คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #4 : 4 เฉินหนัวอิงปะทะอดีตคู่หมั้น
ผลไม้เคลือบน้ำตาลต้องแสงวาววับ สองข้างแก้มเฉินหนัวอิงสุกปลั่งเหมือนสีของถังหูลู่
ตั้งแต่เข้ามาในภพนี้ นอกจากความจนแล้ว เฉินหนัวอิงก็ไม่คิดว่าชีวิตนี้มีอะไรเลวร้าย บ้านเมืองสงบสุขปลอดภาวะสงครามเหมาะกับการทำมาค้าขาย อากาศบริสุทธิ์ปราศจากหมอกควัน ดีต่อสุขภาพกายสุขภาพใจอย่างยิ่ง ถึงแม้ว่าจะมีเรื่องที่คาดไม่ถึงอยู่บ้าง อย่างเช่น จู่ๆ ฟ้าก็ประทานสามีมาให้ชนิดตั้งตัวไม่ทัน แต่เธอก็ชอบเขา ถึงตอนนี้ความชอบจะยังไม่พัฒนาเป็นความรัก แต่เธอที่อายุเท่านี้กลับไม่รีบร้อน ปล่อยให้ความสัมพันธ์ดำเนินไปตามธรรมชาติ คิดในแง่ดีว่าเหมือนกำลังได้รับโอกาสพิเศษศึกษาดูใจกับไอดอล[1]ที่หมายตา
มู่หยางจูงมือเธอแน่น สองข้ามแก้มของเฉินหนัวอิงเห่อร้อน แม้จะหายไข้แล้ว ก็ยังรู้สึกเหมือนเป็นไข้อยู่ตลอดเวลา
แต่คิดไม่ถึง ขณะเดินผ่านถนนใหญ่สายหนึ่งกลับมีรถม้าวิ่งมาด้วยความเร็วสูง โดยไม่ทันตั้งตัวก็เฉี่ยวเฉินหนัวอิงจนเสียหลัก ล้มลงกับพื้นข้างถนน!
เฉินหนัวอิงเพียงเห็นภาพผ่านไปเป็นเส้นๆ ก็ล้มลง พอได้สติ ความโกรธก็พลันพุ่งปะทุขึ้นกลางอก
เธอไม่ได้เจ็บ แต่คนที่เอาแผ่นหลังกระแทกพื้นแทนเธอกลับเป็นมู่หยาง
เฉินหนัวอิงยันแขนหยัดกายลุก หันมาประคองสามี เมื่อเห็นเสื้อผ้าเขามีรอยฉีกขาดจากการไถลไปกับแผ่นหินชนวน ข้อศอกยังถลอกจนเลือดแตกซิกก็อดปวดใจไม่ได้ พอลุกขึ้นเสร็จก็กระทืบเท้าตรงดิ่งไปทางรถม้าทันที
รถม้าคันนั้นก็เสียหลักลงข้างทางจากการเบี่ยงหลบเช่นกัน เมื่อรถม้าจอดสนิทก็เห็นชายหญิงสวมชุดแบบผู้ดีสองคนก้าวลงมาจากบันไดรถม้า
เฉินหนัวอิงไม่รู้ว่าสองคนนั้นเป็นใคร แต่ผู้มาเมื่อเห็นเธอกลับจำได้ในปราดแรก
ไม่มีคำขอโทษหลุดออกจากปากแม้แต่ครึ่งคำ พวกเขาเอาแต่ถลึงตาจ้องเฉินหนัวอิง
แต่การถลึงตาจ้องมามิได้ทำให้เฉินหนัวอิงลดถ้อยคำร้ายกาจที่ส่งมาถึงปากแต่อย่างใด
“พวกเจ้าคุมรถม้าอย่างไรให้มาเฉี่ยวชนคนสัญจรทางเท้าบนถนน จากการแต่งตัวก็เห็นๆ อยู่ว่าเป็นคนใหญ่คนโต ที่บ้านไม่สอนมารยาทหรือ? แม้แต่คำขอโทษก็ไม่ยอมพูดออกมา ตัวเองทำความผิดยังไม่รู้จักสำนึก หรือยังต้องให้ข้าอบรม!”
เฉินหนัวอิงแม้จะใจดีแต่ก็ไม่ใช่คนยอมคน ยิ่งไม่เคยก้มหัวให้กับความไม่ถูกต้อง ลำพังแค่เธอเจ็บคนเดียวก็พร้อมสู้ให้ตายไปข้างอยู่แล้ว ตอนนี้ยิ่งเห็นมู่หยางเจ็บหัวใจยิ่งเดือดพล่านสุดทน สัญญากับตัวเองในใจว่าจะสู้จนหัวชนฝาเลือดตากระเด็น!
อีกฝ่ายยังจ้องมองเธออย่างตกตะลึง ไม่มีปฏิกิริยาตอบสนอง จนกระทั่งมู่หยางสาวเท้าก้าวมาด้านหลัง พอเห็นเขา ผู้หญิงตรงหน้าถึงเอ่ยปาก “นึกว่าใคร ที่แท้ก็ ‘อดีต’ คู่หมั้นของคุณชายหวังนี่เอง”
ย้ำคำว่าอดีตเต็มสองหู เหมือนต้องการกระทืบหัวใจของผู้หญิงคนนี้ให้ร้าวราน
แต่เฉินหนัวอิงกลับไม่ตอบสนองตามที่นางต้องการ ทำให้สีหน้านางเปลี่ยนเป็นผิดหวังเล็กน้อย
เฉินหนัวอิงเข้าใจว่าเจ้าของรถม้าเป็นบุรุษที่สวมชุดเหมือนบัณฑิตคนนั้น และก็พอประเมินได้ว่าผู้หญิงที่เดินเคียงข้างมาด้วยฐานะย่อมไม่ธรรมดา แต่พอเห็นท่าทางหยิ่งผยองของนางกลับอดมีความคิดอยากกลั่นแกล้งขึ้นมามิได้ ขมวดคิ้ว
“เจ้าคือ…”
นางได้ยินดังนั้นทำเสียงฮึดฮัดไม่พอใจเล็กน้อย ก่อนยืดหลังตรงเชิดปลายคาง จีบปากจีบคอพูด “ไม่เจอกันไม่กี่วัน จำข้าไม่ได้แล้วหรือ? ข้าก็คือจ้าวหว่านหรูคู่หมั้นคนใหม่ของคุณชายหวัง”
เฉินหนัวอิงก็ยังไม่รู้อยู่ดีว่านางคือใคร และไม่รู้ว่าการเป็นคู่หมั้นคุณชายหวังอะไรนี่มันเกี่ยวอะไรกับเธอ แต่ถ้าไม่เกี่ยว จ้าวหว่านหรูก็คงไม่แนะนำตัวเองเช่นนี้ ไม่ปล่อยให้ความสงสัยครอบงำ จังหวะนั้นเฉินหนัวอิงก็ดึงแขนเสื้อมู่หยางเล็กน้อย ป้องปากกระซิบ “มู่มู่รู้หรือไม่ว่าคนพวกนี้เป็นใคร เหตุใดถึงทำเหมือนรู้จักข้า”
รู้จักดีเหมือนเป็นศัตรูกันมาตั้งแต่ชาติปางก่อน
“นางก็คือศัตรูหัวใจของต้าเจี่ยจริงๆ นั่นแหล่ะ”
มู่หยางเหมือนอ่านความคิดเธอออก บ่นออกมาสองสามคำ ค่อยตั้งใจอธิบายฐานะของพวกเขาแก่เฉินหนัวอิง
“คิดไม่ถึงว่าต้าเจี่ยจะลืมเรื่องนี้ด้วย ความจริงพูดไปแล้วข้าก็ปวดใจ ผู้ชายที่อยู่ตรงหน้าก็คือคุณชายหวัง หวังลั่วจวินจากบ้านขุนนางขั้นหกในเมืองเผิงเฉิง อดีตคู่หมั้นของต้าเจี่ย ปีก่อนเขาสอบเป็นซิ่วไฉ[2]ได้ กำลังอยู่ระหว่างรอสอบจวี่เหริน[3]สนามถัดไปในฤดูใบไม้ผลิปีหน้า หลังจากสอบผ่านไม่นานก็บอกเลิกต้าเจี่ยกลางตลาด เพิ่งร่างสัญญาสมรสใหม่กับคุณหนูจ้าวหว่านหรูเมื่อไม่กี่วันมานี้ ตอนนี้นางจึงมีสถานะเป็นคู่หมั้นคู่หมายของคุณชายหวัง”
เฉินหนัวอิงร้อง “อ๋อ” ในใจขึ้นมาทันที ที่แท้ก็เจอคนรักเก่ากลางถนน อย่างว่าขึ้นชื่อว่าผู้หญิงล้วนหนีความริษยาไม่พ้น แม้เฉินหนัวอิงคนนี้จะเลิกรากับหวังลั่วจวินจนไม่มีพันธะใดๆ ต่อกันไปนานแล้ว ก็ยังอดหวาดระแวงในใจไม่ได้ รู้สึกเหมือนเสียศักดิ์ศรี
แต่ผู้ชายคนนี้ก็อะไร เลิกกับเฉินหนัวอิงที่จนแสนจนเธอยังพอเข้าใจได้ แต่คิดจะมีผู้หญิงคนใหม่ทั้งทีก็หาที่ดีกว่านี้หน่อยไม่ได้หรือ!
คิดยังไงถึงไปคว้าผู้หญิงที่แค่มองปราดเดียวก็รู้ว่านิสัยรายกาจ วันๆ เอาแต่ทำคอตั้งใช้ปลายคางมองคนแบบนี้มาเป็นว่าที่ภรรยา!
เฉินหนัวอิงคนเก่ายังหน้าตาจิ้มลิ้มดูนิสัยดีกว่าเป็นไหนๆ
ช่างมีตาหามีแววไม่!
เฉินหนัวอิงไม่ได้สนใจคำทักทายแกมดูถูกของนาง กลับสืบเท้าขึ้นหน้าอย่างห้าวหาญ ชี้หน้า “พวกเจ้าไม่ดูแลสารถีให้ดี ปล่อยให้บังคับรถม้ามาเฉี่ยวชนพวกข้า ถึงตอนนี้ก็ยังไม่รู้จักพูดขอโทษ ช่างเถอะ คำขอโทษที่ไม่จริงใจ ข้าคงรับไม่ไหว แต่อย่างไรผิดก็ว่าไปตามผิด เพราะสารถีของพวกเจ้าบังคับม้าไม่ดูทางทำให้สามีข้าล้มไปจนแขนถลอก พูดมาจะชดใช้อย่างไร?”
จ้าวหว่านหรูรู้สึกตัวอย่างรวดเร็ว คิดว่าเฉินหนัวอิงทำเป็นไม่รู้จักนางเพราะเกรงว่าจะปกปิดหัวใจรักที่พ่ายแพ้ยับเยิบเอาไว้ไม่อยู่ ตอนนี้นางจึงได้แสร้งเป็นชี้หน้าด่ากราดกลบเกลื่อน ร่วมผลักเรือตามน้ำ พูด “ข้าต้องชดใช้อะไรด้วยหรือ? แต่เดิมถนนเส้นนี้ก็เป็นเส้นทางสาธารณะอยู่แล้ว ใครจะสัญจรไปมาก็ได้ เจ้านั่นแหล่ะ ไม่ดูทางเอง รู้ว่ามีรถม้ามาก็ยังไม่รีบหลบ แถมยังทำอาหารที่พวกข้าต่อแถวซื้อมาจากโรงเตี๊ยมเซิ่งฝูเสียหาย หกเลอะเทอะจนกินไม่ได้ เจ้าต่างหากพูดมาจะชดใช้อย่างไร”
นางโบกมือคราหนึ่งสารถีก็หอบปิ่นโตไม้จันทน์หรูหราออกมาจากตัวรถ จ้าวหว่านหรูพอรับมาถึงมือ เปิดออกเล็กน้อยก็โยนลงพื้น “นี่คืออาหารที่ข้าต้องจองล่วงหน้ากับพ่อครัวในโรงเตี๊ยมเซิ่งฝูเป็นเดือนๆ ขึ้นชื่ออย่างมาก วันนี้คิดจะนำไปเป็นของกำนัลแก่ฮูหยินซ่งที่เดินทางมาจากเมืองหลวง แต่ถูกพวกเจ้าทำเสียหายหมดแล้ว พูดมาจะชดใช้อย่างไร!?”
จ้าวหว่านหรูกระทืบเท้า
เฉินหนัวอิงเหลือบตามองอาหารที่ตกกระจายบนพื้นปราดหนึ่ง ไม่เข้าใจว่าเมนูไข่พื้นๆ พวกนี้มีอะไรดีถึงได้ถูกมองเป็นของล้ำค่า เห็นสายตางุนงงของนาง จ้าวหว่านหรูก็ยิ้มเยาะ “ดูจากฐานะระดับล่างของเจ้าแล้วคงไม่รู้จัก ไม่ถึงครึ่งปีมานี้ นี่เป็นเมนูที่โด่งดังที่สุดในเมืองเผิงเฉิง ทำออกมาวันละไม่ถึงสามสำรับ ขุนนางคหบดีมีเงินยังซื้อไม่ได้ ต้องต่อแถวรอจองล่วงหน้ากันเป็นเดือนๆ ตอนนี้ถูกพวกเจ้าทำเสียหาย ทีแรกยังคิดจะให้พวกเจ้าชดใช้ แต่ดูแล้วท่าทางคงไม่มีปัญญา”
เลือกใช้น้ำเสียงเหยียดหยันไม่พอ พูดจบจ้าวหว่านหรูยังสะบัดหน้าไปอีกทาง
ถึงตอนนี้ผู้คนในละแวกใกล้เคียงต่างทยอยกันมามุงดูละครฉากใหญ่ราวกับว่านี่เป็นเรื่องครึกครื้นที่หาได้ยาก
เฉินหนัวอิงคิดแล้วคิดอีก ชำเลืองมองจ้าวหว่านหรูเล็กน้อย ถึงขนาดนี้แล้วนางยังไม่รู้ตัวว่าได้ทำผิดอย่างมหันต์ สักแต่ว่าจะกล่าวโทษคนอื่น แต่ผลร้ายกลับย้อนเข้าหาตัว ช่างเป็นสตรีที่โง่เขลาจริงๆ ทว่าตอนนี้เฉินหนัวอิงร้อนใจอยากจะกลับไปจำหน้าไก่ที่บ้านจนทนไม่ไหว ไม่คิดต่อความยาวสาวความยืดเล่นลิ้นเป็นเพื่อนนางอีก ตัดบทอย่างรวบรัด
“โอ อาหารพวกนี้กินไม่ได้แล้วตามที่คุณหนูจ้าวว่าจริงๆ แต่สาเหตุกลับหาได้เกิดจากพวกข้าไม่ ชาวบ้านที่สัญจรผ่านไปมาล้วนเป็นพยาน อาหารที่เสียหายเหล่านี้ เป็นเพราะเมื่อครู่คุณหนูจ้าวโยนทิ้งลงพื้นเองกับมือ ทำเองแล้วยังไม่ยอมรับผิด ตอนนี้ยังมากล่าวหาใส่ความผู้อื่นอีก แบบนี้มันรังแกกันชัดๆ ”
จ้าวหว่านหรูเปลี่ยนสีหน้าโดยฉับพลัน หันมามองนางด้วยสายตาแทบกินเลือดกินเนื้อ แต่เพราะคำพูดของเฉินหนัวอิงดูมีเหตุผล ใครมันจะไปรู้ว่าอาหารหกเลอะเทอะบนรถม้าจริงหรือไม่ แต่ที่ผู้คนต่างรับรู้และเป็นประจักษ์พยานก็คือเหตุการณ์ที่จ้าวหวานหรูขว้างสำรับข้าวลงพื้นกับมือต่างหาก ตอนนี้เมื่อได้ยินเฉินหนัวอิงพูด บวกกับหน้าตามู่หยางที่ดูใสซื่อน่าสงสาร จึงเทความเห็นใจมาทางสองสามีภรรยา เปิดบทสนทนาด้วยวาจาเผ็ดร้อน วิพากษ์วิจารณ์เสียงดังเซ็งแซ่
เฉินหนัวอิงส่งสายตายิ้มเยาะไปทางจ้าวหว่านหรู นางโมโหจนขยำผ้าเช็ดหน้า แต่เฉินหนัวอิงมีหรือจะหยุดเพียงเท่านี้ ได้โอกาสทีก็รุกคืบจนจ้าวหว่านหรูจนมุม
“อีกอย่าง ถนนสายนี้ก็เห็นๆ อยู่ว่ามีผู้คนสัญจรขวักไขว่ ตาม ‘มารยาท’ และ ‘สามัญสำนึก’ ที่ปุถุชนพึงมีก็ควรจะลดความเร็วของรถม้า แต่นี่กลับควบคุมม้าไม่เป็นปล่อยให้ตะบึงฝ่าฝูงชน ยังดีที่ไม่มีใครเป็นอะไร แต่หากมีคนบาดเจ็บขึ้นมาเพราะการกระทำเลินเล่อขาดการยั้งคิดเช่นวันนี้จะทำอย่างไร หนึ่งชีวิตสองชีวิตก็ล้วนเป็นชีวิตเหมือนกัน หากล้มตายไปอย่างสูญเปล่าเพราะโรคบกพร่องทางศีลธรรมและการขาดสำนึกรับผิดชอบต่อสังคมของเจ้า พูดมาเจ้าจะชดใช้อย่างไร!”
พูดประโยคนี้จบยิ่งทวีความรุนแรงของเสียงวิพากษ์วิจารณ์ เฉินหนัวอิงคิดไว้ล่วงหน้าอยู่แล้ว จุดอ่อนของมนุษย์ก็คือทนไม่ได้ที่เห็นพวกเดียวกันโดนรังแก เห็นชัดๆ ว่าเฉินหนัวอิงมู่หยางสองสามีภรรยาก็เป็นชนชั้นสามัญเช่นเดียวกับตนเอง วันนี้โชคร้าย ไม่เพียงถูกรถม้าลูกหลานขุนนางเฉี่ยวชนจนได้รับบาดเจ็บ ยังถูกหาเรื่องกลางตลาดบีบคั้นให้รับผิดให้ได้ นี่ยังดีที่เจ้าทุกข์รู้จักสู้คน หากเปลี่ยนเป็นตาสีตาสาทั่วไปคงตกใจลนลานจนหาคำโต้แย้งมารับมือไม่ทัน สุดท้ายก็คงต้องก้มหน้ายอมรับความผิดที่ไม่ได้ก่อ แล้วแบบนี้จะไม่ให้พวกเขาเดือดพล่านได้หรือ
จ้าวหว่านหรูเห็นสถานการณ์ที่เปลี่ยนไปก็โกรธจัดจนหน้าดำหน้าแดง ไร้กำลังต้านทานโดยสิ้นเชิง สำหรับผู้ดีมีตระกูลเหล่านี้ชื่อเสียงหน้าตาเป็นเรื่องสำคัญที่สุด หากเสียหายขึ้นมาเพราะมีเรื่องกับคนไม่มีหัวนอนปลายเท้าย่อมได้ไม่คุ้มเสีย เมื่อฝูงชนที่มุงดูไม่เข้าข้าง แม้ในใจจะโกรธจนแทบกระอักแค่ไหนก็ต้องอดกลั้น กลืนโทสะลงไป
จ้าวหว่านหรูมือสั่นระริก แต่กลับไม่รู้จะทำอย่างไร ขณะกำลังร้อนใจ หวังลั่วจวินที่เงียบมาตั้งแต่ต้นก็เอ่ยปากขึ้น
“ขออภัยแม่นางแทนคู่หมั้นข้าด้วย คิดว่านางคนเจอเหตุการณ์ไม่คาดฝันจนตื่นตระหนกขึ้นมา หาได้มีเจตนาเช่นนั้นไม่ ส่วนเรื่องรถม้าที่เฉี่ยวชนจนคนเจ็บ กลับไปข้าจะสั่งสอนบ่าวไพร่ให้ดี ไม่ให้มีเหตุการณ์เช่นนี้ซ้ำสอง”
เนื้อความเป็นไปด้วยความสุภาพอ่อนน้อม ผิดกับน้ำเสียงที่แข็งกระด้างยิ่งกว่าอะไร แต่เท่านี้กลับเพียงพอแล้วที่จะบรรเทาโทสะในใจชาวประชา
“ส่วนเรื่องที่สามีแม่นางบาดเจ็บ ได้โปรดรับเงินถุงนี้ไว้เป็นค่าเสียหาย หากขาดเหลืออะไรก็ไปแจ้งที่จวนหวังได้” พูดจบพลางแบมือรับถุงเงินจากผู้ติดตามแล้วยื่นมาเบื้องหน้า
เฉินหนัวอิงก็ไม่รู้เป็นเพราะอะไร เมื่อได้ยินกระแสเสียงที่เย็นชาสายนั้น หัวใจกลับรู้สึกแปลบยอกขึ้นมา เหมือนความเหน็บหนาวสายหนึ่งที่ส่งมาจากเขาเปลี่ยนเป็นใบมีดคมกริบ กรีดลงบนหัวใจซ้ำแล้วซ้ำเล่า
แต่เธอกลับไม่คิดสงสัย อย่างไรเขาก็เป็นอดีตคู่หมั้นของเฉินหนัวอิงคนเก่าที่บอกเลิกทีแทบจะทำให้นางยอมทิ้งชีวิต ความสัมพันธ์ในกาลก่อนคงไม่ธรรมดา และนี่ก็คงเป็นปฏิกิริยาตอบสนองโดยธรรมชาติของเจ้าของร่าง
เฉินหนัวอิงยกมือขึ้นกุมอกเล็กน้อย ผิดกับมู่หยางที่สายตาแทบพ่นไฟ แต่ก่อนที่เขาจะขยับตัว เธอก็เผยยิ้ม รับเงินถุงนั้นมาจากมือหวังลั่วจวิน
เรื่องศักดิ์ศรีที่ควรมีน่ะใช่ แต่ตอนนี้เธอร้อนเงินมากกว่า!
ขืนอดตายขึ้นมาแล้วศักดิ์ศรีจะยังมีประโยชน์อะไร
ถูกหยามวันนี้ก็ใช่ว่าวันต่อไปจะเอาคืนไม่ได้
เพราะฉะนั้นเฉินหนัวอิงไม่คิดมาก ถือคติว่าต้องสนใจตัวเลขไว้ก่อน เอ่ยปากพูดกับเขาอย่างไม่รีบไม่ช้า “หวังว่าคุณชายหวังจะดูแลคู่หมั้นให้ดี ไม่ให้นางตื่นตระหนกจนแม้แต่สติก็ควบคุมไม่ได้แล้วระรานผู้อื่นอีก แม้ข้าจะรักความยุติธรรม แต่ก็เป็นคนประนีประนอม ไม่ต้องการสร้างความบาดหมาง แต่ถ้าเป็นผู้อื่นกลับไม่แน่ อาจไม่ยอมความง่ายๆ เหมือนข้า”
ก่อนจากยังฝากฝีปากคมกริบไว้ให้จ้าวหว่านหรู
เฉินหนัวอิงกระตุกแขนเสื้อมู่หยางเล็กน้อย แล้วหมุนกายจากไปทันที ไม่หันกลับมามองหวังลั่วจวินอีกแม้หางตา
กลับเป็นจ้าวหว่านหรูที่โมโหจนแทบกรีดร้องตามหลัง
หวังลั่วจวินเพียงใช้สายตาเย็นชามองนาง พูดด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม “ขึ้นรถ”
จ้าวหว่านหรูกระทืบเท้าแต่ก็ยอมเดินตามคู่หมั้นขึ้นรถม้าแต่โดยดี
มองเงาหลังของเฉินหนัวอิง แววตาของหวังลั่วจวินกลับมีความสงสัยพาดผ่านวูบหนึ่ง เร็วจนสังเกตไม่ทัน
แต่เฉินหนัวอิงไม่ได้เป็นเดือดเป็นร้อนด้วย พอเห็นปฏิกิริยากลืนเลือดลงท้องของอีกฝ่ายก็พึงพอใจอย่างยิ่ง หันมาดูแผลให้สามีด้วยความเป็นห่วง เปิดดูเงินในถุงแล้วลากเขาเดินเข้าร้านขายยา
จริงอยู่ว่าเงินในถุงมีไม่มาก แค่ไม่ถึงห้าสิบอีแปะ แต่ก็พอเข้าใจว่าจวนหวังเป็นแค่ขุนนางขั้นหก แถมเผิงเฉิงยังตั้งอยู่แค่ชานเมือง แล้วกับแค่ลูกชายที่สอบซิ่วไฉผ่านจะไปพกเงินติดตัวอะไรมากมาย แต่ถึงอย่างนั้นเงินจำนวนนี้ก็พอซื้อยารักษามู่หยางได้ แถมเหลือเงินอีกครึ่งหนึ่ง
ถึงเธอจะไม่ชอบการฟาดเคราะห์แบบนี้ แต่กลับอดไม่อยู่ที่จะเบิกบานใจกับเรื่องที่ว่าพอคิดถึงเงิน เงินก็หล่นลงมาจากฟ้า
ตอนแรกเธอยังเป็นกังวลว่าแผนการที่เธอคิดขึ้นได้ตอนนั่งจิบน้ำสกัดหยางกานจวี๋จะทำได้จริงหรือไม่ แต่ตอนนี้อยู่ดีๆ ก็มีทุนสำรองชั่วคราว เรื่องปากท้องกลับไม่ต้องเป็นกังวลแล้ว เหลือแค่ทำตามแผนให้สำเร็จ
หวังลั่วจวิน เอ๋ย หวังลั่วจวิน
บอกเลิกเฉินหนัวอิงกลางตลาดยังต้องจ่ายค่าบอกเลิกเป็นวัวเป็นไก่ พอมีเรื่องกันอีกทีก็ยังต้องเสียเงินอีกตั้งหาสิบอีแปะ
นี่มันโชคอะไรของเจ้า!
เฉินหนัวอิงคนนี้อยากจะหัวเราะออกมาดังๆ
เฉินหนัวอิงผุดรอยยิ้มสะใจเล็กน้อย หันมาคล้องแขนมู่หยาง เห็นสายตาไม่สบอารมณ์ของเขาก็มองออกทันทีว่าสามีคนนี้กินน้ำส้มสายชู[4]เข้าแล้ว เฉินหนัวอิงรู้สึกตื่นเต้นอย่างบอกไม่ถูก แต่ก็ไม่ชักช้าแม้แต่อึดใจ เริ่มโอ๋เขาปานประหนึ่งโอ๋บุตรในอุทร กระทั่งเขาอารมณ์ดีขึ้น มู่หยางถึงพูดเปลี่ยนเรื่อง “แล้วเรื่องเจี่ยงซื่อ ต้าเจี่ยกะจะให้ข้าพาไปหานางวันไหนหรือ?”
“พรุ่งนี้เลย” โอกาสอันดีงามรอไม่ได้ หากเธอไม่คว้าตอนนี้ก็เสียดายแย่
“อื้ม ได้” มู่หยางพยักหน้า
แต่การตอบสนองแบบนี้ไม่ใช่การตอบสนองที่เฉินหนัวอิงพึงพอใจ เห็นหน้าตาเขาตอนหึงแล้วน่ารักชะมัด ถึงความรู้สึกของเขาจะเป็นความรู้สึกที่หยั่งรากฝังลึกมาตั้งแต่เฉินหนัวอิงคนเก่า แต่เธออยู่ในโลกที่เปิดกว้าง ไม่คิดเล็กคิดน้อยอะไรกับเรื่องแค่นี้ ยังไงตอนนี้เธอก็คือเฉินหนัวอิง เข้ามายึดร่างโดยสมบูรณ์ แล้วนี่มันจะแตกต่างกันตรงไหน
เพราะไม่ว่ายังไงปัจจุบันและอนาคตของมู่หยางก็ต้องเป็นของเธอแต่เพียงผู้เดียว!
เฉินหนัวอิงหัวเราะในลำคออย่างชั่วร้าย แล้วพูดกระเซ้า “เมื่อครู่ข้าเห็นมู่มู่แปลกไป มู่มู่ใช่หึงต้าเจี่ยแล้วหรือไม่?”
พูดตรงประเด็นไม่อ้อมค้อมตามอย่างกุลสตรีในยุคบุกเบิกสักนิดแบบนี้ มู่หยางถึงกับอายจนหน้าแดงก่ำ กระทืบเท้าเล็กน้อยแล้วผลุนผลันวิ่งหนีไป เหลือแต่เสียงที่ลอยมาแบบขาดๆ หายๆ “มะ ไม่ใช่สักหน่อย!”
“ไม่ใช่ก็ไม่ใช่ แต่มู่มู่วิ่งไม่รอต้าเจี่ยแบบนี้ ต้าเจี่ยกลับบ้านไม่ถูก ถ้าต้าเจี่ยหลงขึ้นมาจะทำอย่างไร” เฉินหนัวอิงแกล้งชะเง้อคอตะโกน
คิดไม่ถึง ร่างสูงโปร่งของเขาหยุดชะงักโดนพลัน ก้มหน้างุดวิ่งกลับมาจูงมือเฉินหนัวอิง ระหว่างทางปิดปากเงียบไม่พูดไม่จา เฉินหนัวอิงหัวเราะในลำคอเล็กน้อย ไม่พูดอะไรอีก เอาแต่อมยิ้ม
ท่ามกลางผู้คนที่เดินผ่านพวกเขาไป ท่ามกลางเสียงวุ่นวายของฝีเท้าที่ไม่รู้จัก
แต่ไม่รู้เพราะอะไร
กลับมีจังหวะหนึ่งที่เฉินหนัวอิงหยุดชะงัก
และจังหวะนั้นก็เงียบพอที่จะได้ยินเสียงหัวใจเขา...เต้นโครมคราม!
[1] บุคคลต้นแบบ ในบริบทนี้หมายถึงบุคคลในวงการบันเทิงที่ตัวละครชื่นชอบ
[2] บัณฑิตที่ผ่านการทดสอบเคอจวี่หรือการสอบคัดเลือกขุนนางจีนสมัยโบราณรอบแรก เป็นสนามสอบระดับท้องถิ่นซึ่งผู้สอบผ่านจะได้รับคุณวุฒิ ‘ซิ่วไฉ’ จัดสอบทุกปีปีละครั้ง
[3] การทดสอบเคอจวี่หรือการสอบคัดเลือกขุนนางจีนสมัยโบราณรอบที่สอง เป็นสนามสอบระดับภูมิภาคซึ่งผู้สอบผ่านจะได้รับคุณวุฒิ ‘จวี่เหริน’ จัดสอบทุกสามปี
[4] ศัพท์แสลง แปลว่าหึงหวง
ความคิดเห็น