คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : Danin's Turning Point
ช่วงปิดเทอมหน้าร้อน ปีการศึกษาที่สาม
ดานีนจำได้ว่าวันนั้นเป็นวันเสาร์... วันที่ชีวิตของเธอจะเปลี่ยนไปตลอดกาล
สายลมเย็นพัดผ่านเมืองใหญ่ สร้างความหนาวเหน็บเล็กๆ จนทำให้ผู้คนที่เดินไปมาบนถนนสอดมือเข้าไปในกระเป๋าเสื้อของตนเองเพื่อหาความอบอุ่น ดานีนกระชับเสื้อคลุมบางๆของเธอให้แน่นขึ้นขณะเดินข้ามทางม้าลาย ท่ามกลางความวุ่นวายของผู้คนและเสียงจอแจ เธออดนึกถึงพ่อไม่ได้ พ่อเคยพูดว่าเมืองนี้เปลี่ยนไปมากตั้งแต่สมัยที่ท่านยังหนุ่ม
“ถ้าพ่อยังอยู่ พ่อต้องภูมิใจในตัวหนูมากแน่ๆ” เธอพึมพำกับตัวเอง ขณะที่เดินผ่านตึกสูงที่สะท้อนแสงอาทิตย์ยามเย็น
หลังจากใช้เวลาอยู่กับโปรเจกต์หาวิทยาลัยช่วงปิดเทอมกับเพื่อนในคลาสทั้งวัน ดานีนขึ้นรถไฟใต้ดินกลับบ้านเช่นเคย จักรยานสีเหลืองคันเล็กของเธอจอดรออยู่ที่จุดจอดเหมือนทุกครั้ง แต่วันนี้…มีบางอย่างแปลกออกไป ขณะที่เธอปลดล็อกจักรยาน รู้สึกเหมือนมีสายตาจ้องมองจากที่ไกลๆ เมื่อเธอหันไปมองกลับพบเพียงเงาดำที่เคลื่อนหายไปอย่างรวดเร็ว ความรู้สึกหวาดระแวงพุ่งวูบ แต่เธอพยายามบอกตัวเองว่าอาจเป็นแค่ความเหนื่อยล้า
ดานีนปั่นจักรยานกลับบ้านเร็วกว่าปกติ จนกระทั่งมาถึงถนนทางเข้าหมู่บ้าน และนั่นคือจุดเริ่มต้นของทุกสิ่งที่เปลี่ยนไป จักรยานของเธอพุ่งชนเข้ากับใครบางคนที่โผล่มาจากเงามืดริมถนนอย่างกะทันหัน จนร่างของเธอล้มลงบนพื้นเย็นเฉียบ แต่สิ่งที่เกิดขึ้นกลับทำให้ดานีนขนลุก… คนที่เธอชนหายวับไปต่อหน้าต่อตา ราวกับภาพลวงตา
“ขอโทษค่ะ…ขอโทษจริงๆ” เธอพึมพำแม้จะไม่มีใครอยู่ตรงนั้น ความสับสนและความกลัวเริ่มก่อตัวขึ้นในใจ
พลันสายตาของเธอเหลือบไปเห็นบางสิ่งบนพื้น…แสงวิบวับจากกำไลทับทิมดึงดูดความสนใจ กำไลนี้ดูไม่เหมือนเครื่องประดับธรรมดา ทับทิมเจ็ดเม็ดเรียงตัวกันเป็นรูปดาวเจ็ดแฉก แสงจากมันดูมีชีวิตชีวา
ดานีนหยิบมันขึ้นมาและทันใดนั้น ภาพความทรงจำของพ่อก็แวบเข้ามาในหัว
‘นีน…พ่อมีเรื่องจะเล่าให้ฟัง’ เสียงของพ่อดังก้องอยู่ในใจ เป็นเสียงที่เธอได้ยินเพียงไม่กี่วันก่อนที่เขาจะจากไป ‘ในโลกนี้มีความลับมากมายที่เราไม่เคยรู้ บางครั้ง…มันเกินกว่าจะเข้าใจ แต่ถ้าวันหนึ่งลูกต้องเผชิญกับมัน…จงเชื่อมั่นในตัวเอง’
ตอนนั้นเธอไม่เข้าใจว่าทำไมพ่อถึงพูดแบบนั้น แต่ตอนนี้ เธอเริ่มรู้สึกว่ามันอาจจะมีความหมายบางอย่าง
“คงมีคนทำตกไว้ ค่อยเอาไปให้ที่สถานีผู้พิทักษ์พรุ่งนี้ดีกว่า” เธอบอกกับตัวเอง แต่ลึกๆรู้ว่านี่ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ
เมื่อกลับถึงบ้าน มาเซลรออยู่ที่ประตูเหมือนทุกวัน แต่วันนี้... สีหน้าของแม่ดูแปลกไป
“แม่คะ?” ดานีนถามเมื่อเห็นว่าแม่จ้องมองไปที่กระเป๋าสะพายของเธอที่ซ่อนกำไลไว้
“ไม่มีอะไรจ้ะ” มาเซลพยายามยิ้ม แต่รอยยิ้มนั้นแฝงความกังวล “แค่รู้สึกเหมือนวันนี้จะมีอะไรแปลกๆ”
ทั้งสองทานข้าวเย็นด้วยกันเหมือนทุกวัน แต่บรรยากาศดูอึดอัดกว่าปกติ มาเซลเหม่อลอยหลายครั้งและดานีนก็สังเกตเห็นว่าแม่มองมาที่กระเป๋าของเธออยู่บ่อยๆ
คืนนั้น ดานีนฝัน… ในความฝันเธอได้ยินเสียงของพ่ออีกครั้ง
‘บางครั้ง ชะตากรรมก็เลือกเราเอง นีน… และเมื่อถึงเวลานั้น เราต้องกล้าที่จะเผชิญหน้ากับมัน’
เธอตื่นขึ้นมาพร้อมกับเหงื่อเย็นและพบว่ากำไลนั้นสวมอยู่ที่ข้อมือของเธอแล้ว ทับทิมทั้งเจ็ดเม็ดเรืองแสงอ่อนๆ ในความมืด เหมือนกำลังบอกว่า การเดินทางของเธอกำลังจะเริ่มต้นขึ้น
ดานีนพยายามถอดกำไลออก แต่ไม่สำเร็จ มันเหมือนถูกหลอมรวมเป็นส่วนหนึ่งของผิวหนังไปแล้ว เธอสัมผัสได้ถึงพลังบางอย่างที่แผ่ซ่านออกมาจากทับทิมทั้งเจ็ดเม็ด
รุ่งเช้า เธอสวมเสื้อแขนยาวเพื่อปิดบังกำไล แต่สายตาของมาเซลกลับจับจ้องไปที่ข้อมือเธอทันที เหมือนรู้ว่ามันอยู่ตรงนั้น
“นีน...” มาเซลเอ่ยเสียงสั่น “วันนี้... อย่าออกไปไหนเลยนะลูก”
“ทำไมคะแม่?”
“แม่แค่...” มาเซลชะงัก น้ำตาเอ่อขึ้นมาในดวงตา “แค่รู้สึกไม่ค่อยดี”
แต่ดานีนมีนัดกับเพื่อนที่ห้องสมุดเพื่อสรุปงานโปรเจกต์ให้เสร็จก่อนส่งโปรเฟสเซอร์ เธอไม่อยากผิดนัดจึงตัดสินใจออกจากบ้าน แม้ว่าจะเห็นความกังวลในดวงตาของแม่ที่พยายามห้ามเธอสุดความสามารถ
“ระวังตัวด้วยนะลูก” เสียงของมาเซลสั่นเครือ “แม่รักหนูนะ...”
ตอนนั้นเธอไม่เคยรู้เลยว่า ในใจของแม่ซ่อนความหวาดกลัวไว้มากเพียงใด…
“ดานีน”
เสียงเรียกจากด้านหลังทำให้ดานีนหยุดชะงักขณะที่กำลังเดินออกจากห้องสมุดในยามค่ำคืน เสียงนั้นฟังดูคุ้นเคยจนเธอต้องหันกลับไป แต่สิ่งที่เห็นกลับเป็นใบหน้าที่ไม่คุ้นเคยของชายหนุ่มในชุดคลุมสีดำยาว
“คุณเป็นใครคะ?” ดานีนถามด้วยความระแวง ขณะที่หัวใจเต้นแรง
ชายหนุ่มยิ้มบาง รอยยิ้มนั้นเต็มไปด้วยความลึกลับ “คนที่รอคอยการมาถึงของเจ้า… ทายาทผู้พิทักษ์”
คำพูดของเขาทำให้ดานีนขมวดคิ้ว ก่อนที่เธอจะทันได้ถามอะไร ความเจ็บปวดแผ่ซ่านขึ้นที่แผ่นหลัง รุนแรงและแปลบปลาบ ราวกับถูกแทงทะลุ ดานีนทรุดลงกับพื้น มือกุมแผลที่หลัง เลือดอุ่นไหลซึมออกมา เธอรู้สึกได้ถึงความอ่อนแรงที่ค่อยๆถาโถมเข้ามา
“ท… ทำไม…” เธอเอ่ยด้วยเสียงแผ่วเบา ความตกใจและเจ็บปวดทำให้สายตาพร่าเลือน
ชายคนนั้นย่อตัวลงมาข้างเธอ กระซิบใกล้ๆหู “เลือดของผู้ถูกเลือกต้องหลั่ง เพื่อปลุกพลังที่หลับใหลในตัวเจ้า… เหมือนที่พ่อของเจ้าต้องเผชิญมาก่อน”
คำว่า “พ่อ” ทำให้ความคิดสุดท้ายของเธอจมดิ่งไปกับภาพของผู้เป็นพ่อ ใบหน้าที่คุ้นเคยและรอยยิ้มที่เธอจำได้ดี…
ทันใดนั้น กำไลทับทิมที่ข้อมือของเธอเริ่มร้อนขึ้น ราวกับจะตอบสนองต่อเลือดที่หลั่งออกมา ทับทิมทั้งเจ็ดเม็ดเรืองแสงสีแดงก่ำ พลังบางอย่างแผ่กระจายผ่านร่างของเธอ ความเจ็บปวดค่อยๆจางหาย แผลที่หลังสมานตัวขึ้นอย่างน่าอัศจรรย์ ทิ้งไว้เพียงรอยแผลเป็น… รอยแผลที่จะติดตัวเธอตลอดไป
“เจ็บไหม?” ชายคนนั้นถาม น้ำเสียงของเขาเปลี่ยนเป็นอ่อนโยนขึ้นอย่างประหลาด “ขอโทษนะ แต่นี่เป็นวิธีเดียวที่จะปลุกพลังในตัวเจ้าได้”
ดานีนพยายามลุกขึ้นยืน แม้จะยังมึนงง “คุณเป็นใครกันแน่?” เธอถาม เสียงของเธอหนักแน่นขึ้นแต่แฝงไปด้วยความสับสน
“คนที่เฝ้ารอการมาถึงของเจ้า… เหมือนที่ข้ารอคนก่อนหน้านี้” เขายิ้มบางๆ แต่รอยยิ้มนั้นกลับดูเศร้า “ตอนนี้เจ้าพร้อมแล้ว ดานีน… พร้อมที่จะรู้ความจริงทั้งหมด”
ก่อนที่เขาจะพูดต่อ เสียงฝีเท้าและเสียงตะโกนดังแว่วมาแต่ไกล ชายปริศนาลุกขึ้นยืนและหายวับไปในความมืด ทิ้งให้ดานีนยืนเดียวดายกับคำถามมากมายและพลังใหม่ที่ยังไม่เข้าใจ… พลังที่เปลี่ยนแปลงทุกอย่างในตัวเธอไปตลอดกาล
หลังจากเหตุการณ์คืนนั้น ชีวิตของดานีนดูเหมือนจะดำเนินไปอย่างปกติ แต่ในความเป็นจริง ไม่มีอะไรเหมือนเดิมอีกต่อไป ทุกสิ่งรอบตัวเธอเปลี่ยนไปโดยที่คนอื่นไม่อาจรับรู้ กำไลทับทิมยังคงติดอยู่ที่ข้อมือ ไม่มีใครเห็นมัน นอกจากเธอเอง ไม่ใช่แม้แต่มาเซล แต่ดานีนสัมผัสได้ถึงพลังที่แผ่ซ่านออกมาจากมันตลอดเวลา ราวกับเป็นสัญญาณเตือนบางสิ่งที่ยังรออยู่
เธอเริ่มมีความสามารถพิเศษที่ไม่เคยมีมาก่อน บางครั้งเธอเห็นภาพนิมิตเมื่อแตะต้องสิ่งของเก่าแก่ เห็นเศษเสี้ยวของอดีต เห็นความทรงจำที่ถูกทิ้งไว้ในวัตถุเหล่านั้น เหมือนถูกดึงเข้าสู่โลกที่เธอไม่เข้าใจ
“โปรเจกต์ที่เพิ่งส่งไปเป็นยังไงบ้างจ๊ะ?” มาเซลเอ่ยถามในมื้อเย็น เสียงของเธออบอุ่นเหมือนทุกครั้ง แต่ดานีนสัมผัสได้ถึงความกังวลที่ซ่อนอยู่
“ก็... ดีค่ะ” ดานีนตอบเสียงอ้อมแอ้ม พยายามไม่ให้มือสั่นเมื่อภาพนิมิตของมาเซลในอดีตแวบเข้ามาในหัว ภาพของแม่ที่กำลังอ่านจดหมายบางฉบับ น้ำตาของเธอไหลอาบแก้ม ขณะที่ในปัจจุบัน มาเซลยังคงยิ้มและมองเธอด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความห่วงใย
มาเซลเองก็ดูจะสังเกตได้ว่ามีบางอย่างเปลี่ยนไป แต่ไม่เคยถามตรงๆ เธอแค่มองดานีนด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความเป็นห่วง บางครั้ง ดานีนคิดว่าเธอเห็นความกลัวในดวงตาของแม่
และบางครั้ง… ดานีนก็ได้ยินเสียงกระซิบจากกำไล เสียงที่คล้ายจะพยายามบอกอะไรบางอย่างแก่เธอ แต่ยังไม่ชัดเจนพอ ‘จะถึงเวลาแล้ว…’ เสียงนั้นกระซิบเบาๆ ‘เตรียมตัวให้พร้อม ดานีน… เพราะเมื่อประตูเปิด เจ้าต้องก้าวเข้าไป’
ดานีนไม่เข้าใจว่าประตูที่เสียงนั้นพูดถึงคืออะไร แต่ความรู้สึกในใจเธอบอกได้ชัดเจนว่ามันสำคัญ ทุกอย่างกำลังจะเปลี่ยนไปและเธอไม่สามารถหยุดยั้งมันได้
คืนนั้น ในขณะที่เธอนั่งเขียนไดอารี่อยู่ที่โต๊ะ เงาสะท้อนในกระจกทำให้เธอชะงัก ทับทิมหนึ่งเม็ดในกำไลเปลี่ยนสี คล้ายกับไพลิน ไพลินที่งดงามและสะท้อนแสงเหมือนดวงตาของใครบางคนที่เธอคุ้นเคย
“มันเริ่มแล้วสินะ...” เธอพึมพำ มือลูบกำไลเบาๆราวกับกำลังปลอบประโลมตัวเอง
ดานีนยังไม่รู้ว่าทั้งหมดนี้จะนำพาเธอไปที่ไหน แต่อย่างน้อย... เธอก็รู้ว่าตัวเองไม่ได้เป็นบ้าไป ทุกอย่างที่เกิดขึ้นมีเหตุผลของมัน
และวันหนึ่ง... เธอจะต้องพบคำตอบ..
มาเซลนั่งมองดานีนที่กำลังง่วนอยู่กับการอ่านหนังสือในสวนหลังบ้าน แสงแดดอ่อนๆยามเย็นสาดส่องผ่านกิ่งไม้ลงมากระทบใบหน้าของลูกสาว เธอมองภาพนั้นราวกับจะจดจำทุกรายละเอียด เก็บทุกช่วงเวลาไว้ในความทรงจำ ไม่มีใครรู้ว่าอนาคตจะพัดพาทุกอย่างไปทางใด แต่สำหรับมาเซล เธอรู้ดีว่าความสงบสุขนี้อาจมีเวลาเหลือเพียงไม่นาน
“เหมือนวันนั้นเลย…” เธอกระซิบกับตัวเอง น้ำตาเอ่อขึ้นในดวงตา ย้อนกลับไปยังวันที่แสนเจ็บปวดเมื่อสิบเอ็ดปีก่อน วันที่โอเว่น ผู้เป็นสามีและผู้พิทักษ์บอกลาครั้งสุดท้าย
“ผมต้องไปแล้วนะ” โอเว่นพูด ขณะที่สวมกอดเธอแน่น ความอบอุ่นของเขายังคงอยู่ในความทรงจำ “ดูแลตัวเองให้ดีและดูแลลูกสาวตัวน้อยของเรา…”
“ทำไมต้องเป็นคุณ?” เธอถามทั้งน้ำตา เสียงสะอื้นปนความหวาดกลัว “ทำไมต้องเป็นคุณด้วย?”
“เพราะนี่คือหน้าที่… หน้าที่ของผู้พิทักษ์” โอเว่นพูดเบาๆ ดวงตาที่มองเธอเต็มไปด้วยความเศร้า “และวันหนึ่ง… ลูกของเราก็จะต้องทำหน้าที่นี้เช่นกัน”
มาเซลส่ายหน้า พยายามปฏิเสธความจริงที่เธอรู้ดีว่าลูกสาวของพวกเขาถูกเลือกแล้ว ตั้งแต่วันที่เธอลืมตาดูโลก
“แต่ดานีนยังเด็กนัก...” เธอสะอื้น
“และเธอจะเติบโตขึ้นเป็นผู้หญิงที่แข็งแกร่ง” โอเว่นยิ้มทั้งน้ำตา “เหมือนแม่ของเธอ…”
นั่นเป็นครั้งสุดท้ายที่เธอได้เห็นเขา ก่อนจะได้รับข่าวว่าโอเว่นเสียชีวิตจาก ‘โรคไต’ แต่มาเซลรู้ดีว่านั่นเป็นเพียงคำโกหกที่ปกปิดความจริง โอเว่นสละชีวิตของตัวเองเพื่อปิดผนึกประตูมิติที่กำลังจะแตกสลาย และตอนนี้…เธอกำลังจะต้องสูญเสียลูกสาวไปด้วยเหตุผลเดียวกัน
ทุกคืนหลังจากดานีนเข้านอน มาเซลจะแอบย่องเข้าไปในห้องลูกสาว นั่งมองเธอหลับ บางครั้งก็ร้องไห้อย่างเงียบๆ มือที่ลูบผมนุ่มของลูกเปี่ยมไปด้วยความรักและความเจ็บปวด
“ขอโทษนะลูก…” เธอกระซิบเบาๆ “ที่แม่ไม่สามารถเปลี่ยนชะตากรรมนี้ได้”
กำไลทับทิมที่ข้อมือของดานีนเปล่งแสงริบหรี่ในยามค่ำคืน ราวกับเป็นเครื่องเตือนใจถึงชะตากรรมที่เธอไม่อาจหลีกเลี่ยง มาเซลมองเห็นมันได้อย่างชัดเจน กำไลที่เหมือนกับที่โอเว่นเคยสวมใส่ก่อนที่เขาจะจากไป ไม่มีใครสามารถมองเห็นกำไลนี้ได้ นอกจากผู้ที่มีสายเลือดของผู้พิทักษ์หรือบุคคลที่กำไลเลือกแสดงตนให้เห็นเพียงเท่านั้น
บางคืน ดานีนละเมอ… พูดถึงตัวละครในนิยายที่เธออ่าน เซเรน่า คาออสและเรื่องราวอื่นๆ มาเซลรู้ดีว่านั่นไม่ใช่แค่นิยาย แต่มันคือบันทึกของโลกคู่ขนาน โลกที่ลูกสาวของเธอจะต้องไปเพื่อทำหน้าที่
“ฉันจะทำยังไงดีคะ?” มาเซลเคยถามภาพถ่ายของโอเว่น น้ำตาไหลอาบแก้ม “ฉันไม่อยากให้ลูกต้องเจ็บปวดเหมือนที่คุณเจ็บปวด…”
แต่คำตอบที่ได้จากภาพถ่ายคือความเงียบงันเหมือนทุกครั้ง ไม่มีใครสามารถปลอบประโลมเธอได้
เมื่อเห็นรอยแผลเป็นที่หลังของดานีน มาเซลก็รู้ว่าเวลาใกล้เข้ามาแล้ว พลังในตัวลูกสาวของเธอถูกปลุกขึ้นแล้ว เหลือเพียงรอให้ประตูมิติเปิดออกเท่านั้น ทุกเช้า เธอจะกอดลูกสาวแน่นกว่าปกติ หอมแก้มเธอนานขึ้น ทำอาหารที่เธอชอบ พยายามสร้างความทรงจำดีๆ ให้มากที่สุด… ก่อนที่ทุกอย่างจะสาย
“แม่รักหนูนะ” มาเซลเสียงสั่นเครือ
“หนูก็รักแม่ค่ะ” ดานีนตอบด้วยรอยยิ้มสดใส รอยยิ้มที่เหมือนพ่อของเธอไม่มีผิด
มาเซลอยากจะบอกความจริงทั้งหมด อยากเตือนลูกสาวถึงอันตรายที่รออยู่ อยากบอกว่าเธอภูมิใจในตัวลูกแค่ไหน…แต่เธอทำไม่ได้ เพราะนี่คือการทดสอบที่ดานีนต้องผ่านด้วยตัวเอง หนทางที่เธอต้องเผชิญ ไม่ว่าแม่จะอยากปกป้องแค่ไหนก็ตาม
คืนนี้ ขณะที่มาเซลนั่งมองท้องฟ้าผ่านหน้าต่างห้องนอน ดวงดาวดวงหนึ่งส่องแสงสว่างเจิดจ้ากว่าดาวอื่นๆในท้องฟ้ายามค่ำคืน แสงนั้นผิดปกติ เหมือนกับในคืนก่อนที่โอเว่นจะจากไป ความรู้สึกหนักอึ้งในใจทำให้เธออดไม่ได้ที่จะพนมมือขึ้น น้ำตาไหลรินลงอาบแก้ม
“ได้โปรดดูแลลูกของเราด้วยนะคะ” เธอเอ่ยคำขอด้วยเสียงสั่น “ให้เธอแข็งแรง ให้เธอปลอดภัย… และถ้าเป็นไปได้ ให้เธอได้กลับมาหาแม่อีกครั้ง…”
ลมพัดผ่านต้นไม้ด้านนอกหน้าต่าง เสียงใบไม้ที่สั่นไหวราวกับกระซิบตอบรับคำภาวนาของเธอ ในความเงียบและความมืดที่รายล้อมนั้น มีเพียงเสียงลมหายใจของเธอที่สั่นสะท้านกับเสียงของลมที่หมุนเวียนรอบตัว
ทันใดนั้น แสงวูบหนึ่งส่องผ่านหน้าต่างจากทิศทางห้องของดานีน กำไลทับทิมที่ข้อมือลูกสาวเรืองแสงขึ้นอีกครั้ง ใจของเธอกระตุก ความกลัวและความรักผสมผสานกันจนไม่อาจแยกจากกันได้
เวลาของพวกเขาใกล้จะหมดลงแล้ว มาเซลรู้ดีว่าชะตากรรมที่รอคอยดานีนอยู่คือสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ และในความมืดมิดของค่ำคืนนี้ เธอได้แต่ภาวนาว่าลูกของเธอจะได้รับการปกป้องจากสิ่งที่กำลังจะมาถึง แม้ว่าหนทางข้างหน้าจะเต็มไปด้วยความมืดมนและอันตรายก็ตาม
ความคิดเห็น