คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : สายใยที่ห่างเหิน
“คุณทวดเรียกหาผม มีอะไรให้ผมรับใช้เหรอครับ” ชายหนุ่มผู้มาเยือน และอ่อนอาวุโสกว่า เป็นผู้กล่าวทักทายขึ้นก่อน พร้อมทั้งโค้งคำนับต่อผู้อาวุโสที่อยู่ตรงหน้าเขา เป็นการแสดงความสุภาพและอ่อนน้อมอย่างที่สุดต่อผู้สูงวัยกว่า
“ถ้าฉันไม่มีธุระอะไรกับเธอ ฉันคงพบเธอไม่ได้ซิว่านั้น” หญิงชรากล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงสั่นๆ แววเสียงยังคงกังวานถือศักดิ์เล็กน้อย แม้นไม่เช่นน้ำเสียงของคุณทวดผู้อ่อนโยนและใจดีต่อเหลน มันเป็นแววเสียงของคุณทวดผู้แสนเข้มงวดมากกว่า น้ำเสียงของท่านที่เปล่งออกมาจึงไว้ตัวเล็กน้อย และแฝงความห่างเหินไว้ในน้ำเสียงนั้น แม้นไม่มากนัก แต่คนฟังก็รับรู้ได้ถึงความห่างเหินนั้น แม้นในบางคราจะรู้สึกน้อยใจบ้าง แต่มันก็ชาชินเสียแล้วกับบรรยากาศเช่นนี้ เพราะมันเกิดขึ้นกับเขามาตั้งแต่เขาเริ่มจำความได้ ว่าคุณทวดไม่เคยแสดงความรักต่อเขาเลย เช่นกอดจูบ หรืออาการอื่นใดที่แสดงความรักต่อเขาเหมือนอย่างเช่นคุณทวดคนอื่นที่แสดงต่อเหลนของตน
เขาจำได้ว่าครั้งแรกที่เขามายังบ้านศิลาอ่อน หรือคฤหาสน์ศรีวโรดมหลังนี้ ย่างก้าวแรกที่เขาเหยียบย่ำลงบนผืนดินด้านหน้าของคฤหาสน์หลังนี้เป็นก้าวแรก เขาก็รับรู้ได้ถึงคลื่นของความเย็นชาที่ถาโถมเข้ามาปะทะตัวเขา จะว่าตัวเองคิดมากเกินจริง เขาก็ยอมรับ แต่ตอนนั้นเขารู้สึกแบบนั้นจริงๆไม่ได้เสแสร้ง
บรรยากาศโดยรอบของคฤหาสน์นี้ช่างเงียบเชียบจนวังเวงนัก เขาในตอนนั้นก็รู้สึกตื่นกลัวกับความวังเวงและความเงียบสงบของปราสาทหลังนี้ แต่อาจจะเป็นเพราะเวลาที่เขามาถึงที่นี่ มันเป็นเวลาโพล้เพล้แล้วทำให้บรรยากาศของปราสาทเก่าๆในสวนกว้าง และบรรยากาศโดยรอบที่เป็นใจ ยิ่งเพิ่มความน่ากลัวให้กับปราสาทหลังนี้ได้มากอยู่
แล้วอยู่ๆนกจากที่ไหนก็ไม่รู้ก็แผดเสียงร้องขึ้นพร้อมกับเสียงกระพือปีกดังระงมไปทั่วบริเวณ และตามาด้วยเสียงกระพือปีกบินออกจากรังของมัน เสียงนั่นชวนขนหัวลุกเป็นที่สุด เป็นเสียร้องแหลมๆชวนสยองเป็นที่สุด และดูเหมือนว่าเสียงนี้คงไม่มีทีท่าว่าจะเงียบลงตอนนี้เป็นแน่ ยังคงดังติดต่อกันไปอีกนานจนกว่าพวกมันจะบินไปไกลกว่านี้ แต่สำหรับเขานะหรือไม่ต้องพูดถึง ยืนขาสั่นฉี่แทบราดเสียให้ได้
นภทีป์ค่อยๆหลับตาลงอย่างหวาดกลัว พร้อมทั้งยกมือทั้งสองข้างขึ้นอุดหู เพราะไม่อยากได้ยินเสียงที่น่าขนลุกนั่น
คุณแม่แย้มยิ้มเมื่อเห็นท่าทางของเขา มันเป็นรอยยิ้มที่แสนจะอ่อนโยนเหมือนเช่นทุกครั้งที่ท่านมักทำเป็นประจำ เมื่อต้องการแสดงความอ่อนโยนและเอ็นดูต่อเขา และในขณะเดียวกันท่านก็ยื่นมือนุ่มๆออกมาวางไว้บนศีรษะของเขา แล้วขยี้เส้นผมเหล่านั้นเบาๆ เป็นการหยอกเย้า
ในตอนนั้น เขารับรู้ได้ถึงฝ่ามืออุ่นๆที่ยื่นมาสัมผัส ก็ค่อยลืมตาข้างหนึ่งขึ้น แต่พอเห็นรอยขัน ท่าทางของเขาของคุณแม่ ก็ทำให้เขารีบลดมือทั้งสองข้างลง และลืมตาอีกข้างหนึ่งไปพร้อมๆกัน แต่ก็ยังไม่วายที่จะทำท่าทางงอนๆและยกมือทั้งสองข้างขึ้นมาแนบกอดอยู่ที่หน้าอก พร้อมกับหมุนตัวหันหลังให้กับคุณแม่ ซึ่งท่านก็ยิ้มนิดๆกับท่าทางของลูกชาย แต่ก็ไม่ได้คิดที่จะเดินเข้าไปง้อเขาเลยแม้แต่น้อย ท่านทำแค่เพียงเดินถอยห่างออกจากที่นั่นเพียงเล็กน้อย เป็นการแกล้งเจ้าลูกชายเท่านั้น แล้วก็ผันหน้าหันไปทางด้านระเบียงของคฤหาสน์ แทนที่จะเดินมายังที่ๆลูกยืนยืนกระเง้ากระงอดอยู่
“ลูกจะยืนตรงนั้นอีกนานไหม แม่จะเข้าไปข้างในแล้วนะ ลูกไม่กลัวเหรอ เสียงนกพวกนั้นนะ ตอนนี้มันเงียบไปแล้วก็จริง แต่อีกไม่นานมันคงจะกลับมา แม่ไม่รู้ด้วยนะว่าจะมีใครยืนเป็นเพื่อนลูกหรือเปล่า พอแม่เข้าไปข้างในแล้วนะ” คูณแม่ของเขาพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเบาๆ แต่ทอดเสียงเนิบนาบชวนให้น่ากลัว เป็นการแกล้งเขาเสียมากกว่า ยิ่งเมื่อส้นรองเท้าของคุณแม่ที่ก้าวย่ำห่างออกไปเขากลัวมากขึ้น
นภทีป์หันมองซ้ายแลขวา และแหงนใบหน้าขึ้นไปมองบนท้องฟ้า คืนนี้ท้องฟ้ามีเพียงดวงดาวเพียงสองสามดวงที่ทอประกายแสงแข่งกับแรงแสงของดวงเดือนที่ทอประกายเพียงครึ่งเสี้ยว ด้วยเพราะว่า คืนนี้เป็นคืนข้างแรม ราตรีนี้จึงช่างมืดมิดน่ากลัว แต่เมื่อเขาก้มหน้ากลับลงมา และทอดสายตาของตัวเองมองเรื่อย ด้านหน้ามุขที่เขายืนอยู่มันช่างวังเวงน่ากลัว ประจวบเหมาะกับเสียงของนกร้องและกระพือปีกอีกครั้ง
เขาในตอนนั้นจึงรับหันหน้าวิ่งอย่างตั้งตาย ไม่สนใจมาดหล่อเหมือนก่อนหน้า ที่วางฟอร์มงอนเง้า
“คุณแม่รอผมด้วย อย่าทิ้งผมนะครับ”เด็กหนุ่มตะโกนเรียกมารดาเสียงดัง เมื่อเห็นว่ามารดาเดินนำไปก่อนแล้ว แต่แล้วท่านก็หยุดยืนนิ่งเหมือนเช่นว่ากำลังรอเขา อยู่บนชานที่ยื่นออกมาจากหน้าคฤหาสน์หลังนี้ โดยขณะนี้บนถนนเล็กๆที่ตัดสู่คฤหาสน์มีเขายืนอยู่ในก่อนหน้าเพียงลำพัง พอเห็นแบบนั้นเขาก็เลยรีบจ้ำอ้าว เท้าสองข้างแทบติดสปีดได้ วิ่งแบบไม่คิดชีวิตชนิดไม่ลืมหูลืมตา
คุณแม่ยืนหัวเราะขันกับความอวดดีที่ไปไม่รอดของเจ้าลูกชายตัวดี แต่ก็พยายามฝืนกลั้นหัวเราะเอาไว้ เมื่อเห็นร่างน้อยๆของเจ้าลูกชายที่วิ่งปลิวลมมาแต่ไกล และกำลังใกล้เข้ามาทุกที
“คุณแม่ทิ้งผมทำไมครับ ผมกลัวจะแย่ ผมโกรธจริงๆด้วย” เด็กน้อยพอก้าวมายืนเคียงมารดาแล้ว ก็เริ่มแสดงถ้อยคำปากดีออกมา พร้อมทั้งตั้งท่างอนเง้าเข้าใส่อีกครั้ง ก่อนจะยกมือข้างหนึ่งขึ้นทาบอก แล้วพ่นลมหายใจออกมาอย่างเหนื่อยหอบ ร่างบางๆนั้นสั่นไหวขึ้นลง สงสัยว่าจะเหนื่อยจริงๆ แต่ก็น่าจะเหนื่อยอยู่หรอกก็วิ่งมาตั้งไกลนี่ เป็นการออกกำลังกายตอนกลางคืนที่ไม่สนุกเลย
คุณแม่ของเขาค่อยๆย่อตัวลงนั่ง เพื่อลดระดับตัวของท่านให้อยู่ในระดับเดียวกับลูกชายตัวน้อย ขณะที่ค่อยๆยกมือข้างหนึ่งขึ้น เพื่อดันแผ่นหลังของลูกชายให้ยืดตัวตรง พร้อมกับค่อยเลื่อนฝ่ามือของท่านมาช่วยจัดปรับชุดของลูกชายให้อยู่ในสภาพที่สุภาพที่สุด ก่อนจะเลื่อนมือนั่นลงมาจัดปมเน็คไทน์ที่คลายออกให้อยู่ในสภาพเดิม พร้อมกับใช้ปลายนิ้วของท่านปัดปอยผมที่ล่วงตกลงมาของลูกชายให้กลับไปอยู่ในรูปเดิมของมัน ก่อนจะยืดตัวลุกขึ้น
“เราเสียเวลากันมามากแล้วนะ ภะทีป์ ป่านนี้คุณทวดกับคุณยายคงรอเราแย่แล้วนะลูก”น้ำเสียงของคุณแม่เริ่มปรับเป็นน้ำเสียงที่จริงจังและเข้มขึ้นเล็กน้อย ก่อนจะใช้น้ำเสียงดุลูกชายตัวน้อยไปด้วยในที แต่ก็ไม่ได้จริงจังมากนัก
“ครับคุณแม่”เด็กหนุ่มกล่าวออกมาด้วยน้ำสียงที่อ่อนลงเล็กน้อย ขณะยื่นมือของตนไปจับมือของมารดาที่ยื่นส่งมาให้
หญิงสาวรับใช้ที่ยืนอยู่ใกล้ๆกับคุณแม่ ยื่นมือมารับเสื้อคลุมที่คุณแม่คล้องไว้ที่แขนมาถือเก็บไว้ พร้อมด้วยคนใช้ชายหญิงอีกสองสามคนที่มาช่วยกันขนกระเป๋าขึ้นมาสบทบบนชานด้านหน้าคฤหาสน์นี้ ซึ่งมีคุณแม่และคุณแม่บ้านและเขายืนรออยู่ก่อนแล้ว
หลังจกที่ทุกคนมากันพร้อมแล้ว คุณป้าแม่บ้านที่รับเสื้อคลุมของคุณแม่ไปถือไว้ ก็เป็นคนแรกที่ก้าวนำเราเข้าไปในบ้าน นำเราทั้งสองคนเข้าไปในบ้าน ก่อนจะพาเราเข้ามาหยุดยืนอยู่ด้านหน้าห้องๆหนึ่ง
ก่อนที่คุณป้าแม่บ้านคนนั้นจะเคาะนิ้วลงบนบานประตูห้องเบาๆสองสามครั้งเป็นสัญญาณให้คนข้างในรับรู้ถึงการมาของบุคคลนอก และเป็นการขออนุญาตเจ้าของห้อง
“เข้ามาได้”เสียงจากภายในดังเร้นลอดออกมา เป็นเชิงตอบรับคำขออนุญาตนั่น
“เชิญคุณหนูด้านในค่ะ คุณท่านทั้งสองรออยู่”คุณป้าแม่บ้านช่วยผลักประตูห้องให้เปิดออก และผายมือเชื้อเชิญเขาและคุณแม่ให้เข้าไปภายในห้องนั้น ซึ่งมีคุณทวดกับคุณยายรออยู่ก่อนแล้ว
คุณแม่กับเขาจึงแทรกตัวเดินผ่านประตูบานนั้นที่ถูกเปิดออกกว้างพอให้เราสองคนสามารถผ่านเข้าไปภายในได้สะดวก เมื่อเข้าไปข้าในห้องนั้น เขาก็พบว่าภายในห้องนั้นคุณทวดกับคุณยายนั่งรอเราอยู่ก่อนแล้ว
คุณแม่เลยยกมือขึ้นไหว้คุณทวดกับคุณยาย โดยมีเขายืนอยู่ด้านหลังของคุณแม่ อย่างอายปนกลัวเล็กๆ ก็จะไม่ให้กลัวได้อย่างไรเล่า ก็คนไม่คุ้นหน้ากันนี่ นั่นเป็นเพราะครอบครัวของเรานั่นย้ายไปอยู่ต่างประเทศเสียนาน ไม่ค่อยได้กลับเมืองไทยเท่าไหร่นัก จึงทำให้เขาไม่ค่อยสนิทกับคนทางนี้นัก
“ภะทีป์ ไหว้คุณทวดกับคุณยายซิลูก” คุณแม่ดันร่างของเขาให้ออกมาจากด้านหลังของท่าน พร้อมกับส่งสายตาดุๆมายังลูกชาย เขาก็เลยจำต้องก้าวออกมาจากด้านหลังของคุณแม่ ถึงแม้จะยังกลัวอยู่ แต่สายตาของคุณแม่ที่จ้องมาอย่างดุนั่น ก็เลยต้องทำตามที่คุณแม่สั่ง
“สวัสดีครับคุณทวด สวัสดีครับคุณยาย” เด็กหนุ่มยกมือขึ้นไหว้คนทั้งสอง แล้วก็รีบกลับมายืนเกาะแขนของมารดาเช่นเดิม
“เชิญนั่งเถอะ ไม่ต้องมากพิธี ฉันไม่ใช่ผู้ดีมาจากที่ไหน” ท่านผู้หญิงกล่าวขึ้นมาด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
“ขอบคุณมากคะคุณยาย” คุณแม่พนมมือขอบคุณคุณทวดอีกครั้ง ก่อนจะนั่งลงบนโซฟาตัวที่ใกล้ที่สุด พร้อมกับเขาที่นั่งลงใกล้ๆกับคุณแม่
“การเดินทางเป็นอย่างไรบ้าง ยัยปา” คุณหญิงเอ่ยถามถึงการเดินทางกับบุตรสาวด้วยน้ำเสียงทอดอ่อนโยน
“ก็ราบรื่นดีค่ะคุณแม่ ไม่มีปัญหาอะไร ขอบคุณคุณแม่มากนะค่ะที่เป็นห่วง”คุณแม่ตอบออกไปด้วยนำเสียงนอบน้อม
“แล้วเราละเดินทางมาเมืองไทยเป็นครั้งแรก เป็นอย่างไรบ้างละ” คุณหญิงหันมาถามหลานชายตัวน้อยด้วยน้ำเสียงเจือแววใจดี พร้อมกับรอยยิ้มที่ผุดพรายบนริมฝีปากของท่านก็เอื้ออาทรและอ่อนโยนนัก
“ก็ดีครับ”เด็กน้อยตอบออกไปอย่างประหม่าเล็กน้อย แต่ก็พยายามยิ้มออกมาเพื่อลดความประหม่านั้น
“เอาเถอะวันนี้เธอกับลูกไปพักผ่อนก่อนแล้วกัน ฉันยังไม่ธุระอะไรกับเธอ”เสียงคุณทวดดังขัดขึ้นด้วยน้ำเสียงทรงอำนาจ ซึ่งเขาเองถึงกับสะดุ้งเล็กน้อย จนต้องขยับตัวเข้าชิดขอบพนักเก้าอี้ด้านที่คุณแม่นั่งอยู่ และยกมือทั้งสองข้างขึ้นสอดคล้องแขนของคุณแม่ พร้อมกับหลุบตาลงมองพื้น เพราะไม่กล้าสบตาดุๆนั่นของคุณทวด เพราะสายตาของคุณทวดที่ทอดมานั้นช่างน่ากลัวนัก
“ค่ะ คุณทวด ถ้าเช่นนั้นหนูกับลูกขอตัวก่อนนะค่ะ”คุณจิรัชยากล่าวขอตัวกับประมุขของบ้าน ก่อนจะลุกขึ้นจากโซฟาตัวที่นงอยู่ก้าวลุกเดินออกจากที่นั่น โดยมีเด็กน้อยติดสอยห้อยตามไปด้วย
แต่ไม่ทันที่สองร่างจะก้าวพ้นจากห้องรับแขกของบ้าน เด็กน้อยก็หันเหลียวหลังกลับมามองยังโซฟาที่ประมุขของบ้านนั่งอยู่ กลับพบแต่เพียงความว่างเปล่า ทั้งที่เขากับคุณแม่เพิ่งลุกออกมาจากที่นั่นไม่นานนัก อาจเพียงแค่เศษเสี้ยวนาทีก็ว่าได้ แต่ทำไมคนทั้งสองกลับลุกเดินหายไปอย่างรวดเร็วนัก
เขาจึงรีบหันหน้ากลับมาอย่างรวดเร็ว เพราะเริ่มหวาดกลัวกับสิ่งที่พบเห็น มันแปลกประหลาดเกินไปที่คนแก่สองคนจะหายตัวไปได้อย่างรวดเร็วเช่นนี้ ทั้งที่ห้องๆนี้เป็นห้องสี่เหลี่ยมทึบๆไม่มีทางออกอื่นใด นอกจากทางออกที่เขากับคุณแม่กำลังยืนอยู่ ส่วนหน้าต่างทุกบานก็ปิดสนิท นอกจากจะหายตัวออกไปเท่านั้น จึงจะออกไปจากห้องๆนี้ได้ ถ้าพวกท่านทำเช่นนั้นได้ ก็หมายความว่าทั้งสองคนเป็นผี แค่คิดก็ขนลุกแล้ว
เด็กหนุ่มจึงยึดมือของมารดาไว้แน่น พร้อมกับขยับตัวเข้าซุกกับร่างของมารดา เช่นว่าหาที่หลบภัย
“เธอจะยืนค้ำหัวของฉันอีกนานไหม”เสียงอันทรงอำนาจของคุณทวด ปลุกชายหนุ่มให้ตื่นจากภวังค์ความคิด
“ขอประทานโทษครับคุณทวด” ชายหนุ่มโค้งคำนับคุณทวดของเขา พร้อมกับขยับกรอบแว่นเล็กน้อย เพื่อให้มันกระชับเข้าที่ ไม่หลุดล่วงตกลงมาจากบนใบหน้าของเขา
ชายหนุ่มจึงค่อยๆขยับตัวเล็กน้อย เพื่อเปิดทางให้บอร์ดี้การ์ดส่วนตัวของเขา ขยับเก้าอี้ให้ออกห่างจากโต๊ะนั่นสักเล็กน้อย เพื่อที่เขาจะได้แทรกตัวลงนั่งได้อย่างสะดวกนัก เมื่อชายหนุ่มทรุดตัวลงนั่งเรียบร้อยแล้ว บอร์ดี้การ์ดของเขาก็ขยับตัวถอยห่างออกไป ปล่อยให้นายหนุ่มและประมุขของบ้าน นั่งประจันหน้ากันตามลำพังสองคน
คุณทวดมองสบตาเหลนชายคนเดียวของท่าน ด้วยแววตาเอื้ออาทรแวบหนึ่งของสายตาก่อนจะแปรเปลี่ยนเป็นดวงตาเย็นชาดุจเดิม เหมือนกับว่าแววตานั้นเป็นเพียงมายาหลอกตาเพียงครั้งคราวเท่านั้น หรือเป็นเพราะกรอบแว่นของเขามัว หรืออาจจะถูกเงาสะท้อนมากระทบจนหลอกตาเขาเข้า เพราะแววตาเช่นนั้น เขาเชื่อว่า มันไม่มีวันเกิดขึ้นกับคุณทวดของเขาเป็นแน่ คนเย็นชาเช่นคุณทวด ไม่มีวันแสดงสายตาแอเช่นนั้นออกมาให้ใครได้เห็น เขารับรองได้เลย เพราะคุณทวดคิดว่า มันคือความอ่อนแอของคนเรา ท่านจึงไม่ยอมแสดงสายตาแบบนั้นออกมา
“คุณทวดมีธุระอะไรกับผมหรือครับ จึงได้ให้คุณยายโทรตามผมมาพบ”ชายหนุ่มกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงสุภาพ
“ไม่มีอะไรเป็นพิเศษหรอก” คุณทวดตอบกลับไปด้วยประโยคสั้นๆได้ใจความ พร้อมทั้งหยิบหนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่งมาจากมือคนรับใช้ ซึ่งยื่นส่งมันให้ท่าน เมื่อคุณทวดรับมันมาไว้ในมือ ท่านก็โยนหนังสือพิมพ์ฉบับนั้นลงตรงหน้าเขา
ชายหนุ่มจึงหยิบหนังสือพิมพ์ฉบับนั้นขึ้นมา พลิกออกอ่าน แล้วก็พับมัน และวางมันกลับไว้ที่เดิม
“ขอโทษครับที่ผมไม่ได้มาเรียนให้คุณทวดทราบด้วยตัวของผมเอง” ชายหนุ่มกล่าวขอโทษคุณทวดของเขาอีกครั้ง
“เธอคิดดีแล้วเหรอ ที่จะใช้ดอกไม้พวกนั้นมาสกัดเป็นน้ำหอมคอลเล็กชั่นใหม่ของเธอ” หญิงชราถามเหลนชาย เหมือนจะย้ำความคิดและความแน่ใจของเขา
“ครับ ผมแน่ใจเช่นนั้นไม่ผิดแน่ครับ ถ้าผมทำให้คุณทวดโกรธ ผมก็ขอโทษด้วย”ชายหนุ่มกล่าวเน้นย้ำคำในท่อนประโยคแรกด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่น แต่ท่อนความหลังเป็นการแสดงความนอบน้อมต่อผู้อาวุโส ถึงแม้ว่าจะเป็นการพูดไปตามมารยาทเท่านั้น น้ำเสียงนั่นแม้นไม่เข้มมากนัก แต่ก็แฝงความเย็นชาไว้ แม้นไม่เท่ากับน้ำเสียงของคุณทวดที่ทอดเสียงเหล่านั้นออกมาก็ตาม แต่มันก็บ่งบอกถึงความห่างเหินของคนทั้งสองได้เป็นอย่างดี
“อืม...ถ้าเธอคิดว่าเธอแน่ใจแล้ว ก็ปล่อยให้มันเป็นไปตามนั้นเถอะ”
“ถ้านั้นเธอไปพักผ่อนเถอะ ฉันไม่รบกวนเวลาเธอแล้ว”
“ครับ” ชายหนุ่มจึงลุกออกจากเก้าอี้ พร้อมทั้งโค้งคำนับคุณทวดของเขา ก่อนจะก้าวเดินออกจากศาลากลางน้ำ เพื่อกลับไปยังตึกใหญ่
ความคิดเห็น