ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Let's change! ตอนจบนั้น เปลี่ยนฉันให้รักเธอ

    ลำดับตอนที่ #1 : Prologue

    • อัปเดตล่าสุด 12 พ.ย. 67


    “สถานีต่อไป อาเวีย ท่านผู้โดยสารโปรดระมัดระวังขณะก้าวลงจากรถ ขอบคุณค่ะ”

    เสียงประกาศจากลำโพงปลุกดานีนจากภวังค์ เธอสะดุ้งตื่นพร้อมกับความรู้สึกแปลกประหลาดที่แล่นปราดขึ้นมาในอก ความรู้สึกที่บอกว่าวันนี้จะมีบางอย่างผิดแผกไปจากทุกวัน แต่เธอก็ปัดความรู้สึกนั้นทิ้งไป พลางคว้ากระเป๋าสะพายใบโตและรีบลงจากรถประจำทาง

    “ลงค่าา หนูลงป้ายนี้ค่าคุณลุง อย่าเพิ่งไปปป” เสียงของเธอดังก้องในรถที่เกือบว่างเปล่า ทำให้ผู้โดยสารที่เหลืออยู่หันมามองพร้อมรอยยิ้มกลั้นขำ ดานีนก้มหน้างุด แก้มแดงระเรื่อด้วยความเขินอาย

    “ให้มันได้แบบนี้สิ…ยัยนีนเอ๊ย!” เธอพึมพำบ่นตัวเอง พลางสางผมยาวสีน้ำตาลอ่อนที่ยุ่งเหยิงให้เข้าที่

    ปีสุดท้ายในรั้วมหาวิทยาลัยทำให้ดานีนยุ่งสุดตัว ไหนจะต้องทำโปรเจกต์ส่งอาจารย์หลายวิชา ไหนจะเตรียมอ่านหนังสือสอบอีก จนการหลับสัปหงกบนรถเมล์กลายเป็นเรื่องปกติของเด็กทุนที่ใช้ชีวิตตัวคนเดียวในเมืองใหญ่อย่างเธอ

    เสียงกรวดหินกระทบพื้นดังกรอดแกรด ดานีนเตะมันไปเรื่อยๆระหว่างเดินกลับหอด้วยท่าทีเหนื่อยอ่อน แสงสีส้มอมแดงของตะวันยามเย็นทาบทาลงบนถนนเส้นเล็ก สาดส่องให้เงาของเธอทอดยาวไปบนพื้น ผมยาวสีน้ำตาลอ่อนที่พลิ้วไหวตามแรงลมถูกรวบขึ้นลวกๆด้วยยางรัดผมสีดำ กระเป๋าเป้หนักอึ้งบนบ่าทำให้ร่างบางต้องก้มงุ้มเล็กน้อย

    แสงสุดท้ายของวันกำลังจะลับขอบฟ้า ดานีนเหลือบมองนาฬิกาข้อมือ หกโมงเย็น เสียงครางของท้องดังขึ้นอีกครั้ง ทำให้เธอถอนหายใจเฮือกใหญ่ วันที่ 25 ของเดือน... อีกห้าวันกว่าเงินค่าครองชีพของเด็กทุนจะเข้าบัญชี คืนนี้คงต้องประทังชีวิตด้วยบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปเหมือนเคย

    “เห้อ…” ดานีนถอนหายใจเบาๆ ขณะเดินช้าๆ พลางคิดเล่นๆ ถึงตอนจบของนิยายเล่มหนาที่เพื่อนสนิทฝากมาให้ตรวจคำผิด ซึ่งตอนนี้มันอยู่ในกระเป๋าของเธอถึงสองเล่ม เพื่อนคนนั้นไม่ใช่ใครอื่น ฮันนาห์ นักเขียนนิยายชื่อดังในนามปากกา ‘กุหลาบเหมันต์’ ที่มีผลงานติดอันดับขายดีทุกเล่ม สำนักพิมพ์หลายแห่งต่างก็ต้องการผลงานของเธอไปตีพิมพ์ แต่นิสัยของฮันนาห์ยังคงเดิมเสมอ เธอไม่ยอมให้ใครมาตัดสินใจแทนในเรื่องงานเขียน นอกจากดานีน เพื่อนรักที่เธอไว้ใจให้ช่วยตรวจแก้และวิจารณ์อย่างตรงไปตรงมา โดยเฉพาะเรื่องคำผิด

    ดานีนยิ้มบางๆ เมื่อนึกถึงความดื้อรั้นที่แฝงไปด้วยเสน่ห์ของเพื่อน ฮันนาห์มีวิธีการทำงานที่ไม่เหมือนใคร เธอเลือกเขียนและสร้างสรรค์ผลงานตามใจตัวเองอย่างอิสระ เพราะไม่มีสังกัดหรือข้อผูกมัดใดๆ มาขีดจำกัด เธอเคยได้ยินฮันนาห์พูดด้วยน้ำเสียงจริงจังแต่แฝงด้วยความอ่อนโยนว่า “ก็นีนเข้าใจงานของเราที่สุด” คำพูดนี้มักตามมาด้วยรอยยิ้มอบอุ่นที่ทำให้ดานีนรู้สึกภาคภูมิใจอยู่ลึกๆ

    เธอมักจะแก้ต้นฉบับให้ฮันนาห์ด้วยความตั้งใจ ทุกครั้งที่อ่านและปรับแก้งาน เธอรู้สึกเหมือนได้เข้าไปอยู่ในโลกของเพื่อน อีกทั้งค่าตอบแทนที่ได้รับก็ช่วยแบ่งเบาภาระชีวิตของเธอได้ไม่น้อย ฮันนาห์เองก็ชอบแกล้งยุว่า “บางทีนีนอาจจะกลายเป็นนักเขียนที่ดีได้ ถ้าลองเขียนไปเรื่อยๆ” แต่ดานีนมักหัวเราะขำแล้วส่ายหน้า

    “ตอนนี้ยังไม่ใช่แน่ๆ” เธอพูดพลางหัวเราะเบาๆ รู้ดีว่าตัวเองยังขาดความกล้า

    เจ็ดปีผ่านไปตั้งแต่วันแรกที่ทั้งคู่พบกันในชั้นมัธยมปลาย ดานีนยังคงทำหน้าที่อ่านและแก้ไขต้นฉบับให้อย่างซื่อสัตย์ แม้ในใจลึกๆ จะอยากลองเขียนเรื่องของตัวเองดูบ้าง... แต่ความกล้าและแรงผลักดันในการทำตามฝันนั้นเลือนหายไปกับเวลา เธออดชื่นชมฮันนาห์ไม่ได้ ที่ไม่เคยลังเลที่จะทำสิ่งที่รักและยืนหยัดเพื่อมัน

    “ถ้าวันหนึ่งเรามีแรงผลักดันแบบนั้นบ้าง คงจะดีสินะ” ดานีนพึมพำเบาๆ กับตัวเอง

    ดานีนคิดถึงตอนจบของนิยายที่ตัวเอกต้องเลือกระหว่างการอยู่ในโลกคู่ขนานที่สมบูรณ์แบบ หรือกลับมาเผชิญชะตากรรมในโลกความเป็นจริง ตอนจบนี้ทำให้เธอรู้สึกขัดใจ “ทำไมต้องจบแบบนั้นด้วยนะ…” ดานีนคิดในใจ เธอเผลอจินตนาการถึงตัวเองในสถานการณ์คล้ายกัน ถ้าเป็นเธอจะเลือกอะไร? โลกที่ปลอดภัยและสมบูรณ์แบบ หรือโลกแห่งความเป็นจริงที่เต็มไปด้วยความเสี่ยงและความไม่แน่นอน

    “ฉันคงเลือก…” ดานีนหยุดคิด สายลมยามเย็นพัดมา ทำให้เธอรู้สึกเหมือนกำลังยืนอยู่ที่จุดเปลี่ยนแห่งหนึ่งในชีวิต แม้ว่าจะเป็นเพียงการคิดเล่นๆ แต่มันก็ทำให้เธอเผชิญหน้ากับความฝันของตัวเองอีกครั้ง

    ในระหว่างที่กำลังคิดอะไรเพลินๆ ดานีนรู้สึกเหมือนมีบางอย่างเคลื่อนไหวตรงซอยด้านซ้าย แม้จะไม่ได้สังเกตชัดเจน แต่เธอก็ระวังตัวโดยสัญชาตญาณ เนื่องจากบริเวณนี้บางครั้งมักมีนักศึกษาชายกลุ่มใหญ่รวมตัวกัน แต่บรรยากาศรอบข้างยามนี้ดูเงียบงันจนน่าอึดอัด

    พลั่ก!

    จู่ๆ ร่างของเธอก็ถูกผลักจากด้านหลังอย่างแรง หัวเข่าของดานีนกระแทกกับพื้นปูนเย็นเฉียบ ความเจ็บแปลบทำให้น้ำตาเอ่อคลอ ฝ่ามือหยาบกร้านกดท้ายทอยเธอแน่น เสียงหอบหายใจของใครบางคนดังใกล้ๆหู

    “เอาเงินมาให้กู” เสียงแหบแห้งของชายคนหนึ่งดังขึ้นเหนือศีรษะ น้ำเสียงเต็มไปด้วยความข่มขู่

    แม้จะเจ็บและตกใจ แต่ดานีนก็พยายามรวบรวมสติ เธอเงยหน้าขึ้นเล็กน้อย พยายามสำรวจรอบตัว... แต่ไม่มีแม้แต่เงาของพี่ยามที่ปกติจะยืนเฝ้าหน้าหอพักเสมอ วันนี้พวกเขาหายไปไหน?

    “มึงไม่ต้องร้องให้ใครช่วยหรอก” ชายร่างผอมในชุดนักศึกษาก้มลงหัวเราะเยาะเย้ย “วันนี้มีเด็กจาก ม.เซนเทอมมาแข่งฟุตบอลกับเด็กมอเรา คิดว่าจะมีใครอยู่แถวนี้มาช่วยมึงมั้ยล่ะ?”

    ความทรงจำแล่นเข้ามา... ใช่แล้ว การแข่งขันฟุตบอลระหว่างมหาวิทยาลัยที่ทุกคนพูดถึง... นั่นเป็นเหตุผลที่วันนี้รถเมล์ถึงโล่งผิดปกติ จนเธอได้นั่งหลับสบาย แทนที่จะต้องยืนเบียดเสียดกับนักศึกษาคนอื่นๆ เหมือนทุกวัน

    “โอเค… ฉันจะหยิบเงินให้” ดานีนพยายามควบคุมความกลัวและค่อยๆพูดเพื่อดึงเวลา พลางมือเอื้อมไปที่กระเป๋าเป้ช้าๆ ชายร่างผอมผ่อนแรงที่กดไว้เล็กน้อย แต่ดวงตาแดงก่ำยังคงจ้องเธอด้วยความหวาดระแวง

    ดานีนลุกขึ้นยืน มือเรียวสอดเข้าไปในกระเป๋าเป้ เธอสัมผัสได้ถึงความเย็นของ Siren Alarm ที่ซื้อมาติดตัวไว้ตลอดเวลา เธอคว้ามันขึ้นมาแทนกระเป๋าสตางค์ แล้วกดปุ่มอย่างแรง

    วี๊ดดดดดดดดดดดดด!!!

    เสียงหวีดแหลมของ Siren Alarm ดังสะท้อนก้องไปทั่วซอยแคบ ชายหนุ่มผงะไปชั่วขณะ ดานีนไม่ปล่อยโอกาสนี้ เธอเตะเข้าที่หน้าแข้งของเขาด้วยแรงทั้งหมดที่มี ชายคนนั้นร้องลั่นก่อนจะทรุดลง

    ดานีนหันหลังวิ่งหนี หัวใจเต้นรัวด้วยความตื่นตระหนกและความหวัง หวังว่าคนในบริเวณนี้จะได้ยินเสียง หวังว่าจะมีใครสักคนเข้ามาช่วย

    “ช่วยด้วย!” ดานีนตะโกนสุดเสียงขณะวิ่ง เสียงของเธอดังสะท้อนไปทั่วซอย “ใครก็ได้ ช่วยด้วย!”

    ไฟในบ้านหลายหลังยังคงเปิดอยู่ เธอเห็นเงาคนขยับไหวหลังหน้าต่างเหมือนจะออกมาดู แต่ทันทีที่เห็นเหตุการณ์ ทุกอย่างกลับเปลี่ยนไปในเสี้ยววินาที เสียงปิดหน้าต่างดังแกร๊ก บางบ้านถึงกับปิดไฟ เหลือเพียงความมืดและความเงียบงันท่ามกลางความหวังริบหรี่ของเธอ

    “ได้โปรด...” เธอร้องเสียงสั่น น้ำตาไหลลงอาบแก้ม ความกลัวและสิ้นหวังถาโถม “ใครก็ได้...”

    เธอวิ่งต่อไป ผ่านร้านเบอร์เกอร์ที่กำลังจะปิด เห็นลุงเจ้าของร้านยืนมองผ่านกระจก ชั่วขณะหนึ่งสายตาของเขาสบกับเธอ แต่เพียงเสี้ยววินาที ลุงก็ก้มหน้าหลบตา เร่งมือเก็บร้านเหมือนกำลังกลัวสิ่งที่เห็น

    “ลุงคะ!” ดานีนเคาะกระจกอย่างบ้าคลั่ง “ช่วยหนูด้วย!”

    ลุงเจ้าของร้านทำเพียงแค่ส่ายหน้า สีหน้าเต็มไปด้วยความลำบากใจ “ขอโทษนะหนู… ลุงมีครอบครัวต้องดูแล” เสียงของเขาแผ่วเบาราวกับลมกระซิบ

    เสียงฝีเท้าหนักๆ ของมาร์คดังใกล้เข้ามา ดานีนวิ่งต่อด้วยแรงเฮือกสุดท้าย ผ่านร้านสะดวกซื้อที่พนักงานนั่งก้มหน้าเล่นมือถือเหมือนไม่ได้ยินอะไร ผ่านป้อมยามที่ว่างเปล่า ผ่านกลุ่มวัยรุ่นที่เคยหัวเราะกันเสียงดัง แต่เมื่อเห็นเธอวิ่งมาก็รีบเดินหนีไปในทันที ไม่มีใครยื่นมือเข้ามาช่วย... ไม่มีใครกล้า

    Siren alarm ในมือยังคงส่งเสียงหวีดแหลม แต่ในหูของดานีน มันกลับฟังเหมือนเสียงสะอื้น เสียงร้องไห้ของคนที่ไม่มีใครสนใจ เสียงขอความช่วยเหลือที่ถูกเมินเฉย

    “ไม่มีใครช่วยมึงหรอก” เสียงของมาร์คดังใกล้เข้ามาอีกครั้ง แฝงด้วยความเย้ยหยัน “มึงคิดว่าในเมืองใหญ่แบบนี้ จะมีใครสนใจชีวิตของคนแปลกหน้ารึไง?”

    ดานีนกัดฟันวิ่งต่อ แม้ขาจะสั่นและหัวใจเต้นแรงจนแทบจะหลุดออกจากอก ความสิ้นหวังเริ่มกลืนกินจิตใจ นึกถึงข่าวอาชญากรรมที่เคยอ่าน เรื่องของเหยื่อที่ถูกทำร้ายกลางถนนโดยไม่มีใครช่วย ภาพในข่าวที่ฝังแน่นกลับเข้ามาในหัว เธอจำได้ถึงคำว่า *Bystander Effect ที่เคยเรียนในวิชาจิตวิทยา และในขณะนี้เองเธอรู้สึกถึงความโหดร้ายของมัน

    “แม่...” เธอสะอื้นเสียงเครือ คำพูดของแม่ก่อนที่เธอจะมาเรียนในเมืองใหญ่ดังก้องในหัว ‘ในเมืองใหญ่ เราต้องระวังตัวนะลูก ไม่มีใครช่วยเราได้เท่ากับตัวเราเอง’

    เธอกัดฟัน สะกดความกลัวในใจ แม้จะไม่มีใครช่วย แต่เธอจะต้องรอด...

    เธอวิ่งเลี้ยวเข้าซอยแล้วซอยเล่า จนกระทั่ง...

    ทางตัน.

    ดานีนหันกลับไป เห็นมาร์คยืนขวางทางอยู่ รอยยิ้มบิดเบี้ยวแต้มบนใบหน้าเหมือนกำลังเยาะเย้ยความพยายามทั้งหมดของเธอ

    “เห็นไหม?” เสียงของเขาเย้ยหยันขณะก้าวเข้ามาใกล้เรื่อยๆ “โลกนี้มันเน่าเฟะแค่ไหน ไม่มีใครสนใจใคร ไม่มีใครช่วยใคร… มีแต่คนที่เห็นแก่ตัว”

    ดานีนถอยหลังไปจนหลังชนกำแพง ใจเธอเต้นรัวเหมือนกลอง มือที่กำ siren alarm สั่นระริก มันเหมือนของเล่นไร้ประโยชน์… เครื่องมือที่ให้ความรู้สึกปลอดภัยจอมปลอม

    “พ่อ… แม่…” เธอพึมพำ น้ำตาไหลไม่ขาดสาย นึกถึงบ้าน นึกถึงความอบอุ่นที่เธอเคยรู้สึก โลกที่เคยเชื่อว่าดีงามกลับดูโหดร้ายกว่าที่คิด “หนูขอโทษ…”

    มาร์คยกมีดปากกาขึ้น แสงไฟริบหรี่สะท้อนบนใบมีด วูบวาบในแววตาเย็นชา “จบเกมแล้ว…” เขาพูดเสียงเย็นยะเยือก

    ภาพตรงหน้าเริ่มพร่าเลือน… ดานีนไม่แน่ใจว่ามันเป็นเพราะน้ำตาหรือเพราะความกลัวที่ทำให้โลกหมุนไปช้าๆ เธอกัดฟันแน่น ก่อนจะกวาดตามองไปรอบตัว จนสายตาไปหยุดที่เก้าอี้ไม้เก่าข้างกำแพง เธอคว้ามันขึ้นมา มือสั่นแต่สายตาเต็มไปด้วยความมุ่งมั่น ดานีนสูดหายใจลึก กำเก้าอี้ไว้แน่น ใจเธอเต้นแรงจนแทบทะลุออกจากอก แต่เธอรู้ดีว่าไม่มีทางยอมแพ้ เธอต้องต่อสู้ เพื่อชีวิตของตัวเอง

    “ฉัน... ฉันไม่มีเงินจริงๆ นะ” ดานีนถอยหลังช้าๆ เก้าอี้ไม้ในมือสั่นระริก “ฉันเป็นเด็กทุน ไม่มีอะไรให้นายหรอก”

    มาร์ค หรือที่เพื่อนๆ เคยเรียกว่า ‘เด็กเรียน’ ในอดีตที่ไม่ไกลนัก เขาเคยเป็นนักศึกษาวิศวะปิโตรเคมีที่มีอนาคตไกล แต่การคบเพื่อนผิดและยาเสพติดทำให้ชีวิตพังทลาย ตอนนี้เขาถูกพักการเรียน ไม่มีเงิน ไม่มีอนาคตและไม่มีสติ

    มาร์คหัวเราะเสียงแหบแห้ง มือกำมีดปากกาแน่น “ถ้าไม่มีเงิน..งั้นมึงก็ต้องให้อย่างอื่น...” เขาพุ่งเข้ามาหาเธออย่างรวดเร็ว

    ดานีนเหวี่ยงเก้าอี้ไม้ใส่ แต่มาร์คหลบได้อย่างคล่องแคล่ว ร่างผอมของเขาเบี่ยงหลบและพุ่งชนเธอจนล้มลงกับพื้น

    “โอ๊ย!” ดานีนร้องออกมา หลังกระแทกกับพื้นปูนแข็งอย่างแรง ความเจ็บปวดแผ่ซ่านไปทั่วร่าง

    “มึงดูถูกกูใช่ไหม!” มาร์คตะโกนใส่หน้าเธอ ดวงตาที่เคยสดใสของเขาเต็มไปด้วยความคลั่ง เขากระชากผมของดานีนอย่างแรง ดึงให้เธอเงยหน้าขึ้น

    ดานีนพยายามดิ้นรน ขาของเธอถีบไปในอากาศอย่างสิ้นหวัง “ปล่อยฉัน!” เธอร้องเสียงสั่น น้ำตาไหลอาบแก้ม

    “กูเคยเป็นถึงนักกีฬา!” มาร์คกดเธอลงกับพื้นอีกครั้ง มีดปากกาในมือของเขาส่องแสงวูบวาบในแสงไฟริบหรี่ “กูเคยมีอนาคต แต่ทุกคนทิ้งกู! ทุกคนดูถูกกู!”

    ดานีนสบตาเขา เห็นความเจ็บปวดที่หล่อหลอมตัวตนในวันนี้ เห็นความขมขื่นของชายผู้ที่ชีวิตพังทลายเพราะความผิดพลาด คล้ายกับตัวร้ายในนิยายที่ฮันนาห์เคยเขียน ตัวละครที่เคยดีแต่กลับหลงทางจนไม่อาจหวนคืน

    “นาย…นายยังกลับตัวได้นะ” ดานีนพยายามพูด น้ำเสียงสั่น แต่เต็มไปด้วยความจริงใจ “ยังไม่สาย…”

    “หุบปาก!” มาร์คคำราม ความคลั่งแค้นยิ่งทวีคูณ มีดปากกาในมือพุ่งลงมาอย่างรวดเร็ว

    ดานีนเบี่ยงตัวสุดแรง เสี้ยววินาทีนั้น เธอรู้สึกถึงคมมีดที่แทงเข้ากลางแผ่นหลัง เธอกัดฟันแน่น พยายามดิ้นรนสุดชีวิต ขณะที่หัวใจเต้นระรัว ความหวังเดียวของเธอคือต้องรอด…ไม่ว่าสถานการณ์จะเลวร้ายแค่ไหนก็ตาม

    เลือดอุ่นๆ ซึมออกมา โลกรอบตัวเริ่มพร่าเลือน เธอนึกถึงฉากในนิยายที่เพิ่งอ่านจบ... ตอนที่ตัวละครเอกถูกทำร้ายและหลุดเข้าไปในอีกโลกหนึ่ง

    ‘ถ้านี่เป็นนิยาย... ฉันคงข้ามไปอีกโลกได้...’ ความคิดประหลาดแวบเข้ามา ความคิดนี้ทำให้เธอหัวเราะเยาะตัวเองอยู่ในใจ แต่ทันใดนั้นเอง เธอสัมผัสได้ถึงความเปลี่ยนแปลง... คลื่นพลังบางอย่างแผ่ซ่านออกมาจากร่างเธอ ทุกสิ่งรอบตัวเริ่มสั่นสะเทือน อากาศหนาวเย็นลงอย่างฉับพลัน ราวกับมีใครเปิดประตูสู่มิติอื่น

    “อะ... อะไรวะ!?” มาร์คผงะถอยหลัง ดวงตาที่เคยเต็มไปด้วยความคลั่งแฝงด้วยความตื่นตระหนกอย่างเห็นได้ชัด

    ดานีนรู้สึกเหมือนถูกดึงเข้าสู่ความมืด แต่ไม่ใช่ความมืดที่เย็นยะเยือกและสิ้นหวัง กลับเป็นความมืดที่อบอุ่นและปลอบโยน ราวกับอ้อมกอดที่คุ้นเคย เสียงแตกของกระจกดังก้องในหัวเธอ ตามมาด้วยแสงสีขาวเจิดจ้าจับตา

    โลกรอบตัวหมุนไปอย่างรวดเร็ว หรืออาจเป็นตัวเธอที่หมุน ดานีนไม่แน่ใจนัก เธอเหมือนถูกโยนลงไปในห้วงลึกที่ไม่มีจุดสิ้นสุด ผ่านม่านแห่งความทรงจำที่สลับไปมาราวกับฉากภาพยนตร์ ใบหน้าของพ่อแม่ ห้องเรียนเก่า หนังสือนิยายที่กองเรียง... และรอยยิ้มของฮันนาห์

    ‘นี่คือสิ่งที่เธอต้องการ...’ เสียงกระซิบแผ่วเบาทะลุผ่านความว่างเปล่า ‘เธอพร้อมแล้ว...’

    จู่ๆ ทุกสิ่งหยุดนิ่ง ความเจ็บปวดพลันหายไปในพริบตา แสงสว่างจางลงเหลือเพียงประกายเรืองรอง ดานีนลืมตาขึ้นช้าๆ พบว่าตัวเองยังคงอยู่ในซอยเดิม แต่ทุกอย่างเปลี่ยนไป อากาศสดชื่น กำแพงสะอาดสะอ้าน แสงไฟรอบข้างเปล่งประกาย ไม่มีเงาน่ากลัวหลบซ่อน และไม่มีร่องรอยของมาร์คอีกต่อไป

    เบื้องหน้าเธอปรากฏหญิงสาวคนหนึ่งที่ดูเหมือนเธอทุกกระเบียดนิ้ว ใบหน้าของหญิงสาวแต้มรอยยิ้มบางๆ

    “สวัสดี ดานีน” เธอพูด น้ำเสียงอ่อนโยนและเปี่ยมด้วยความลึกลับ “ฉันรอเธอมานานแล้ว”

    ดานีนยืนนิ่ง ไม่แน่ใจว่านี่คือความฝัน ความตาย หรือการเริ่มต้นใหม่ แต่ลึกๆ เธอรู้ว่าชีวิตกำลังจะไม่มีวันเหมือนเดิมอีกต่อไป หน้ากระดาษที่ลอยวนรอบตัวพลิ้วไหวราวกับลมหมุน แสงสีทองอ่อนๆ เปล่งประกายจากตัวอักษรเหล่านั้น

    และแล้วร่างของเธอก็เริ่มจางลง เสียงกระซิบแผ่วเบาพลันดังขึ้นท่ามกลางความเงียบงัน...

    ‘ยินดีต้อนรับสู่โลกแห่งนิยาย ดานีน...’

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×