ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ริ้วลายเมฆ (ฉบับอีบุ๊ก)

    ลำดับตอนที่ #2 : ตอนที่ 1 : ตอนจบ

    • อัปเดตล่าสุด 21 ต.ค. 62




     “ไม่รู้จักค่ะ” หญิงสาวเม้มปากแน่น สะกดกลั้นอารมณ์มากกว่าเดิมอย่างยิ่งยวด

    “สามีของแอนเป็นทหารค่ะน้อง ๆ ทหารที่มาช่วยงานนี่เป็นลูกน้องที่สามีขอตัวมาช่วยงานค่ะ”

    ฉลองขวัญตั้งท่าจะลุกขึ้น ความอดทนฝืนมีมารยาทชักจะสิ้นสุด ทั้งรำคาญ และอิดหนาคนนั่งใกล้เหลือกำลัง ทว่าก้นเพิ่งลอยเหนือเก้าอี้ กลับปล่อยแหมะไปกระทบพลาสติกอย่างหนาเช่นเดิม เมื่อได้ฟังถ้อยคำเหมือนจะชวนให้น่าเห็นใจในชั่วเวลาอึดใจต่อมา

    “ขอโทษนะคะที่ทำให้รำคาญ อย่าลุกหนีแอนเลยนะคะ ตอนแรกแอนนั่งอยู่ด้านหน้า คุยกับใครก็ไม่ได้ต้องสำรวม เลยต้องย้ายมานั่งข้างหลังค่ะ คือแอนแค่อยากมีเพื่อนคุยก็แค่นั้นเองค่ะ ลูกในท้องเขาบอกว่าเขาอยากได้ยินเสียงแม่ค่ะ”

    “คุณอยากจะพูดอะไรก็ตามสบายเถอะค่ะ” หันกลับไปเผชิญหน้ากับคนออดอ้อนตาใส “ดิฉันจะพยายามไม่รำคาญ ไม่อยากจะทำบาปกับคนท้องคนไส้ค่ะ แต่เชิญคุณนั่งพูดคนเดียวนะคะ”

    “ขอบคุณมากค่ะ แอนรู้อยู่แล้วว่าคุณเป็นคนใจดี”

    สีหน้าของฉลองขวัญเปลี่ยนไปเล็กน้อย หลังจากอีกฝ่ายไม่มีท่าทีสะทกสะท้านอะไร ทว่าสุดท้ายก็นึกค่อนขอดและเลือกจะวาง

    ช่างเถอะ ถือว่าฟังนกแก้วนกขุนทองเจื้อยแจ้วจำนรรจาไป หล่อนไม่ได้ให้ความสนใจหญิงสาวท้องโตผู้แนะนำตนเองว่าชื่อแอนอีก

    “ขอเรียนเชิญ...ให้เกียรติทอดผ้าบังสุกุล” โฆษกกล่าวเชิญบุคคลผู้เกี่ยวข้องกับผู้วายชนม์ร่วมทอดผ้าบังสุกุลยังคงดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง

    “หลังทอดผ้าบังสุกุลเสร็จ พี่การันต์จะพูดไว้อาลัยให้กับคุณนวลปรางที่เขาเคารพรักค่ะ”

    “หรือคะ” ดัดเสียงหวานหันไปทางคนเอียงตัวมากระซิบ ความตั้งใจแต่แรกเปลี่ยนไปบ้าง ในเมื่อยังไม่หยุดขยับปาก บางทีอาจจำเป็นต้องผูกมิตรกับเมียเพื่อนสนิทของผู้ชายคนนั้น ดูหล่อนจะรู้นอกรู้ในดีเสียเหลือเกิน

    “ค่ะ เดี๋ยวคอยดูนะคะ” แอนพยักพเยิดชี้ชวนให้มองไปยังเบื้องหน้า ขณะโฆษกประกาศเอ่ยนาม การันต์ พฤกษ์ชัย กล่าวคำไว้อาลัย

    ผู้คนส่งเสียงอื้ออึงอีกครั้ง แล้วเงียบลงทันทีราวกับนัดแนะ เมื่อชายหนุ่มเจ้าของชื่อเริ่มต้นเปล่งเสียง

    ห้าวทุ้มนุ่มกังวาน จังหวะจะโคนชวนอาลัย จนอดไม่ได้จะน้ำตาซึมตามคำพูดของเขา แม้แท้จริงแล้วไม่ได้อยากจะคล้อยตามเลย

    ความดี แม่หล่อนกระทำ เรื่องราวประวัติชีวิตการต่อสู้โลดโผนโจนทะยานที่ไม่เคยรู้ ได้รับการบอกเล่าผ่านผู้ชายคนนั้น น้ำเสียงน่าฟังสั่นเครือเป็นระยะ เหมือนกำลังรู้สึกสะเทือนใจอย่างรุนแรง มันคือละครแสร้งแกล้งแสดง หรือนั่นคือความรู้สึกในส่วนลึกของเขาจริง ๆ

    ชายหนุ่มบอกว่าแม่คือผู้มีพระคุณที่เขายังไม่มีโอกาสได้แทนคุณ แน่ใจหรือว่ายังไม่ได้ทำ

    ถ้าไม่...แม่หล่อนหรือจะยกทรัพย์สมบัติให้

    หล่อนเกลียดเขา ชิงชังแม้ไม่รู้ว่าตัวตนที่แท้จริงของอีกฝ่ายเป็นอย่างไร...ริมฝีปากฉลองขวัญสั่นระริกยามขบกันแน่น

    ตอนท้ายเขากล่าวคำขออนุญาตเปิดเพลงโปรดของผู้วายชนม์ที่ขอไว้ก่อนตาย

    น้ำตาแสงใต้…

    เพลงโปรดเพลงเดียวกับพ่อ

    ฉลองขวัญกลืนน้ำลายเหนียวหนืดลงคอนึกถึงบิดาผู้เคร่งขึงโกรธเกรี้ยว ‘แม้ตายก็ไม่ต้องไปเผาผี’

    เสียงเพลงจบลง เสียงปรบมือดังขึ้น โฆษกขอให้แขกนั่งสงบกายสงบใจส่งผู้วายชนม์ไปสู่สุคติ ก่อนจะกล่าวคำขอบคุณ และปิดท้ายด้วยประโยค

    ...เปลวเทียนละลายแท่ง แสงส่องละลายไป…

    กินใจ เศร้าสร้อยเหลือเกิน หญิงสาวลุกขึ้นยืน เตรียมจะก้าวเท้าออกจากศาลา ทว่าชะงักกิริยาค้างเมื่อข้อมือโดนยึดไว้

    “เดี๋ยวสิคะคุณ งานยังไม่เสร็จค่ะ เดี๋ยวต้องเดินเข้าแถวไปวางดอกไม้จันทน์ที่พานหน้าศพ แล้วรับของที่ระลึกจากเจ้าภาพก่อนค่ะ ไปค่ะ ไปด้วยกัน”

    จำต้องเดินตามสตรีมีครรภ์ผู้ถือวิสาสะลากหล่อนไปเดินเข้าแถว ในขณะที่ทหารชั้นผู้น้อยในเครื่องแบบ รวมทั้งผู้มาช่วยงานจำนวนหนึ่งร่วมกันเก็บซ้อนเก้าอี้ เปิดทางอำนวยความสะดวกให้แก่แขกเหรื่อผู้มาร่วมงาน

    หยุดยืนนิ่งมองภาพถ่ายซึ่งตั้งอยู่หน้าโลงสีทองอยู่ชั่วครู่ ก่อนวางดอกไม้จันทน์ในมือบนพานหน้าศพ ไม่ได้เดินไปรับของที่ระลึกจากเจ้าภาพ กลับเลี่ยงไปยืนอยู่ใกล้เมรุ แอนสาวท้องแก่ไม่ได้อยู่วุ่นวายให้ขัดเคือง ด้วยมัวแต่คุยเจื้อยแจ้วกับคนรู้จัก

    มองไปยังคนจำนวนมากผู้กำลังจับกลุ่มรวมตัวกันหลังสิ้นคำประกาศเชิญชวนญาติ เพื่อน แขกเหรื่อผู้มีเกียรติร่วมถ่ายภาพเป็นที่ระลึก ไม่คิดแม้แต่จะเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของบุคคลเหล่านั้น

    ขบวนเคลื่อนศพเดินวนรอบเมรุซึ่งตั้งอยู่หลังศาลาวัดเริ่มขึ้น ขณะเดินอยู่หางแถวเกือบจะเป็นคนสุดท้าย หญิงสาวมองไปยังหัวขบวนหลายต่อหลายครั้ง สายตาของหล่อนจับจ้องผู้ชายที่เดินถือรูปแนบกับอก อาจจะรู้สึกไปเอง เขามองมายังหล่อนเช่นกัน

    ขบวนเคลื่อนศพวนรอบเมรุรอบที่สามสิ้นสุดลง ฉลองขวัญมองไปยังการันต์อีกครั้ง

    ดวงตาคมกล้าคู่นั้นตรึงรั้งให้ต้องสบตาอีกฝ่ายผ่านแว่นกันแดดสีดำนิ่งพักหนึ่ง ก่อนถอนสายตาจากเขาทันทีหลังจากเรียกสติกลับคืน

    เลี่ยงออกไปยืนมองขบวนเคลื่อนศพขึ้นสู่เมรุอยู่ใต้ศาลาวัด ชั่วครู่ผ่านจึงตัดสินใจเดินออกจากบริเวณผู้คนจับกลุ่มกันประปราย

    ครั้นทิ้งตัวลงนั่งตรงม้าหินอ่อน หนึ่งในจำนวนตั้งวางรายล้อมต้นก้ามปู ต้นที่ขึ้นอยู่ห่างไกลสุดจากศาลา หญิงสาวแหงนหน้า

    กิ่งก้านเห็นเป็นเงาสีดำนั้นแผ่สยายกว้าง บดบังผืนฟ้าขมุกขมัวหม่นหมองเบื้องบน ขณะพยายามฝืดฝืน บีบบังคับความร้าวรานรสเค็มปร่าให้ไหลย้อนกลับสู่นัยน์ตา

    เสียงดนตรีเป็นทำนองดั่งอำลาอาลัยยังคงบรรเลง

    กลิ่นเฉพาะมีเอกลักษณ์โชยชวยมาตามสายลมแผ่วเป็นระยะ

    หล่อนเป็นลูกสาวเพียงคนเดียว ลูกที่สังคมลืมไปแล้วว่า ร่างซึ่งกำลังเผาไหม้กลายเป็นเถ้าอยู่ในกองเพลิงนั้นมีอยู่









    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×