ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Let's change! ตอนจบนั้น เปลี่ยนฉันให้รักเธอ

    ลำดับตอนที่ #9 : Time to Escape

    • อัปเดตล่าสุด 15 พ.ย. 67


    ณ ป้อมปักษา 

    ดานีนถูกจัดให้พักในห้องที่สมฐานะท่านหญิง ทุกคนปฏิบัติต่อเธอด้วยความเคารพและรอคอยการมาถึงของท่านเอริค ผู้เป็นบิดาของท่านหญิงโคลอี้ แต่ทุกการกระทำและคำพูดที่แสดงความห่วงใยเหล่านั้น กลับทำให้เธอรู้สึกอึดอัดและไม่เป็นตัวของตัวเอง

    การถูกแยกจากกาเบรียลยิ่งทำให้เธอรู้สึกโดดเดี่ยว ความคิดที่จะต้องกลับไปยังคฤหาสน์ของท่านเอริคสร้างความหวาดหวั่นให้เธอยิ่งนัก เพราะลึกๆ ดานีนรู้ดีว่าตัวเองไม่ใช่ท่านหญิงโคลอี้ที่ทุกคนกำลังรอคอย การต้องสวมบทบาทเป็นคนอื่นเช่นนี้ คือภาระหนักอึ้งที่เธอไม่แน่ใจว่าจะรับไหว

    ‘ท่านเอริคติดธุระสำคัญบางอย่าง’ นั่นคือคำชี้แจงที่ดานีนได้รับ เมื่อต้องพำนักในป้อมปักษานานกว่าที่คาดไว้ แม้จะรู้สึกอึดอัดกับการต้องอยู่ในสถานที่แปลกใหม่ แต่เธอก็ถือโอกาสนี้สำรวจทุกซอกทุกมุมของป้อม

    คืนแล้วคืนเล่าที่เธอแอบย่องไปยังระเบียงห้อง พยายามสำรวจเส้นทางหนีทุกช่องทางที่เป็นไปได้ ดวงตาของเธอจับจ้องไปยังห้องพักทางทิศเหนือที่กาเบรียลถูกกักตัวไว้ ความปรารถนาที่จะค้นพบความจริงของโลกใบนี้ผลักดันให้เธอต้องหาทางออก ไม่ว่าจะยากเย็นเพียงใด

    และในที่สุด โอกาสก็มาถึง... เสียงเอะอะโวยวายดังขึ้นจากอีกฟากของป้อม ทำให้ยามที่เฝ้าระวังต้องวิ่งไปตรวจดู ดานีนรู้ดีว่านี่อาจเป็นจังหวะเดียวที่จะได้ลงมือ เธอแอบย่องออกจากห้องพัก หัวใจเต้นรัวราวกับจะหลุดออกมานอกอก ทุกย่างก้าวต้องระวังไม่ให้เสียงฝีเท้าดังเกินไป ขณะที่สายตาก็คอยสอดส่องหาเงาของยามที่อาจโผล่มาได้ทุกเมื่อ

    ตลอดหลายวันที่อยู่ในป้อม ดานีนสังเกตว่ายามมักจะเข้ามาเปลี่ยนเวรกันช่วงพลบค่ำและมักจะมีเพียงคนเดียวที่เดินตรวจตราระเบียงทางเดินฝั่งนี้ เธอจึงเฝ้ารอจังหวะ หยิบแจกันทองเหลืองหนักๆที่ตั้งประดับอยู่ในห้องพัก ซ่อนมันไว้หลังผ้าม่าน เมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าของยามเดินผ่าน หัวใจของเธอเต้นรัว มือกำแจกันแน่น รอจนยามเดินผ่านไป... จังหวะที่เขาหันหลังให้ เธอก็พุ่งออกมาจากที่ซ่อนฟาดแจกันใส่ท้ายทอยเขาอย่างแรง

    ตุ้บ!

    ร่างของยามล้มพับลงกับพื้น เธอรีบค้นตัวเขาอย่างลนลาน มือสั่นขณะที่พยายามหาพวงกุญแจ เมื่อเจอแล้วก็รีบลากร่างของเขาไปซ่อนหลังผ้าม่าน หวังว่าจะมีเวลาพอให้เธอช่วยกาเบรียลหนีออกไปได้ก่อนที่ใครจะมาพบร่างของเขา

    ดานีนแอบย่องไปตามระเบียงทางเดินอย่างระมัดระวัง เสียงฝีเท้าแผ่วเบาจนแทบไม่ได้ยิน หัวใจเต้นรัวยิ่งขึ้นเมื่อใกล้ถึงห้องที่กาเบรียลถูกขัง เธอหยิบกุญแจที่แอบขโมยมาจากยามออกมา มือสั่นเทาขณะพยายามไขกุญแจให้เงียบที่สุด

    แต่เมื่อประตูเปิดออก ความหวังทั้งหมดก็พังทลาย ห้องว่างเปล่า ไม่มีวี่แววของกาเบรียล มีเพียงเตียงที่ถูกจัดเก็บเรียบร้อยและหน้าต่างที่ถูกปิดสนิท ราวกับไม่เคยมีใครอยู่ที่นี่มาก่อน

    “กาเบรียล...” เธอกระซิบเบาๆ ความกลัวเริ่มแล่นปราดเข้าสู่หัวใจ บาสเตียนพาเขาไปไหน? ทำไมไม่มีใครบอกอะไรเธอเลย? คำถามมากมายวิ่งวนอยู่ในหัว ขณะที่เวลากำลังจะหมดลง เธอต้องตัดสินใจ... จะหนีไปคนเดียว หรือจะเสี่ยงตามหากาเบรียลต่อ ทั้งที่รู้ว่าทุกวินาทีที่อยู่ในป้อมนี้ต่อไป โอกาสที่จะถูกจับได้ก็ยิ่งมากขึ้น...

    ดานีนยืนนิ่งอยู่หน้าห้องที่ว่างเปล่า สมองของเธอหมุนติ้วด้วยความกังวล แม้สัญชาตญาณจะบอกให้รีบหนีออกจากป้อมนี้โดยเร็วที่สุด แต่เท้าของเธอกลับไม่ยอมขยับ เธอไม่อาจทิ้งกาเบรียลไปได้

    “ฉันต้องตามหาเขาให้เจอ” เธอกระซิบกับตัวเอง พลางกวาดตามองไปรอบๆ ห้องอีกครั้ง มองหาร่องรอยที่อาจบอกได้ว่าพวกเขาพากาเบรียลไปที่ไหน ดานีนสูดหายใจลึก ก่อนจะย่องออกจากห้องอย่างระมัดระวัง 

     

    บนยอดหอคอยแห่งความทรงจำ ในห้องกลมกว้างที่มีแผ่นคริสตัลส่องประกายวูบวาบบนเพดานสูง กาเบรียลนั่งอยู่บนเก้าอี้โบราณที่ถูกล้อมรอบด้วยกระจกเรืองแสงสีฟ้าอ่อน เขามองบาสเตียนที่กำลังเดินวนอย่างใจเย็น

    “นี่คือห้องแห่งความทรงจำ” บาสเตียนเอ่ยเสียงเรียบ “ข้าเพียงต้องการความกระจ่าง...”

    “ท่านต้องการอะไรจากข้า?” กาเบรียลถาม

    “เจ้าไปพบท่านหญิงที่ไหนและทำไมถึงตัดสินใจร่วมเดินทางกับนาง?”

    “มันไม่เกี่ยวกับท่าน”

    “กาเบรียล...” บาสเตียนถอนหายใจเบาๆ “ข้าแค่อยากเข้าใจ ว่าทำไมท่านหญิงถึงยอมเดินทางกับเจ้า ทั้งที่ก่อนหน้านี้ไม่เคยรู้จักกันมาก่อน”

    กาเบรียลนิ่งเงียบ สายตาจับจ้องไปที่แสงสีฟ้าที่เริ่มสว่างวาบขึ้นรอบตัว

    “เจ้าเองก็รู้ว่าสถานการณ์ตอนนี้ไม่ปกติ” บาสเตียนเอ่ยต่อด้วยน้ำเสียงแฝงความห่วงใย “ข้าเพียงอยากรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่”

    “ข้าแค่บังเอิญพบนางระหว่างทาง”

    “บังเอิญ?” บาสเตียนส่ายหน้าเบาๆ "แล้วทำไมนางถึงไว้ใจติดตามเจ้ามา?"

    แสงสีฟ้าจากกระจกสว่างขึ้น ทอประกายนวลตา “ข้าไม่ได้ต้องการบังคับเจ้า แต่ถ้าเจ้าไม่อยากเล่า... ให้ความทรงจำของเจ้าเป็นคนเล่าแทนก็แล้วกัน”

    “ท่านไม่เข้าใจ...” กาเบรียลส่ายหน้า

    “งั้นช่วยทำให้ข้าเข้าใจมัน” บาสเตียนนั่งลงตรงหน้าเขา ดวงตาฉายแววจริงใจ “ท่านหญิงเป็นคนสำคัญของอาณาจักรและข้าต้องแน่ใจว่านางปลอดภัย”

    กาเบรียลถอนหายใจยาว ขณะที่แสงสีฟ้าเริ่มหมุนวนรอบตัว เขาไม่อาจบอกความจริงได้ว่านางที่เขาพบคือดานีน ไม่ใช่ท่านหญิงโคลอี้ และตอนนี้ความทรงจำของเขากำลังจะถูกเปิดเผย...

     

    ป้อมปักษากว้างใหญ่เกินกว่าที่จะสำรวจได้ทุกซอกทุกมุม ดานีนจึงเลือกที่จะย่องตรงไปยังห้องเก็บเอกสาร สถานที่ที่เธอเคยเห็นบาสเตียนเข้าไปทำงานอยู่บ่อยครั้ง ด้วยความหวังว่าจะพบข้อมูลสำคัญที่เธอต้องการ

    ขณะที่ค้นดูเอกสารบนโต๊ะอย่างเร่งรีบ หูของเธอก็ได้ยินเสียงทหารยามสองนายสนทนากันอย่างเงียบๆจากระเบียงด้านนอก เสียงของพวกเขาทำให้หัวใจเต้นรัว ความตึงเครียดเพิ่มขึ้นในอากาศ ขณะที่เธอต้องหาทางหลบซ่อนให้เร็วที่สุดก่อนที่พวกเขาจะเดินเข้ามาใกล้

    “ได้ยินข่าวหรือยัง? ท่านบาสเตียนพาชายคนนั้นไปที่หอคอยแห่งความทรงจำ” ทหารยามนายหนึ่งกล่าวเสียงแผ่วขณะเดินตรวจการณ์บนระเบียงทางเดินในป้อมปักษา

    “หอคอยแห่งความทรงจำ?” อีกนายทวนคำด้วยความสงสัย “หอคอยเก่าที่ถูกทิ้งร้างมานานนั่นน่ะเหรอ?”

    “ใช่แล้ว ที่นั่นมีเครื่องมือโบราณที่สามารถดึงความทรงจำออกมาได้ ถูกสร้างขึ้นในยุคที่อาณาจักรรุ่งเรือง แต่ไม่ได้ถูกใช้งานมานานจนเกือบจะกลายเป็นตำนาน...”

    “ข้าเคยได้ยินว่าการดึงความทรงจำนั้นเจ็บปวดมากเลยนะ…”

    “มันไม่ได้ถึงขั้นทรมานหรอก แต่คนที่ถูกดึงความทรงจำออกมาจะรู้สึกอ่อนเพลีย เหมือนพลังในตัวถูกสูบออกไป…”

    ดานีนที่แอบฟังอยู่หลังมุมกำแพงกำมือแน่น ขณะที่ทหารยามทั้งสองก็ยังคงคุยกันต่อไป

    “เครื่องมือนั่นต้องใช้พลังงานมหาศาล ปกติต้องรอให้พระจันทร์เต็มดวงถึงจะมีพลังงานมากพอ”

    “ก็นั่นไง ดูพระจันทร์คืนนี้สิ ใกล้จะเต็มดวงแล้ว…”

    ดานีนเงยหน้ามองพระจันทร์ที่เกือบเต็มดวง ส่องแสงสลัวลงมาผ่านเมฆเบาบาง เธอซ่อนตัวอยู่ในเงามืดของห้อง มองออกไปยังหน้าต่างบานเล็ก ครุ่นคิดหาวิธีที่จะไปให้ถึงหอคอยก่อนที่การดึงความทรงจำจะเริ่มขึ้น ทันใดนั้น ดวงตาเธอก็สะดุดเข้ากับม้าตัวหนึ่งที่ถูกผูกไว้ใกล้ประตูป้อม ดานีนเฝ้ารอจังหวะอย่างใจจดใจจ่อ กระทั่งทหารยามเดินผ่านไปโดยไม่ทันสังเกตเห็น หญิงสาวร่างบางสูดลมหายใจลึก แล้วค่อยๆ ย่องออกจากห้อง เสียงฝีเท้าเงียบเชียบขณะที่มุ่งหน้าไปยังม้าตัวนั้นด้วยหัวใจที่เต้นระรัว

    เมื่อใกล้ถึงประตู สายตาของเธอก็สะดุดเข้ากับทหารยามที่ยืนเฝ้าอยู่ตรงทางออก ดานีนกัดริมฝีปากอย่างครุ่นคิด... จะทำอย่างไรดี? ต้องหาทางผ่านออกไปโดยไม่ให้ถูกจับได้

    พลันสายตาของเธอเหลือบไปเห็นท่อนเหล็กที่วางพิงกำแพงอยู่ไม่ไกล ดานีนย่องไปหยิบมันขึ้นมา รอจนทหารยามเผลอ ก่อนจะค่อยๆย่องเข้าไปด้านหลัง 

    ตุบ!

    ทหารยามล้มลงหมดสติทันที เธอรีบกัดฟันลากร่างเขาไปซ่อนไว้หลังพุ่มไม้ แม้ตัวจะเล็กและแรงไม่มากนัก แต่ก็พยายามสุดความสามารถ มือเล็กๆออกแรงดึงลากจนเหงื่อซึมก่อนจะสำเร็จ จากนั้นก็รีบวิ่งตรงไปยังคอกม้า กระโดดขึ้นขี่อย่างคล่องแคล่ว แล้วควบม้าออกจากป้อม มุ่งหน้าไปทางทิศตะวันตกโดยไม่แม้แต่จะหันกลับไปมองเบื้องหลัง

    ขณะที่ควบม้าฝ่าความมืด ดานีนรู้สึกประหลาดใจที่ตัวเองขี่ม้าได้คล่องแคล่วเช่นนี้ ทั้งที่โลกที่เธอจากมา มีแต่รถยนต์และเครื่องจักรกล ไม่เคยมีสัตว์เป็นพาหนะมาก่อน บางทีอาจเป็นเพราะร่างของท่านหญิงโคลอี้จดจำวิธีการขี่ม้าเอาไว้ในสัญชาตญาณ แม้จิตใจของเธอจะเป็นดานีน แต่ร่างกายนี้กลับเคยชินกับการควบม้ามาตั้งแต่เด็ก

    ม้าควบทะยานฝ่าความมืดของราตรี เสียงกีบเท้ากระทบพื้นดังก้องในความเงียบ ดานีนกระชับบังเหียนแน่น สายลมเย็นปะทะใบหน้าขณะที่มุ่งหน้าไปยังหอคอยแห่งความทรงจำ 

    หมอกหนาทำให้การมองเห็นเป็นไปอย่างยากลำบาก แต่เงาตะคุ่มของหอคอยที่ทอดสูงขึ้นไปบนท้องฟ้ายังคงเป็นจุดสังเกตที่ชัดเจน ดานีนบังคับม้าให้เลี้ยวเข้าไปในป่าทึบ เส้นทางขรุขระและคดเคี้ยวทำให้เธอต้องชะลอความเร็วลง เสียงกิ่งไม้หักดังกรอบแกรบใต้กีบเท้าม้า

    “อดทนหน่อยนะ กาเบรียล...” เธอกระซิบกับตัวเอง พลางกวาดตามองหาเส้นทางที่จะพาเธอไปถึงหอคอยได้เร็วที่สุด

    เมื่อผ่านป่าทึบออกมา เธอพบกับทางเดินแคบๆ ที่ทอดยาวขึ้นไปบนเนินเขา หอคอยตั้งตระหง่านอยู่เบื้องหน้า แสงสลัวจากหน้าต่างบานเล็กๆ ทอประกายวับวาวราวกับดวงดาวในรัตติกาล

    ดานีนรู้ดีว่าบริเวณนั้นคงมียามคอยเฝ้าอยู่ เธอจูงม้าไปซ่อนไว้ใต้ต้นไม้ใหญ่ ก่อนจะย่องเข้าไปสำรวจอย่างระมัดระวัง มือที่กำท่อนเหล็กแน่นเริ่มมีเหงื่อซึม หญิงสาวแนบตัวไปกับกำแพงหิน เคลื่อนไหวช้าๆและระมัดระวังทีละก้าว ราวกับเงาที่เคลื่อนไปในความมืด

    เสียงสนทนาแว่วมาจากด้านบน... เธอต้องหาทางขึ้นไปให้ได้ สายตาพลันเหลือบไปเห็นบันไดเวียนที่อยู่ด้านข้างหอคอย มีทหารยามยืนเฝ้าอยู่เพียงนายเดียว

    เธอหลบอยู่ในเงามืด รอจังหวะจนกระทั่งยามเผลอ… จากนั้นค่อยๆ ย่องเข้าไปด้านหลังเขา มือที่จับท่อนเหล็กค่อยๆ ยกขึ้น… 

    ตุบ!

    ยามทรุดลงไปช้าๆสู่พื้นหิน ดานีนสูดหายใจลึก ก่อนจะหันหลังพุ่งตัวขึ้นบันไดเวียนมุ่งสู่ยอดหอคอย หัวใจเต้นระรัวในทุกก้าวที่ก้าวไปข้างหน้า ความกังวลและความหวังผสมปนเปในอก

     

    ขณะที่แสงสีฟ้าจากกระจกเริ่มหมุนวนรอบตัวกาเบรียล เสียงฝีเท้าที่วิ่งตึงๆ บนบันไดเวียนดังมาจากระเบียงทางเดินนอกห้อง 

    ไม่นาน บานประตูไม้ใหญ่ก็ถูกกระแทกเปิดออกจนสั่นสะเทือน ดานีนยืนอยู่ตรงกรอบประตู หอบหายใจเล็กน้อย ดวงตาเด็ดเดี่ยวและท่าทางพร้อมสู้ มือยังกระชับท่อนเหล็กที่เปื้อนฝุ่นแน่น

    “กาเบรียล!” เสียงเรียกของเธอดังก้อง ก่อนที่ร่างจะพุ่งพรวดเข้าไปในห้องโดยไม่ลังเล

    บาสเตียนหันขวับมามองนางด้วยสีหน้าตกตะลึง “โคลอี้!?”

    แต่ดานีนไม่เสียเวลาตอบ เธอยกท่อนเหล็กขึ้น ฟาดลงกับกระจกที่ล้อมรอบกาเบรียลอย่างไม่ลังเล เสียงกระจกแตกกระจายดังก้องในความเงียบ แสงสีฟ้าที่หมุนวนรอบตัวกาเบรียลพลันดับวูบลง เหมือนมีม่านความมืดเข้ามาแทนที่

    “เร็วเข้า!” เธอรีบปลดเชือกที่มัดกาเบรียลออก “พวกเราต้องไปจากที่นี่...”

    กาเบรียลมองนางด้วยแววตาขอบคุณ ก่อนจะพยายามพยุงตัวเองขึ้นมา ด้านหลัง บาสเตียนยืนนิ่งราวกับถูกมนต์สะกด ดานีนหันไปสบตาบาสเตียนแวบหนึ่ง เธอเห็นดวงตาของเขาฉายแววประหลาดใจที่ปิดไม่มิด ภาพของ ‘ท่านหญิงโคลอี้’ ที่เขาคุ้นเคยช่างแตกต่างกับหญิงสาวตรงหน้าราวฟ้ากับดิน นี่ไม่ใช่ท่านหญิงผู้สง่างามและอ่อนโยน หากแต่เป็นหญิงสาวที่กล้าหาญ เต็มไปด้วยความเด็ดเดี่ยวและทักษะที่ไม่เคยเปิดเผยมาก่อน

    บาสเตียนเฝ้ามองท่าทางการกระทำอันเฉียบขาดของเธอ การฟาดท่อนเหล็กใส่กระจกอย่างไร้ความลังเล การกระซิบเร่งให้กาเบรียลหนีและท่าทีปกป้องที่เต็มไปด้วยความมุ่งมั่น ทั้งหมดนี้ทำให้เขารู้สึกเหมือนยืนอยู่ต่อหน้าคนแปลกหน้า

    เขาอดคิดไม่ได้ว่า ‘ท่านหญิงโคลอี้’ คนนี้คือใครกันแน่?

    แต่ก่อนที่จะได้คำตอบ ดานีนก็จรดนิ้วแตะริมฝีปากให้สัญญาณเงียบ ก่อนจะจับมือกาเบรียลแน่นแล้วพากันวิ่งออกจากห้องไป ปล่อยให้บาสเตียนยืนนิ่งอยู่ท่ามกลางแสงจันทร์ที่ส่องลอดหน้าต่างเข้ามา แสงสีเงินอ่อนทาบทับทุกสิ่งในห้องราวกับความลับที่กำลังเผยตัวทีละน้อยในความมืดมิด

    เสียงสัญญาณเตือนภัยแหลมดังปลุกให้บาสเตียนตื่นจากภวังค์ เขามองไปรอบๆห้อง แต่พบเพียงความว่างเปล่า โคลอี้และกาเบรียลหายลับไปแล้ว ราวกับเงาที่ถูกกลืนไปในรัตติกาล ทิ้งไว้เพียงความเงียบงัน ความมืดมิด ทิ้งไว้เพียงความสับสนและคำถามที่หนักอึ้งในใจ

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×