คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #8 : Night of Suspicion
แสงจันทร์สาดส่องผ่านหน้าต่างบานเล็กเข้ามาในห้องพัก ดานีนนั่งขัดสมาธิอยู่บนเตียงไม้เก่าที่ส่งเสียงเอี๊ยดอ๊าดเมื่อเธอขยับตัว มือลูบไปมาบนแผ่นกระดาษประกาศตามหาที่แอบหยิบมาจากตลาด ภาพวาดนั้นดูงดงาม สง่าและคมชัดทุกเส้นสาย ใบหน้าในภาพคือสิ่งที่เธอเห็นในกระจกทุกเช้า แต่กลับรู้สึกเหมือนกำลังมองใบหน้าของคนแปลกหน้า ใครบางคนที่ไม่ใช่เธอ... ใครบางคนที่อาจซ่อนความลับเอาไว้
เสียงจักจั่นดังระงมจากนอกหน้าต่าง ผสมกับเสียงคลื่นกระทบฝั่งที่ลอยมาเป็นระยะ ดานีนวางประกาศลงบนตัก มือลูบไปที่กำไลทับทิมที่ข้อมือ ความอบอุ่นจากมันแผ่ซ่านเข้าสู่ผิวหนัง ราวกับตอบสนองต่อคำถามที่ยังหาคำตอบไม่ได้ ภาพความทรงจำเลือนรางของตรอกมืด โลกอีกใบ ใบมีดที่แทงทะลุแผ่นหลังและความเจ็บปวดที่แผดเผาแวบขึ้นมาอีกครั้ง
“ท่านหญิงโคลอี้...” เธอกระซิบ รู้สึกถึงรสขมในลำคอเมื่อนึกถึงชื่อที่ใครๆก็พูดถึง ชื่อของหญิงสาวที่เธอไม่รู้จัก แต่กลับต้องมาสวมรอย “เจ้าคือใครกันแน่? ทำไมข้าต้องอยู่ในร่างนี้?”
เธอหลับตาลง ราวกับหวังว่าคำตอบจะมาถึงผ่านความมืดในใจ แต่สิ่งที่ได้ยินคือเสียงกระซิบของชาวบ้านในตลาด เสียงพูดถึงพลังเวทรักษาอันแกร่งกล้า แสงสีฟ้าที่ลอยเรืองรองในคืนที่ท่านหญิงหายตัวไป และความฝันประหลาดที่นางเล่าให้ใครบางคนฟัง ดานีนยกมือขึ้น พยายามสัมผัสพลังนั้น แต่กลับพบเพียงความว่างเปล่า เธอรู้สึกเหมือนเป็นผู้บุกรุกในร่างกายของคนอื่น
ภาพความฝันเลือนรางแวบผ่านเข้ามา... ห้องหรูหราในคฤหาสน์ริมทะเล ชายหนุ่มในชุดทหารเรือที่ยืนมองท้องฟ้า ภาพม้วนกระดาษโบราณที่เต็มไปด้วยอักษรลึกลับ เธอไม่แน่ใจว่าเป็นความทรงจำของท่านหญิงหรือภาพฝันที่ใจเธอสร้างขึ้นมาเอง
เสียงฝีเท้าเบาๆ ดังมาจากระเบียง คงเป็นกาเบรียล เขามักเดินเล่นยามค่ำคืนเมื่อคิดมากเหมือนที่เธอทำ ดานีนสัมผัสได้ถึงความห่วงใยของครอบครัวนี้ ครอบครัวที่เธอไม่สมควรอยู่ด้วย แต่พวกเขาก็ยังดูแลเธออย่างไม่หวาดระแวง
“ข้าเป็นใครกันแน่?” เธอกระซิบกับตัวเอง น้ำตาเอ่อขึ้น ความคิดถึงบ้าน ความไม่เข้าใจในตัวตน และความกลัวที่พยายามกดไว้พลุ่งขึ้นมา
แต่เธอรู้ว่าแค่ตั้งคำถามจะไม่ช่วยอะไร ดานีนลุกขึ้นเดินไปที่หน้าต่าง มองดูดวงจันทร์ที่ส่องแสงเหนือทะเลกว้างใหญ่ ความเย็นของสายลมพัดผ่านเหมือนเสียงเตือนให้เธอเตรียมตัว กำไลทับทิมเรืองแสงอีกครั้ง เธอรู้ว่ามันไม่ได้เป็นเพียงเครื่องประดับ มันเป็นกุญแจสู่ความจริงที่รออยู่เบื้องหน้า
ที่ไหนสักแห่งในโลกนี้ต้องมีคำตอบ คำตอบที่เกี่ยวข้องกับตัวตนของเธอ กับการหายตัวไปของท่านหญิงและกับพลังที่รอการปลดปล่อย ถึงเวลาที่เธอต้องออกเดินทาง แม้ว่าจะต้องเสี่ยงกับอันตราย แม้ว่าต้องจากลาผู้คนที่มอบความอบอุ่นให้ เธอต้องรู้ให้ได้ว่าอะไรที่รออยู่ในเงามืด
แสงจันทร์ยังคงส่องประกาย ดานีนกำกำไลแน่น พลังอุ่นๆเต้นตอบรับใต้ผิว เธอจะไม่หยุดจนกว่าจะพบความจริง ไม่ว่าจะต้องเจอกับอะไรบ้างก็ตาม
แสงสลัวของรุ่งสางลอดผ่านหน้าต่างครัว กลิ่นขนมปังอบใหม่หอมกรุ่น เธอยืนอยู่ตรงประตู มองมาเรียที่กำลังนวดแป้งด้วยมือที่หยาบกร้านแต่แฝงไว้ด้วยความอ่อนโยน เสียงถ่านในเตาแตกเบาๆ ผสานกับเสียงนกทะเลร้องไกลๆ ทำให้หัวใจหนักอึ้งด้วยความรู้สึกผิดที่ต้องจากไป
“น้ามาเรีย...” เสียงของเธอสั่น คำพูดติดอยู่ในลำคอ
“เจ้ากำลังจะบอกลาข้าใช่หรือไม่?” มาเรียหันมา ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนฉายแววเข้าใจ “ข้าเห็นเจ้าเก็บของตั้งแต่เมื่อคืน”
รอยยิ้มอ่อนโยนปรากฏบนใบหน้า “มานั่งตรงนี้ก่อน” นางเอ่ยพลางผายมือไปที่ม้านั่งไม้ข้างเตาอบ “ข้าจะทำขนมปังให้เจ้ากินเป็นมื้อสุดท้าย”
ดานีนทรุดตัวลงนั่ง หัวใจหนักอึ้งแต่กลับรู้สึกอบอุ่นเมื่อได้กลิ่นหอมของขนมปังและสัมผัสถึงความรักที่อบอวลอยู่รอบตัว มาเรียกำลังนวดแป้ง ปั้นเป็นก้อนกลมๆ อย่างตั้งใจ ก่อนจะสอดไส้น้ำผึ้งป่าที่เด็กๆ ช่วยกันเก็บเมื่อสัปดาห์ก่อน เสียงหัวเราะของเด็กๆ แว่วมาเป็นระยะ เติมเต็มบรรยากาศที่แสนอบอุ่นนี้จนทำให้น้ำตาของเธอคลอหน่วยอย่างห้ามไม่อยู่
“รู้ไหม” มาเรียเอ่ยขึ้นขณะที่มือยังง่วนกับการทำขนม “ตอนที่บิดาของกาเบรียลจากไป เขาก็ทำเช่นนี้... ยืนตรงนั้น มองข้าทำขนมปังมื้อสุดท้าย” น้ำเสียงของนางสั่นเครือ “และตอนนี้... ข้ากำลังทำซ้ำอีกครั้ง”
เสียงฝีเท้าเบาๆ ดังมาจากบันได ลิลลี่และโรสแอบย่องลงมา ในมือถือห่อผ้าเล็กๆ “พวกข้าตื่นแต่เช้าเพื่อเก็บลูกไม้แห้งให้” โรสยื่นห่อผ้าให้ ดวงตาแดงก่ำ
“และนี่...” ลิลลี่ควักสร้อยเปลือกหอยออกมา "พวกข้าร้อยมันตอนที่พี่ป่วย เพื่อให้พี่หายเร็วๆ แต่ตอนนี้..." เสียงของเธอสะอื้น “ข้าหวังว่ามันจะช่วยปกป้องพี่สาวนะ”
“ท่านแม่...” เสียงทุ้มของกาเบรียลดังมาจากบันได เขายืนพิงผนัง จี้หินสีฟ้าอมเขียวห้อยอยู่ที่คอ “ลูกจะเดินทางไปกับนาง”
ความเงียบปกคลุมห้องครัว มีเพียงเสียงถ่านไม้แตกเบาๆ และเสียงคลื่นไกลๆ
“ท่านพ่อพยายามจะบอกอะไรพวกเราบางอย่าง” กาเบรียลก้าวเข้ามาใกล้ “จดหมายฉบับสุดท้ายของท่าน… ท่านเขียนถึงสิ่งประหลาดใต้ทะเล เขียนถึงความลับที่ซ่อนอยู่ในอาณาจักรนี้ และบอกว่าสักวัน จะมีคนพิเศษมาพาเราไปพบความจริง”
เขาควักจดหมายเก่าออกมา กระดาษเหลืองซีดมีรอยคราบน้ำทะเลเขียนว่า ‘หากข้าไม่กลับมา จงรอ... รอจนกว่าจะถึงเวลาที่เหมาะสม แล้วความจริงที่ข้าค้นพบจะปรากฏ... ความจริงที่อาจเปลี่ยนโชคชะตาของอาณาจักรนี้’
“แต่ลูกไม่รู้ด้วยซ้ำว่านางเป็นใคร” มาเรียเอ่ยเบาๆ
“ข้ารู้แค่ว่า... ข้ารู้สึกได้” กาเบรียลมองนาง “ว่าการมาถึงของนางในวันนั้น ไม่ใช่เรื่องบังเอิญและการตามหาความจริงเรื่องท่านพ่อกับเส้นทางของนาง มันจะต้องเกี่ยวข้องกันแน่ๆ”
มาเรียถอนหายใจ วางแป้งในมือลง เดินไปที่ตู้เก็บของเก่าและหยิบห่อผ้าออกมา “ข้าเตรียมมันไว้นานแล้ว...” นางคลี่ห่อผ้าออก เผยให้เห็นเสื้อคลุมยาวสีเทาตัวเก่า “เสื้อของบิดาเจ้า... เขาใส่มันในวันที่ออกเรือครั้งแรก”
กาเบรียลรับเสื้อมาด้วยมือสั่นเทา กลิ่นเกลือทะเลและความทรงจำยังคงติดอยู่บนผ้า
“จงดูแลกันให้ดี” มาเรียกอดทั้งสองแน่น น้ำตาไหลอาบแก้ม “และจำไว้... ไม่ว่าเจ้าทั้งสองจะพบเจออะไร ที่นี่จะเป็นบ้านของพวกเจ้าเสมอ”
ขนมปังก้อนสุดท้ายถูกนำออกจากเตา กลิ่นหอมหวานของน้ำผึ้งกระจายไปทั่ว มาเรียห่อขนมปังด้วยผ้าสะอาดอย่างทะนุถนอม ก่อนสอดใส่ในย่ามเดินทางข้างสมุนไพรและอาหารแห้งที่นางจัดเตรียมไว้ด้วยความตั้งใจ ทุกสิ่งถูกจัดไว้อย่างประณีต เหมือนเป็นการส่งมอบความห่วงใยและกำลังใจให้แก่ผู้ที่ต้องจากไกล
เมื่อพวกเขาก้าวออกจากบ้าน ดวงอาทิตย์บนขอบฟ้าเปล่งแสงอ่อนโยนแรกของวัน สาดส่องเหนือทะเลสีครามที่ทอดยาวสุดลูกหูลูกตา นกทะเลบินวนอยู่เหนือศีรษะ ราวกับกำลังโบกมืออำลาให้
“เจ้าไม่จำเป็นต้องไปกับข้าหรอก” ดานีนหันไปบอกกาเบรียลด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา แววตาเต็มไปด้วยความรู้สึกผิดที่ต้องดึงเขาออกจากครอบครัวและชีวิตอันสงบสุข
“และเจ้าไม่จำเป็นต้องเดินทางเพียงลำพัง” เขาตอบ น้ำเสียงนุ่มลึกพร้อมรอยยิ้มบางๆ “บางที... เราอาจถูกลิขิตให้มาช่วยเหลือกันอยู่แล้ว”
ไกลออกไป เรือลำหนึ่งแล่นผ่านขอบฟ้า ธงสีน้ำเงินสะบัดพลิ้ว เธอสัมผัสได้ถึงความอุ่นวาบที่ข้อมือ... ราวกับสัญญาณเตือนว่าการผจญภัยครั้งนี้เพิ่งเริ่มต้นและอาจมีอันตรายรออยู่เบื้องหน้า แต่อย่างน้อย... เธอก็ไม่ได้เดินอยู่เพียงลำพัง
พวกเขาเดินทางมาได้สามวัน ผ่านป่าชายเลนและหมู่บ้านชาวประมงเล็กๆ กาเบรียลพาเธอหลบเลี่ยงถนนสายหลัก เลือกใช้เส้นทางลับที่มีแค่ชาวประมงรู้จัก บนเส้นทางลับตามชายฝั่ง ทั้งสองเดินทางมาถึงเมืองท่าคลอรอยซ์ เมืองท่าค้าขายที่ใหญ่เป็นอันดับสองรองจากออสโลว์ เขตการปกครองคาบเกี่ยวระหว่างเขตที่สี่และเขตที่ห้า ทั้งคู่จำเป็นต้องเข้าไปในตลาด เพื่อหาเสบียงและข่าวคราวของเรือธงแดง เรือที่เป็นจุดเริ่มต้นการหายตัวไปของบิดากาเบรียล
ภายใต้ความกดดันที่กำลังถาโถม ดานีนตัดสินใจเลือกเส้นทางแห่งการหลบหนี เพราะเธอไม่อาจเสี่ยงให้ตัวเองตกเป็นเป้าสายตาของหน่วยปักษา ด้วยความลับที่แม้แต่เธอเองยังไม่แน่ใจกับการมาอยู่ในร่างของท่านหญิงอย่างไร้คำอธิบาย และหากถูกจับตัวได้ การสอบสวนที่จะตามมาย่อมทำให้ความจริงถูกเปิดเผยและนั่นอาจนำไปสู่ผลลัพธ์ที่คาดเดาไม่ได้
ในความสับสนและไร้จุดหมาย ดานีนจึงเลือกที่จะติดตามกาเบรียล ถึงแม้จะยังไม่มีแผนการที่ชัดเจน แต่อย่างน้อยมันก็เป็นโอกาสที่จะได้ค้นพบความจริงของโลกใบนี้มากขึ้น บางทีระหว่างทางอาจมีคำตอบบางอย่างที่เธอกำลังตามหา...
“ใส่ผ้าคลุมไว้” กาเบรียลยื่นผ้าคลุมสีน้ำตาลให้ “ที่นี่มีหน่วยปักษาลาดตระเวนอยู่ทั่ว”
เสียงพ่อค้าแม่ค้าดังเซ็งแซ่ กลิ่นปลาสดผสมกับกลิ่นเครื่องเทศแตะจมูก ผู้คนเดินเบียดเสียดกันไปมาในตลาดที่คึกคัก ทหารในชุดสีเทาเข้มยืนเฝ้าตามจุดต่างๆ ด้วยท่าทางเคร่งขรึม เข็มกลัดสีดำรูปปักษาติดอยู่ที่อกเสื้อ บ่งบอกถึงสังกัดของพวกเขา หน่วยปักษา หน่วยที่เลื่องชื่อในด้านการสืบข่าวและรักษาความสงบ ความตึงเครียดแผ่ซ่านในอากาศเหมือนเงามืดที่แฝงตัวอยู่ในที่พลุกพล่านนี้
“อยู่ข้างหลังข้า” กาเบรียลกระซิบเบาๆ พลางนำทางเธอผ่านแผงขายของที่คึกคัก “เราแค่ต้องซื้อเสบียง แล้วรีบออกจากที่นี่...”
“ท่านหญิงโคลอี้...” เสียงกระซิบแผ่วของแม่ค้าสูงวัยดังขึ้น ดวงตาเบิกกว้างด้วยความตกใจ “ท่านหญิงยังมีชีวิตอยู่!”
เสียงฮือฮาดังขึ้นรอบตัว ผู้คนที่เคยยุ่งอยู่กับการค้าขายเริ่มหันมาจับจ้อง ดวงตาเต็มไปด้วยความสงสัยและตกตะลึง ลมที่พัดแรงทำให้ผ้าคลุมของดานีนสะบัดออก เผยให้เห็นใบหน้าที่เหมือนกับภาพวาดบนประกาศตามหาตัวทุกกระเบียดนิ้ว ความเงียบชั่วขณะหนึ่งแผ่ซ่านไปทั่ว ก่อนที่เสียงซุบซิบจะดังขึ้นรอบทิศทาง…
“ท่านหญิง! ท่านหญิงกลับมาแล้ว!”
“แจ้งหน่วยปักษา! เร็วเข้า!” ใครบางคนตะโกน
“วิ่ง!” กาเบรียลตะโกน พลางคว้ามือดานีนพุ่งเข้าไปในตรอกแคบ ท่ามกลางเสียงโกลาหลของตลาด ผู้คนเบี่ยงตัวหลีกทางให้ ฝีเท้าของพวกเขากระทบพื้นดินดังเป็นจังหวะถี่ ลมหอบกลิ่นเหงื่อและเครื่องเทศจากตลาดตามมาปะทะหน้า
“หยุดพวกเขา!” เสียงคำสั่งดังก้องจากด้านหลัง ทหารชุดเทาเข้มวิ่งตามมาอย่างรวดเร็ว บางนายขยับมือเตรียมปลดดาบจากฝัก ความวุ่นวายขยายวงกว้างเมื่อชาวบ้านที่อยู่ใกล้เคียงเริ่มกระจายตัวออกจากพื้นที่ ตรอกที่ดูเล็กยิ่งแคบลงท่ามกลางฝูงชนที่สับสนอลหม่าน
กาเบรียลหันขวับไปมองข้างหลัง เห็นเงาของทหารใกล้เข้ามาเรื่อยๆ “เลี้ยวซ้าย!” เขาบอก พลางกระตุกมือดานีนไปยังซอกเล็กๆที่เกือบมองไม่เห็น ทั้งคู่มุดผ่านซอกกำแพงที่เต็มไปด้วยเศษผ้าและลังไม้ ก่อนที่พวกเขาจะโผล่ไปอีกฝั่งหนึ่งของตลาด
“เร็วเข้า!” เขาพูดเสียงต่ำ ลมหายใจหอบ ดวงตาเต็มไปด้วยความระแวดระวัง เสียงฝีเท้าทหารยังตามมาไม่ห่าง ดานีนกัดฟันวิ่งต่อ แม้ขาจะสั่นระริกด้วยความเหนื่อยและกดดัน
เมื่อพวกเขาโผล่พ้นตรอกเล็ก เส้นทางกลับถูกขวางไว้ ทหารสี่นายยืนรออยู่ พวกเขาไม่มีดาบในมือ มีเพียงสีหน้าที่เคร่งขรึมและสายตาที่จับจ้องอย่างมั่นคง
“ท่านหญิงโคลอี้” นายทหารผู้หนึ่งก้าวออกมา น้ำเสียงสุภาพและอ่อนน้อม “ขออภัยครับ แต่ท่านบาสเตียนปรารถนาจะพบกับท่าน”
“ข้าไม่...” ดานีนพยายามเอ่ย แต่กาเบรียลบีบมือเธอแน่น ส่งสัญญาณให้เธอเงียบ เขามองทหารตรงหน้า ดวงตาฉายแววระวังตัวแต่ยังคงไว้ด้วยความสุขุม
“เราจะไปพบท่านบาสเตียน” กาเบรียลเอ่ยเสียงเรียบ แต่แฝงด้วยความเด็ดขาด “แต่ข้าต้องไปกับนาง”
นายทหารพยักหน้าช้าๆ สีหน้าเรียบนิ่งแต่แฝงความเคารพในแววตา พวกเขานำทางไปยังป้อมปักษา ป้อมหินสีเทาที่ตั้งตระหง่านบนเนินสูงเหนือแนวป่าเขียวขจี เสียงลมพัดผ่านช่องหินเก่าแก่ หวีดหวิวไปมา คล้ายเสียงกระซิบแห่งกาลเวลา ผสานกับเสียงนกป่าที่บินวนเหนือหลังคาป้อม บรรยากาศโดยรอบดูเงียบสงบ แต่แฝงไว้ด้วยความเคร่งขรึมและอำนาจอันน่าเกรงขาม
“ท่านบาสเตียน!” เสียงรายงานดังมาจากประตูห้องทำงาน ทหารหน่วยปักษานายหนึ่งรีบก้าวเข้ามา หายใจหอบอย่างร้อนรน “มีรายงานว่าพบท่านหญิงโคลอี้แล้วครับ!”
บาสเตียนชะงักไปครู่หนึ่ง มือที่กำลังพลิกเอกสารชะงักค้าง ดวงตาสีเขียวเข้มเบิกกว้างด้วยความตกใจ ก่อนจะเปลี่ยนเป็นประกายแห่งความยินดีอย่างรวดเร็ว “เจ้าว่าอะไรนะ?” เขาเอ่ย น้ำเสียงสั่นเล็กน้อยด้วยความตื่นเต้น “พูดมา... นางอยู่ที่ไหน?”
เขาลุกขึ้นจากเก้าอี้ทันที ความหวังและความโล่งใจไหลบ่าเข้ามาแทบทะลักล้น ดวงตาของเขาฉายแววแห่งความดีใจและเฝ้ารอคำตอบอย่างใจจดใจจ่อ
“ชาวบ้านในตลาดเห็นนางเดินอยู่กับชายหนุ่มคนหนึ่ง... พวกข้าได้นำตัวมาที่ป้อมแล้วครับ” ทหารรายงานด้วยเสียงที่เต็มไปด้วยความระมัดระวัง “และใบหน้าของนาง... เหมือนกับในภาพวาดไม่มีผิดเพี้ยนครับ”
บาสเตียนพยักหน้าช้าๆ ดวงตาฉายแววเคร่งขรึม แต่ภายในเต็มไปด้วยคลื่นอารมณ์ที่แผ่กระจาย “พาท่านหญิงมาที่ห้องรับรอง... อย่าให้ใครล่วงรู้เรื่องนี้ก่อนที่ข้าจะตัดสินใจ” เขาหยุดชั่วครู่เพื่อคิดอย่างรอบคอบ “และอย่าเพิ่งแจ้งข่าวถึงท่านเสนาฯเอริคจนกว่าข้าจะสั่งการอีกครั้ง”
“รับทราบครับ” ทหารค้อมศีรษะอย่างเคารพ ก่อนจะถามด้วยน้ำเสียงลังเลเล็กน้อย “แล้วชายที่อยู่กับนางล่ะครับ...?”
บาสเตียนหันกลับมาสบตานายทหาร น้ำเสียงเด็ดขาดแต่เปี่ยมไปด้วยความใคร่รู้ “ให้เขามาด้วย ข้าต้องการรู้ว่าเขาเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้อย่างไร” เขาเอ่ย พลางสวมเสื้อคลุมสีเทาเข้ม
เมื่อทหารนายนั้นจากไป บาสเตียนเดินไปยังหน้าต่าง มองออกไปยังผืนป่าเขียวขจีที่ทอดยาวสุดสายตา แสงแดดอ่อนสาดผ่านยอดไม้ เกิดเงาไหวเบาๆ เขายืนนิ่ง ครุ่นคิดถึงปริศนาที่ยังค้างคาในใจ “หนึ่งเดือนกว่าแล้ว...” เขาพึมพำ น้ำเสียงแฝงความสับสนและความรู้สึกหลากหลาย “เจ้าไปอยู่ที่ไหนมา... โคลอี้?”
สายลมพัดผ่านเบาๆนำพากลิ่นไม้ป่าลอยมาแตะจมูก ชายหนุ่มยังคงยืนเงียบเหม่อมอง ราวกับพยายามค้นหาคำตอบจากสายลมและเงาไม้เบื้องหน้า
ทหารนำตัวคนทั้งคู่เข้ามาในห้อง โคลอี้ในสภาพที่มอมแมมไปด้วยคราบฝุ่นและเหงื่อไคลจากการเดินทาง แต่สำหรับบาสเตียน ความสกปรกเหล่านั้นไม่อาจบดบังความทรงจำที่ถูกสลักไว้ในห้วงลึกของหัวใจ
ดวงตาสีเขียวเข้มของเขาเบิกกว้างด้วยความตกใจ ก่อนจะหรี่ลงพร้อมกับความรู้สึกพลุ่งพล่านที่ซ่อนอยู่เบื้องหลัง
“ท่านหญิง...” เขาก้าวเข้ามาใกล้ “ในที่สุดก็พบตัวท่านเสียที โคลอี้...” บาสเตียนเอ่ยเสียงนุ่ม ดวงตาสีเขียวเข้มฉายแววปีติที่ได้พบนางอีกครั้ง “หนึ่งเดือนที่ผ่านมา... ทุกคนเป็นห่วงท่านยิ่งนัก”
เธอนั่งนิ่งอยู่บนเก้าอี้ไม้แกะสลัก กาเบรียลยืนพิงผนังไม่ไกล สายตาจับจ้องทุกความเคลื่อนไหวในห้อง
“มีคนพบเห็นท่านหนีออกจากโรงเรียนการเรือน ก่อนที่จะมีข่าวว่าโจรสลัดธงดำจับตัวท่านไป...” บาสเตียนเว้นจังหวะเล็กน้อย ดวงตาจับจ้องมาที่เธอ “ท่านจำอะไรได้บ้างหรือไม่?”
“ข้า... ข้าจำไม่ได้” เธอก้มหน้า มือกำชายกระโปรงแน่น “ตอนที่ตื่นมา ข้าพบว่าตัวเองได้รับบาดเจ็บที่ศีรษะและความทรงจำก็หายไป ทุกอย่างมืดมนไปหมด”
บาสเตียนขมวดคิ้วเล็กน้อย ดวงตาสีเขียวเข้มฉายแววครุ่นคิด “บาดเจ็บที่ศีรษะ...” เขาทวนคำพูดของเธอช้าๆ
ชายหนุ่มเดินกลับไปที่โต๊ะทำงาน จุ่มปากกาขนนกลงในหมึก “ไม่เป็นไร... อย่างน้อยตอนนี้ท่านก็ปลอดภัยแล้ว” เขาเริ่มเขียนจดหมาย “ข้าต้องรีบส่งข่าวถึงท่านเสนาเอริค... บิดาของท่านที่คฤหาสน์มรกตคงดีใจยิ่งนัก”
แม้จะก้มหน้าเขียน แต่สายตาของบาสเตียนก็แวบขึ้นมามองนางเป็นระยะ ราวกับมีคำถามมากมายที่อยากถาม แต่เลือกที่จะเก็บงำไว้
“ในระหว่างนี้... ท่านต้องพักอยู่ที่ป้อมปักษาเพื่อความปลอดภัย” แล้วหันไปทางกาเบรียล “ส่วนเจ้า... ข้าต้องขอให้เจ้ากลับบ้านไปก่อน”
“ไม่!” เธออุทานออกมาโดยไม่ทันคิด ทำให้บาสเตียนชะงัก
“ท่านหญิง?”
“ข้า... ข้าต้องการให้เขาอยู่” เธอรีบแก้ตัว “เขาช่วยชีวิตข้าไว้... ข้าจะรู้สึกปลอดภัยกว่าถ้ามีเขาอยู่ด้วย”
บาสเตียนนิ่งไปครู่หนึ่ง ในดวงตาฉายแววครุ่นคิด แต่เขาก็เพียงพยักหน้า “ตามที่ท่านต้องการ”
ไกลออกไป เสียงระฆังบอกยามบ่ายดังก้องไปทั่วเมือง ถนนปูหินคดเคี้ยวทอดยาวผ่านตลาดที่เต็มไปด้วยผู้คนและเสียงเจรจาซื้อขาย ที่ไหนสักแห่งในเมืองที่วุ่นวายนี้ ความจริงที่แท้จริงของท่านหญิงโคลอี้กำลังรอการค้นพบ…
ความคิดเห็น