ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    เหมือน(ไม่)​รัก

    ลำดับตอนที่ #6 : เผชิญหน้า : ครึ่งแรก

    • อัปเดตล่าสุด 7 พ.ย. 62



                         

                      ตอนสาม​ครึ่งแรกค่ะ​ อ่านให้สนุกนะคะ❤️❤️❤️❤️❤️



    “น้าเหว่ยทำไงดีอ่ะ” ชะโงกหน้าละล่ำละลักถาม หันมองทางหน้าเรือนใหญ่อีกครั้งยิ่งลุกลี้ลุกลนมุดหัว “ทำไงดีอ่ะน้าเหว่ย”

    “ไปต่อ”สิ้นเสียงแห้งผาก เสียงเครื่องยนต์แตร็ก ๆเพิ่มเดซิเบล “ไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเสียครับคุณดอกไม้ แล้วค่อยไปต้อนรับ”

    บุปผชาติเห็นด้วยตามนั้น หากเมื่อถึงหน้าเรือนเล็ก บ้านพักอาศัยส่วนตัวชั้นเดียวก่อสร้างด้วยไม้ทั้งหลัง หล่อนกับชายวัยกลางคนก็พากันหน้าซีดราวกับไก่ต้ม ตรงห่วงประตูไม้แกะสลักลวดลายกินนรีเดินดง มีแม่กุญแจสีทองคล้องอยู่

    “นายแม่กรองผกานึกเพี้ยนอะไรขึ้นมานี่ ร้อยวันพันปีไม่ล็อกเรือน วันนี้เกิดจะกลัวขโมยขโจรเสียได้” ว่าแล้วชายผอมกะหร่องสะบัดศีรษะซี้ดปาก ก่อนจะเอี้ยวตัวมาถาม “เอาไงครับคุณดอกไม้ 

    “เอาไงล่ะน้าเหว่ยก็ต้องเผชิญหน้าดิ” ลงจากมอเตอร์ไซด์เก๋ากึ๋กเซ็ง ๆ พลิกตัวหุนหัน กระแทกเท้าเดินไปทางบ้านพักส่วนตัวของหล่อน ลืมโซเฟอร์คนไปรับมาส่งเสียสิ้น กระทั่งได้ยินเสียงเรียกไล่หลังนั่นแหละจึงกลับมานึกได้ ชะงักตัว หันไปด้านหลัง

    รอยยิ้มอ่อนโยนปรากฏเต็มดวงหน้าของบุรุษผู้กำลังยืนถ่างขา มือจับแฮนด์พาหนะคู่ยากทรงตัว

    ดวงตากลมลึกคู่นั้นฉายแววอารีไม่เคยเปลี่ยน ไม่ว่าจะใต้ดวงตะเงินสีทอง สีเงิน ใต้จันทราเหลืองนวล คืนเดือนมืดไร้แสงดาว อีกฝ่ายใช้สายตานั้นมองหล่อนตลอด หญิงสาวยกมือชูสองนิ้ว ยิ้มตาหยี

    “โชคดีนะครับคุณดอกไม้ ถ้าไม่ไหวพรุ่งนี้ขึ้นเขากัน”

    เดินมาได้สักพัก บุปผชาติหยุดฝีเท้าอีก ว่าตามจริงหล่อนทำใจแล้วจะปะหน้า แต่สภาพอย่างนี้ คุณแม่ลูกแฝดก้มมองตัวเองระบายลมหายใจยาว

    ความผิดของนายแม่กรองผกาคนเดียว เรียวใบจันผาเขียวสดมันวาว เย้ยแสงสุริยายามบ่ายคล้อยใกล้มือรับกรรม

    หากนี่จะเป็นช่วงเวลาโลกกำลังจะหยุดหมุน หล่อนก็พร้อมน้อมรับ อยากให้ทุกอย่างเฉื่อยชาเชื่องช้าเหมือนภาพสโลว์โมชั่นบนแผ่นฟิลม์ แล้วตัดฉากไปที่ตอนจบแฮบปี้เอนดิ้ง เขาเดินไปรับพระอาทิตย์ขึ้น หล่อนเดินไปส่งพระอาทิตย์ตก

    “คุณน้าคะ นี่คุณน้าไม่คิดจะเชิญคุณชายปาริวรรตกับคุณหญิงรัตนาวดีเข้าบ้านหน่อยหรือคะ”

    เสียงนั่น คอตกยกขึ้น ไหล่ห่อผึ่งผาย นั่นมันเสียงยายดาราดับนี่นา อย่าบอกนะว่า ไอ้ชายกระโปรงพริ้ว ๆ ที่เห็นคือหล่อน

    แต่มีอีกคนนี่ หญิงรัตนาวดี

    คุณหญิงรัตนาวดี ฮึ

    หน้าเชิด นัยน์ตาวาววาบ ริมฝีปากขบเม้ม เท้าที่แทบจะไม่มีแรงเพิ่มกำลัง บุปผชาติพาตัวออกจากมุมข้างตัวบ้าน ก้าวฉับ ๆ ตรงไปยังวงสนทนา ข้างรถเอนกประสงค์สีบรอนซ์เทามีฝุ่นจับเป็นคราบ จอดเยื้องต้นพิกุลหอมรื่นชื่นใจ

    “หญิงรัตนาวดี” ไม่ได้เป็นแต่เสียง หากสีหน้าแววตาก็ด้วย ความไม่พึงพอใจฉายชัด ขณะทุกคนต่างหันมาทางหล่อนโดยพร้อมเพรียง

    “บุปผา “เสียงใสดั่งระฆังแก้วดีใจนั้นคือเสียงของคนหล่อนจำเพาะเจาะจง

    “บุปผา” เสียงดัดหวานอ่อนโยนนั้นคือเสียงแม่ของหล่อน

    “บุปผา” เสียงมะนาวไม่มีน้ำเร้นซ่อนริษยานั้นคือเสียงของดาราฉาย คนที่ย่าของหล่อนชุบเลี้ยง

    ส่วนเขาคุณชายปาริวรรตปิดปากนิ่งสนิทเหมือนใบไม้ไม่ต้องลม

    “คือรัตนาวดีขอโทษ” ดูเหมือนจะรู้ดีว่าทำอะไรผิด” คุณหญิงรัตนาวดีปลีกตัวจากคนในกลุ่มเดินมาฉวยมือหล่อนเอาไปกุมไว้ทั้งสองข้าง “คือรัตนาวดีอยากจะเซอร์ไพรส์บุปผาน่ะ เลยไม่ได้บอก”

    “เมื่อคืนอยู่ที่ไหนหรือ” น้ำเสียงตึงห่างเหิน ที่ไหนของบุปผชาติ หมายถึงตอนคุยโทรศัพท์

    “ห้องพักในโรงแรมตัวจังหวัดน่ะ บุปผา รัตนาวดีขอโทษ ดีกันน้า” ใช่แต่จะออดอ้อนงอนง้อเสียงเล็กเสียงน้อย แสดงสีหน้ารับผิด ดวงตาสุกสกาวเปล่งประกายคาดหวัง หากมือหนึ่งของอีกฝ่ายยังขยับเคลื่อน จากเกาะกุมเปลี่ยนเป็นเกี่ยวก้อย ยกขึ้นให้เห็นอยู่ตรงหน้า “น้า”

    มองนิ้วเล็ก ๆ ขาว ๆ สะอาด ๆ ของหล่อน มองนิ้วเลอะ ๆ มีขี้เล็บของตัวเองตวัดรัดเกี่ยว ขณะสายลมรำเพยทายทักผิวหนึบเหนียว สลับมองดวงหน้าจิ้มลิ้ม ราวตุ๊กตาน่าทะนุถนอม กลีบปากอิ่มค่อย ๆ คลี่ยิ้ม ดวงตาอ่อนแสงลง จากนั้น

    “รักบุปผา” โผเข้าสวมกอดแล้วอีกฝ่ายก็ใช้คำและน้ำเสียงละลายพฤติกรรมต่อเนื่อง ส่วนหล่อนเปลี่ยนจากเสียงตึงมาเป็นเสียงดุ

    “หญิงรัตนาวดี”

    “หืม”

    เงยหน้ามามองตาแป๋วอย่างกับลูกแมวเชียว บุปผชาติเผยยิ้มเอ็นดู หากจะนับเดือน หล่อนแก่กว่า คุณหญิงรัตนาวดีเกือบปีทีเดียว ยิ่งการปฏิบัติตัวยิ่งไม่ต้องพูดถึง

    แต่ก่อนอยู่ที่มนวรรธ คุณหญิงรัตนาวดีคือดวงดาวเปล่งประกายแสงบนผืนกำมะหยี่สีดำที่คลี่คลุมร่างของหล่อนทุกครั้งที่เจอกัน

    “ชุดสวย ๆ เปื้อนหมดแล้ว”

    “อุ้ย! จริงสิ” นึกได้คุณหญิงรัตนาวดีคลายวงแขนแล้วผละห่าง ไม่ไกลหรอก แค่ถอยหลังไปสองก้าว จากนั้นดวงตากลมแบ้วสุกสกาวกวาดมองหล่อนทั่วตัว

    “บุปผาเท่จัง ยังกับคาวเกิร์ลในอินเดียน่าโจนส์เลย”

    คุณแม่ลูกแฝดหัวเราะหึ โลกของคุณหญิงรัตนาวดีนั้นเต็มไปด้วยดอกลาเวนเดอร์ เท่ของอีกฝ่าย หมายถึง หน้าโทรม ๆ ผิวโซมเหงื่อ ผมเผ้ากระเซิงยุ่งเหยิง

    เชิ้ตแขนยาวคอจีนเนื้อบางหลวมโพรกใส่สบาย ปลดกระดุมสองเม็ดโชว์ร่องอก ที่โดยปกติแล้วมันคือสีงาช้าง แต่ตอนนี้มันเป็นสีส้มจางดวงด่าง ชายเสื้อเมื่อเช้า หล่อนยัดเก็บเรียบร้อยในกางเกงหลุดออกมาโชว์ตัวมั่ง ยังเหนียมอายอยู่มั่ง

    ยีนส์พอดีตัวสีเข้มนั้นนอกจากดูดฝุ่นมาอมไว้ไม่ยอมคาย มันยังเต็มไปดอกและเมล็ดหญ้าเกาะหนึบยิ่งกว่าปลิง ไล่เรื่อยจากเข่ายันสะโพกผาย

    ส่วนบู้ตหนังสีน้ำตาลไม่ต้องพูดถึงทั้งโคลนแห้งกรัง และ...และฝุ่นแดง ๆ ยิ่งผิวเนื้อผิวกาย หึ ต่อให้ไม่สังเกตก็ต้องเห็นคราบไคลกันบ้างละ

    “นี่ถ้าท่านหญิงมาเห็นเธอในสภาพนี้คง...”

    “คงเป็นลม” บุปผชาติต่อประโยคให้ คนเพิ่งพาตัวเข้ามาอยู่ในรัศมีการมองเห็น แจ่มชัดตรงหางตาซ้ายหน้าตึงทันที หากก็ไม่ได้เปิดปากกระแนะกระแหนอะไรต่อ ดาราฉายเป็นคนฉลาด หล่อนเผยและเร้นมีจังหวะ

    ลบความรู้สึกไม่นับญาติออกไปแล้ว บุปผชาติแปรสายตามาเบื้องหน้ายกมือพนมตรงหน้าอก หากแต่ไม่ได้กล่าววาจาใด กลับเป็นบุรุษเพียงคนเดียวในที่นี่เสียอีก เสียงห้าวต่ำทุ้มนุ่มกังวานน่าฟังดังขึ้นหลังจากเขารับไหว้

    “เธอเปลี่ยนไปมากทีเดียว”

    “ค่ะ” รับเอาง่าย ๆ ขณะเดียวกันก็เพ่งพิศพิจารณาดวงหน้าคมคายเรียบขรึม หล่อนเปลี่ยน แต่เขาไม่มีอะไรเปลี่ยนเลย “นับครั้งสุดท้าย ที่ดิฉันมีโอกาสได้เจอคุณชายตอนอายุสิบห้า ก่อนคุณชายไปเรียนต่อ ใช่ค่ะ ดิฉันเปลี่ยนไปมาก”

    “งั้นหรือ นานขนาดนั้นเชียว ฉันนึกว่าไม่กี่ปีที่แล้ว”


    ❤️❤️❤️❤️❤️






    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×