ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ต้าเจี่ยจะเป็นเศรษฐีนีอันดับหนึ่ง

    ลำดับตอนที่ #7 : 7 เส้นกั้นบางๆ ระหว่างนักการตลาดและนักต้มตุ๋น (2)

    • อัปเดตล่าสุด 15 ก.ค. 64


     

    เจี่ยงซู่ผิงได้รับคำตอบเช่นนั้นก็ดีใจจนยิ้มร่า หัวใจเต้นโยนในอกตึกตักด้วยความตื่นเต้น

    แต่ก่อนนางจะพยักหน้าอีกครั้ง แม่นมด้านหลังก็สะกิดนางเบาๆ ตักเตือนเชิงชี้แนะนางสักประโยค “แต่คุณหนูเจ้าคะ ซื้อไข่ไก่ในราคาฟองละ 4 อีแปะข้าว่ามันเกินไป อีกอย่างไก่อ้วนที่บ้านสตรีนางนั้นจะเฉลียวฉลาดเอาตัวรอดเก่งอย่างที่นางว่าหรือไม่ก็ยังไม่รู้แน่ สามีนางจะเคยเชือดไก่ล้มวัวหรือไม่ ใครเลยจะยืนยันได้ แค่ลมที่พูดออกจากปาก พูดทีก็เปลี่ยนที แบบนี้จะเชื่อถือจนยึดเอาเป็นข้อเท็จจริงได้อย่างไรเจ้าคะ? พวกเขา… ดีไม่ดีที่พวกเขามาไหว้พระในอารามอยู่ตรงนี้ก็เพราะอยากเข้าหาคุณหนูด้วยซ้ำ ประทานลาภแก่พวกเขาครั้งหนึ่งก็ต้องประทานให้ไม่จบไม่สิ้น ฟังแม่นมคนนี้สักประโยคเถิด มิสู้…”

    “มิสู้ไปดูให้เห็นกับตา” ประโยคนี้เฉินหนัวอิงเป็นคนพูดขึ้น

    แม่นมพยักหน้าเห็นด้วย เจี่ยงซู่ผิงได้แต่คล้อยตาม เมื่อตกลงกันเรียบร้อย คนทั้งหมดก็ขนกันออกเดินทางสู่บ้านของเฉินหนัวอิง

    ไม่นานก็มาถึงกระท่อมเก่าซอมซ่อแต่ดูน่ารักอบอุ่น เฉินหนัวอิงแนะนำแก่เจี่ยงซู่ผิงว่านี่ก็คือบ้านของเธอและสามี

    เล้าไก่ทางขวาว่างโล่ง เฉินหนัวอิงเพียงเหลือบตาไปดูเล็กน้อย ไม่ได้รู้สึกผิดปกติอะไร

    ตอนนี้เพิ่งเข้าสู่ต้นยามอู่[1] แน่นอนว่าไก่อ้วนยังไม่กลับมา ไม่รู้ไปเดินเตร็ดเตร่อยู่ที่ไหน แต่กลับเป็นแม่นมของเจี่ยงซู่ผิงเห็นแล้วยังไม่ทันคิดให้ถี่ถ้วนก็กระทืบเท้าโวยวาย “เห็นไหมๆ ข้าพูดแล้วไม่มีผิด ความจริงพวกเจ้าก็โกหกพวกข้า!”

    เฉินหนัวอิงได้แต่ขมวดคิ้ว ถอนหายใจออกมาอย่างเหนื่อยหน่าย ดูท่าท่านป้าคนนี้ถ้าเปรียบกับชาวเน็ตในยุคเธอก็คงจะเป็นพวกอ่านหนังสือสามบรรทัดไม่แตก ไม่เข้าใจที่เธอพยายามอธิบายสักนิดเลยจริงๆ จำได้ว่าไม่ถึงครึ่งชั่วยามก่อนหน้านี้ เฉินหนัวอิงเพิ่งเกริ่นเรื่องเลี้ยงไก่ชนิดปล่อยให้เดินเล่นอย่างอิสระออกไป ไม่รู้ว่านางไม่ตั้งใจฟังหรือตั้งใจไม่ฟัง มีแต่ใจจะจับผิด

    แต่จะอย่างไรได้ นางรอบคอบก็เป็นเรื่องดี สมเหตุสมผลอย่างมาก เพราะเฉินหนัวอิงก็เข้าหาคุณหนูเจี่ยงด้วยเจตนาแอบแฝงจริงๆ

    แต่เจตนาแอบแฝงของเธอก็แค่จะขายไข่ไก่!

    เฉินหนัวอิงทนฟังเสียงร้องแหลมปานสุกรถูกเชือดของแม่นมไม่ไหวอีก รีบพยักหน้าส่งสัญญาณให้มู่หยาง

    มู่หยางก็ส่งสัญญาณต่อไปอีกทอดหนึ่ง

    ไม่นาน ไก่อ้วนเดินเรียงแถวหน้ากระดานอย่างเป็นระเบียบกลับมา

    เจี่ยวซู่ผิงยกมือขึ้นทาบอกด้วยความอัศจรรย์ใจ มองไก่อ้วนแล้วจินตนาการถึงลูกรัก พอหายตื่นเต้นก็เขย่าแขนแม่นม “เห็นไหมๆ ไก่อ้วนพวกนี้เดินกลับมาเองได้จริงๆ แม่นมว่าถ้าข้ากินไข่ไก่พวกนี้ ลูกชายข้าพอโตขึ้นมา แม้ข้าจะปล่อยให้เขามีอิสระ เขาก็จะกลับบ้านตรงเวลามาหาข้าผู้เป็นมารดาใช่หรือไม่?” เจี่ยงซู่ผิงพูดด้วยแววตาวาดฝัน

    แม่นมแอบปาดเหงื่อ แต่กลับไม่อยากเห็นคุณหนูหลงกลผู้อื่นเร็วเกินไป หันมาเท้าสะเอวพูดกับเฉินหนัวอิง “ยอมรับก็ได้ว่าไก่อ้วนของพวกเจ้าเดินกลับบ้านถูกทางจริง แต่นี่กลับไม่ได้พิสูจน์ว่าไก่อ้วนบ้านเจ้าจะฉลาดหลักแหลม”

    เฉินหนัวอิงไม่อยากคุยกับคนชอบหาเรื่อง ยิ่งไม่ชอบสนทนากับคนที่มีอคติ จึงไม่สนใจนาง หันไปทางมู่หยางแล้วพูด “มู่หยาง วันนั้นให้เจ้าหันหลังปิดตาแล้วแยกแยะเจ้าหนึ่ง เจ้าสอง เจ้าสาม เจ้าสี่ วันนี้จะให้เจ้าหนึ่ง เจ้าสอง เจ้าสาม เจ้าสี่ แยกแยะชื่อตัวเอง” อาจฟังดูเหมือนเกินจริง แต่เฉินหนัวอิงคิดว่าหากคนกับไก่อ้วนมีจิตใจเชื่อมถึงกันได้ มู่หยางจำชื่อพวกมันได้ พวกมันก็ต้องจำชื่อตัวเองตามที่มู่หยางขานเรียกได้เช่นกัน เธอจึงคิดให้มู่หยางนำความสามารถนี้ออกแสดงให้ชมดู

     กระบวนการเริ่มขึ้นอีกครั้ง ไก่อ้วนทั้งสิบสองตัวเรียงแถว มู่หยางชี้ให้ดูว่าพวกมันชื่ออะไรก่อนรอบแรก จากนั้นออกเสียงขานชื่อพวกมันทีละตัว ขานชื่อทีหนึ่ง ไก่อ้วนเจ้าของชื่อก็เดินออกมาทีหนึ่ง ทำแบบนี้วนไปสิบรอบ สร้างความประหลาดใจให้เจี่ยงซู่ผิงสุดระงับ กระทั่งนางชี้มือชี้ไม้ “แม่นมๆ แบบนี้ลูกชายข้าต้องจำมารดาอย่างข้าได้ก่อนเด็กบ้านอื่นในวัยเดียวกันแน่ๆ ไก่อ้วนเหล่านี้ล้วนฉลาดหลักแหลม แบบนี้อย่าว่าแต่ 4 อีแปะ เพิ่มราคาเป็นฟองละ 40 อีแปะข้าก็ยินดีจ่าย!”

    เฉินหนัวอิงไม่ขัด มีแต่ยิ้มพลางส่งเสียงสนับสนุนนางในใจว่า ‘ทำเลย!’

    “แต่ก็ไม่ได้ยืนยันว่าสามีนางไม่เคยเชือดไก่ล้มวัวจริง บางทีเมื่อก่อนอาจจะมีมากกว่านี้ แต่ฆ่าไปฆ่ามาก็เหลือเท่านี้ก็ได้นะเจ้าคะคุณหนู” แม่นมโอดครวญ ออกแรงบีบแขนเจี่ยงซู่ผิงแน่นขึ้น

    เฉินหนัวอิงมิได้ต่อล้อต่อเถียงกับนางอีก เพียงแต่โปรยยิ้ม “นี่ก็เข้ายามอู่แล้ว หากฮูหยินไม่รังเกียจก็รั้งกายอยู่กินข้าวบ้านข้าก่อน หรือหากฮูหยินเตรียมอาหารไว้อยู่ก่อนแล้ว ก็เชิญแม่นมมารับประทานข้าวต้มบ้านข้าได้”

    เฉินหนัวอิงค่อนข้างใช้ประโยคมัดมือชก แม้เจี่ยงซู่ผิงจะเตรียมอาหารมาด้วยจริง แต่ใจหนึ่งนางยังอาจสานสัมพันธ์กับเฉินหนัวอิงในระยะยาว เพราะฉะนั้น ยิ้มรับแล้วดึงแขนแม่นมไปนั่งในบ้านของหญิงสาวอย่างอดเสียไม่ได้

    รอไม่ถึงระยะเวลาจิบชาหนึ่งถ้วย มู่หยางที่เชี่ยวชาญในการทำข้าวต้มก็ยกข้าวต้มมาวางบนโต๊ะ

    เมื่อเจี่ยงซื่อเห็นข้าก็ส่งสายมาให้แม่นม แม่นมสุดปัญญา ขนาดข้าวต้มยังไม่มีแม้แต่เศษเนื้อ สองสามีภรรยาคู่นี้คงเป็นผู้ทรงศีลที่บริสุทธิ์ทั้งจิตใจและการกระทำจริง ไม่เอ่ยปากรั้งเจี่ยงซื่ออีก พยักหน้าด้วยใจไม่ยินยอมนิดๆ “ซื้อก็ซื้อเจ้าค่ะ!”

     เจี่ยงซู่ผิงได้รับคำตอบที่ถูกใจก็เผยยิ้มกว้าง หันหน้าไปทางเฉินหนัวอิง จับมือนางไว้เบาๆ อย่างเป็นกันเอง “เช่นนั้นข้าจะแจ้งแก่พ่อบ้านให้มารับไข่ไก่ที่นี่ทุกวันตั้งแต่ยามเหม่า เงินจำนวนนี้เป็นเงินมัดจำที่ข้าจ่ายไว้ก่อน ครบสิบวันค่อยจ่ายที่เหลือ เจ้าว่าเช่นนี้ดีหรือไม่?” พูดจบแม่นมก็ส่งถุงเงินยื่นมาในมือเจี่ยงซู่ผิง นางส่งต่อใหเฉินหนัวอิงชนิดไม่เปิดดู

    หนักมาก!

    เฉินหนัวอิงรับมาแล้วถือไว้ในมือ มิได้เปิดในทันที เพราะดับลูกค้ามีระดับ แม่ค้าก็ต้องทำตัวมีระดับ ให้เกียรตินางอย่างถึงที่สุด แต่ไม่ใช่เธอจะคาดเดาในใจไม่ออก ถุงเงินที่หนักขนาดนี้ ทั้งลูบคลำดูแล้วยังรู้สึกว่ามีสิ่งของอะไรบางอย่างเต็มถุง ยังไงก็คงจะเป็นเหรียญทองแดงสักหลายร้อยได้ 

    แต่กลับไม่ได้แสดงออกว่าดีใจ เพียงแต่หันไปทางเจี่ยงซื่อ “ถ้าฮูหยินต้องการเช่นนั้น ข้าก็ไม่ขัด อืม…แต่การขนส่งไข่ไก่ทั้งหกรอบนี้ พวกเรามาลงนามทำสัญญากันด้วยดีหรือไม่? ข้าเป็นชนชั้นสามัญ ไม่มีสิทธิ์ไปสงสัยในตัวฮูหยิน แต่กลัวฮูหยินจะไม่ไว้วางใจในตัวข้า ทำสัญญาเช่นนี้ ไม่เพียงฮูหยินจะมั่นใจว่าได้รับไข่ไก่แน่นอน ยังสามารถรับประกันว่า---“

    “เอาเถอะๆ เอาตามที่เจ้าว่าก็แล้วกัน อย่างไรข้าก็ไม่เกี่ยงทั้งนั้น” นางพูดตัดบท

    เฉินหนัวอิงพยักหน้าน้อยๆ เป็นอันว่ารับคำ

    จากนั้นเจี่ยงซื่อก็เชิญคนไปนำกระดาษเซวียนจื่อ[2]กับพู่กันมาวางบนโต๊ะ เริ่มร่างข้อตกลงในสัญญาด้วยตนเอง รอจนต่างฝ่ายต่างลงนามเสร็จ สัญญาซื้อขายสินค้าล่วงหน้าที่มีกำหนดส่งเป็นงวดๆ ก็มีผลบังคับใช้สมบูรณ์ เฉินหนัวอิงรับมาไว้ในมือฉบับหนึ่ง มอบไว้กับเจี่ยงซื่อฉบับหนึ่ง พอเห็นว่าใกล้เข้ากลางยามอู่ ก็เดินไปส่งนางกลับคฤหาสน์ที่รถม้าด้วยตนเอง โบกมืออำลาอย่างโอภาปราศรัย

    พอเงาคนลับตาก็จ้ำพรวดๆ เข้าบ้าน ปิดประตูหน้าต่างแล้วเทเงินลงนับบนโต๊ะ

    คิดไม่ถึงว่านับไปนับมา เหรียญทองแดงที่ร้อยเป็นพวงกลับมีถึงครึ่งก้วนหรือห้าร้อยอีแปะ!

    ก้าวแรกก็เห็นสัญญาณของคำว่าร่ำรวย!

    ตอนข้ามภพมาใหม่ๆ ยังช้ำใจกับการกินข้าวต้มที่น้ำมากกว่าข้าว

    แต่พอมาวันนี้ กลับมีเงินมากพอจะไปซื้อข้าวมาถมที่!

    เฉินหนัวอิงภูมิใจกับกลยุทธ์การเดินหมากก้าวแรกของตัวเองจริงๆ

     

    วันต่อมาพ่อบ้านแซ่หลิ่วก็มารับไข่ไก่ตั้งแต่ยามเหม่าตามที่เจี่ยงซื่อบอก เฉินหนัวอิงฝืนตื่นเช้ามายืนส่งมอบสินค้าถึงหน้าประตูเรือน เธอต้องมั่นใจว่าไข่ไก่ต้องส่งถึงมือเจี่ยงซื่อในลักษณะที่เหมาะสม จะให้เกิดข้อผิดพลาดในการซื้อขายครั้งแรกไม่ได้เด็ดขาด

    แต่คิดไม่ถึงว่าเจี่ยงซื่อจะใส่ใจเฉินหนัวอิงปานนี้ หลังส่งมอบไข่ไก่เสร็จ พ่อบ้านหลิ่วก็รั้งแขนเธอเอาไว้ พร้อมทั้งนำสมุนไพรที่ช่วยในการบำรุงครรภ์ยื่นให้ “ฮูหยินของพวกเราเห็นว่าเจ้าเป็นสหายในเส้นทางแสวงธรรม ฝากคำพูดมาบอกว่าคิดอยากให้กำเนิดบุตรธิดาจำเป็นต้องดูแลร่างกายให้ดี สมุนไพรเหล่านี้ล้วนมีส่วนช่วยปรับธาตุในร่างกายให้สมดุล ที่เหลือก็แค่พยายามทำเตียงให้อุ่นในหน้าหนาว ผ่านไปไม่เกินสามเดือน รับรองว่าหลังพ้นต้าหาน[3]นี้ เจ้าจะตั้งครรภ์ได้สมความตั้งใจแน่นอน”

    พูดจบก็ขึ้นรถม้าไปเลย ปล่อยให้เฉินหนัวอิงรับมาทั้งตัวแข็งทื่อ ยืนอ้าปากอยู่ครึ่งค่อนวัน

    “ต้าเจี่ยหัดเป็นนักต้มตุ๋นแล้ว”

    เสียงหนึ่งปลุกเฉินหนัวอิงให้ตื่นจากภวังค์ หันหน้ามองไปทางมู่หยาง “เป็นนักต้มตุ๋นอย่างไร?”

    เขายืนมือไพล่หลัง ทอดสายตามองไปที่ไกล ส่งเสียง “อืม” จากลำคอเล็กน้อย ค่อยพูด “สองวันก่อนตอนเข้าตลาด ข้าเห็นต้าเจี่ยหยุดที่ร้านขายดอกไม้นานมาก คล้ายรอฟังเรื่องบางอย่าง อีกทั้งวันนั้นยังบอกข้าว่ามีเจตนาให้ข้านำทางไปจวนอันติ้งโหว เมื่อวานต้าเจี่ยยังให้ข้าไปสืบว่าเจี่ยงซื่อจะเดินทางไปอารามไหน ทั้งหมดนี้ไยมิใช่เพื่อหาทางเข้าหานางหรอกหรือ แล้วต้าเจี่ยก็ใช้ประโยชน์จากที่นางเป็นสตรีหลังคลอด โอ้อวดสรรพคุณสินค้า ขายไข่ไก่ให้นางในราคาแพงกว่าตลาดถึงสิบเท่า”

    แม้จะพูดเหมือนเฉินหนัวอิงเป็นตัวร้าย แต่น้ำเสียงเขากลับไม่มีความกรุ่นโกรธหรือเดียดฉันท์อยู่เลย เห็นเฉินหนัวอิงนิ่งชะงัก ก็โน้มหัวไหล่มากระทบกันทีหนึ่งเพื่อสะกิดเรียก

    เฉินหนัวอิงจ้องหน้าเขาด้วยสายตาชั่งใจเล็กน้อย ก่อนตัดสินใจพูดประโยคหนึ่งด้วยน้ำเสียงจริงจัง

    “มู่มู่ ต้าเจี่ยจะบอกความลับให้”

    มู่หยางเปลี่ยนมายืนตัวตรง รอฟังอย่างตั้งใจ

    เฉินหนัวอิงเม้มปาก “ตอนที่ต้าเจี่ยตกน้ำแล้วหมดสติไป ต้าเจี่ยฝันว่าได้ไปใช้ชีวิตอยู่ในสถานที่แห่งหนึ่ง บนถนนมีรถที่ประกอบด้วยเหล็กใช้แทนรถม้า บนฟ้ามีนกยักษ์ขนาดใหญ่ไว้โดยสารได้ตามใจ ยุคนั้นที่แพร่หลายที่สุดก็คือแนวคิดทุนนิยม”

    เฉินหนัวอิงเอียงคอ พยายามคิดหาคำอธิบายที่เข้าใจง่ายที่สุด “ด้วยแนวคิดนี้ ทำให้สินค้าแต่ละอย่างผลิตออกมาแข่งขันกันเป็นจำนวนมาก และท่ามกลางคลื่นสินค้าเหล่านั้น สิ่งที่ต้องทำคือดึงดูดใจคนให้ได้มากที่สุด คนที่เชี่ยวชาญด้านการเปลี่ยนสินค้าธรรมดาชิ้นหนึ่งให้กลายเป็นสินค้าที่ผู้คนหมายตาเรียกว่านักการตลาด”

    “หน้าที่ของพวกเขาก็คือหาจุดเด่นของสินค้าธรรมดาๆ แล้วดึงมันออกมาให้เตะตาผู้บริโภค จากนั้นนำคำโฆษณาและสินค้าเข้าหลอมรวมไว้ด้วยกัน แล้วสินค้าชนิดนั้นก็จะกลายเป็นสินค้าที่เจิดจรัสในสายตากลุ่มลูกค้า จริงอยู่ที่พวกเขาทำทุกอย่างเพื่อให้สินค้าขายได้ เพื่อสร้างความสัมพันธ์เชื่อมโยงถึงลูกค้า แต่นั่นเป็นการมองหาสิ่งที่ผู้อื่นมองไม่เห็น ไม่ใช่การโกหก”

    “เพราะฉะนั้นแม้นักต้มตุ๋นกับนักการตลาดจะเหมือนกันตรงที่ใช้อุบายแลกมาซึ่งการตกลงปลงใจของกลุ่มเป้าหมาย แต่สิ่งที่ไม่เหมือนกันคือนักการตลาดไม่ได้โกหก”

    เฉินหนัวอิงมองไปทางไก่อ้วนในเล้าที่ยืนเรียงอย่างเป็นระเบียบ คล้ายกำลังต่อแถวก่อนออกเดินทางสำหรับวันใหม่

    “หรือมู่มู่คิดว่าไข่ไก่พวกนี้ไม่ดี? ต้าเจี่ยไปสังเกตมาแล้ว ไข่ไก่บ้านอื่นคนเลี้ยงใจแคบ แม่ไก่ล้วนแต่ถูกขังไว้ในเล้า ไม่พอใจก็ถูกจับเชือดเป็นน้ำแกง แล้วแบบนี้สุขภาพจิตมันจะดีได้หรือ? สุขภาพจิตไม่ดี ร่างกายก็พลอยย่ำแย่ไปด้วย เบ่งไข่ไก่มาฟองหนึ่งก็เพื่อยื้อชีวิตไม่ให้ถูกเชือด เบ่งออกมาด้วยความหวาดกลัว ผิดกับไข่ไก่ของมู่มู่ เลี้ยงไก่มาหนึ่งปีแล้ว มู่มู่ก็ไม่เคยคิดจับมันไปทำน้ำแกง ซ้ำยังปกป้องพวกมันสุดชีวิต เบ่งไข่ออกมาก็เพื่อช่วยเจ้านายให้มีชีวิตรอดสืบไป เบ่งไข่ออกมาด้วยความรักและปรารถนาดี เช่นนี้แล้วไข่ไก่ของมู่มู่จะสามารถเทียบกับไข่ไก่บ้านอื่นได้อย่างไร อีกอย่าง เชื่อเถอะว่าเจี่ยงซื่อนางไม่ใช่คนโง่ เมื่อยอมจ่ายเงินก็ต้องคิดมาดีแล้ว นี่แสดงว่านางเต็มใจแลกเปลี่ยนที่ราคานี้”

    “ในเมื่อเต็มใจก็ถือเป็นราคายุติธรรมสำหรับการซื้อขายครั้งนี้” เฉินหนัวอิงพูดด้วยน้ำเสียงสงบนิ่ง

    มู่หยางคล้ายตาฝาด เฉินหนัวอิงที่พูดประโยคนี้ดูผิดจากเฉินหนัวอิงคนเก่าจนเขานึกว่าเป็นคนละคน

    “ตอนต้าเจี่ยหลับตาฝัน ยังเห็นสินค้าอีกอย่างหนึ่ง มู่มู่จำน้ำสกัดหยางกานจวี๋ได้หรือไม่ ก็เป็นเครื่องดื่มคล้ายๆ แบบนั้น รสชาติหวาน จิบแล้วสดชื่นขึ้นมาในชั่วพริบตา เมื่อนำออกวางขายใหม่ๆ ผู้คนล้วนชื่นชอบ ต่อแถวซื้อจนเจ้าของกิจการร่ำรวย แต่เมื่อเวลาผ่านไป ความรู้ของคนในยุคนั้นก้าวหน้ามากขึ้น รู้ว่าในเครื่องดื่มชนิดนั้นเพื่อที่จะทำให้เกิดความรู้สึกสดชื่น ได้ทำการอัดฟองน้ำชนิดหนึ่งเข้าไปและเติมน้ำตาลเป็นจำนวนมาก ดื่มมากเข้าส่งผลเสียต่อสุขภาพในระยะยาว”

    “แล้วมู่มู่ลองทาย หลังเจ้าของกิจการรู้แบบนี้แล้วจะยังขายเครื่องดื่มชนิดนั้นอีกหรือไม่?”

    มู่หยางไม่ตอบคำถาม แต่เฉินหนัวอิงก็ไม่ได้ต้องการคำตอบ แค่ถอนหายใจครั้งหนึ่ง “เขาก็ยังขายต่อไป”

    “ซ้ำนักการตลาดยังช่วยคิดกลยุทธ์ในการทำสินค้าชนิดนี้ให้เป็นที่นิยมอย่างแพร่หลายไปทั่วโลกอีกด้วย” เฉินหนัวอิงพูดถึงตรงนี้ อดรู้สึกวูบโหวงในในน้อยๆ ไม่ได้ จ้องมองแววตาของมู่หยางที่ใสกระจ่างเกินไป บริสุทธิ์เกินไป กลับทำให้เธอรู้สึกเสมือนว่าสิ่งที่เธอซึมซับมาตลอดชีวิตเป็นเรื่องผิด

    เคยมีคำกล่าวที่บอกว่าเวลาเท่านั้นที่จะตัดสินว่าเรื่องราวบนโลกผิดหรือถูก

    แต่เธอกลับคิดว่าเป็นความพอใจของคนมากกว่า

    เฉินหนัวอิงไม่ได้พูดอะไรอีก เพียงระบายยิ้ม สะบัดความคิดฟุ้งซ่านในหัว ตบบ่าเขาเล็กน้อย

    “มาถึงตรงนี้แล้วมู่มู่คิดว่าต้าเจี่ยเป็นนักการตลาดหรือนักต้มตุ๋นเล่า?”

    จบคำก็เดินจากไป ปล่อยให้มู่หยางตกอยู่ในความเงียบงัน

     


     


    [1] ช่วงเวลาประมาณ 11.00 – 12.59 น.

    [2] กระดาษเขียนอักษรในสมัยจีนโบราณ

    [3] ช่วงสุดท้ายของฤดูหนาว อากาศหนาวจัด เริ่มประมาณวันที่ 20 – 21 มกราคมเป็นต้นไป หลังผ่านช่วงนี้ไปอากาศจะค่อยๆ อบอุ่นขึ้น

     

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×