ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Let's change! ตอนจบนั้น เปลี่ยนฉันให้รักเธอ

    ลำดับตอนที่ #5 : Whispers of Hope

    • อัปเดตล่าสุด 12 พ.ย. 67


    บาสเตียนสูดลมหายใจลึก ปล่อยให้สายลมเย็นพัดผ่านใบหน้า ขณะที่ยืนอยู่ตรงระเบียงหินอ่อนของกรมการแพทย์ ดวงตาจ้องมองไปยังท้องทะเลกว้าง ราวกับหวังว่าคำตอบที่เขาตามหาอยู่จะลอยมากับเกลียวคลื่น เสียงคลื่นซัดเข้าฝั่งปะปนกับความคิดที่ว้าวุ่น สามสัปดาห์แล้วที่โคลอี้หายตัวไป สามสัปดาห์ที่เขาใช้ชีวิตอย่างคนไร้หัวใจ มีแต่ความหวาดกลัวและความทรงจำที่ตามหลอกหลอน

    ภาพของโคลอี้ในชุดนักเวทสีขาวบริสุทธิ์ยังคงตราตรึงในความทรงจำ วันนั้นนางได้รับการยกย่องให้เป็นนักเวทรักษาที่เก่งกาจที่สุดของอาณาจักรด้วยวัยเพียงสิบห้าปี ใบหน้าเปื้อนรอยยิ้มที่เต็มไปด้วยความหวังและดวงตาที่ส่องประกายเสมอ ยามกล่าวถึงชายผู้เป็นที่รัก... ผู้การคาออส

    “ขออนุญาตครับท่าน” บาสเตียนเคาะประตูห้องทำงานของเสนาธิการเอริค มือกำม้วนกระดาษที่เพิ่งได้รับมาแน่น

    “เข้ามา” เสียงของเสนาธิการเอริคขัดความคิดของเขา บาสเตียนสะบัดหัวเพื่อดึงตัวเองกลับสู่ปัจจุบัน ก่อนจะเปิดประตูเข้าไป ภายในห้องที่อบอวลด้วยกลิ่นหมึกและกระดาษ เสนาธิการเอริคยืนพิงโต๊ะ แววตาเต็มไปด้วยความเหนื่อยล้า แผนที่ทะเลขนาดใหญ่ที่ปูทั่วโต๊ะ รอยวงแดงถูกขีดวนรอบเส้นทางต่างๆที่อาจเป็นไปได้ “มีอะไรรึ?” ท่านถามพลางมองบาสเตียนอย่างมีความหวัง

    “ข้าพบหลักฐานใหม่ครับ” บาสเตียนคลี่ม้วนกระดาษออก มือสั่นเล็กน้อย ธงสีดำที่ถูกฉีกขาดปรากฏอยู่เบื้องหน้า มีสัญลักษณ์หัวกะโหลกสีเงินประดับอยู่

    “เรือธงดำ...” เสียงของเขาแผ่วเบา “มันคือสัญลักษณ์ของโจรสลัดที่ล่าผู้มีพลังเวทไปเป็นเชลย”

    เอริคชะงัก ใบหน้าซีดเผือด “เรือธงดำ...” เขาพึมพำเสียงแผ่ว “เป็นไปไม่ได้...”

    “ใช่ครับ” บาสเตียนวางผืนธงลง ก่อนจะหยิบเข็มกลัดหยกรูปดอกไม้ขึ้นมา... เครื่องประดับชิ้นเล็กที่เอริคมอบให้โคลอี้ตั้งแต่วัยเยาว์ เข็มกลัดที่เปล่งประกายสีเขียวอ่อนระยับ ซึ่งติดอยู่บนชุดของนางเสมอมา “แต่สิ่งที่ทำให้แน่ใจ คือเข็มกลัดหยกของโคลอี้ที่ถูกทิ้งไว้พร้อมกันครับ”

    “เรือธงดำ...” เอริคทรุดตัวลงนั่งอย่างหมดเรี่ยวแรง เสียงแหบพร่าด้วยความหวาดหวั่น “โจรสลัดที่แม้แต่ตัวตนของกัปตันก็ยังเป็นปริศนา...”

    กัปตันเรือธงดำสวมชุดดำสนิทตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า ผู้ซ่อนใบหน้าไว้ใต้หน้ากากหัวกะโหลกโลหะที่เปล่งประกายวาววับดุจเงินยามต้องแสง ว่ากันว่าเขาเป็นอดีตนักเวทผู้ทรงพลัง ที่ถูกราชอาณาจักรเนรเทศออกจากอาณาจักรด้วยข้อหาทรยศ และตอนนี้กำลังรวบรวมผู้มีพลังเวทเพื่อจุดประสงค์บางอย่าง...

    บาสเตียนพยักหน้า นึกถึงเรื่องเล่าที่เคยได้ยิน เรื่องของเรือลำใหญ่สีดำสนิทที่แล่นผ่านคลื่นลมราวกับเงา ไม่มีใครเคยเห็นลูกเรือ มีเพียงเสียงกระซิบถึงชายในชุดดำที่สวมหน้ากากหัวกะโหลกและเหล่าทหารที่ไร้ใบหน้า

    “และท่านครับ...” บาสเตียนกลืนน้ำลาย “ข้าได้ข่าวจากคนแถวท่าเรือว่า... โคลอี้ไม่ได้ถูกลักพาตัวไป แต่นางตั้งใจออกจากโรงเรียนเอง”

    “อะไรนะ?” เอริคลุกพรวดขึ้น “เป็นไปไม่ได้ นางกำลังจะจบการศึกษาแล้ว...”

    “มีคนเห็นโคลอี้ที่ท่าเรือ” บาสเตียนรายงานต่อ หัวใจเจ็บปวดที่ต้องพูดประโยคต่อไป “นางถามหาเส้นทางไปหาผู้การคาออส”

    “คาออสเหรอ?” เอริคขมวดคิ้ว “แต่เขากำลังออกลาดตระเวนอยู่แถบทะเลทางใต้ จะมาที่นี่ได้ยังไง?”

    “หน่วยปักษาภาคพื้นรายงานว่ามีคนเห็นนางที่ท่าเรือ กำลังถามหาเส้นทางไปหาเขา...” บาสเตียนหยุดชั่วครู่ “แต่หลังจากนั้นก็มีคนเห็นเรือลำใหญ่สีดำแล่นผ่าน... และโคลอี้ก็หายตัวไป”

    เอริคลุกขึ้นยืนกะทันหัน “นี่มันบ้าชัดๆ! ทำไมลูกสาวข้าถึงได้...” ท่านชะงัก เมื่อสังเกตเห็นบางอย่างบนผืนธง “นี่มัน...”

    บาสเตียนก้มลงมอง เห็นตัวอักษรสีเงินเล็กๆ ที่ปักอยู่ที่มุมธง “อะไรหรือครับ?”

    “ตัวอักษรพิเศษ... เป็นรหัสที่ใช้ในกองทัพเรือ” เอริคขมวดคิ้ว “แต่มันถูกดัดแปลง... เหมือนกับว่า...”

    “เหมือนกับว่าอะไรครับ?”

    “เหมือนกับว่าคนที่เขียนมันต้องการจะบอกอะไรบางอย่าง” เอริคจ้องมองรหัสนั้นเขม็ง “บาสเตียน แจ้งข่าวแก่ผู้การคาออสให้มาพบข้าโดยเร็วที่สุด บางทีเขาอาจจะอ่านมันออก”

    เอริคขมวดคิ้ว ก้มลงพิจารณารหัสนั้นอย่างถี่ถ้วน “แต่มันแปลกเกินไป ราวกับว่า... ราวกับว่าใครบางคนตั้งใจทิ้งมันไว้ให้เราพบ”

    “ส่งคนไปสืบเพิ่มแถวท่าเรือ บางทีอาจมีคนเห็นว่าเรือของพวกมันแล่นไปทางไหน”

    “และบาสเตียน...” เอริคเงยหน้าขึ้นมอง น้ำเสียงสั่นเครือ “เจ้าคิดว่า... น้องยังปลอดภัยไหม?”

    บาสเตียนนึกถึงรอยยิ้มสดใสของโคลอี้ นึกถึงวันที่นางในวัยเยาว์ใช้พลังเวทรักษาแผลให้เขาครั้งแรก แสงสีทองอ่อนๆจากมือและความอบอุ่นที่แผ่ซ่านไปทั่วร่าง วันที่เขารู้ว่าตัวเองตกหลุมรัก... แต่ก็ได้แต่เก็บงำความรู้สึกไว้ เพราะรู้ว่าหัวใจของนางเป็นของคาออสมาตั้งแต่แรก

    คำถามของเอริคทำให้หัวใจเขากระตุก ความกังวลและความหวาดกลัวที่ซ่อนอยู่ในใจปะทุขึ้นมา แต่เขาต้องแสดงความเข้มแข็งเพื่อเอริค เพื่อทุกคนที่ฝากความหวังไว้ที่เขา

    “โคลอี้เข้มแข็งกว่าที่พวกเราคิดครับ” เขาตอบ น้ำเสียงพยายามให้มั่นคงที่สุด แม้ว่าความกลัวจะกัดกินหัวใจ “นางมีพลังเวทที่แข็งแกร่ง... และถ้านางตั้งใจจะไปหาผู้การคาออส ข้าคิดว่านางต้องมีเหตุผลบางอย่าง”

    เอริคจ้องมองบาสเตียน สีหน้าของท่านผสมผสานระหว่างความหวังและความสิ้นหวัง ความเป็นพ่อทำให้ท่านไม่อาจสงบใจได้ นี่คือบุตรสาวที่ท่านรักที่สุด เป็นแสงสว่างเดียวที่เหลือในชีวิต

    “ข้าหวังว่าเจ้าจะพูดถูก” เอริคเอ่ยเบาๆ “เพราะถ้านางตกอยู่ในเงื้อมมือของพวกมันจริงๆ... พวกมันจะไม่ปรานี”

    บาสเตียนพยักหน้า ก่อนจะยืนตัวตรง “ข้าจะตามหานางให้เจอครับ ไม่ว่าจะต้องแลกด้วยอะไร”

    เอริคพยักหน้า สีหน้าหนักแน่นขึ้นเล็กน้อย “ขอบใจมาก บาสเตียน... ข้าฝากชีวิตของนางไว้กับเจ้า” เสียงของท่านเจือความหวังและความหนักแน่นในเวลาเดียวกัน ราวกับฝากความหวังสุดท้ายไว้ในมือของผู้ที่เขาไว้วางใจที่สุด

    "ข้าจะไม่ทำให้ท่านผิดหวัง" บาสเตียนตอบด้วยน้ำเสียงหนักแน่นเช่นกัน ก่อนจะหมุนตัวก้าวออกจากห้อง ดวงตาฉายแววมุ่งมั่นและเต็มไปด้วยความตั้งใจที่แน่วแน่ สัญญาในใจดังก้องว่าเขาจะทำทุกอย่างเพื่อปกป้องชีวิตของนางให้ได้

    เมื่อประตูปิดลง เสียงฝีเท้าของชายหนุ่มร่างสูงโปร่งก้องไปตามทางเดินหินอ่อน หัวใจที่เจ็บปวดจากความคิดถึงและความกลัวในชะตากรรมของโคลอี้ทำให้เขาแน่นอก แต่เขารู้ดีว่าต้องสู้ต่อไปเพื่อช่วยเหลือนางให้ได้ ไม่ว่าอุปสรรคข้างหน้าจะเป็นเช่นไร...

     

    บรรยากาศในห้องทำงานของคาออสถูกปกคลุมด้วยความเงียบ เสียงฝนโปรยปรายจากฟากฟ้ากระทบกับกระจกหน้าต่างเบาๆ หยดน้ำเกาะพราว ราวกับเป็นน้ำตาที่ไหลรินจากหัวใจที่ถูกปิดกั้นไว้

    “บอกตามตรงสิ” อัสตินเอ่ยขึ้น ขณะที่พวกเขานั่งเงียบๆอยู่ท่ามกลางกองเอกสารที่กระจัดกระจาย "ทำไมโคลอี้ถึงยังไม่ใช่?"

    คาออสหยุดเขียน หันมองออกไปนอกหน้าต่างที่พร่ามัวด้วยหยาดน้ำฝน ลมหายใจยาวถูกถอนออกช้าๆ ราวกับพยายามปลดปล่อยความเจ็บปวดที่กักขังในอก “บางที... เรื่องของหัวใจมันอาจไม่มีคำอธิบาย” น้ำเสียงของเขาแผ่วเบาและหนักอึ้ง

    เสียงฝนกระทบกระจกดังกว่าเดิม คล้ายกับว่าธรรมชาติกำลังร่ำไห้ให้กับความรู้สึกที่ไม่มีวันสมหวัง

    “แล้วเจ้าจะทำอย่างไรต่อไป?” อัสตินถามต่อ ดวงตาฉายแววห่วงใย

    “ทำตามหน้าที่ของข้า” คาออสตอบเสียงเยือกเย็น แม้ดวงตาจะฉายแววอ่อนล้า “แต่งงานกับนาง รักษาเกียรติของวงศ์ตระกูล เป็นสามีที่ดี... และปล่อยให้หัวใจว่างเปล่าไปชั่วชีวิต”

    คำพูดของคาออสทำให้อัสตินนิ่งงัน เขาจ้องมองเพื่อนรักที่ดูเหมือนถูกพันธะหน้าที่และความหวังของคนอื่นพันธนาการไว้แน่น “เจ้าไม่เคยคิดถึงตัวเองบ้างเลยหรือ คาออส? ไม่เคยคิดอยากไขว่คว้าความสุขของตัวเองบ้างหรือ?”

    คาออสหัวเราะออกมา เสียงหัวเราะที่แสนขื่นขม “ความสุขของข้าเหรอ? ข้าไม่แน่ใจว่ามันมีอยู่จริง”

    อัสตินเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะพูดขึ้นช้าๆ “ข้ารู้... ข้าเห็นเจ้าหลายครั้ง ยืนมองออกไปไกล... เหมือนกำลังรอคอยสิ่งที่ไม่มีวันมาถึง หรือบางที... ใครบางคนที่เจ้าไม่รู้ว่าเขามีอยู่จริง”

    คาออสมองกลับมาด้วยดวงตาที่ลึกล้ำและเต็มไปด้วยความโหยหา “ข้ารู้สึกว่ามีบางอย่างขาดหายไป บางสิ่งที่ไม่เคยมีอยู่จริง แต่ข้ากลับโหยหามันจนแทบจะทนไม่ได้”

    “แปลกดีนะ...” คาออสเอ่ยต่อ น้ำเสียงแผ่วเบา “ที่เราจะคิดถึงคนที่เราไม่เคยพบ หรือฝันถึงอ้อมกอดที่ไม่เคยมีอยู่จริง”

    อัสตินมองเขาด้วยความเข้าใจลึกซึ้ง “เจ้ากำลังพูดถึงความรักที่แท้จริง”

    “บางที...” คาออสตอบ แต่แววตาของเขาฉายความสับสน “ในความฝัน ข้ามักได้ยินเสียงหัวเราะที่ไม่คุ้นเคย มองเห็นดวงตาที่ข้าไม่เคยพบ มันเหมือนวิญญาณของใครบางคนกำลังเรียกหา แต่ข้าก็ไม่รู้ว่าคืออะไร”

    “แล้วโคลอี้ล่ะ?” อัสตินถามด้วยน้ำเสียงเบา

    คาออสนิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะตอบ “นางเป็นผู้หญิงที่ดี งดงามทั้งกายใจ นางเหมือนน้องสาวที่ข้าต้องดูแล...”

    “แต่ไม่ใช่คนที่เจ้ารอคอยใช่ไหม?” อัสตินคาดคั้น

    คาออสหลบตา มือกุมขอบหน้าต่าง “ข้าไม่มีสิทธิ์จะรอคอยอะไรอีกแล้ว... หน้าที่ของข้าถูกกำหนดไว้แล้วตั้งแต่แรกเกิด”

    ความเงียบเข้าครอบงำชั่วขณะ มีเพียงเสียงฝนกระทบกระจกเบาๆ และลมพัดผ่านระเบียงที่ยังคงพาเอากลิ่นเกลือทะเลมาด้วย คาออสหลับตา ความโหยหาในอกหนักหน่วงจนแทบหายใจไม่ออก

    “ขอให้มีใครสักคนที่ทำให้ทุกอย่างมีความหมาย” เขากระซิบอีกครั้ง ราวกับพยายามย้ำความหวังให้กับตัวเอง แม้จะรู้ดีว่าความหวังนี้เปราะบางเพียงใด

    อัสตินมองเพื่อนรักของตน ความเงียบสงบที่แสนหนักอึ้งนั้นเหมือนกับเป็นเงามืดที่คอยกลืนกินทุกความหวังที่ยังคงเหลืออยู่ในดวงตาของคาออส

    “บางทีเจ้าอาจต้องสร้างความหมายของตัวเองขึ้นมา แทนที่จะรอให้โชคชะตากำหนดให้”

    คาออสเปิดเปลือกตา ดวงตาคู่นั้นยังคงเหม่อมองออกไปไกล “เจ้าหมายความว่าอย่างไร?”

    “ข้าหมายถึง... เจ้าต้องกล้าที่จะปล่อยวางพันธะบางอย่าง หากมันเป็นเพียงโซ่ตรวนที่ผูกมัดหัวใจ” อัสตินกระซิบ “เจ้าไม่อาจเปลี่ยนทุกสิ่งได้หรอก แต่เจ้าสามารถเลือกที่จะเป็นตัวของตัวเอง เลือกที่จะเปิดใจให้ใครบางคน”

    คาออสส่ายหน้าเล็กน้อย “มันง่ายนักหรือ?”

    “ไม่” อัสตินตอบเสียงหนักแน่น “มันไม่ง่ายเลย... แต่ข้าคิดว่าเจ้ารู้ดี ว่าไม่มีอะไรคุ้มค่าที่ได้มาง่ายๆหรอก ใช่ไหม?”

    คาออสพยักหน้า แต่แววตาเขายังคงไหวระริก ราวกับพยายามซ่อนความกลัว ความหวาดหวั่น และความฝันที่ยังไม่เป็นจริงไว้ในใจ

    “ข้ากลัว...” คาออสเอ่ยเสียงแผ่ว ราวกับคำสารภาพที่ยากจะพูดออกมา “กลัวว่าถ้าข้าเผลอปล่อยให้หัวใจเปิดออก ข้าอาจสูญเสียทุกอย่างที่ข้าพยายามปกป้องและรักษาไว้มาตลอด”

    “เจ้าก็แค่เป็นคนธรรมดาคนหนึ่ง... มีสิทธิ์ที่จะรักและเจ็บปวด” อัสตินพูดเบาๆ “เจ้าก็เป็นแค่คนที่ต้องการความหมายในชีวิต เหมือนกับเราทุกคน”

    ฝนยังคงตกโปรยปรายไม่ขาดสาย อัสตินถอนหายใจเบาๆ มองไปยังเพื่อนรักที่ยังคงจมอยู่ในความคิด เขาหวังลึกๆ ว่า คาออสจะเข้าใจสิ่งที่เขาพยายามบอก... แม้เพียงสักนิดเดียวก็ตาม

    “โลกนี้กว้างใหญ่เกินกว่าที่หัวใจเดียวจะเผชิญได้เพียงลำพัง”

    “บางที...” อัสตินกระซิบ “เราต้องมีความหวังว่าโชคชะตาจะพาเรามาพบกับคนที่ใช่ ในเวลาที่เหมาะสม แม้ว่ามันจะดูเหมือนเป็นไปไม่ได้ในตอนนี้”

    คาออสมองออกไปยังท้องฟ้ายามค่ำคืน ดวงดาวส่องแสงริบหรี่เหมือนคำสัญญาที่ห่างไกล “เจ้าเชื่อในโชคชะตาไหม อัสติน?”

    “ข้าเชื่อว่า...” อัสตินยิ้มบางๆ “ทุกหัวใจมีคู่แท้ของมัน... และไม่มีสิ่งใดจะพรากพวกเขาออกจากกันได้ ไม่ว่าเวลาหรือระยะทาง”

    คาออสหลับตาลงอีกครั้ง เสียงลมและฝนยังคงพัดผ่านราวกับบทเพลงเศร้าของโชคชะตาและในใจเขา อาจมีความหวังริบหรี่ที่พยายามจะจุดประกายขึ้นมาใหม่อีกครั้ง แม้มันจะเปราะบางเพียงใดก็ตาม

     

    เซเรน่ายืนอยู่ที่ระเบียงคฤหาสน์ธาเอรอฟ มองดูคาออสที่กำลังฝึกดาบกับราจิส พี่ชายของนางในสนามด้านล่าง แสงแดดสาดส่องลงมาบนร่างสูงในชุดฝึก หยดเหงื่อเป็นประกายวับจับต้องร่างที่แข็งแกร่ง ทุกการเคลื่อนไหวของเขาดูมั่นคงและหนักแน่นราวกับสายลมและแสงแดดต่างก็ยอมให้เขาเป็นศูนย์กลางของทุกสิ่ง

    “พี่คาออส...” นางกระซิบเบาๆ มือกำราวระเบียงแน่นจนข้อนิ้วขาวซีด ดวงตาคู่นั้นจ้องเขาไม่วางตา เหมือนกับว่าหากนางคลาดสายตาเพียงชั่วขณะ เขาอาจหายไปตลอดกาล

    “แอบมองเขาอีกแล้วเหรอ?” เสียงของเซย์นดังขึ้นข้างหลัง ทำให้เซเรน่าสะดุ้งเล็กน้อย

    “เซย์น! เจ้าทำให้ข้าตกใจนะ” นางหันไปสบตาลูกพี่ลูกน้องผู้คุ้นเคย สีหน้าไม่ปิดบังความลำบากใจที่ถูกจับได้

    “ขอโทษที... แต่ข้าเห็นเจ้ามองเขาแบบนี้มาไม่รู้กี่ครั้งแล้ว” เซย์นพูดพลางมองตามสายตานางไปยังคาออสที่กำลังหัวเราะกับราจิส “เจ้าชอบเขามานานแค่ไหนแล้วนะ?”

    เซเรน่าก้มหน้าลง รอยยิ้มเจื่อนปรากฏขึ้นบนริมฝีปาก “ตั้งแต่วันที่เขาช่วยข้าไว้... ตอนที่เกือบจมน้ำ”

    “สิบสองปีที่แล้วเหรอ?” เซย์นถอนหายใจ “ตอนนั้นเจ้าแค่เด็กน้อย...”

    “แต่ข้าจำได้ทุกอย่าง” เซเรน่าหลับตา นึกถึงวันนั้น “ความอบอุ่นของอ้อมแขนเขา เสียงหัวใจที่เต้นแรงตอนที่เขากอดข้าไว้แน่น กลิ่นทะเลบนเสื้อผ้า... และรอยยิ้มของเขาตอนที่ข้าลืมตาขึ้นมา”

    ทุกครั้งที่เห็นชายหนุ่ม หัวใจของนางจะเต้นแรง ราวกับจะหลุดออกมาจากอก แต่ต้องเก็บมันไว้ ต้องซ่อนมันในมุมที่ลึกที่สุดของใจ เพราะเขาไม่ใช่ของนาง... และอาจไม่มีวันเป็นของนาง

    “ข้ารู้ว่าเขากำลังจะแต่งงานกับโคลอี้” เซเรน่ากล่าวพลางพยายามฝืนยิ้ม ดวงตาเต็มไปด้วยความเจ็บปวดที่แผ่วเบา “และข้าจะยืนข้างเขาเหมือนที่เคยทำ... แม้ว่าเขาจะไม่หันมามองข้าสักครั้งก็ตาม”

    "เจ้าไม่สมควรต้องเจ็บปวดเช่นนี้ เซเรน่า" เซย์นเอ่ย น้ำเสียงอบอุ่น “ความรักของเจ้าลึกซึ้ง... แต่บางทีเจ้าอาจต้องปล่อยวางเพื่อรักษาตัวเอง”

    เซเรน่ามองดูแหวนหมั้นบนนิ้วของโคลอี้ทุกครั้งที่อีกฝ่ายมาที่คฤหาสน์ มันเหมือนมีดที่ทิ่มแทงหัวใจซ้ำๆ แต่นางก็ต้องยิ้ม ต้องแสดงความยินดี... เพราะนั่นคือหน้าที่ของท่านหญิงคนเล็กแห่งตระกูลธาเอรอฟ

    “บางครั้ง... แค่ได้รักเขาก็พอแล้ว” เซเรน่าตอบเบาๆ ดวงตาจับจ้องไปยังคาออสอีกครั้ง 

    “แล้วทำไมไม่บอกเขาเสียล่ะ? เขาจะไม่มีทางรู้เลย... ถ้าเจ้าไม่เอ่ยปากกับเขา”

    “เพราะข้ารู้ว่าเขาไม่เคยมองข้าแบบนั้น” น้ำตาเอ่อขึ้นในดวงตาสีเขียวมรกต “ในสายตาเขา ข้าเป็นแค่น้องสาวของเพื่อน... แค่เด็กน้อยที่เขาเคยช่วยชีวิตไว้”

    ภาพความทรงจำย้อนกลับไปในวันวาน... วันที่นางเพิ่งอายุหกขวบ ร่างเล็กๆที่กำลังจมน้ำในทะเลสาบ ความมืดที่กำลังจะกลืนกิน... แต่แล้วจู่ๆ อ้อมแขนแกร่งก็โอบรับเด็กน้อยไว้

    ‘ไม่เป็นไรแล้ว... พี่อยู่นี่’ เสียงแตกหนุ่มของคาออสวัย 11 ปีกระซิบข้างหู

    นั่นคือครั้งแรกที่หัวใจดวงน้อยๆของนางเต้นผิดจังหวะ

    “น่าขันจริง...” เซเรน่าพูดกับตัวเอง น้ำตาเอ่อคลอ “ที่แม้เวลาจะผ่านไปนานเพียงใด ความรู้สึกนี้ก็ไม่เคยจางหาย”

    หญิงสาวเฝ้ามองดูคาออส เห็นเขาเติบโตจากนายทหารหนุ่มสู่ผู้การเรือที่องอาจ เห็นเขาฝึกดาบกับราจิสพี่ชายของนาง เห็นรอยยิ้มที่สดใสและเสียงหัวเราะที่อบอุ่น

    เซเรน่าหลับตาลง นึกถึงทุกครั้งที่นางแอบมองเขาจากระเบียง ทุกครั้งที่พยายามทำขนมให้เขาชิม ทุกครั้งที่แกล้งทำเป็นบังเอิญเดินสวนทางกันและทุกครั้งที่ต้องยิ้มทั้งน้ำตาเมื่อได้ยินข่าวที่เขากำลังจะแต่งงานกับโคลอี้

    “ข้าโง่เอง...” นางกระซิบ เสียงสั่นเครือ “ที่คิดว่าสักวันท่านจะมองข้าต่างไป ที่คิดว่าการเป็นน้องสาวที่น่ารักจะทำให้ท่านหันมาสนใจ”

    สายลมพัดผ่านเบาๆ นำพากลิ่นหอมของดอกไม้ในสวนมากับความเงียบเหงา เซเรน่ายืนอยู่ตรงนั้น จมอยู่กับความรักที่นางรู้ดีว่าเป็นรักข้างเดียว ความรักที่เฝ้ารอคอยและไม่มีวันเป็นจริง แต่ถึงอย่างนั้น นางก็ยังเลือกที่จะรักเขาต่อไป

     

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×