเรียบ
“ไม่ได้ทำแล้วมันจะมีข่าวได้ไงวะ รู้ไหมว่ากูจ่ายให้มึงไปเท่าไหร่แล้ว”
“ไม่ได้ทำก็คือไม่ได้ทำดิวะ ทำไมต้องให้ยอมรับในสิ่งที่ไม่ได้ทำด้วย” ผมสวนกลับอย่างหงุดหงิด
“นี่มึงกล้าขึ้นเสียงกับกูหรอไอ้ลม”
“เออ จะทำไม”
“ไอ้ลม ได้ มึงคิดว่ามึงเก่งมากใช่ไหม งั้นต่อไปนี้กูขอพักกิจกรรมมึงทั้งหมดจนกว่าเรื่องจะเงียบ เก่งมึงแคนเซิลงานมันให้หมดเลยนะ ส่วนมึงไม่ต้องกลับมาให้กูเห็นหน้าอีก” พี่เก่งว่า
“เออ เสร็จแล้วใช่ไหม”
ผมไม่รอให้เขาตอบว่าจบก็รีบเดินออกมาพักงานหรอ? อยากพักก็พักไปดิวะใครแคร์กัน ทุกวันนี้แม่งมีแต่เรื่องประสาทแดกจากข้างนอกไม่พอ ยังมาเจอคนข้างในอีกไม่มีงานแล้วไงคิดว่าจะทำอย่างอื่นไม่ได้หรอวะ เดี๋ยวคอยดูต่อไปละกัน คิดแล้วแม่งอารมณ์เสียชิบหาย
“ลม” เสียงเรียกของพี่เก่งทำให้ผมหยุดเดิน
“ว่าไงพี่” ผมตอบเสียงอ่อนถึงแม้ว่าจะอารมณ์เสียถึงขีดสุดก็ตาม แต่ผมจะไม่ใช้อารมณ์กับคนที่ดีกับผมหรอกนะ ผมแยกแยะได้ว่าอะไรถูกผิด
“อย่าไปถือสาคุณภูเลยนะ ช่วงนี้ลมก็พักไปก่อนละกันถือว่าพักผ่อน อยากไปเที่ยวไหมละเดี๋ยวพี่จองตั๋วเครื่องบินให้ หรือจะไปหาพ่อแม่ที่จีนก็บอกพี่ได้นะ” พี่เก่งพูดพร้อมหยีหัวผมอย่างเอ็นดู
พี่เก่งเป็นรุ่นพี่ที่ผมสนิทมากคงเพราะเราห่างกันแค่หกปี ตอนนี้ผมอายุยี่สิบสามส่วนพี่เก่งยี่สิบเก้าปีเราเลยสนิทกันฉันท์พี่น้อง เพราะชีวิตของพี่เก่งกับผมไม่ต่างกันมากพี่เก่งเคยมีน้องชายถ้าเขายังอยู่ก็คงอายุเท่าผมเนี่ยแหละ ส่วนผมนะหรอ?มีพ่อแม่ก็เหมือนไม่มีเพราะพ่อแม่ผมท่านอยู่เมืองจีนซะส่วนใหญ่เพราะทำธุรกิจที่นั่น ถ้าไม่ติดว่าผมเป็นศิลปินอยู่เมืองไทยก็คงตามท่านทั้งสองกลับไปอยู่บ้านที่จีน เพราะคุณแม่ผมเป็นคนจีนส่วนคุณพ่อเป็นคนไทยมีเชื้อสายแขกขาว แต่ถึงจะเป็นอย่างนั้นผมก็ถอดแบบคุณแม่มาเกือบหมดด้วยหน้าตาพิมพ์นิยมแบบเกาหลี มากกว่าจะจีนตาตี่ทำให้ผมก้าวเข้าสู่วงการบันเทิงอย่างถาวร
“ไม่เอาอะ” ผมตอบ
“แล้วลมอยากทำอะไร”
“กลับไปเรียน ดรอปไว้มาปีหนึ่งละ ป๊าม๊าก็บ่นอยู่ว่าเมื่อไหร่จะจบ เพราะเพื่อนจบหมดแล้ว” ผมตอบ
“เออดี ทำตัวมีสาระแสดงว่าโตขึ้นแล้วนะลม”
“นี่พี่ด่าผมอยู่ปะเนี่ย ก็แค่อยากเอาใบปริญญามาให้ป๊าม๊า” ผมตอบ
ผมคิดแบบนี้จริงๆนะเพราะป๊าม๊าบ่นทุกครั้งที่โทรมา ผมรำคาญอะ
SEPU.
เพราะความไม่ชินเส้นทางทำให้คนที่นั่งอยู่ฝั่งคนขับบนรถหรูต้องวนหาอาคารเรียนเป็นว่าเล่น ผสมด้วยความหงุดหงิดจากสภาพการจราจรที่ทำให้สาย เลยไม่ทันระวัง!รถmercedes benz สีดำเงาเกือบพุ่งเข้าชนนักศึกษา ร่างสูงของ “ห่มฟ้า” หรือ “พี่ฟ้า” ชื่อของนายนภนท์ ยุทธนากร พี่ปีสี่คณะบริหารธุรกิจ เอกการตลาด พ่วงตำแหน่งประธานชมรมค่ายอาสา ต้องล้มลงไปนอนแช่อยู่กับพื้นเขาสำรวจตัวเองว่าไม่ได้เป็นอะไรมากจึงรีบลุกขึ้นยืน
“เฮ้ยเป็นไรเปล่าวะไอ้ฟ้า” นกเพื่อนคนสนิทเอ่ยถามรีบวิ่งเข้ามาหาพร้อมกับเมฆ
“เฮ้ยมึงขับรถยังไงวะ เกือบชนเพื่อนกูแล้วเนี่ย” เมฆว่าพร้อมเคาะกระจกรถ ด้วยความรำคาญเขาจึงลดกระจกลงใบหน้าหล่อเหลามองด้วยสีหน้าเรียบเฉยไม่มีความรู้สึกผิด ทำให้เมฆาถึงกับเดือดแทนเพื่อนสนิทแต่ห่มฟ้ากลับตบบ่าดึงสติเพื่อนตัวดีไว้ก่อน เขารู้ว่าไอ้เมฆเพื่อนตัวดีของเขามันเป็นยังไงถึงชื่อมันจะเบาฟังดูนุ่มนวล แต่ไอ้เนี่ยอารมณ์ร้อนอย่างกับไฟผิดกับไอ้นกที่เย็นเป็นน้ำ ส่วนตัวเขาหรอ หึ!แล้วแต่อารมณ์ คาดเดาไม่ได้
“ก็ใครใช้ให้พวกมึงเดินไม่ดูตาม้าตาเรือวะ นี่ไม่ใช่ทางม้าลาย รู้ว่ารถวิ่งยังเสือกวิ่งมาให้รถชน โง่ชิบ” ลมพูดเสียงเรียบแสยะยิ้มเยาะเย้ยที่มุมปากอย่างไม่แยแส
“เฮ้ยมึง มึงลงมาเดี๋ยวนี้เลย คิดว่าใหญ่มาจากไหนวะ” เมฆยังไม่หยุด
“พอไอ้เมฆอย่าไปเสียเวลากับคนไร้มารยาทเลยวะ” ห่มฟ้าว่าในขณะเดียวกันก็จ้องคนในรถอย่างไม่วางตา
“มึงว่าใครไร้มารยาทวะไอ้ตี๋” ลมถามกลับอย่างไม่พอใจ
“ว่ากูตี๋ไม่ดูหน้ามึงเลยนะไอ้จีน เนี่ยถนนในมอเขาห้ามขับรถเร็ว เลนก็มีแค่นี้วันนี้มึงโชคดีนะที่กูไม่เอาเรื่อง ไปพวกมึง” ห่มฟ้าแล้วหันไปหยิบกระเป๋าจากนกแล้วเดินนำไปพร้อมกับเพื่อนสนิทสองคน ลมมองอย่างไม่เข้าใจเพราะเมื่อกี้ทำท่าอย่างกับจะหาเรื่องให้ได้ จู่ๆก็ตัดบทไม่เอาเรื่อง
ประสาท!
จีนพ่อมึงดิไอ้ตี๋!
เขาก่นด่าในใจ ก็จะไม่ให้เรียกไอ้ตี๋ได้ยังไงในเมื่อมันผิวขาวออกจะขนาดนั้น แถมหน้าตาหรอก็ไม่ออกจีนมากแค่ตาตี่คิ้วเข้ม จมูกโด่ง ปากเล็กๆ โดยรวมก็ไม่ได้ดูขี่เหร่ แต่ช่างเถอะจะมานึกถึงหน้ามันทำไม
“อย่าให้กูเจอมึงอีกละกันไอ้ตี๋”
กว่าขับรถหาที่จอดใกล้คณะเจอก็ทำให้เลทไปเกือบสิบนาที ต้องโทษไอ้สามหน่อนั่นเลยทีเดียวถ้าไม่เสียเวลาทะเลาะกับมันผมก็คงไม่สาย นี่ก็ไม่รู้ว่าอาจารย์เข้าห้องเช็คชื่อหรือยัง ผมมองนาฬิกาข้อมือก่อนจะรีบวิ่งขึ้นตึกไปตามหาห้องเรียนอีกกว่าจะใช้เวลาถึงห้องเรียนก็เลทไปอีกห้านาที
และทันทีที่เปิดประตูห้องเข้าไป……
กรี๊ด !!!
นั่นแหละครับสิ่งที่เกิดขึ้นเสียงกรี๊ดของพวกผู้หญิงดังเข้ามาในโสตประสาท ก็อย่างว่าแหละผมมันคนติดสปอร์ตไลท์สว่างที่ไหนออร่าเกิดที่นั่น ผมเห็นมาจนชินแล้วละ
“เอาละเงียบๆ วาโย คุณมาสายนะ” เสียงของอาจารย์ประจำวิชาดังขึ้นผ่านไมค์โครโฟน ทำให้ทุกอย่างกลับสู่ความสงบตามเดิม ผมมองผู้หญิงวัยกลางคนอายุเท่าๆแม่ผมยืนอยู่หน้าชั้นเรียน ใช่ครับนี่คืออาจารย์แม่ที่เด็กฟิลม์ของที่นี่เกรงกลัวกัน เพราะประสบการณ์ที่อยู่มานานบวกกับท่าทางที่เหมือนครูระเบียบเลยทำให้ใครต่างก็ยำเกรงรวมถึงผมด้วย
“ขอโทษครับอาจารย์พอดีผมหาห้องเรียนไม่เจอครับ” ผมบอกความจริง
“เอาละฉันจะไม่ถือสา เพราะเข้าใจหรอกว่าเธอมันไม่ค่อยมีเวลา เปิดเทอมวันแรกถือว่าอนุโลมให้แต่อย่าให้มีครั้งต่อไป ไม่งั้นฉันจะขอหักคะแนนเข้าห้องสามคะแนน และไม่ใช่แค่เฉพาะนายวาโยนะ ทุกคนก็ด้วย วิชาฉันถ้าไม่จำเป็นห้ามขาด ถ้าป่วยต้องมีใบรับรองแพทย์มา เข้าใจ๊ ไปหาที่นั่งได้นายวาโย”
“ครับ” ผมตอบแล้วรีบตรงไปหาที่ว่างนั่งเรียน
“นี่ใช่ลม วาโย ที่เป็นนักร้องป่ะ”
ผมหันไปมองคนนั่งข้างๆ ไอ้เผือกน่าตาจิ้มลิ้มผิวขาวดูแล้วน่าจะเตี้ยกว่าผม เลิกคิ้วด้วยความสงสัยว่าไอ้นี่มันเป็นใคร “ผมชื่ออาโปนะ ชื่อจริงก็ชื่ออาโป ผมนะโคตรชอบพี่เลยเป็นแฟนคลับพี่เลยนะ ว่าต่อนี่พี่ยังเรียนไม่จบอีกหรอเพื่อนรุ่นพี่จบไปหมดแล้วนะ” ไอ้เผือกนี่แนะนำตัวกับผมเกือบจะดีอยู่แล้วถ้ามันไม่แซะเรื่องที่ผมเรียนช้าขึ้นมา
“วอนโดนตีนละมึง กูดรอปเรียนกลับมาเรียนแล้วแปลกหรอวะ” ผมว่า
“เปล่าๆ ไม่แปลก แต่ประหลาด” มันพูดพร้อมทำหน้าทะเล้นใส่
“ไอ้เหี้ยโป” ผมสบถออกมา
“ทำอะไรวาโย อาโป คุยอะไรกันฮะ มาคุยหน้าชั้นไหม” เสียงอาจารย์แม่ทำให้พวกผมต้องหยุดเล่น ผมมองหน้าไอ้เผือกไว้อย่างคาดโทษ แต่ดูเหมือนมันจะไม่ยี่หระหรือเกรงกลัวอะไร ซ้ำยังทำหน้าทะเล้นแบบเด็กปัญญาอ่อนใส่อีก
หลังจากเรียนคาบเช้าเสร็จแก๊งสามทหารเสือที่ประกอบไปด้วย ห่มฟ้า นก และเมฆ ก็ตรงมากินข้าวที่ร้านประจำหลังมอที่กับข้าวอร่อยเหาะแถมยังราคาถูก
“ป้าคร้าบเอาข้าวพัดกุ้งมะนาวสองชิ้น” นกสั่งก่อน
“ของผมเอาคะน้าหมูกรอบครับ ส่วนของไอ้ฟ้าเอาข้าวกับผัดฟักทองครับ” เมฆสั่งเผื่อเพื่อน
“เหมือนเดิมเลยนะไม่เบื่อกันบ้างหรอ กินมาตั้งแต่ปีหนึ่งยันปีสี่แล้ว” ป้านวลถามลูกค้าขาประจำที่มักจะแวะเวียนมาทุกวันหลังพักเที่ยงเสมอ ไม่ยอมไปกินร้านอื่นเป็นแบบนี้ตั้งแต่ปีหนึ่งจนถึงปีสุดท้าย
“ไม่เบื่อหรอกครับ กับข้าวร้านป้าอร่อย” ห่มฟ้าบอกพร้อมส่งยิ้มหวานให้
“แหมน้องฟ้าก็พูดไป แบบนี้ป้าก็เขินพอดีสิป้า”
“น้อยๆหน่อยป้านี่เพื่อนผม” เมฆคนหวงเพื่อนรีบห้าม
“มึงก็ไปแกล้งป้า ไปเลยไปตักน้ำ เผื่อกูไอ้นกด้วย” ห่มฟ้าสั่ง
ไม่นานอาหารจานร้อนที่เพิ่มทำเสร็จใหม่ๆส่งกลิ่นหอยฉุยก็มาเสิร์ฟถึงโตะหินอ่อน เหล่าแก็งสามทหารเสือรีบขอบคุณก่อนจะลงมือจัดการอาหารตรงหน้าทันที
“เออพวกมึงกูนึกออกแล้วนะว่าคนที่มันขับรถเกือบชนมึงเมื่อเช้าคือใคร หน้าแม่งคุ้นชิบหายตอนเรียนกูเลยลองเผือกดู มึงดูนี่ดิ” นกพูดพร้อมกับยื่นไอโฟนไปให้ห่มฟ้าดู ชายหนุ่มรับมาอย่างไม่ลังเลอ่านข้อมูลที่ปรากฎอยู่บนหน้าจออย่างละเอียดเช่นเดียวกับเมฆที่นั่งข้างๆก็ร่วมด้วย
“เชี่ย ทำผู้หญิงท้องแล้วไม่รับซะด้วย ไอ้เหี้ยเนี่ยไม่ธรรมดาจริงๆวะ” เมฆพูด
“มึงว่ามันจริงป่ะวะ เรื่องที่ข่าวเขียนอะ” ห่มฟ้าย้อนถามกลับ
สำหรับตัวเขาข่าวสารในปัจจุบันถ้าจะเสพก็ต้องเสพอย่างมีสติ เพราะนักข่าวไร้คุณภาพขาดจรรยาบรรณมันมีถมเถไป ยิ่งข่าวดาราด้วยแล้วจะหาความจริงจากข่าวได้กี่เปอร์เซ็นต์เรื่องราวเท็จจริงเป็นยังไง มีเพียงแค่คนต้นเรื่องเท่านั้นที่รู้ความจริงดีกว่าใคร
“มึงไม่คิดว่ามันจริงหรอวะ ดูจากนิสัยเหี้ยๆของแม่งกูว่าจริงวะ” นกบอก
“กูก็คิดเหมือนไอ้นกวะ มึงละ” เมฆตอบแล้วถามต่อ
“ไม่รู้วะ ไม่ใช่เรื่องของกู แดกข่าวต่อเถอะ” ห่มฟ้าตอบพร้อมตัดบท
เขาไม่ใช่คนที่ชอบยุ่งเรื่องของใครนั่นเป็นข้อดีที่ตัวเขามี ยกเว้นแต่ว่า….ถ้าเป็นคนที่เขาสนใจแล้วละก็….อันนี้มันก็ไม่แน่นอนเสมอไป
กรี๊ด!!
เสียงกรี๊ดร้องดังขึ้นที่ด้านหน้าร้านทำให้เหล่าสามทหารเสือถึงกับต้องวางทุกอย่าง แล้วแหงนหน้ามองหาที่มาของเสียง ดวงตาเรียวมองดูคนที่เดินเข้ามาใหม่ทุกท่วงท่าสง่างาม มีมาด ผู้หญิงทั้งวัยรุ่นคนแก่ต่างมองตาไม่กระพริบ วินาทีเดียวกันเองที่สายตาเฉียบคมของคนที่ถูกจ้องหันมาประสานกับดวงตาเรียว ราวกับต้องมนต์ตกอยู่ในภวังค์ราวก่อนคนที่จ้องจะรีบหันหน้าหลบทันที เมื่อไม่อาจสู้ต่อได้
“พี่ลม พี่ลมจริงๆด้วยแก หล๊อหล่อเนอะ”
“นั่นสิ พี่ลมคะขอพริ้งถ่ายรูปด้วยหน่อยนะคะ”
“น้อยหน่าด้วยค่ะ ขอลายเซ็นด้วยนะคะพี่ลม”
เสียงที่ตะโกนเรียกชื่อเขาและพยายามจะเบียดตัวเข้ามาใกล้ ทำให้ลมต้องถอยออกห่างอยากหวาดกลัวอาโปเห็นสถานการณ์ไม่สู้ดีจึงพยายามช่วย พลันสายตาคู่สวยก็ดันไปเห็นคนคุ้นเคยเลยไม่รอช้าที่จะพาเพื่อนใหม่ไปแนะนำให้รู้จัก “ขอโทษนะครับทุกคน ถ้ารักพี่ลม ให้พี่ลมกินข้าวก่อนนะครับ พี่ลมยังอยู่อีกนานเลย” อาโปตอบแฟนคลับ
“จริงหรอคะพี่ลม”
“จริงสิพี่เขาจะอยู่จนกว่าจะเรียนจบนู่นแหละ ป่ะพี่ลม”
อาโปตอบแทนแล้วรีบดึงข้อมือหนาไปที่โต๊ะม้านั่งหินอ่อนใต้ร่มไม้ เป็นโต๊ะตัวเดียวกันกับที่แก๊งสามทหารเสือนั่งอยู่ “ไงฟ้า อยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตาเชียว กูขอนั่งด้วยคนสิพอดีที่นั่งมันเต็มหมดแล้วอะ” อาโปพูดเสียงหวาน
“ไม่ได้โว้ยโต๊ะนี้ไม่รับผู้ชายตุ้งติ้งอย่างมึง และคนสันดานเสียอย่างเพื่อนมึง” เมฆว่า
“เฮ้ยไอ้เมฆใจเย็น อาโปมันก็เพื่อนกูนะมึง” ห่มฟ้าหันไปบอก
“แค่เพื่อนข้างบ้านมึงจะไปสนใจมันทำไมวะ ดูท่าทางมันกับมึงดิต่างกันอย่างกับอะไรดี”
“ถึงกูจะเป็นเพื่อนข้างบ้านแต่กูก็มาก่อนมึงวะไอ้เหี้ยเมฆ” อาโปพูดออกมา
เพราะเขารู้ดีว่าเพื่อนคนนี้เกลียดเขาอย่างกับอะไร ตั้งแต่เจอกันครั้งแรกก็โดนมันพูดแย่ๆใส่ ไม่รู้ว่าเคยไปฆ่าพ่อแม่มันตายมาตั้งแต่ชาติบางก่อนหรือยังไง แต่ก็โชคดีที่ห่มฟ้าเข้ามาเป็นไม้กันหมาให้ทุกครั้ง
“ทำไมวะตุ้งติ้งแล้วยังไง มึงคิดว่ามึงดีมากจากไหนถึงกล้ามาวิจารณ์คนอื่นได้” ลมที่ยืนฟังบทสนทนาอยู่เงียบๆสุดแสนจะรำคาญในคำพูดดูถูกไม่ได้ อาโปเป็นเพื่อนคนแรกของเขาถึงเขาจะไม่รู้ว่าไปเป็นเพื่อนกับมันได้ยังไงก็ตาม แต่ถ้าเพื่อนถูกทำร้ายมีหรอที่คนอย่างวาโยจะยอม
“มึงเสือกไรด้วยวะ ไอ้ดาราสันดานเสีย” เมฆขึ้นเสียง
“เฮ้ยมึงใจเย็นๆ คนมองกันใหญ่แล้วมึง” นกรีบห้ามพร้อมหันไปขอความช่วยเหลือจากห่มฟ้า
“คำก็สันดานเสีย สองคำก็สันดานเสีย มึงดีมากสินะที่มายืนด่ากูปาวๆ แน่จริงก็มาดิมา” ลมไม่พูดเปล่าแถมเขายังท้าเพิ่มอีก ยิ่งยั่วอารมณ์คนที่กำลังเครื่องร้อนพร้อมบวก
“เฮ้ยหยุด พวกมึงไม่ใช่เด็กๆกันแล้วนะโว้ย ที่จะมาทะเลาะกันมาท้าต่อยท้าตีแบบนี้ ถ้ามึงอยากจะต่อยกันนู้นไปที่อื่น เดี๋ยวร้านเขาเสียหายหมด ไอ้เมฆมึงก็พูดแรงเกินไปส่วนมึงไอ้จีน ใจเย็นบ้างดิวะเป็นรุ่นพี่ก็เป็นตัวอย่างให้น้องมันหน่อย อาโปกูขอโทษแทนเมฆมันด้วยละกันมึงก็รู้ว่าเพราะอะไร ส่วนพวกมึงกินเสร็จยังถ้าเสร็จแล้วก็ไป” ห่มฟ้าบอกแล้วเดินเอาเงินไปวางที่หน้าร้านก่อนจะเดินออกไปอย่างหัวเสียพร้อมกับเพื่อนอีกสองคน เมฆหันไปมองอาโปอย่างคาดโทษไว้พอๆกับลมที่มองตามจนลับสายตาอย่างอาฆาต
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

ขออนุญาตนะคะ ผู้เขียนไม่ควรเปลี่ยนมุมมอง ถ้าใช้ "ผม"ก้ควรเป็นผมไปตลอด