คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #4 : The Tragedy of Azsam Village
เสียงตะโกน “โจรสลัดบุก!” ดังแหลมเสียดแทงทะลุความเงียบของยามราตรี กระชากให้หมู่บ้านอัซซัมตื่นจากความสงบในทันที แสงคบเพลิงสีส้มแดงเต้นระริกในความมืด เงาดำขนาดใหญ่ของเรือโจรสลัดธงแดงเคลื่อนตัวใกล้ชายฝั่งมากขึ้นเรื่อยๆ ราวกับพญามัจจุราชที่มาเยือน
นาคีสสะดุ้งตื่นจากที่นอน สัญชาตญาณของนักรบเก่ากระตุ้นให้เขารู้ถึงอันตรายทันที ชายร่างใหญ่รีบคว้าขวานศึกที่เคยใช้ปกป้องบ้านเมืองในอดีต มือหยาบกร้านกำมันแน่น ขณะก้าวไปที่ประตูไม้ไผ่ของบ้านอย่างระมัดระวัง เขาแง้มมองผ่านช่องว่างเล็กๆ
ภาพที่เห็นทำให้โลหิตในกายเย็นเยียบ เรือโจรสลัดธงแดงสามลำทอดสมออยู่ที่อ่าว ร่างสูงใหญ่ในชุดมอมแมมและมีรอยสักเต็มตัวทยอยกันลงเรือเล็ก พวกมันถือดาบและขวานในมือ แววตาเต็มไปด้วยความโหดเหี้ยมและกระหายเลือด
“นิวตัน!” นาคีสกระซิบเรียกลูกชายวัยห้าขวบ ความทรงจำของภรรยาและลูกสาวที่ถูกพรากไปในครั้งก่อนทำให้หัวใจของเขาเจ็บปวดราวกับถูกคมมีดบาด “ลูกต้องตื่นเดี๋ยวนี้!”
ดวงตากลมโตของเด็กน้อยค่อยๆเปิดขึ้น ความง่วงงุนยังคงฉาบอยู่ในแววตา “พ่อ...?”
“ฟังพ่อให้ดี” นาคีสอุ้มร่างเล็กๆและพาไปยังมุมห้อง ยกแผ่นกระดานไม้เผยให้เห็นห้องลับใต้ดินที่เขาแอบขุดไว้
“เจ้าต้องซ่อนตัวที่นี่ อย่าส่งเสียง ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น เข้าใจไหม?”
“ไม่เอา!” นิวตันส่ายหน้า น้ำตาเริ่มคลอเบ้า “ข้าจะอยู่กับพ่อ!”
“ไม่ได้” นาคีสกระซิบด้วยน้ำเสียงหนักแน่น ดวงตาฉายแววอ่อนโยนปนเศร้า “พ่อจะออกไปช่วยปกป้องหมู่บ้าน เจ้าเป็นความหวังของพ่อ เจ้าต้องรอด...เพื่อพ่อ เข้าใจไหม?”
เด็กน้อยยังคงร้องไห้เงียบๆ “แต่…”
“สัญญากับพ่อ อย่างลูกผู้ชาย” นาคีสบอก ดวงตาเข้มแข็ง
นิวตันกลืนน้ำตาลงคอ พยักหน้าช้าๆ “สัญญาครับ”
นาคีสรีบเลื่อนแผ่นไม้ปิดช่องลับ ซ่อนลูกชายของเขาไว้ด้วยมือที่สั่นเทา ขณะเสียงกรีดร้องของชาวบ้านดังแว่วมาจากนอกบ้าน หัวใจเขาเต้นรัว มือกระชับด้ามขวานแน่น ก่อนจะสูดลมหายใจลึกแล้วผลักประตูออกไปสมทบกับชาวบ้านคนอื่น
ภาพตรงหน้าช่างเลวร้ายยิ่งกว่าฝันร้าย เปลวไฟโหมกระหน่ำเผาบ้านเรือน เสียงดาบปะทะกันดังสะท้อนไปทั่ว เสียงร้องไห้โหยหวนของผู้คนระคนกับเสียงหัวเราะบ้าคลั่งของโจรสลัด ราวกับทั้งหมู่บ้านกำลังจมดิ่งลงสู่นรก
นาคีสพุ่งตัวเข้าประจันหน้ากับพวกโจรสลัด ขวานในมือฟาดฟันไม่ยั้ง แต่ลึกๆเขารู้ดี... คงไม่มีทางรอดจากการต่อสู้ครั้งนี้ ท่ามกลางความวุ่นวาย เขาได้แต่ภาวนา ‘ขอแค่ให้ลูกรอด... ขอแค่ให้ลูกรอดพ้นจากเงื้อมมือพวกมัน’
“ส่งสัญญาณเตือนไปทางประภาคารใต้!” เสียงตะโกนของยามหมู่บ้านดังขึ้นแทรกความโกลาหล เด็กหนุ่มคนหนึ่งรีบวิ่งไปยังกรงนกพิราบพิเศษที่ผ่านการฝึกฝนเพื่อส่งข่าวร้าย เขาเปิดกรงอย่างรวดเร็วและปล่อยนกออกไป ปีกของมันกระพือพาแสงวูบไหวในอากาศ ขณะที่มันมุ่งหน้าสู่ท้องฟ้า
นกพิราบเพิ่งทะยานขึ้นฟ้าได้ไม่ทันไร เสียงหวีดแหลมของลูกธนูก็ดังแว่วมา ทะลุผ่านอากาศ ก่อนจะพุ่งเสียบเข้ากลางอกเด็กหนุ่มอย่างจัง ร่างของเขาสั่นสะท้าน ทรุดฮวบลงกับพื้น เสียงร้องด้วยความเจ็บปวดดังกรีดแหวกอากาศ ก่อนที่ดวงตาจะค่อยๆ เลือนรางและปิดลง
เสียงกรีดร้องสุดท้ายของเขายังก้องกังวานท่ามกลางความโกลาหล ขณะที่เปลวเพลิงค่อยๆคืบคลานกลืนกินบ้านเรือนทีละหลัง ควันดำหนาทะมึนลอยขึ้นปกคลุมผืนฟ้า เหมือนม่านแห่งความตายที่โอบล้อมหมู่บ้านเอาไว้
นาคีสกัดฟันแน่น ขวานศึกในมือฟาดฟันโจรสลัดตรงหน้าด้วยความโกรธและสิ้นหวัง เลือดสดกระเซ็นสาดรอบตัว แต่ไม่ทันจะได้หายใจ อีกสองคนก็วิ่งเข้ามาแทนที่ทันที ดวงตาของพวกมันเต็มไปด้วยความกระหายเลือด
“รวมกลุ่มกัน!” เสียงนาคีสตะโกนก้องท่ามกลางความวุ่นวาย “ต้านไว้! ต้านให้ได้จนกว่ากองทัพเรือจะมาถึง!”
เสียงดาบปะทะกันดังสนั่น ผสานกับเสียงกรีดร้องของชาวบ้านและเสียงหัวเราะบ้าคลั่งของโจรสลัด การต่อสู้ดำเนินไปอย่างดุเดือด แต่จำนวนศัตรูมากเกินไป พวกมันถาโถมเข้ามาไม่ขาดสาย เหมือนคลื่นยักษ์ที่พร้อมจะกลืนกินทุกสิ่ง ไร้ซึ่งความปรานี
ชาวบ้านล้มลงทีละคน... ทีละคน... ความหวังเริ่มริบหรี่
“อย่า!” นาคีสตะโกนเมื่อเห็นเพื่อนบ้านถูกฟันล้มลงข้างๆ เขายื่นมือออกไปหมายจะช่วย แต่ถูกโจรสลัดอีกคนเตะกระเด็น นาคีlกัดฟันลุกขึ้น เสียงคำรามดังก้องจากลำคอ ขวานในมือฟาดฟันด้วยแรงเฮือกสุดท้าย แม้จะรู้ดีว่าท้ายที่สุด... นี่อาจเป็นจุดจบของทุกคน
แต่เขาจะไม่ยอมแพ้... เขาต้องสู้... สู้เพื่อให้หมู่บ้านนี้มีความหวัง สู้เพื่อให้ลูกชายมีโอกาสรอด...
ประภาคารสีดำทะมึนตั้งตระหง่านท่ามกลางสายฝนที่โปรยปราย นกพิราบสื่อสารสีขาวโฉบวนกลางละอองฝน ก่อนจะร่อนลงบนหน้าต่างชั้นบนสุด เสียงปีกที่กระทบกับลมทำให้ความเงียบภายในห้องหายไปชั่วครู่
‘เร่งด่วน - อัซซัมถูกโจมตี’
ผู้การคาออส วาเลนนิธัส อ่านข้อความบนกระดาษเวทที่ผูกมากับขานกพิราบ ดวงตาสีเทาเข้มของเขาแฝงความเยือกเย็นราวกับน้ำแข็ง แม้กระดาษในมือจะสลายกลายเป็นผุยผง คาออสยังคงนิ่งเงียบ ใบหน้าของเขาไม่แสดงออกถึงความโกรธที่คุกรุ่นอยู่ภายใน เพียงแค่กำหมัดแน่นชั่วครู่ก่อนจะปล่อยมือช้าๆ เสียงฝนที่กระทบกระจกหน้าต่างยังคงดังสะท้อนเข้ามา คล้ายเป็นเสียงสะท้อนของหายนะที่กำลังเกิดขึ้น แต่คาออสกลับยืนนิ่งสงบเหมือนพายุที่พร้อมจะระเบิดเมื่อถึงเวลา
“เรียกรวมพลด่วน เทียบเรือใหญ่ขึ้นฝั่งทางใต้ ออกเดินทางทันที” คาออสออกคำสั่งด้วยน้ำเสียงหนักแน่นและไร้ซึ่งความลังเล
อัสติน เพื่อนสนิทที่เป็นแพทย์ประจำกองทัพและยืนอยู่ไม่ไกล รีบก้าวเข้ามาใกล้ คาออสหันไปหาเขาด้วยสายตาที่คมกริบ แฝงความเคร่งเครียดอยู่ลึก ๆ “อัสติน ได้ข่าวอะไรจากสายลับของเราบ้าง?” เสียงของคาออสยังคงมั่นคงและเย็นชา แม้ภายในใจจะเต็มไปด้วยความกังวลที่ยากจะซ่อนเร้น
อัสตินพยักหน้าเล็กน้อยก่อนจะตอบ “มันพาสิ่งนั้นไปที่เกาะทางใต้… แต่ที่นั่นยังไม่ใช่จุดหมายสุดท้าย”
คำตอบของอัสตินทำให้คาออสขมวดคิ้วลึก ความกังวลทวีคูณภายในจิตใจ “พวกมันคิดจะทำอะไรกันแน่…” เขาพึมพำกับตัวเอง ดวงตาเต็มไปด้วยความคาดคั้นและหวั่นเกรง เพราะเขารู้ดีว่าการตัดสินใจผิดพลาดแม้เพียงครั้งเดียวอาจนำไปสู่ความสูญเสียมหาศาลที่ไม่อาจย้อนคืน
ทันใดนั้น เสียงฝีเท้าหนักๆของทหารหนุ่มที่วิ่งฝ่าฝนเข้ามาดังขึ้นในห้องโถง ทหารในชุดที่เปียกชุ่มรีบรายงานด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น “รายงานด่วนอีกฉบับ ท่านผู้การ! มีคนพบเห็นท่านหญิงโคลอี้ในเมืองท่าออสโลว์”
คำรายงานทำให้คาออสชะงัก ดวงตาที่เยือกเย็นเปลี่ยนเป็นแววตาที่เต็มไปด้วยความแปลกใจและสงสัย “เป็นไปไม่ได้…” เขาพึมพำกับตัวเอง เสียงแผ่วเบาแฝงไปด้วยความขมขื่น “นางหายตัวไปพร้อมกับ…”
เขาก้มลงเปิดแผนที่เก่าแก่ที่เต็มไปด้วยรอยขีดวงจุดสำคัญ ลายเส้นและตำแหน่งบ่งบอกถึงปริศนาที่ซ่อนอยู่ คาออสใช้นิ้วชี้ไปยังจุดหนึ่งบนเกาะทางใต้ สายตาของเขาเปี่ยมไปด้วยความมุ่งมั่นแน่วแน่ “ส่งสัญญาณไปหาวัลดัส บอกให้เขาเตรียมพร้อม… และอย่าให้สิ่งนั้นหลุดมือไป ไม่ว่าจะต้องแลกด้วยอะไรก็ตาม”
เสียงฝนยังคงกระหน่ำต่อเนื่อง กลิ่นอายแห่งความเปียกชื้นและความมืดหม่นครอบคลุมไปทั่ว ขณะที่นกพิราบอีกตัวถูกปล่อยขึ้นสู่ฟากฟ้า ปีกที่เปียกน้ำทำให้มันโผบินลัดเลาะผ่านม่านเมฆหนา นำพาความลับและคำสั่งสำคัญไปสู่จุดหมายห่างไกล ทว่าลึกลงไปใต้ผิวน้ำ ท่ามกลางความเยือกเย็นของท้องทะเล บางสิ่งกำลังตื่นจากการหลับใหล... คลื่นแห่งโชคชะตาเริ่มปั่นป่วน รอเพียงวันที่ความจริงทั้งหมดจะถูกเปิดเผย
เปลวเพลิงลุกโชนท่วมหมู่บ้าน เสียงกรีดร้องของชาวบ้านประสานกับเสียงหัวเราะบ้าคลั่งของโจรสลัดก้องไปทั่วลานกลางหมู่บ้าน ชาวบ้านที่เหลือรอดถูกจับมัดรวมกันไว้ ใบหน้าของพวกเขาเต็มไปด้วยเขม่าควัน คราบน้ำตาและความสิ้นหวัง
นาคีสถูกพันธนาการด้วยโซ่ตรวนที่บีบรัดจนเจ็บแสบ เลือดไหลซึมจากบาดแผลที่กระจายอยู่ทั่วร่างกาย แต่ความเจ็บปวดทางกายไม่อาจเทียบได้กับสิ่งที่บีบคั้นในใจ หัวใจของเขาเต้นระรัวไปด้วยความกังวลและความหวาดหวั่น ความคิดเดียวที่วนเวียนอยู่ในหัวตลอดเวลาคือ ‘ขอให้ลูกปลอดภัย… ขอให้นิวตันรอด…’ ความหวังที่เขายึดมั่นเป็นแสงเลือนลางท่ามกลางความมืดมิดที่โอบล้อม
“หัวหน้า!” เสียงตะโกนดังแว่วมาจากบ้านของเขา “เจอเด็กซ่อนอยู่ใต้พื้น!”
หัวใจของนาคีสหล่นวูบ เมื่อเห็นร่างเล็กๆของนิวตันถูกลากออกมา ลูกชายของเขาตัวสั่นงันงก น้ำตาอาบแก้ม พยายามดิ้นรนสุดแรงเกิด
“พ่อ! พ่อครับ!” เสียงเล็กๆร้องเรียก ทำให้หัวใจนาคีสแทบสลาย
“ปล่อยลูกข้า!” นาคีสตะโกนลั่น เสียงเต็มไปด้วยความสิ้นหวัง เขาพยายามลุกขึ้นสู้ทั้งที่ร่างกายยังคงถูกพันธนาการด้วยโซ่ตรวนแน่นหนาจนแทบขยับไม่ได้ “เขายังเด็ก! ขอร้อง… ปล่อยเขาไป!”
เสียงหัวเราะเย้ยหยันดังขึ้นจากพวกโจรสลัด “เด็กเหรอ? พวกมันขายได้ราคาดีไม่ใช่เล่น” โจรสลัดร่างใหญ่เอ่ยขึ้นอย่างเย็นชา ก่อนจะหันไปสั่งลูกน้อง “เอาขึ้นเรือ!”
“ไม่! พ่อ! ช่วยหนูด้วย!” นิวตันร้องไห้สะอึกสะอื้น ขณะที่ถูกลากออกไปอย่างไร้ความปรานี
นาคีสกัดฟันแน่น ดิ้นรนจนโซ่บาดเข้าเนื้อ เลือดไหลซิบ แต่ความเจ็บปวดนั้นไม่อาจเทียบได้กับความปวดร้าวในหัวใจ เมื่อต้องเห็นลูกชายถูกพรากไป โดยที่เขาทำอะไรไม่ได้เลย
“พอ” เสียงเย็นเยียบแทรกผ่านความวุ่นวาย ทุกคนชะงัก หันไปมองต้นเสียง ร่างสูงใหญ่ในชุดโจรสลัดก้าวออกมาจากเงามืด แสงไฟสะท้อนผ้าสีดำที่พันปิดตาซ้ายและรอยแผลเป็นลึกที่พาดผ่านจากหน้าผากเฉียงลงผ่านเบ้าตาที่ถูกปิด มาจนถึงแก้มซ้าย ดาบในมือสะท้อนเปลวไฟที่ลุกโชนในค่ำคืน เขามองไปรอบๆ ด้วยสายตาที่ไม่แยแส “ฆ่าพวกมันให้หมด”
“แต่หัวหน้า...” ลูกน้องคนหนึ่งเอ่ยเสียงสั่น “พวกมันอาจมีค่า...”
“ข้าบอกว่า ‘ฆ่า’” น้ำเสียงเรียบนิ่งราวกับน้ำแข็ง ดวงตาวาวโรจน์ด้วยความโหดเหี้ยม
เสียงดาบถูกชักออกจากฝักดังขึ้นพร้อมกัน คมเหล็กสะท้อนแสงไฟระยิบระยับ กลิ่นคาวเลือดลอยคลุ้ง
นาคีสหลับตาลงช้าๆ น้ำตาไหลรินอาบแก้ม เสียงร้องไห้ของนิวตันยังก้องในโสตประสาท เสียงกรีดร้องของชาวบ้านดังแว่วมา แต่แล้วทุกอย่างก็เงียบงัน มีเพียงความมืดที่โอบล้อมเข้ามา กลืนกินทุกสิ่ง ปล่อยให้ราตรีกาลครอบคลุมด้วยความโหดร้ายที่ไร้ซึ่งความปรานี...
แสงอรุณแรกเริ่มทาบขอบฟ้า เรือรบของกองทัพพิเศษเวียนน่าแล่นมาถึงชายฝั่งอย่างเงียบสงัด สายลมยามเช้าหอบกลิ่นควันและความสิ้นหวังมากระทบจมูกทุกคนที่ยืนอยู่บนดาดฟ้า การมาถึงล่าช้ากว่าที่ควรไม่ได้เกิดจากความไม่พร้อมหรือขาดแคลนกำลังพล แต่เป็นเพราะสภาพอากาศที่แปรปรวนตลอดทั้งคืน พายุฝนโหมกระหน่ำ คลื่นลมกระโชกแรงทำให้เรือต้องลดความเร็วลง เพื่อให้ปลอดภัยจากการถูกคลื่นซัดทำลาย การแล่นผ่านช่องแคบที่เต็มไปด้วยโขดหินกลายเป็นภารกิจเสี่ยงชีวิตในทุกวินาที
“รายงานผู้การ!” เสียงทหารดังมาจากดาดฟ้า “มีควันไฟลอยมาจากฝั่งครับ!”
คาออสก้าวขึ้นไปอย่างเร่งรีบ ยกกล้องส่องทางไกลขึ้นส่องไปยังชายฝั่งเบื้องหน้า ภาพที่ปรากฏทำให้หัวใจของเขาเหมือนถูกบีบแน่น หมู่บ้านทั้งหมู่บ้านถูกเผาทำลายจนแทบไม่เหลือซาก เปลวเพลิงยังคงลุกไหม้คุกรุ่น ควันดำหนาทึบลอยปกคลุมท้องฟ้า พายุที่ผ่านไปทิ้งไว้เพียงร่องรอยความเสียหาย แต่สิ่งที่น่าสะพรึงกลัวยิ่งกว่าคือฝีมือของศัตรูที่ลงมือด้วยความโหดเหี้ยมเกินจะคาดคิด
“เร่งความเร็ว!” คาออสออกคำสั่งด้วยเสียงแข็งกร้าว ดวงตาฉายแววของความมุ่งมั่นและความโกรธแค้น “ต้องมีผู้รอดชีวิต!”
เมื่อเรือเทียบท่า เสียงคลื่นที่ซัดสาดเข้าฝั่งเบาลงจนแทบเงียบสนิท ราวกับแม้แต่ทะเลยังไว้อาลัยให้ความสูญเสีย
หมู่บ้านที่เคยเต็มไปด้วยชีวิตชีวากลับเหลือเพียงความเจ็บปวดและความสูญเสียที่ยากจะลบเลือน สายลมพัดพากลิ่นคาวเลือดและเถ้าถ่านลอยขึ้นฟ้า เหล่าทหารได้แต่ยืนนิ่งอึ้งเมื่อเห็นภาพของการทำลายล้างที่ไร้ซึ่งความเมตตา
ร่างไร้ชีวิตนอนกะจัดกระจาย บางร่างกอดกันแน่น หญิงชราที่ใช้ร่างบอบบางบังหลานไว้จนวินาทีสุดท้าย หญิงสาวที่พยายามปีนหน้าผาหนี มือยังจิกแน่นกับโขดหิน
“พวกเรามาช้าไป...” เสียงทหารอาวุโสสั่นเครือ ขณะที่คุกเข่าลงข้างร่างชายผอมบาง บาดแผลจากคมดาบฟันลึกเข้าไปในร่าง มือของเขายังกำแน่นที่หน้าอก ราวกับพยายามปกป้องบางสิ่งจนวินาทีสุดท้าย ปิดเปลือกตาที่เต็มไปด้วยความหวาดกลัวให้ “ขอโทษ... ขอโทษที่มาไม่ทัน...”
ความเงียบกดทับหนักอึ้ง มีเพียงเสียงไม้ที่ยังคุกรุ่น เถ้าถ่านที่ปลิวว่อนและเสียงสะอื้นไห้ของทหารที่แข็งแกร่ง... รอยแผลวันนี้ จะกลายเป็นตราบาปที่ไม่มีวันลืม
อัสตินคุกเข่าลงข้างร่างไร้ชีวิต มือที่เคยรักษาผู้คนมานับร้อยสั่นเทาขณะแตะหน้าผากเย็นเฉียบของเด็กหญิงตัวน้อย เธอนอนกอดตุ๊กตาผ้าขาดๆไว้แนบอก ดวงตาที่ปิดสนิทบ่งบอกถึงความหวาดกลัวครั้งสุดท้าย
“พวกมัน...” น้ำเสียงแหบพร่า น้ำตาเอ่อคลอ “ฆ่าแม้กระทั่งเด็กไร้เดียงสา”
คาออสยืนอยู่กลางซากปรักหักพังของหมู่บ้าน สายตาจับจ้องภาพความสูญเสียรอบตัว มือที่กำหมัดแน่นจนเล็บจิกลึกเข้าไปในฝ่ามือ เริ่มสั่นไหวด้วยความเจ็บปวดและโทสะ ความเสียใจถาโถมเหมือนคลื่นยักษ์ ดวงตาเต็มไปด้วยแววแห่งความเศร้าปนแค้น “ค้นหาให้ทั่ว... ต้องมีอะไรที่พวกมันทิ้งไว้บ้าง!” เสียงของเขาแหบพร่า ราวกับความเจ็บปวดในใจถูกกลืนกินไปด้วยเปลวไฟแห่งความคั่งแค้น
ทหารแยกย้ายกระจายตัวไปทั่วหมู่บ้าน ตรวจสอบทุกซอกทุกมุม ท่ามกลางกลิ่นควันและความเงียบที่กดดัน จนกระทั่ง…
“ผู้การครับ!” เสียงตะโกนดังมาจากชายหาด ทหารนายหนึ่งชี้ไปที่ผืนธงสีแดงสดที่ปักอยู่บนทราย ผืนธงปลิวไสวในสายลมเยือกเย็น สัญลักษณ์บนธงทำให้คาออสแทบกลั้นหายใจ กะโหลกสีดำที่มีรอยแผลเป็นพาดผ่านเบ้าตาซ้าย
“วาลวิซ…” เขากระซิบ ความทรงจำถึงการต่อสู้ครั้งเก่าผุดขึ้นมาในหัวใจ มันกล้าที่จะบุกเข้ามาถึงที่นี่…แม้ในสภาพอากาศเช่นนี้
“นี่ไม่ใช่แค่การบุกปล้นธรรมดา” อัสตินกำมือแน่น เส้นเลือดปูดโปนที่ข้อมือ “มันคือการประกาศสงครามอย่างชัดเจน”
คาออสพยักหน้า ดวงตาฉายแววแห่งความมุ่งมั่นและโกรธแค้นที่ก่อตัวขึ้นในใจ “ใช่… และพวกเราจะตอบรับมัน ด้วยการล่าพวกมันให้หมดสิ้น” เสียงของเขาเยือกเย็น แต่เปี่ยมด้วยพลังแห่งการตอบโต้ที่ไม่มีวันยอมแพ้
ไกลออกไปในทะเล เรือธงสีแดงขนาดใหญ่แล่นฝ่าคลื่นลมรุนแรง ทะเลมืดครึ้มปกคลุมด้วยเมฆหนา สะท้อนเงาของเรือลำมหึมาที่แลดูเหมือนอสูรร้ายกลางหมอกหนาทึบ เด็กชายผมแดงถูกลากตัวมายังห้องกัปตัน ข้อมือเล็กๆถูกมัดแน่นจนเจ็บช้ำ สายตาของเขากวาดมองรอบตัวด้วยความหวาดหวั่น แต่ลึกลงไปยังมีแววแห่งความต่อต้านที่ไม่อาจดับลงได้ ดวงตานั้นบ่งบอกถึงความไม่ยอมจำนน แม้จะรู้ดีว่ากำลังเผชิญหน้ากับชะตากรรมอันโหดร้าย
“หัวหน้า เด็กคนนี้… ดูมีอะไรแปลกๆ” โจรสลัดร่างใหญ่เอ่ยขึ้น เสียงของเขาเต็มไปด้วยความประหลาดใจปนความหวาดหวั่นเล็กน้อย
วาลวิซ กัปตันเรือโจรสลัดธงแดง ก้าวเข้ามาใกล้ แสงจากตะเกียงที่ส่องสว่างในห้องเผยให้เห็นรอยแผลเป็นลึกพาดผ่านดวงตาซ้ายของเขา ดวงตาที่เคยต้องสูญเสียไปจากการต่อสู้กับคาออสเมื่อครั้งก่อน ร่างสูงใหญ่ของเขาหยุดยืนตรงหน้าเด็กชายผมแดง ดวงตาข้างที่เหลือจับจ้องไปที่เด็กอย่างเย็นชาและเปี่ยมด้วยความเหี้ยมเกรียม
“แปลกยังไง?” วาลวิซถามด้วยเสียงแหบต่ำ ขณะเขาย่อตัวลงให้สายตาของตนอยู่ระดับเดียวกับเด็กชาย นิวตันรู้สึกถึงความกดดันที่แผ่ซ่านออกมา ความเย็นเยียบที่ทำให้ลมหายใจของเขาแทบสะดุด
“มันมี…พลังงานประหลาด…ซ่อนอยู่ในตัว” โจรสลัดที่ยืนอยู่ด้านหลังรายงานด้วยเสียงที่สั่นเล็กน้อย น้ำเสียงนั้นแฝงความไม่แน่ใจและความหวาดกลัวที่ชัดเจน ราวกับสิ่งที่เขาสัมผัสได้มีอำนาจเกินจะคาดเดา
วาลวิซจ้องมองใบหน้าของนิวตัน สายตาของเขาดุดันขณะที่พิจารณาเด็กชายตัวน้อยที่ยืนตัวสั่นเทา มือหนาของเขาเอื้อมไปแตะปลายคางเด็ก พลางเอียงคอราวกับพยายามค้นหาเบื้องลึกของความลับที่ซ่อนเร้น ดวงตาของนิวตันสั่นไหวด้วยความหวาดกลัว แต่กลับมีบางสิ่งซ่อนลึกในแววตา... บางสิ่งที่แม้แต่โจรสลัดผู้มากประสบการณ์ยังรู้สึกได้ถึงแรงอำนาจลึกลับที่เก็บซ่อนอยู่
วาลวิซแสยะยิ้ม มุมปากยกขึ้นอย่างเย้ยหยัน นัยน์ตาฉายแววแห่งความกระหยิ่มใจ “น่าสนใจ… เลี้ยงมันไว้ อาจมีประโยชน์ในวันข้างหน้า”
โจรสลัดผู้คุมตัวนิวตันพยักหน้า ก่อนจะลากตัวเด็กชายออกจากห้อง ทิ้งให้วาลวิซยืนอยู่ท่ามกลางเงาสลัว แสงจากตะเกียงสะท้อนให้เห็นรอยแผลเป็นบนใบหน้า ร่องรอยที่เขาสาบานว่าจะให้คาออสชดใช้คืนเป็นร้อยเป็นพันเท่า
เรือลำใหญ่แล่นหายไปในสายหมอก ทิ้งไว้เพียงซากหมู่บ้านที่ถูกเผาจนเหลือแต่เถ้าถ่าน เสียงลมแว่วผ่านมาเหมือนเสียงคร่ำครวญของผู้คนที่สูญสิ้นบ้านเรือน และคำสาบานแก้แค้นของวาลวิซที่ยังคงคุกรุ่น… ดุจเปลวเพลิงที่ไม่มีวันมอดดับ…
ความคิดเห็น