ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ริ้วลายเมฆ (ฉบับอีบุ๊ก)

    ลำดับตอนที่ #1 : ตอนที่ 1 : ตอนต้น

    • อัปเดตล่าสุด 21 ต.ค. 62


      



    สุดท้ายหล่อนก็มาจนได้...

    หญิงสาวเงยมองป้ายชื่อวัดขณะใกล้ถึงปากทางเข้า ก่อนจะยกมือขึ้นปาดเหงื่อผุดพรายบนหน้าผาก แล้วเลื่อนสายตาไปเบื้องหน้า

    พาหนะสองล้อใช้น้ำมันซิกแซ็ก หลบหลีกหลุมเล็กหลุมน้อยตามถนน ผ่านโรงเรียนประถมด้านซ้ายมือที่มีเด็ก ๆ วิ่งเล่นเจี๊ยวจ๊าวอยู่กลางสนามไปจอดตรงลานกว้าง

    “ศาลาข้างหน้านั่นใช่ไหมคะ” ฉลองขวัญในชุดเสื้อยืด กางเกงยีนส์ รองเท้าผ้าใบสีขาว สวมแว่นตากันแดด ถามพลางล้วงหยิบเงินในกระเป๋าสะพายออกมาจ่ายให้กับคนมาส่ง

    “ศาลานั้นแหละหนู” อีกฝ่ายบอกพร้อมทั้งยื่นเงินทอนให้

    “ขอบคุณมากค่ะ” รอกระทั่งชายวัยกลางคนผิวกร้านแดดขี่มอเตอร์ไซค์คู่ใจกลางเก่ากลางใหม่จากไป จึงกวาดสายตามองสำรวจ

    ลานวัดดินทรายสะอาดตาเต็มไปด้วยรถเก๋งยี่ห้อยุโรป ญี่ปุ่น รถกระบะคันเก่าใหม่ รวมทั้งรถมอเตอร์ไซค์จอดอยู่ตามจุดต่าง ๆ สามล้อเครื่องก็เห็น

    ศาลาวัดมีแขกเหรื่อมาร่วมพิธีเผาศพนั่งกันอยู่เนืองแน่น แถวที่นั่งได้รับการจัดวางแบ่งเป็นสองฝั่ง ตรงกลางเว้นว่างสะดวกเดินเข้าออก คณะเจ้าภาพกำลังยืนต้อนรับผู้มาร่วมงานอยู่เยื้องกันทางขวามือ

    หล่อนไม่ได้ก้าวไปทักทายพวกเขาอย่างมารยาทควรทำ หากเลือกจะเดินอ้อมต้นก้ามปูสูงใหญ่ แผ่สยายกิ่งก้านให้ร่มเงาอายุหลายสิบปี ไปยังเก้าอี้พลาสติกสีน้ำเงินแบบมีพนักพิง แถวหลังสุดริมขวามือใกล้กับวงปี่พาทย์

    หลังจากหย่อนกายลงนั่ง จึงหันมองไปยังกลุ่มคนเหล่านั้น ทว่าเป้าสายตาสำคัญผ่านแผ่นพลาสติกสีถ่านขนาดเล็กคือเขา

    การันต์ พฤกษ์ชัย ชายหนุ่มร่างสูงบึกบึนหน้าตาคมคาย ในชุดสูทสีดำสุภาพเรียบร้อย ผู้กำลังยืนยกมือพนมไหว้ต้อนรับชายหญิงผู้มาร่วมงาน เล่นละครตีหน้าเศร้าอยู่

    ริมฝีปากสีสดคงจะยังไม่คลายยิ้มเหยียด และสายตาของหล่อนก็คงจะไม่ละเสียจากบุคคลผู้นั้น หากเสียงโฆษกประกาศพิธีการดำเนินงานจะไม่ดังขึ้น

    หญิงสาวขยับกายนั่งเรียบร้อย ขณะนั้นเอง บุรุษในชุดเครื่องแบบทหารชั้นผู้น้อย หน้าตาหล่อเหลา เข้มอย่างชายไทยแท้ได้ยื่นถาดในมือซึ่งมีแก้วเครื่องดื่มหลายชนิดมาให้

    “น้ำครับ”

    “ขอบคุณค่ะ” หยิบแก้วน้ำดื่ม ก่อนที่นายทหารหนุ่มจะยิ้มโชว์ฟันขาวแล้วเคลื่อนกายห่าง ชั่วเวลาอึดใจต่อมา พลาสติกเนื้อบางสีขาวนวลมีเพียงหยดน้ำเกาะสภาพบี้แบนซุกตัวอยู่ในกระเป๋า ครั้นเสียงสวดอภิธรรมศพเป็นจังหวะจะโคนไพเราะเสนาะหู ก้องกังวานผ่านเครื่องขยายเสียงดังขึ้น มือทั้งสองยกขึ้นพนมแนบกับอก

    หูตั้งใจฟังทว่ากิริยาของหล่อน คือชะเง้อคอยาวมองไปยังด้านหน้า จากจุดนั่งอยู่ไม่สามารถมองเห็นอะไรเหนือศีรษะทั้งหงอก ดำ เตียน โล่งของผู้คนนั่งสำรวมนอกจากโลงศพสีทองอร่าม ที่มีพวงหรีดดอกไม้ประดับรายล้อมจำนวนมากตั้งตระหง่านอยู่

    ก่อนหน้านี้หล่อนพร้อมแล้วอยู่บนรถโดยสาร แต่ขณะรถบัสขนาดใหญ่กำลังเคลื่อนตัวออกจากสถานีเดินรถ สำนึกของความเป็นลูกก็ประเดประดังเข้ามา เหมือนเกลียวคลื่นแรงสาดซัดกระทบขอนไม้ผุ ฉลองขวัญขอให้คนขับหยุดรถ นำกระเป๋าเสื้อผ้าใบเล็กฝากไว้ยังจุดรับฝากของเรียบร้อยจึงว่าจ้างรถมอเตอร์ไซค์รับจ้างให้มาส่งที่นี่

    ไม่ได้ต้องการอยู่ร่วมในพิธีเผาศพ แค่อยากมาไหว้ผู้ตายเพียงวันเดียว จากนั้นกลับบ้านแล้วเตรียมตัวกลับมา ณ อำเภอนี้อีกครั้ง

    หล่อนมาถึงเมืองที่ได้ชื่อว่ามีสถานีรถไฟสวยสุดในประเทศไทยเมื่อสี่วันก่อน ทว่าเพิ่งเข้าไปเคารพร่างไร้วิญญาณของแม่ยังบ้านติดชายทะเลค่ำคืนผ่านมา ก่อนนั้นวนเวียนอยู่นอกรั้วอาณาเขต คอยสอบถามเรื่องราวอยากรู้จากชาวบ้านย่านใกล้เคียง และได้รู้ว่าบุรุษที่คุณนวลปรางระบุชื่อในจดหมายคือใคร

    ผู้ชายที่แม่โอนทรัพย์สินเกือบจะทั้งหมดให้

    ส่วนหล่อน...

    แม่บอกว่าที่ดินกว่ายี่สิบไร่ในจังหวัดกาญจนบุรีคือสิ่งพึงจะได้ ฉลองขวัญควรจะดีใจ แม่ผู้ไม่เคยเลี้ยงดูอุ้มชูยังมีแก่จิตแก่ใจนึกถึง ยกมรดกให้ก่อนตาย หากจะไม่ได้ยินพ่อโทรศัพท์ถามแม่เกี่ยวกับเรื่องบ้านลายเมฆ ถ้าเพียงแต่พ่อจะไม่พูดว่า


    …‘มันควรจะเป็นของฉลองขวัญ เพราะพ่อของคุณได้ยกให้เป็นของขวัญในวันลูกเกิดมาลืมตาดูโลก บ้านที่ลูกสาวของคุณอยู่ตั้งแต่เกิดจนถึงหกขวบ’...


    ของของหล่อน แต่แม่กลับยกให้คนอื่น แม่ทำอย่างนี้ได้อย่างไร...

    มือพนมอยู่สั่นระริก ขณะตามองไปยังโลงศพเริ่มพร่าพรายเลือนราง หากความคับแค้นสุมอกไม่ได้ทำให้หลงลืมสิ่งดำเนินอยู่ หลังจากเสียงสวดอภิธรรมศพเสร็จสิ้น หญิงสาวลดมือตัวเองลง

    เสียงพูดคุยอื้ออึงดังขึ้น ก่อนจะแผ่วเงียบเมื่อโฆษกประจำงานพูดผ่านเครื่องขยายเสียง ฉลองขวัญหันมองตามคณะนางรำซึ่งเดินเรียงตามกันไปยังด้านหน้าเพื่อแสดงระบำชุด อัปสราสำอางค์ ตามที่โฆษกประจำงานประกาศ

    ครั้นเมื่อคณะปี่พาทย์เริ่มบรรเลงดนตรีอันไพเราะจับใจ พลันเหมือนสายลมพัดเมฆสีทึมเทาจางหาย ท้องฟ้าค่อย ๆ สว่างกระจ่างอุ่นแสง อารมณ์ขุ่นเคืองของหล่อนบรรเทาคลี่คลาย มันเป็นไปเช่นนั้นแม้จวบจนกระทั่ง

    “คุณครับ” ชายหนุ่มในชุดเครื่องแบบทหารชั้นผู้น้อย หน้าตาอ่อนวัย คนละคนกับก่อนหน้านี้ ยื่นถาดที่มีดอกไม้จันทน์วางเรียงซ้อนกันอยู่มาตรงหน้า

    “ขอบคุณค่ะ” ดวงหน้าประดับรอยยิ้มฝืดฝืนชั่วเสี้ยววินาที ขณะเครื่องหมายแสดงความอาลัยมีกลิ่นหอมย้ายมาอยู่ในมือหนึ่งดอก ก่อนเสียงดนตรีราวมนตร์ขลังจะจบสิ้นลงพร้อมการแสดง หลังจากเหล่านางรำพากันเดินเรียงแถวกลับ โฆษกประจำงานจึงกล่าวเรียนเชิญครอบครัวผู้วายชนม์ทอดผ้าบังสุกุล และนั่นก็ทำให้ฉลองขวัญลุกขึ้นยืน ชะเง้อคอยาวอย่างอดไม่ได้

     หนึ่งในครอบครัวผู้วายชนม์ควรจะมีหล่อนร่วมด้วย แต่กลับมานั่งอยู่ตรงเก้าอี้แถวหลังสุด เป็นแขกผู้ไม่ได้รับเชิญ เป็นคนที่ไม่มีใครรู้ ว่ามีความเกี่ยวข้องอย่างไรกับผู้ลาลับ ริมฝีปากหญิงสาวขบเม้มเป็นเส้นตรง

    แม่ตาย…ไม่มีใครติดต่อส่งข่าว หากไม่คิดอยากคุยกับบุพการีซึ่งป่วยจนต้องหาเบอร์โทร.จากชื่อที่อยู่ตามจดหมายก็หาได้รู้ว่า ผู้หญิงที่ฉลองขวัญจำหน้าค่าตาไม่ได้ คนที่ไม่เคยเลี้ยงดูหล่อนด้วยความรักความเมตตาได้ลาจากโลกนี้ไปแล้ว

    ในวันที่จดหมายถึงมือ หลังจากอ่านจบพ่อขยำกำมันไว้แน่น ไหล่งองุ้มสั่นเทา ก่อนหันมาสั่งห้ามเครียดขึง วาววับฉายแววชิงชังในตาเปิดเผย ไม่ให้ติดต่อกับแม่ ยื่นคำขาดถึงแม้ตายก็ไม่ต้องไปเผาผี

    พ่อหายหน้าหายตาไปกว่าครึ่งค่อนวัน และกลับมาในสภาพปกติ เดินตรงดิ่งไปหลังบ้าน มือหยาบกร้านถือขวดเหล้าขาวฝาขวดยังไม่ผ่านการเปิด เปลระนาดคือที่พักพิงกายใจเช่นทุกวัน นับตั้งแต่ฉลองขวัญจำความได้

    หล่อนมาที่นี่โดยไม่บอกพ่อว่ามางานศพแม่ ไม่รู้ป่านนี้พ่อจะรู้หรือยังว่าแม่ตายแล้ว หญิงสาวหย่อนกายลงนั่งตามเดิม เมื่อรับรู้ได้ว่ากำลังตกเป็นเป้าสายตาของคนหลายคน

    “เมื่อยใช่ไหมคะคุณ ดิฉันเองก็เมื่อยเหมือนกัน”

    ฉลองขวัญหันไปมองสตรีท้องโตซึ่งนั่งติดกัน ใบหน้าของอีกฝ่ายช่างอิ่มเอิบ ดวงตากลมโตสุกสกาว ริมฝีปากบางแย้มยิ้มอย่างใจดี

    ไม่รู้ว่าหญิงสาวผู้มีกลิ่นกายหอมอ่อนเหมือนดอกมะลิคนนี้มานั่งใกล้ตั้งแต่เมื่อไหร่

    “ค่ะ เมื่อยนิดหน่อย”

    “ไม่ใช่คนที่นี่ใช่ไหมคะ”

    “ไม่ใช่ค่ะ”

    “เป็นคนที่ไหนคะ”

    “เป็นคน...” เงียบไปอึดใจหนึ่ง ก่อนจะตอบคำถามด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “เป็นคนต่างจังหวัดค่ะ”

    “รู้จักกับคุณนวลปรางได้ยังไงคะ”

    หญิงสาวนิ่งไปอีกครั้ง หากครานี้ไม่คิดจะบอกอะไรต่อ กลับหันไปให้ความสนใจกับเบื้องหน้าแทน

    “ขอโทษค่ะที่ถามเซ้าซี้”

    “ไม่เป็นไรค่ะ...คนท้องชอบสอดรู้เรื่องชาวบ้านน่าจะเป็นเรื่องธรรมดา” อดใจไม่อยู่จึงโต้ตอบ แต่ก็ไม่ได้หันกลับไปมองอีกฝ่าย

    “ไม่ทุกคนหรอกค่ะ น่าจะมีแอนเพียงคนเดียวที่เป็นคนท้องอยากรู้เรื่องชาวบ้าน ชื่อแอนนะคะ เป็นคนหัวหินแต่กำเนิด ยินดีที่ได้รู้จักค่ะ คุณ...”

    พยายามนิ่งเฉยไม่ต่อความ แท้จริงคือหล่อนไม่ต้องการสร้างมิตร เป็นเพื่อนกับคนที่นี่ โดยเฉพาะคนเพิ่งบอกว่าเป็นคนท้องถิ่น

    “สามีของแอนเป็นเพื่อนสนิทของพี่การันต์ค่ะ คุณคงรู้จักพี่การันต์”



    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×