ตอนที่ 3 : ชีวิตใหม่ได้มาแบบงงๆ
“ปี๊ปปปปป”
“เฮือก” แอนดรูลืมตามองเพดานและสายระโยงระยางรอบตัวแววตาของเด็กชายยังสับสนแต่สักพักก็กลับมาปกติและจำเรื่องราวได้
เขากำลังสอบวิ่งมินิมาราธอนในขณะที่วิ่งไปได้สามกิโลเมตรนั้นและคิดว่าจะพักสลับเดินครึ่งกิโลเมตร ไม่ทันได้พักขาปรับระบบลู่วิ่งเป็นเดินกลับสลบ…สลบหรือเปล่านะแล้วมาโพล่ที่โรงพยาบาล
กี่วันกันที่เขามาอยู่ที่นี่ หลง คงเป็นห่วงแน่ไหนหลงจะกลับบ้านหลังจากสอบวัดสมรรถภาพครั้งนี้อย่างเป็นสุขหรือเปล่า หรือยังเป็นห่วงเขาอยู่และอาจมารอหน้าห้องแล้วก็ได้
เสียงประตูห้องรับการรักษาเปิดออกรอยยิ้มของเด็กชายที่คาดว่าจะเป็นหลงเพื่อนรักเดินเข้ามากลับเป็นทีมแพทย์ที่รักษา? รอยยิ้มเต็มหน้าของเด็กชายจึงค่อยๆ สลายไป
แอนดรูมองทีมแพทย์พูดคุยเกี่ยวกับอาการของเขาแบบโจ่งแจ้ง เอ่อ…แบบมันควรจะเป็นอะไรที่ไม่ต้องให้คนไข้รู้ก่อนหรือเปล่าหลังจากพวกเขาทั้งหลายสรุปอาการได้แล้วจึงค่อยบอกคนไข้อีกทีหรือเปล่า
วิธีวัดความดันแบบเก่า ฟังเสียงการเต้นของหัวใจไหนจะดูกราฟคลื่นสมองคำศัพท์ชวนปวดหัวนั้นทำเอาเขาอยากนอนจังเลย จะเป็นไรไหมหากเขาจะบอกให้หมอออกไปเขาอยากนอน
แต่ก่อนอื่นต้องถามก่อนว่าเขาโคม่าหรือหลับไปกี่วัน
“ขอโทษครับ ผมถามอะไรได้ไหม” เอ่อ…ประหม่าเลยหันมามองผมทุกคน เอาไงดีละทีนี้ “แฮะๆ คือผมหลับไปกี่วันครับ” เอาวะยิ้มไว้ก่อนยังไงก็ให้ลักยิ้มมันทำงานหน่อย หลงเคยบอกว่าผมยิ้มน่ารักดี คงต้องเชื่อเพื่อนก่อน
“…เอ๋ หนึ่งวันเองหรือครับ ผมคิดว่านานกว่านี้ เอ๊ะ…หรือจะหนึ่งดะ”
“ไม่ใช่ เธอหลับไปหนึ่งชั่วโมงเท่านั้น”
เพียงคำตอบนี้พาเอาร่างของเด็กชายเด้งลุกขึ้นมานั่งพร้อมคำพึมพำเบาๆ อย่างไม่น่าเชื่อ แค่หนึ่งชั่วโมงมันเวอร์เป็นหนังการ์ตูนของโลกยุคเก่าไปได้
จากนั้นคำพูดของพวกเขาก็ทำเอาผมงงเมื่อสายระโยงระยางบางสายถูกเก็บ ไม่ใช่สิผมถูกย้ายออกจากห้องรักษาไปห้องพักฟื้นต่างหาก หลังจากอ่านค่าระบบร่างกายแล้วไม่พบปัญหาใดๆ ที่สำคัญมันเหมือนมันเหมือนไม่เคยเจ็บป่วยมาก่อน
สองวันในโรงพยาบาลผ่านไปแบบเข้าห้องตรวจนั้นออกห้องตรวจนี้และไม่พบความผิดปกติใดๆ แน่นอนว่าตลอดสองวันไม่มีใครมาเยี่ยมผมเพราะเจ้าหน้าที่หุ่นยนต์พยาบาลเมื่อพบว่าผมไม่มีญาติก็ไม่จำเป็นต้องติดต่อใคร ผมกังวลอย่างเดียว
หลงคงเดินวนเป็นหนูติดจั่นและโทรศัพท์ติดต่อผมซ้ำๆ แน่เลย ที่สำคัญหลงเป็นเพื่อนไม่ใช่ญาติ
เอาเถอะหุ่นยนต์พยาบาลจะคืนสายรัดข้อมือผมตอนเย็นหลังมื้ออาหารและเห็นบอกว่ามีข่าวดีจะมาบอกผมอีก นี่แค่กินข้าวเที่ยงเสร็จอีกนานกว่าจะได้สายรัดข้อมือ คนป่วยหรือเลิกป่วยอย่างผมแล้วคงมีแต่นอนกับนอนเท่านั้น
.
.
.
‘มาสักที นี่รอนานมาก’
ร่างโปร่งของวิญญาณหญิงสาวในวัย วัยสาวใหญ่ในหัวของผมคือใคร
นี่เป็นรอบที่เท่าใดไม่ได้นับเอาเป็นว่านอนหลับปั๊บผมจะเห็นน้าคนนี้ทันทีทันใด แต่ดูจากอายุที่มากว่าพ่อๆ ของผม เรียกเธอว่าป้าก็ได้มั้ง
‘ป้า หวัดดีครับ’
เด็กหนุ่มยิ้มขณะที่ร่างวิญญาณสาวลอยล่องรอบตัวเด็กชาย แม้ดวงวิญญาณจะพยายามหาทางออกจากห้องสี่เหลี่ยมนี้อย่างไรก็ไม่สามารถ นอกจากจะรอเพียงหลานชายนอนหลับเท่านั้นเธอจึงจะมีเพื่อนคุย
แต่เอ๊ะ..ตะกี้หลายชายตัวน้อยเรียกเธอว่าอะไร
ป้า!
เด็กสมัยนี้ช่างไม่รู้อะไรบ้างเลยว่าใครเด็กใครอาวุโสไม่มีสัมมาคารวะ ไม่มีความกะ…
ตาย ตาย เธอลืมแนะนำตัวกับหลานชาย
'สวัสดีเด็กน้อย ฉันชื่อเหมย…นั่นแหละชื่อเหมยเป็นย่าของเธอ ต่อไปต้องเรียกฉันว่าท่านย่าห้ามมาเรียกน้าเรียกป้าไม่งั้น ไม่งั้นถ้าเธอนอนเมื่อไรจะก่อกวนไม่ให้ได้นอนเลย…'
คำร่ายยาวตั้งแต่เรื่องเมื่อห้าหกพันปีก่อนก็หลั่งไหลออกมาดังสายน้ำฝนที่โปรยปรายลงมา เอาเป็นว่าแม้แต่ลำดับสายตระกูลอีกสายที่อพยพไปยังดวงดาวดวงอื่นเมื่อห้าร้อยปีก่อนก็บอกให้รับรู้ แอนดรูทำเพียงพยักหน้ารับรู้
‘อ้า…อู้…เอ๋…หาาาา’
ใช่แล้ววิญญาณท่านย่าเหมยเป็นบรรพบุรุษของครอบครัวผมในโลกเก่านี้ตั้งแต่โบราณ ปกบ้านป้องเมือง….
ผมนะไม่เชื่อเรื่องวิญญาณนี้เด็ดขาด หากมีจริงคงโดดนักวิทยาศาสตร์หลายคนค้นหาคำตอบได้แล้วไม่ใช่วิญญาณตั้งแต่โลกยุคเก่าล้าหลังอะไรนั่นแน่นอน
‘ท่านย่า’นี่ต้องเป็นพลังงานสิ่งประดิษฐ์แน่นอน
คงคล้ายความรู้ที่พวกผมนักเรียนได้รับการถ่ายทอดผ่านหมวกความรู้เมื่อสวมลงบนหัวสิ่งที่เราอยากรู้ก็หลั่งไหลเข้ามาทันที รับความรู้ได้มากหรือน้อยแล้วแต่ตั้งค่าเงื่อนไขในทุกครั้งก่อนสวมหมวกความรู้
แต่นี่'ท่านย่า'คงเป็นสิ่งประดิษฐ์ที่พอเศษเฉพาะบุคคลแน่เลย
ไม่แน่ตอนที่หลับไปไม่รู้เหล่าหมอที่รักษาแอบเอาอะไรฝังลงไปในสมองน้อยๆ ของผมแน่เลย
‘สิ่งที่ท่านย่าจะสอนวันนี้ คือการก่อไฟ เจ้าจะใช้ฟืนหรือถ่านย่อมได้ทั้งนั้น ที่ขาดไม่ได้คืออุปกรณ์จุดไฟ….’
ท่านย่าคงพยายามนำเสนอความรู้ให้ผมเต็มที่แน่นอน ในใจอยากบอกท่านย่านักว่าเรามีระบบทำความร้อนที่ดีแล้วโดยใช้พลังงานสะอาด ไม่ทำลายสภาพอากาศเช่นการก่อกองไฟนี่ หากผมเรียนรู้การจุดไฟและก่อกองไฟไปจะโดนตำรวจโลกจับกุมหรือเปล่า
‘…นี่คือหินไฟ(หินอัคนีแต่สมัยย่าเรียกตามใจย่า) นั่นไม้ขีดและนี่ไฟแช็ก หินไฟเจ้าใช้มันกระทบกันแบบนี้…ส่วนไม้ขีดใช้แบบนี้….และนี่ไฟแช็ก….’
กองไฟจากการใช้อุปกรณ์สร้างความร้อนก็ทำเอาห้องที่ไม่มีประตูหน้าต่างนี่อึดอัดมากกกกก
….แต่ใครจะกล้าบอกระบบความรู้ท่านย่าละ ดูๆ ไปคงเป็นท่านย่าที่เอาแต่ใจตน
แก๊กๆๆแชะๆๆ ผมชอบจังเวลาได้ลงมือทำ ไม่คิดว่าความรู้ท่านย่าจะสามารถทำให้ผมสัมผัสสิ่งของได้จริงๆ
‘เจ้าทำอะไรเจ้าหลานหน้าเหม็น ควัน ควัน รีบใช้พัดพัดให้ไฟมันลุกติดเดี๋ยวนี้ แค่กๆๆ’
‘แค่กๆ ฮัตชิ้ว’
“อ้าวเป็นหวัดซะแล้ว ไหนขอพ่อหมอดูอาการสิ”
ผมที่จามทีออกจากห้องแห่งความรู้ท่านย่าทันที ควันจากหองไฟที่ผมก่อไว้จะทำให้ระบบความรู้ท่านย่าล่มหรือเปล่า…ไม่กล้าจินตนาการเลย แต่ตอนนี้คงได้แต่ส่งยิ้มน่ารักบวกลักยิ้มหนึ่งข้างให้ไปก่อน
“แฮ..”
“ไม่มีหวัดอุณหภูมิร่างกายปกติ ปกติทุกอย่างพรุ่งนี้ก็ออกจากโรงพยาบาลได้ เอาละมาเรื่องของเรากันดีกว่า..”
เดี๋ยวก่อน คือช่วยบอกต้นเรื่องก่อนได้ไหม ทำไมผมรู้สึกว่าจะเป็นละครก่อนจบหนึ่งวันไปได้เมื่อ อะไรนะ เมื่อกี้หมอเขาแทนตัวเองว่ายังไงนะ
‘พ่อหมอ’ คำนี้มันทะเม่งๆ ชอบกล
แต่ยังไงมันก็มีคำว่าหมอถึงมันจะคล้ายภาษาโบราณของบางชนเผ่าในโลกเก่าก็ตาม
“นี่สายรัดข้อมือของเธอ ฉันจัดการถ่ายโอนย้ายข้อมูลจากเรือนเก่าเป็นอันนี้ ทั้งมีแพลตฟอร์มต่อระหว่างดวงดาวเพิ่มให้เธอด้วย นี่เป็นแพลตฟอร์มใหม่ที่เปิดตัวได้ไม่นานมันเป็นของลกพี่ลูกน้องของลูกที่ทำงานที่ดาวเอ็มที่21 ชื่อของมัน'เพื่อนวายป่วง' พี่เมษาเขาเก่ง เอาไว้พ่อหมอจะแนะนำอีกทีตอนพาเราไปเที่ยวที่นั่น….”
ผมยังคงคิดถึงคำบอกของพ่อหมอแต่รู้สึกชอบกลกับคำเรียก หากออกโรงพยาบาลไปคำเรียกนี้หากผมสนใจมากพอผมจะไปที่ห้องสมุดแห่งความรู้เพื่อตามหาคำเรียกชื่อพ่อหมอในสักวัน
เหมือนวันนี้ผมลืมอะไรไปหรือเปล่า
^^^^^
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ
