คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : 1 เฉินหนัวอิงฟื้นขึ้นมาทีก็มีสามีเป็นตัวเป็นตน
เฉินหนัวอิงสะท้านเฮือกทีหนึ่ง ก็ลืมตาขึ้นมาในภพใหม่
ยังไม่ทันกวาดตามองสภาพโดยรอบเหมือนตัวเอกในนิยายก็ต้องตกใจจนขวัญหายกับท่าทางกระโดดโห่ร้องราวกับเมียเพิ่งคลอดได้ลูกชายของผู้ชายที่เฝ้าอยู่ข้างเตียง
เขาระเบิดหัวเราะอย่างคลุ้มคลั่ง ยิ้มจนเห็นฟันขาวเรียงซี่แล้วตะโกนว่า "ขอบคุณสวรรค์" ซ้ำแล้วซ้ำเล่า
หัวสมองของเฉินหนัวอิงยังมึนตื้อ ไม่ทันไปยินดีเป็นเพื่อนเขา ก็รู้สึกปวดหัวจี๊ดจนร้องครางเจ็บ
ระหว่างนั้นความทรงจำไหลบ่าเข้ามาอย่างรวดเร็ว ราวกับข้างหูได้ยินเสียง "ตู้ม" ทีเดียวก็อัดเบียดกันเข้ามาเต็มพื้นที่ เฉินหนัวอิงนิ่วหน้าเล็กน้อย ค่อยๆ ปรับลมหายใจรื้อฟื้นความทรงจำ
เธอก็คือเฉินหนัวอิงจากโลกยุคปัจจุบัน อายุยี่สิบสอง เพิ่งได้รับการอนุมัติจบการศึกษาด้วยเกียรตินิยมอันดับหนึ่งเหรียญทองจากคณะบริหารธุรกิจมหาวิทยาลัยเป่ยต้า[1] ขณะจะเข้าไปรับเอกสารจากมหาลัยก็เกิดอุบัติเหตุระหว่างข้ามทางม้าลายอย่างกะทันหัน บาดเจ็บสาหัสจนกระดูกร้าวไปทั้งร่าง พอไปถึงโรงพยาบาลไม่เห็นทันเห็นหน้าหมอก็สิ้นใจกลายเป็นวิญญาณลอยแกร่ว ตอนกำลังรู้สึกรันทดใจเพราะพูดกับใครก็มีแต่คนเมินได้พบหัววัวหน้าม้า[2]เข้า บอกว่าจะพาเธอไปเดินเล่นบนทางหวงเฉวียน[3]
เธอยิ่งเป็นคนใจง่าย เมื่อไม่มีใครไยดีไปหลายวัน พอพวกเขาเอ่ยเชิญชวนก็ตกปากรับคำทันที
ก้าวสู่ปรภพด้วยหัวใจวูบโหวง สองหูได้ยินเสียงถอนหายใจทอดยาวคล้ายไม่มีที่สิ้นสุด ระหว่างเท้ากำลังเดินจมเข้าไปในหมอกหนาทึบ จังหวะนั้นเฉินหนัวอิงก็รู้ตัวทันทีว่าเธอตายแล้ว
ขณะกำลังลังเลใจว่าจะฉวยโอกาสตอนพวกเขาเผลอชิ่งหนีวิ่งกลับไปทางเดิมหรือตะโกนร้องโวยวายจนพวกเขาทนไม่ไหวเตะเธอกลับเข้าร่าง หัววัวก็ทำสีหน้าแตกตื่นเหมือนเห็นโลกถล่ม กระซิบกระซาบกับหน้าม้าที่อยู่ข้างๆ จากนั้นก้าวมาหาเธอด้วยสายตาลุแก่โทษ พูดกับเธอเสียงอ่อยว่าเก็บวิญญาณมาผิดดวง
อธิบายอย่างใจเย็นอีกพร้อมสรรพ ว่าวิญญาณที่ต้องเก็บเดิมทีชื่อว่า 'เฉินน่าอิง' ไม่ใช่ 'เฉินหนัวอิง' พร้อมทั้งยักไหล่อย่างช่วยไม่ได้ ใครใช้ให้น่ากับหนัวสองคำนี้เขียนเหมือนกันต่างกันแค่ออกเสียง
เพราะฉะนั้นเฉินหนัวอิงในตอนนี้จึงได้เปลี่ยนสถานะเป็นดวงวิญญาณที่ยังไม่ถึงฆาต
ยังไม่ทันดีใจ เฉินหนัวอิงแทบหลั่งน้ำตาออกมาเป็นสาย อยากกรีดร้องให้สะเทือนไปถึงสวรรค์
เพราะหัววัวหน้าม้าเพิ่งประสานเสียงกันบอกความจริงที่ว่า ดวงวิญญาณที่ยังไม่ถึงฆาตแม้จะเกิดจากความผิดพลาดก็มีชะตาอาภัพถึงขีดสุด ตายอย่างสูญเปล่าไม่พอ ยังสิ้นไร้หนทางให้กลับไปมีชีวิตใหม่อีกครั้ง
เพราะกฎของโลกวิญญาณได้บัญญัติเอาไว้ว่าดวงวิญญาณที่ไม่ถึงฆาตข้ามสะพานไน่เหอ[4]ไม่ได้ เพราะฉะนั้นเรื่องเกิดใหม่อย่าได้หวัง แต่จะให้พวกเขาส่งกลับไปโลกเดิมก็ไม่ได้ ด้วยเพราะเลือกวิธีการตายให้เฉินน่าอิงทารุณจนเกินไป ตอนนี้ศพของเธอในชาติภพก่อนก็เลยกลายเป็นก้อนเนื้อที่แหลกเละยับเยินก้อนหนึ่ง ไม่เหมาะสำหรับให้วิญญาณไปสิงสู่อย่างยิ่ง
เฉินหนัวอิงฟังแล้วขนลุกเกรียวกราว ไม่อยากกลายเป็นวิญญาณเร่ร่อนในตอนท้าย ร้องไห้โฮเขย่าหัววัวหน้าม้าไปมาจนแขนแทบหลุด คิดว่าพวกเขาคงระอาใจจนต้านทานไม่ไหว เอาแต่ทอดถอนใจจนวิญญาณบนทางหวงเฉวียนขวัญหนีดีฝ่อ ทว่าทั้งหมดคงกระตุ้นให้พวกเขาฉุกคิดเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ สุดท้ายจึงเสนอโอกาสส่งเธอให้ไปเกิดใหม่ในร่างที่ตายอย่างกะทันหัน
แถมทำใจกว้าง ก่อนตัดสินใจยื่นประวัติเจ้าของร่างให้เฉินหนัวอิงพิจารณาดูก่อน
นั่นก็คือร่างของผู้หญิงที่ชื่อแซ่รูปร่างหน้าตาเหมือนเธอดุจพิมพ์เดียวในอีกภพหนึ่ง
ชื่อเฉินหนัวอิง อายุสิบห้า กำพร้าบุพการี มีสามีสมองเสื่อม!
อ่านจบเฉินหนัวอิงค่อนข้างวิงเวียน เจ้าของร่างเดิมเหตุใดถึงได้ใช้ชีวิตแตกต่างจากที่เธอคิดราวฟ้ากับเหว!
เฉินหนัวอิง เอ๋ย เฉินหนัวอิง สถานะทางการเงินขัดสนไม่พอ ยังถูกอดีตคู่หมั้นบอกเลิกกลางตลาดจนเป็นที่อับอาย ระหว่างที่ตัดสินใจกระโดดผาฆ่าตัวตายกลับช่วยผู้ชายสมองเสื่อมที่ไหนไม่รู้ไว้ได้ บังคับขู่เข็ญให้เขามาเป็นสามี!
เดิมทีเธอกะจะส่ายหน้าแล้วให้เขาเสนอคนใหม่ ชะตาชีวิตของเฉินหนัวอิงคนนั้นอดสูเกินไป เธอทำใจไปเกิดใหม่ไม่ลง แต่คิดไม่ถึง ก่อนจะได้ทำตามใจคิด ก็รู้สึกถึงแรงตึงวูบที่แผ่นหลัง หัววัวหน้าม้าคนใจโฉดถึงกับลอบส่งสายตารวมหัวกันผลักวิญญาณเธอเข้ามาสิงร่างผู้หญิงที่ชื่อเฉินหนัวอิง!
แล้วเธอก็ตื่นขึ้นมาในลักษณะนี้
ตอนนี้ฟ้ามืดแล้ว ในห้องจุดไฟดวงเล็กเท่าเมล็ดถั่วเขียว กระทั่งมองไม่ชัดว่าอะไรเป็นอะไร
เฉินหนัวอิงเห็นแค่เงาคนรางๆ หลังเธอออกเสียงครางเจ็บก็ลนลานยกน้ำมาป้อนให้เธอถึงปาก
เฉินหนัวอิงสำลักสองสามที ถึงกลับมาเป็นปกติ ยังไม่ทันขอเวลานอกกรีดร้องในใจพลางสาปแช่งหัววัวหน้าม้าตัวบัดซบให้ไม่ได้ไปผุดไปเกิด เสียงของผู้ชายในห้องก็ดังขึ้นอย่างรีบร้อน
“หนัวหนัว เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง ดีที่เจ้าฟื้นขึ้นมา ทำเอาข้าตกใจแทบตาย!”
หนัวหนัว…
เฉินหนัวอิงได้ยินคำเรียกขานก่อนหน้าแล้วถึงกับเลอะเลือนลืมแม้กระทั่งคำก่นด่าหัววัวหน้าม้าที่เตรียมไว้ในใจ เดาได้ทันทีว่าคนที่อยู่ตรงหน้าก็คงเป็นผู้ชายที่เฉินหนัวอิงคนเดิมเก็บมาจากเขาแล้วบังคับให้มาเป็นสามีประชดคนรักเก่า
คิดไม่ถึงว่าผ่านไปไม่นานก็รักกันปานจะกลืนกิน ถึงขนาดเรียกอีกฝ่ายว่าหนัวหนัว!
แต่ถึงอย่างไรเธอก็เข้ามาสิงร่างของเฉินหนัวอิงแล้ว ก็คงต้องไหลไปตามน้ำ เฉินหนัวอิงขมวดคิ้วเล็กน้อย
“ข้า…ข้าเป็นอะไรไป”
เขาตบขาเข้าฉาดใหญ่ เอ่ยด้วยน้ำเสียงร้อนใจกว่าเดิม “ก็เจ้าอยู่ๆ ก็ตกน้ำตอนที่ข้าออกไปทำงาน กว่าจะกลับมาก็แทบลอยอืด พอข้าเข้าไปช่วยเจ้าก็ตัวเย็นเฉียบ เอามืออังจมูกพบว่าไม่หายใจแล้ว มีแต่ข้าไม่เชื่อว่าเจ้าตาย พวกเราไม่มีเงินตามหมอมารักษา ข้าจึงได้แต่วางเจ้าไว้รอดูอาการ นี่ก็ผ่านไปสองชั่วยามแล้วหลังจากข้าพบเจ้า ยังขอบคุณสวรรค์ที่เมตตา หนัวหนัวของข้าถึงได้ฟื้นกลับมามีชีวิตอีกครั้ง!” พูดจบก็ดึงเธอเข้าไปกอดอย่างแรง
ตัวหญิงสาวเล็ดกระจิดราวกับลูกนกจมเข้าไปในอ้อมกอดเขาอย่างว่าง่าย เฉินหนัวอิงมึนหัววูบจนไร้กำลังต้าน เป็นนานกว่าจะตั้งสติได้ถึงขืนกายออก เธอไม่เคยคบใครมาก่อน ใกล้ชิดกับบุรุษเพศเช่นนี้เป็นครั้งแรกไม่รู้จะทำตัวยังไง แถมยังหนีความเขินอายโดยธรรมชาติไม่พ้น จึงเฉไฉเปลี่ยนเรื่องพูด
“ข้าตกน้ำ? ตกน้ำแล้วไฉนตัวไม่เปียก ตอนนี้ฤดูอะไร? หรือว่าอากาศแห้งจนนอนเฉยๆ ก็ตัวแห้งได้”
“ไม่ใช่” เสียงเขาดังขึ้นมาในความมืด ก่อนชี้ไม้ชี้มือ
“ก็ข้าไง เป็นคนเปลี่ยนเสื้อผ้าให้เจ้า”
เขาพูดด้วยน้ำเสียงเรียบๆ ราวกับว่าเป็นเรื่องธรรมดาอย่างยิ่ง แต่เฉินหนัวอิงพอได้ยินถึงกับหน้าร้อนผ่าว จู่ๆ โมโหขึ้นมาโดยไม่ทราบสาเหตุ ไม่ทันไตร่ตรองให้ถี่ถ้วนก็โพล่งออกไป “ชายหญิงแตกต่าง เจ้าไฉนไม่สงวนกิริยาที่บุรุษพึงมี!”
เขาร้องเสียงหลง ก่อนย้อนกลับมาว่า “พวกเราเป็นสามีภรรยากัน สามีภรรยาประหนึ่งคนเดียวกัน เปลี่ยนเสื้อผ้าให้เจ้าก็เป็นเรื่องสมควร ข้าไม่เห็นว่าไม่เหมาะสมตรงไหน อีกอย่างเรื่องประเภทนั้นก็ไม่ใช่ว่าเราไม่เคยทำ ร่างกายหนัวหนัวไม่มีอะไรให้ต้องปกปิด ข้าเห็นจนชินตาแล้ว” บุรุษลงท้ายประโยคด้วยเสียงแผ่ว ยังเห็นเขาก้มหน้างุดลงไป
กลับเป็นเฉินหนัวอิงขมวดคิ้ววูบ ถามขึ้นเสียงสูง “เรื่องประเภทนั้นคือเรื่องประเภทไหน?”
“ก็เรื่องประเภทนั้น” เขาหันหน้ามาตอบทีกลับก้มกลับไปที่เดิม
“ทำไปแล้ว?” เฉินหนัวอิงขมวดคิ้ว
“ทำไป…หลายรอบแล้ว” เขาตอบอ้อมแอ้ม
เฉินหนัวอิงกำลังตกอยู่ในความตกตะลึง มิใช่ว่าบังคับให้มาเป็นสามีหลอกๆ หรือ? ไฉนเรื่องที่ควรทำก็ทำไปแล้ว เรื่องที่ไม่สมควรทำก็ทำไปแล้ว ตอนนี้ไม้ก็ได้กลายเป็นเรือ ถึงเฉินหนัวอิงคนใหม่นี้ไม่อยากได้เขาเป็นสามีก็ต้องก้มหน้ายอมรับแล้ว
เหมือนกับว่าจู่ๆ เขาก็นึกฉุกใจ เหตุใดภรรยาของตัวเองตื่นมาก็คล้ายคนความจำเสื่อม ขณะจะเอ่ยปากถาม กลับคิดขึ้นได้ว่าหลังตัวเองตกหน้าผาก็ความจำเสื่อม เพราะฉะนั้นคงไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร ตอนนี้กลับกลัวนางรู้ความจากเขาก็เข้าใจผิดว่าถูกข่มเหง จึงรีบละล่ำละลักตอบ “แต่หนัวหนัว ไม่ใช่…ข้าไม่ได้ขืนใจเจ้า วันนั้นเจ้าเมา เมามากๆ ถึงได้…”
“ถึงได้อะไร!”
บุรุษกลัวจนคอหด ตอบเสียงอ่อย “ขืนใจข้า”
ได้ยินเสียงสูดลมหายใจเข้าเฮือกใหญ่ ตามมาด้วยเสียงแผ่นหลังกระทบไม้กระดานดัง “ตุ้บ” ชวนให้บุรุษที่นั่งอยู่ด้านข้างสะดุ้งตัวโยน ขณะจะเข้าไปดูอาการภรรยา ก็เห็นมือหนึ่งยกขึ้นมาห้ามเอาไว้
เฉินหนัวอิงเหม่อมองเพดานด้วยสีหน้าหมดอาลัย อยากร้องไห้แต่ไร้น้ำตา
เหมือนการตอบสนองของเฉินหนัวอิงจะอยู่ในสายตาของเขา ผ่านไปนาน เขาถึงพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงน้อยเนื้อต่ำใจ
“หนัวหนัว… เจ้ารังเกียจข้าหรือ?”
“เรียกข้าว่าต้าเจี่ย[5]!” เฉินหนัวอิงเอ่ยขึ้นตัดบท
เขาเห็นภรรยาเพิ่งขึ้นมาจากน้ำ สมองคงยังไม่ปกติ สงสัยจะกลืนน้ำลงไปหลายอึกจนน้ำไหลขึ้นสมอง พอลืมตาตื่นมาเจอเรื่องประเดประดังเข้ามาพร้อมกันจนยากจะปรับตัว สิ่งสำคัญคือต้องให้เวลา เขาจึงไม่ขัดใจนางอีก รับคำอย่างเชื่อฟัง
“ต้าเจี่ย”
เฉินหนัวอิงทำเสียงอืมในลำคอทีหนึ่ง ค่อยพูด “วันนี้ข้าเหนื่อยแล้ว เจ้าก็ไปพักผ่อนเถอะ”
จบคำหันหลังเอื้อมมือไปหยิบผ้าห่มมาคลุมร่าง ยังไม่ทันห่มได้อุ่นก็เหลือบเห็นเงาของบุรุษกำลังจะก้าวขึ้นเตียง เฉินหนัวอิงตกใจจนกระเด้งตัวขึ้น กระเถิบตัวถอยร่น ขมวดคิ้วขู่เสียงดุ “เจ้าจะทำอะไร”
“ข้าก็จะนอน พักผ่อนตามที่หนัวหนัวพูด”
“ไม่ได้!” เฉินหนัวอิงเผลอใส่อารมณ์จนคล้ายเห็นเงาคนหดตัวกลายเป็นเหลือกระจิดเดียวก็อดสงสารไม่ได้ ยืดตัวเล็กน้อย เปิดปากอธิบาย “วันนี้ข้าตกน้ำไปหลายชั่วยาม กลัวว่าจะเป็นหวัดแล้วเอาไปติดเจ้า อยู่ห่างไว้จะดีกว่า”
ได้ยินภรรยาพูดว่าเป็นห่วงตัวเอง บุรุษอดใจชื้นขึ้นมามิได้ ยืดอกพูดยาวเหยียด “ไม่เป็นไร ตอนกราบไหว้ฟ้าดิน หนัวหนัวบังคับข้าให้สัญญาว่าจะรักใคร่เจ้าแม้ยามเจ็บป่วย ข้ารับปากไปแล้ว ลูกผู้ชายพูดแล้วไม่คืนคำ ข้าร่างกายแข็งแรง หวัดแค่นี้จะไปกลัวอะไร หนัวหนัวตกน้ำมาหลายชั่วยามจนร่างกายเย็น มิสู้กอดกันไว้ให้อุ่นๆ จะดีกว่า”
บุรุษกำลังจะโถมตัวเข้าไป เฉินหนัวอิงก็เสหน้าไปอีกทาง พูดด้วยน้ำเสียงออเซาะ “หากเห็นเจ้าป่วยไข้ขึ้นมาอีกคน ข้าจะยิ่งไม่สบายใจ รู้สึกผิดที่ตัวเองเป็นต้นเหตุ ข้ามีผ้าห่มผืนเดียวก็อุ่นได้ เอาเป็นว่าเจ้าทำตามที่ข้าว่าเถอะ”
ได้ยินนางเอ่ยปากเช่นนั้น เขาก็ไม่ขัดคำอีก ลุกไปลากที่นอนสำรองออกมา แล้วเป่าไฟดับตะเกียงนอนทันที
หญิงสาวจมเข้าสู่ห้วงนิทราไปนานแล้ว ในความมืดที่มีแต่ดวงดาวเป็นพยาน เสียงทุ้มๆ ของบุรุษได้ดังขึ้น
“ดียิ่งที่เจ้าปลอดภัยกลับมา หนัวหนัว” จากนั้นก็ผล็อยหลับไปด้วยรอยยิ้มประดับมุมปาก
[1] มหาวิทยาลัยปักกิ่ง มหาวิทยาลัยชั้นนำของจีน มีชื่อเสียงในด้านวิชาการอย่างมากโดยเฉพาะในคณะสายศิลป์
[2] ยมบาลประจำนรกมีหน้าที่ควบคุมวิญญาณ เชื่อกับว่าตัวหนึ่งหัวเป็นเป็นวัว ตัวหนึ่งหัวเป็นม้า
[3] แปลว่า “น้ำพุเหลือง” เป็นโลกหลังความตายในความเชื่อของจีน
[4] สะพานแห่งความจนใจ เชื่อว่าเป็นสะพานที่ตั้งอยู่ในโลกหลังความตายของจีน ถ้าข้ามไปอีกฝั่งจะเป็นจุดเริ่มต้นของการกลับชาติมาเกิด
[5] ความหมายที่หนึ่งแปลว่าพี่สาวคนโต (Elder sister) ความหมายที่สองใช้เป็นคำเรียกขานผู้หญิงที่อายุมากกว่าผู้พูดเล็กน้อยในเชิงสุภาพ ตามบริบทนี้เป็นใช้เป็นความหมายที่สอง
ความคิดเห็น