ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ต้าเจี่ยจะเป็นเศรษฐีนีอันดับหนึ่ง

    ลำดับตอนที่ #8 : 8 เฉินหนัวอิงเข้าเมืองซื้อกระดาษ

    • อัปเดตล่าสุด 15 ก.ค. 64



    ในสิบวันมานี้ เฉินหนัวอิงวันๆ เอาแต่ตั้งหน้าตั้งตาส่งมอบไข่ไก่สู่คฤหาสน์ของฮูหยินซ่ง ไม่มีแก่ใจออกไปไหน

    และในวันที่สิบเธอก็ได้รับเงินอีกครึ่งหนึ่งตามข้อตกลงในสัญญา เมื่อรวมกับเงินมัดจำล่วงหน้าจำนวนห้าร้อยอีแปะ ก็สามารถคิดเป็นเงินก้อนหนึ่งที่หากกับเมื่อก่อนต้องใช้เวลาทำงานสามเดือนถึงจะสะสมได้ นั่นหมายความว่าหากส่งมอบไข่ไก่ครบหกสิบวัน จะได้รับเงินทั้งหมดหกตำลึงซึ่งมากพอให้เฉินหนัวอิงและมู่หยางมีกินมีใช้ชนิดไม่ต้องทำงานไปอีกหนึ่งปีครึ่ง

    แต่ตัวเลขนี้กลับไม่ใช่ตัวเลขที่เฉินหนัวอิงพึงพอใจ

    หรือถ้าจะให้เปลี่ยนคำพูด ก็สามารถเรียกได้ว่านี่เป็นก้าวแรกที่งดงาม

    แต่ไม่ใช่ก้าวสุดท้ายที่เฉินหนัวอิงจะทิ้งชีวิตไว้

    เพราะในเชิงภาพรวมธุรกิจระยะยาว เธอต้องการสร้างธุรกิจที่ทำรายได้มากพอที่จะทำให้ครอบครัวอยู่สบายไร้กังวลไปอีกร้อยปีหรือมากกว่านั้น ส่งต่อมรดกให้คนรุ่นหลัง เป็นธุรกิจที่สร้างรายได้และยั่งยืน

    ว่ากันว่าเดินผิดก้าวแรก ก็ผิดไปทุกก้าว เฉินหนัวอิงไม่อยากให้เป็นแบบนั้น โดยเฉพาะเรื่องเงินๆ ทองๆ จะปล่อยให้เล็ดลอดออกไปไม่ได้แม้แต่อีแปะเดียว เพราะฉะนั้นวันนี้ถึงนับเป็นฤกษ์งามยามดี ชวนมู่หยางเข้าเมืองเผิงเฉิงไปซื้ออุปกรณ์ที่จำเป็นสำหรับการทำบัญชีของครอบครัว อย่างเช่น กระดาษ พู่กัน แท่งหมึก และแท่นฝนหมึก

    สองสามีภรรยายังใส่ชุดมอซอเหมือนเดิม เพิ่มเติมคือพกเงินมาด้วยห้าร้อยอีแปะ

    พวกเราสองมุ่งตรงไปที่ร้านขายกระดาษของเมือง พอไปถึง อาจเพราะหน้าตาของคนเพิ่งรวยแลดูมีสง่าราศี เถ้าแก่ของร้านจึงออกมาต้อนรับด้วยตัวเอง ผายมือเชิญเฉินหนัวอิงเข้าไปในร้าน

    ร้านต้านซือปั๋วเป็นร้านขายเครื่องเขียนที่ใหญ่ที่สุดในเมืองเผิงเฉิง แค่กระดาษก็มีให้เลือกสิบกว่าแบบโดยที่ราคาลดหลั่นกันไปตามคุณภาพ อุปกรณ์เครื่องเขียนก็ละลานตาจนเฉินหนัวอิงเลือกไม่ถูก ยืนมองอยู่นาน จึงหันไปกระซิบมู่หยาง

    “มู่มู่ ใช่สนใจกระดาษแบบไหนหรือพู่กันชนิดไหนเป็นพิเศษหรือไม่? เครื่องเขียนพวกนี้ ต้าเจี่ยมองแล้วไม่ค่อยเข้าใจ แต่กลับรู้สึกว่ามู่มู่จะแตกฉานกว่าต้าเจี่ย” เธอเห็นเขามองด้วยสายตาเป็นประกายเหมือนกับกระดาษสาพวกนี้เป็นญาติสนิทที่ไม่เจอกันมานาน จะอดใจไม่ทักก็ไม่ได้

    มู่หยางยู่ปากเล็กน้อย ขมวดคิ้วหันมาทางเฉินหนัวอิง “เดิมทีกระดาษกับพู่กันเป็นเครื่องมือของเหล่าบัณฑิต แน่นอนว่าแพงมาก ข้าเลยไม่เคยเข้าร้านพวกนี้ แต่ประหลาด ข้ากลับรู้สึกคุ้นเคยเหมือนเคยเห็นพวกมันมาก่อน เคยใช้มาก่อน”

    เฉินหนัวอิงยังไม่ทันพูดอะไร เถ้าแก่ของร้านก็ปรบไม้ปรบมือ “ข้าเห็นคุณชายท่านนี้ดูแล้วมีความสามารถที่งำประกาย เอาเช่นนี้ ร้านต้านซือปั๋วของข้ามีจัดแข่งขันประชันการเขียนอักษรอยู่ มิสู้ท่านไปลองดูสักหน่อย ถือว่าเป็นการได้ลองกระดาษไปด้วย”

    มู่หยางทำหน้าเหวอ มองมาทางเฉินหนัวอิง ขอความเห็น

    เฉินหนัวอิงยกมือลูบปลายคาง ยังไม่ทันตอบ เถ้าแก่ก็พูดขึ้นอีก “ปกติกระดาษพวกนี้ค่อนข้างมีราคา ทางร้านมีนโยบายไม่ให้ลองเด็ดขาด มีลูกค้าซื้อไปผิดอยู่มาก กว่าจะนำมาเปลี่ยนคืนได้ก็เป็นการยุ่งยากเสียเวลาไปเปล่าๆ อีกอย่าง การแข่งขันครั้งนี้มีกฎอยู่ว่าใครจรดปลายพู่กันได้พลิ้วไหวทรงพลังที่สุดจะได้รับของสมนาคุณจากทางร้านเป็นชุดกระดาษพู่กันและแท่นฝนหมึกจำนวนสิบสองชุด เหลือพอให้ใช้ทั้งปี แต่หากไม่ได้อันดับหนึ่งก็แล้วไป ยังมีรางวัลปลอบใจเล็กๆ น้อยๆ ให้ถือว่าเป็นของกำนัลที่เข้ามาร่วมสนุก เป็นอย่างไร ไม่ขาดทุนใช่หรือไม่? มิสู้ท่านไปลองดู” พูดจบก็ยิ้มอย่างนอบน้อม ผายมือเชื้อเชิญ

    เฉินหนัวอิงฟังแล้วตาลุกวาว กระดาษพู่กันเหล่านี้เท่าที่เธอสังเกตราคาไม่ใช่ถูกๆ ไม่ต้องพูดถึงที่คุณภาพเป็นเลิศ แค่ที่คุณภาพพอใช้หากซื้อใหม่ยกชุดก็คงจะหมดเงินไปหลายร้อยตำลึง เพราะฉะนั้นข้อเสนอดีงามแบบนี้ เธอจะพลาดได้อย่างไร

    ติดตรงแค่ว่าลายมือเธอตอนเขียนพู่กันอย่างกับไก่เขี่ย แค่เขียนเองยังทนมองไม่ได้ นับประสาอะไรกับการส่งเข้าประกวด

    แต่เธอก็ใช่ว่าจะมาคนเดียวซะเมื่อไหร่ เธอแข่งเองไม่ได้ ก็ต้องส่งตัวตายตัวแทนไปคว้าชัยแทน!

    ในเมื่อเถ้าแก่ของร้านบอกว่ามู่หยางคือบัณฑิตที่งำประกาย เขาก็คือบัณฑิตที่งำประกาย

    และในตอนนี้ก็ถึงเวลาแล้วที่ต้องเปิดเผยความสามารถที่แท้จริง

    “ไป!” เฉินหนัวอิงเม้มปาก อย่างแรงพยักหน้าสุดกำลังสองสามที ตบบ่าเขาหนักๆ ด้วยความเชื่อมั่นเต็มเปี่ยม

    ไม่พูดไม่ได้ว่าแววตาเฉินหนัวอิงในตอนนี้ เหมือนผีพนันเข้าสิง!

    มู่หยางเข้าใจความหมายของภรรยาทันที แต่อดไม่ได้ที่จะลังเลอยู่ครู่หนึ่ง เฉินหนัวอิงจึงพูดโน้มน้าวมาอีกประโยค

    “ถึงบ้านเราจะไม่มีกระดาษพู่กัน อีกทั้งต้าเจี่ยก็ไม่เคยเห็นมู่มู่จับพู่กันเขียนหนังสือ แต่ต้าเจี่ยเชื่อว่ามู่มู่ทำได้”

    แม้เขาจะเคยได้ยินเรื่องการเขียนพู่กันเป็นครั้งแรก อีกทั้งในหนึ่งปีมานี้ก็ไม่มีความทรงจำอะไรเกี่ยวกับเรื่องการเขียนพู่กัน นึกไม่ออกจริงๆ ว่าจะเขียนออกมาเป็นตัวอักษรได้อย่างไร แต่พอมองแววตาใสกระจ่างประหนึ่งลูกหมาแรกคลอดของภรรยาก็อดฮึกเหิมขึ้นมาไม่ได้

    ไปก็ไป!

    หลังจากตัดสินใจได้อย่างเด็ดเดี่ยว ก็เดินตามหลังพนักงานของร้านไปยังห้องรับรองอีกทางอย่างว่าง่าย ทว่าพอเฉินหนัวอิงจะเดินตามไป เถ้าแก่ร้านกลับเข้ามาขวาง เชิญเธอไปอีกทาง “เขียนพู่กันต้องใช้สมาธิสูง มิสู้ฮูหยินเชิญพักผ่อนทางนี้”

    ชั่ววูบนั้น เฉินหนัวอิงมองออกทันที บัณฑิตงำประกายอะไรนั่นเป็นเรื่องโกหก เขามีจุดประสงค์แอบแฝงต่างหาก!

    ต่อให้รู้ทั้งรู้ เฉินหนัวอิงก็ต่อสู้กับความสงสัยในใจไม่ไหว หยุดคิดเล็กน้อย จากนั้นเดินตามไปอย่างช่วยไม่ได้

    แต่เฉินหนัวอิงกลับคิดไม่ถึง พอเดินตามการนำของเถ้าแก่ไปยังห้องพักส่วนตัวบนชั้นสองของร้าน คนที่รอเธออยู่จะเป็นหวังลั่วจวิน อดีตคู่หมั้นที่ทอดทิ้งเฉินหนัวอิงคนเก่าไปอย่างไม่ไยดี!

    หวังลั่วจวินยืนมือไพล่หลัง ดวงตามองออกไปนอกหน้าต่าง ลมเอื่อยโชยมาเบาๆ ปอยผมสะบัดพลิ้ว เมื่อหลอมรวมบนร่างแล้วให้ความรู้สึกอ่อนช้อยยิ่งกว่าฝีพู่กันของสตรี ทั้งร่างสวมชุดแพงระยับสีเขียวมรกตดิ้นด้ายเงิน ท่วงท่าองอาจสง่างามปานประหนึ่งต้นสนตั้งตระหง่านกลางสายลม จังหวะที่ได้ยินเสียงฝีเท้าคน เขาก็หันหลังกลับมา แย้มยิ้มอย่างโอภาปราศรัย

    “ไม่คิดว่าจะได้เจอเจ้าที่นี่” ตั้งแต่ประโยคแรกดังขึ้น เถ้าแก่ก็ล่าถอยออกไป ปิดประตูอย่างเบามือ

    เฉินหนัวอิงลอบเบ้ปากในใจ ไม่คิดจะเจอก็ไม่ต้องเจอ เพราะคิดจะเจอต่างหากถึงได้เชิญขึ้นมาถึงตรงนี้ หวังลั่วจวินช่างเป็นคนไร้เดียงสาจริงๆ แม้เต่แผนการของตัวเองก็เปิดเผยให้ฝ่ายตรงข้ามมองออกได้ตั้งแต่คำโกหกประโยคแรก 

    แต่ถึงจะอย่างนั้น เธอกลับไม่เปิดโปงออกมา เธอรู้ว่าเขาโกหกและมีเจตนาจะพบก็จริง แต่อย่างไรก็ยังไม่รู้จุดประสงค์ และเธอก็ไม่มีเหตุผลอะไรต้องเปิดไพ่ในมือเร็วเกินไป มิสู้แกล้งเฉไฉทำไม่รู้ไม่ชี้ให้ศัตรูตายใจไปก่อน

    “เจอหรือไม่เจอแล้วต่างกันอย่างไร?” เฉินหนัวอิงตัดสินใจพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง แววตาเยือกเย็นเหมือนน้ำแข็ง จากนั้นยกสองมือกอดอก เสหน้าไปอีกทาง “เพราะพวกเราก็ไม่มีเหตุผลอะไรให้ต้องพบกันอยู่แล้ว”

    มองการตอบสนองของเฉินหนัวอิงแล้วหวังลั่วจวินรู้สึกแปลก ผิดกับการพบกันครั้งก่อนถนัดตา จริงอยู่ แม้นางจะผูกผมออกเรือนมีสามีเป็นตัวเป็นตนนานแล้ว แต่ตอนบังเอิญเจอกันทุกครั้ง นางมักจะมองเขาด้วยสายตาเจ็บปวดและอ้อนวอน แต่คราวนี้เขากลับมองไม่เห็นอารมณ์และความรู้สึกที่ลึกซึ้งเหล่านั้นเลย หวังลั่วจวินขมวดคิ้ว สืบเท้าขึ้นหน้า

    “สามีเจ้า มู่หยางเขาอาการเป็นอย่างไร ใช่ดีขึ้นแล้วหรือไม่?” เขาพูดพลางเดินลงมานั่งบนโต๊ะไม้จันทน์กลางห้อง

    “คุณชายหวังก็แปลก ถามเรื่องอาการสามีข้า ไฉนไม่ไปถามเขาเอง กลับให้เถ้าแก่ของร้านล่อเขาไปอีกทางแล้วมาถามข้า ไม่ทราบว่าคุณชายหวังทำทั้งหมดนี้ไปเพื่ออะไร” น้ำเสียงของเฉินหนัวอิงแฝงด้วยความเสียดสี พูดจบก็เหลือบมองเขาตาหนึ่ง

    หวังลั่วจวินหัวเราะออกมาเบาๆ “เจ้ามองคนเก่งขึ้นมาก แค่ปราดเดียวก็มองข้าออกจนทะลุปรุโปร่ง”

    เขารินน้ำสกัดดอกไม้เบาๆ แล้วเงยหน้าอันคมคายหล่อเหลาขึ้นมา พูด “ใช่ ข้าอยากพบเจ้า”

    เฉินหนัวอิงถอนหายใจ “ข้าก็ถามไปแล้วว่าคุณชายหวังเชิญข้ามาพบมีเรื่องอันใด?”

    น้ำเสียงของเฉินหนัวอิงยิ่งมายิ่งแข็งกระด้าง เป็นไปตามการควบคุมของเฉินหนัวอิงคนใหม่ เมื่อเธอนึกถึงว่าเจ้าของร่างนี้ถูกเคยถูกบอกเลิกจนเป็นที่อับอาย จู่ๆ ความโกรธก็ทะลักขึ้นกลางอกอย่างไม่มีเหตุผล

    เขาก้มหน้าลงไปเปิดปิดฝากาน้ำสกัดดอกไม้เล่น พูดอย่างไม่รีบไม่ช้า “เจ้าเคยถามข้าหลายครั้งว่าทำไมถึงยกเลิกหนังสือสัญญาสมรส มาวันนี้กลับไม่อยากรู้แล้วหรือ?”

    ได้ยินคำนี้ เฉินหนัวอิงรู้สึกแปลบยอกกลางอกอย่างไม่มีสาเหตุ ถึงกับยิ้มหยันออกมา “เรื่องที่ผ่านไปแล้วสำหรับข้าก็คือผ่านไปแล้ว นี่ก็ผ่านมาปีกว่า สำหรับข้าสาเหตุในการยกเลิกการหมั้นจะเป็นอะไรนั้นกลับไม่ใช่เรื่องสำคัญอีกต่อไปแล้ว คุณชายหวังต่างหากไฉนถึงยังหยิบยกขึ้นมาพูดอีก บอกเลิกข้ากลางตลาดไม่พอ วันนี้ยังต้องการเหยียบย่ำข้าอีกหรือ?”

    เฉินหนัวอิงหยุดชะงักเล็กน้อย หันตัวกลับไปแล้วยกยิ้มมุมปาก เลิกคิ้วยียวน “หรือคุณชายหวังยังตัดใจจากข้าไม่ได้?”

    จบประโยคนี้ ใบหน้าของหวังลั่วจวินก็แข็งค้างในพริบตา ปฏิกิริยาของเขาถึงกับทำให้เฉินหนัวอิงมั่นใจว่าระหว่างเฉินหนัวอิงคนเก่ากับหวังลั่วจวินย่อมมีความรู้สึกต่อกันไม่มากก็น้อย มิเช่นนั้นจะมีเหตุผลอะไรให้บัณฑิตลูกหลานขุนนางอนาคตไกลคนหนึ่งมาเสียเวลาเปลืองน้ำลายนั่งคุยกับผู้หญิงบ้านนอกจนๆ ที่มีสามีแล้ว รู้สึกผิด? แต่เธอว่าเขากลับไม่เหมือน

    หวังลั่วจวินไม่ตอบ ใช้สายตาคมกริบจ้องลึกเข้าไปในดวงตาหญิงสาว คล้ายต้องการค้นหาอะไรบางอย่าง

    แต่น่าเสียดายที่เขาไม่เจออะไรเลย มีแต่ความเย็นชาเหินห่างส่งกลับมา

    เห็นแววตาสำนึกเสียใจเมื่อสายไปแล้วของเขา เฉินหนัวอิงอดหัวเราะเยาะหยันออกมาไม่ได้ พูด “ละอายใจแล้ว ละอายใจแล้ว คุณชายหวังอย่าได้ถือสา เดิมทีข้าก็ไม่ได้หมายความเช่นนั้น แต่คุณชายหวัง คำถามนี้ดูเหมือนว่าข้าจะเคยวิงวอนร้องขอคำตอบจากท่านในอดีตจริง แต่ตอนนี้ข้าไม่จำเป็นต้องรู้แล้ว เพราะถึงไม่บอก ข้าก็พอคาดเดาได้ หนัวอิงฐานะต่ำต้อย เป็นแค่สามัญชนคนหนึ่ง ท่านเป็นถึงลูกหลานขุนนางขั้นหก เพิ่งสอบผ่านได้ตำแหน่งซิ่วไฉ อนาคตตั้งใจจะก้าวสู่แวดวงข้าราชการ ก็ต้องหาผู้หญิงตระกูลดีสักคนมาตบแต่งเป็นภรรยาเอก เผื่อวันหน้าจะได้เกื้อหนุนกันในเส้นทางอาชีพ แต่ติดตรงที่ท่านยังถือสัญญาสมรสอยู่กับข้า ถึงเวลานั้นหนัวอิงก็คงเป็นแค่กรวดทรายในตาที่อยู่ไปรันแต่ทำให้ท่านระคาย และในเมื่อข้าเป็นแค่อุปสรรคที่ขวางทางความเจริญรุ่งเรืองของบุตรชาย ตระกูลหวังก็ต้องคิดกำจัดอยู่แล้ว ร้อนมาถึงท่านที่ต้องเป็นคนลงมือจัดการ ท่านในตอนนั้น ไม่ว่าด้วยเหตุผลอะไรก็สรรหามาเป็นข้ออ้างยกเลิกสัญญาได้ทั้งสิ้น อะไรข้าก็ไม่ดีไปเสียทุกอย่าง และข้าว่าก็ไม่เห็นจะแปลกตรงไหน เหตุผลแบบนี้ล้วนปกติที่สุดแล้ว เพียงแต่ ข้าก็ไม่รู้ว่าตอนนั้นข้าคิดอะไร คำตอบพื้นๆ แบบนี้มันยากตรงไหน ตอนนั้นถึงได้ตัดสินใจบากหน้าไปถามเอาความจริงจากท่าน”

    “หนัว---” จบประโยคเขาถึงกับเงยหน้าขึ้นมาโดยพลัน แม้กระทั่งน้ำเสียงยังเปลี่ยนไป

    “ขอบคุณก็แต่วัวกับไก่อ้วนที่ส่งมาชดเชยให้ข้า ข้าเฉินหนัวอิงคนนี้ซาบซึ้งใจสุดประมาณ” เฉินหนัวอิงไม่ปล่อยให้เขาพูดจบ ไม่แม้อยากให้เขาพูดชื่อตัวเองออกมา กระทั่งชิงเอ่ยตัดบทด้วยงิ้วโรงใหญ่ ผุดสีหน้ารวดร้าวแล้วยกมือขึ้นกุมอก

     สำหรับเฉินหนัวอิงที่เพิ่งย้ายเข้ามาสิงในร่างนี้ เธอไม่เคยรู้จักเขามาก่อน แน่นอนว่าตามหลักการก็ไม่ควรจะมีความรู้สึกใดๆ กับเขา แต่ทว่าแม้กระทั่งตอนที่เธอพูดประโยคเหล่านี้ กลับเหมือนควบคุมตัวเองไม่ค่อยอยู่ ความน้อยเนื้อต่ำใจและโกรธเกลียดของสตรีอาภัพที่ไม่ได้รับความเป็นธรรมแสนสาหัสผุดขึ้นมาระลอกแล้วระลอกเล่า โจมตีหัวใจเธอจนยับเยิน พอรู้ตัวอีกที ก็มองเขาด้วยสายตาอาฆาตเหมือนมองคนที่เป็นศัตรูกันมาแต่ชาติปางก่อน ใจหาความสงบสุขไม่ได้สักนิด

    แต่จะว่าไปคิดแล้วก็แปลก หวังลั่วจวินเป็นอดีตคู่หมั้นของเฉินหนัวอิงคนเก่าได้อย่างไร?

    พูดกันอย่างไม่มีอคติ หวังลั่วจวินที่อยู่ตรงหน้าก็นับเป็นชายหนุ่มสูงศักดิ์อนาคตไกลที่โดดเด่นคนหนึ่งในเมืองเผิงเฉิง หน้าตาหล่อเหลางามสง่า ท่วงท่าทรงภูมิสุขุมคัมภีรภาพอย่างบัณฑิต พนันได้เลยว่าต่อไปจะต้องมีอนาคตที่โชติช่วงชัชวาลในแวดวงขุนนาง เมื่อเทียบกับเฉินหนัวอิงที่ทางบ้านแร้นแค้นขัดสน เป็นแค่สามัญชนฐานะต่ำต้อย มองตั้งแต่หัวจรดเท้าอย่างไรก็ไม่เห็นคำว่าเหมาะสมปรากฎออกมาเลยสักเศษเสี้ยว

    ว่ากันว่าการแต่งงานของคนในสมัยโบราณเป็นคำพูดของบิดามารดาเป็นวาจาของแม่สื่อ ในเมื่อไม่เหมาะสมกันทั้งฐานะและชาติตระกูล แล้วเหตุใดฮูหยินหวังถึงยังได้พยักหน้าตกลงตกปากรับคำให้ลูกชายรับเฉินหนัวอิงมาเป็นคู่หมั้น? หากจะบอกว่าเหตุผลมีเพียงแค่เฉินหนัวอิงกับหวังลั่วจวินมีใจต่อกันเธอกลับไม่เชื่อแน่ หรือจะเป็นเพราะบุญคุณความแค้นในอดีตระหว่างตระกูลหวังกับบิดามารดาของเจ้าของร่างก่อนจะจากไป?

    เฉินหนัวอิงไม่ทันคิดจบ หวังลั่วจวินที่อึ้งค้างไปนานก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่ หยัดกายลุกแล้วสืบเท้าเข้ามาใกล้หญิงสาว “ถึงอย่างนั้น แม้เจ้าจะเป็นภรรยาเอกไม่ได้ เป็นภรรยารองไม่ได้ แต่ตระกูลหวังก็ยังสามารถรับเจ้าเข้าตระกูลเป็นอนุได้ แม้ไม่ได้มีศักดิ์ฐานะอะไรในจวน แต่ถึงอย่างไรก็ยังดีกว่าไปบังคับผู้ชายที่ไหนไม่รู้มาแต่งงานประชดข้า อย่างไรก็ยังมีชีวิตเสวยสุข ดีกว่าการไปปลูกผักเลี้ยงไก่ขายประทังชีพมิใช่หรือ?” พูดจบพลันคว้าข้อมือเฉินหนัวอิงขึ้น บังคับให้สบตากับเขา

    เฉินหนัวอิงพลันรังเกียจผู้ชายคนนี้ขึ้นมาจับใจ คิดชื่นชมเฉินหนัวอิงคนเก่าที่คิดถูก ไม่เลือกเขามาเป็นสามี!

    เฉินหนัวอิงสะบัดแขนออกอย่างแรง ถอยเท้าห่างไปสองสามก้าว

    หวังลั่วจวินเดินตามมาอย่างไม่ลดละ “ครึ่งเดือนก่อน ข้าได้ยินว่าเจ้ากระโดดน้ำฆ่าตัวตาย ก็เป็นเพราะข้าลงนามในหนังสือสัญญาทำการหมั้นหมายครั้งใหม่กับจ้าวหว่านหรู หนัวอิง เจ้าก็อย่าปฏิเสธข้าอีกเลย เจ้าก็รู้ว่าเจ้าโกหกข้าไม่ได้ ที่แท้เจ้าก็ยังมีเยื่อใยต่อข้า เจ้ายังรักข้า!”

    “เพียะ!”

    เฉินหนัวอิงประทับฉาดหนึ่งบนข้างแก้มหวังลั่วจวิน!

    เธอไม่เคยเห็นผู้ชายคนไหนจะหน้าด้านเท่านี้ มองไม่ออกจริงๆ ว่าเขาต้องการอะไร เฉินหนัวอิงก็แต่งงานแล้วไปมีชีวิตของตัวเองอยู่ดีๆ วันนี้กลับถูกหวังลั่วจวินคุกคาม หรือเขาคิดลดศักดิ์ศรีเล่นชู้กับภรรยาชาวบ้าน?

    คิดได้ถึงตรงนี้ เฉินหนัวอิงขนลุกเกรียวกราว ออกแรงสะบัดหัวไล่เสียงของเขาที่ไหลเข้ามาในโสตทันที วาจาเหลวไหลพรรค์นี้ยังพูดออกมาได้ ระคายหูเหลือเกิน

    เพราะฉะนั้น ฉาดใหญ่เมื่อครู่ เฉินหนัวอิงไม่เสียใจ

    ถือว่าเป็นการ

    ขอสักที ต้าเจี่ยคนนี้จะไม่ทน!

    พอตบเสร็จ เฉินหนัวอิงก็ชี้หน้าเขาอย่างอหังการ “เจ้าลองพูดมาอีกคำ ต้าเจี่ยจะสั่งสอนให้เจ้ารู้ว่าใครเป็นใคร!”

    “หนัวหนัว…” หวังลั่วจวินใช้มือโอบข้างแก้มที่แสบร้อนของตนเอง

    เสียงเรียกอ่อนหวานอ้อยส้อยปานจะขาดใจ ถ้าเป็นเฉินหนัวอิงผู้งมงายในรักขนาดยอมแลกชีวิตดีกว่าทนเห็นผู้ชายในดวงใจหมั้นหมายกับหญิงอื่นมาฟังแล้วคงจะยอมใจอ่อน ทรุดตัวคลานเข่ากลับเข้าไปในอ้อมกอดเขาในทันที แต่น่าเสียดายที่เฉินหนัวอิงคนนี้นอกจากคำว่ารังเกียจก็ไม่มีความรู้สึกไร้สาระแบบนั้น

    ขณะกำลังจะสะบัดหน้า หมุนกายกระทืบเท้าจากไป เขาก็รั้งแขนเอาไว้

    “ข้าต้องทำอย่างไรถึงจะชดใช้ให้เจ้าหายโกรธเคืองข้า”

    ไม่มีวัน!

    ก็ไม่มีวันจริงๆ นั่นแหล่ะ เฉินหนัวอิงคนเก่ากระโดดน้ำตายไปครึ่งเดือนก่อน ป่านนี้วิญญาณถ้าไม่อยู่บนทางหวงเฉวียนก็คงลอยแกร่วกลับชาติไปเกิดใหม่นานแล้ว จะมารับคำขอโทษจากเขาได้อย่างไร มีแต่เธอที่ต่อให้ไม่ว่าเขาพูดอะไร ก็ไม่ยินดีให้อภัยเด็ดขาด

    แต่เมื่อคิดว่าเจ้าของร่างถึงกับช้ำรักจนคิดสั้นกระโดดน้ำฆ่าตัวตายแล้วอดโมโหขึ้นมาไม่ได้

    ฉับพลัน ดวงตาของเฉินหนัวอิงสว่างวาบขึ้นมาทันที ผุดรอยยิ้มร้ายกาจตรงมุมปาก

    “อะไรก็ได้จริงๆ หรือ?” เฉินหนัวอิงหันหน้ากลับมา ถามเสียงสูง

    หวังลั่วจวินพยักหน้า

    เฉินหนัวอิงยกมือขึ้นคลึงขมับน้อยๆ “ดูเหมือนว่าช่วงนี้ข้านอนไม่ค่อยหลับ เดินลงบันไดแล้ววูบง่าย คุณชายหวังช่วยประคองส่งข้าลงชั้นล่างหน่อยได้หรือไม่?”

    หวังลั่วจวินอึ้งชะงัก พอพ้นอาราเขตห้องรโหฐานห้องนี้ ก็เป็นพื้นที่สาธารณะ ประคองผู้หญิงคนหนึ่งก็แล้วไปเถอะ อย่างไรเฉินหนัวอิงก็เป็นแค่สตรีสามัญชนไม่มีคนรู้จัก แต่เขากลับเป็นคุณชายที่เพิ่งสอบซิ่วไฉได้ สอบผ่านทีบุพการีก็แทบจะจับแห่อวดคนทั้งเมือง ยิ่งเมื่อครึ่งเดือนก่อนยังจัดพิธีลงนามบนหนังสือสัญญาสมรสเสียเอิกเกริก ด้วยเหตุผลสองข้อนี้ อย่างน้อยก็ต้องมีคนจำได้ แล้วจะหลีกเลี่ยงคำนินทาได้อย่างไร อีกทั้งเคยได้ยินว่าพ่อบ้านตระกูลจ้าวยังมีหูมีตาสอดส่องคนทั้งเมือง หากประคองเฉินหนัวอิงลงไปจริงๆ จ้าวหว่านหรูจะไม่รู้ได้อย่างไร นั่นไม่เท่ากับเป็นการรนหาที่ตายหรอกหรือ?

    เฉินหนัวอิงแค่คิดก็สะใจ นึกอยากเห็นจริงๆ ว่าถ้าจ้าวหว่านหรูเห็นคู่หมั้นที่เพิ่งลงนามสัญญาสมรสหมาดๆ เมื่อไม่ถึงครึ่งเดือนที่ผ่านมา มาเดินประคองคนรักเก่ากลางตลาดจะมีสีหน้าอย่างไร กล่าวกันว่าความหึงหวงของผู้หญิงเป็นเรื่องที่น่ากลัวที่สุด แต่ที่น่ากลัวยิ่งกว่านั้นคือความหวาดระแวง

    หวังลั่วจวิน เอ๋ย หวังลั่วจวิน

    หากเจ้าตัดสินใจเดินตามหมากของต้าเจี่ย ต่อให้เจ้าแต่งจ้าวหว่านหรูเข้าบ้านได้จริง ก็อย่าหวังว่าจะได้มีชีวิตสงบสุขอีกเลย!

    “ย่อมได้” หวังลั่วจวินพยักหน้าเบาๆ แต่หนักแน่น “เช่นนั้นให้ข้าประคองเจ้าเดินลงบันได”

    “คุณชายหวังทำเช่นนี้แล้วจะไม่เสียใจ?” เฉินหนัวอิงถามย้ำอีกครั้ง

    “ถ้าเป็นเจ้า ข้าไม่มีอะไรต้องเสียใจ” เขาหันมาสบตาเฉินหนัวอิงด้วยแววตามุ่งมั่น

     

    เฉินหนัวอิงยิ้มรับน้อยๆ พลางส่ายหน้าในใจ ได้แต่หัวเราะหึๆ ในลำคอ


     

     

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×