ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ต้าเจี่ยจะเป็นเศรษฐีนีอันดับหนึ่ง

    ลำดับตอนที่ #6 : 6 เส้นกั้นบางๆ ระหว่างนักการตลาดและนักต้มตุ๋น (1)

    • อัปเดตล่าสุด 15 ก.ค. 64


     

    การตื่นนอนในวันนี้ของเฉินหนัวอิงแตกต่างจากเมื่อวานโดยสิ้นเชิง

    เพราะในชนบทอากาศดี๊ดี บวกกับได้นอนมองแผ่นหลังของสามีที่ค่อนข้างอบอุ่น ทำให้เฉินหนัวอิงหลับสนิทโดยไม่ฝัน พอตื่นขึ้นมาคิ้วตาสดชื่นเป็นอย่างมาก อารมณ์ก็พลอยเบิกบานแจ่มใส เหมาะกับการเริ่มต้นใช้ชีวิตใหม่ในฐานะ Early bird[1]

    ไอร้อนๆ หอมกรุ่นลอยเข้ามาจากทางห้องครัว เฉินหนัวอิงเดินตามกลิ่นหอมๆ ไปกินอาหารเช้าฝีมือสามีอย่างว่าง่าย แม้จะเป็นข้าวต้มที่มีน้ำมากกว่าข้าวอีกแล้ว แต่วันนี้กลับให้รสสัมผัสที่อิ่มอกอิ่มใจ หวานเป็นพิเศษ

    มู่หยางไม่ได้เอาไข่ไก่ไปขายให้โรงเตี๊ยมตามที่เฉินหนัวอิงบอก พอกินข้าวต้มเสร็จ เธอก็เดินมาประเมินไข่ไก่จากท้ายครัวเล็กน้อย ไข่ไก่สดใหม่ใบโตดูท่าทางนำไปทำอาหารแล้วอร่อย เฉินหนัวอิงพยักหน้าเบาๆ สื่อว่าให้ความไว้วางใจกับไข่ไก่อย่างมาก หรือกล่าวอีกนัยหนึ่ง นี่ก็คือเส้นทางที่จะทำให้ครอบครัวพวกเราหลุดพ้นจากความยากลำบากในไม่ช้า!

    ไม่รู้ว่าความคิดเฉินหนัวอิงแล่นวนในหัวไปกี่สิบรอบ แต่มู่หยางกลับมองมาที่ภรรยาด้วยสายตามึนงง

    หากทุกคนเป็นมู่หยาง เดินเรื่องมาถึงตรงนี้ สิ่งที่พอรู้อาจมีเพียงว่า เฉินหนัวอิงตัดสินใจไม่ขายไข่ไก่ให้โรงเตี๊ยมเพราะได้ราคาต่ำ คิดจะเปลี่ยนไปเสนอขายให้ฮูหยินขุนนางในราคาขูดเลือดขูดเนื้อ แต่บังเอิญตอนหลังมารู้ว่าอาหารที่สุดจะแพงหูฉี่ของโรงเตี๊ยมเซิ่งฝูต้องพึ่งพาไข่ไก่จากบ้านเธอเป็นวัตถุดิบหลัก หลังจากเธอใช้วิธีปล่อยเพื่อจับทำการยืนยันจนแน่ใจแล้ว ก็จะกลับไปต่อรองขายไข่ไก่ให้โรงเตี๊ยมในราคาที่สมน้ำสมเนื้อแทน แต่ทว่า เมื่อคิดมาถึงตรงนี้กลับคิดอย่างไรก็คิดไม่ออกว่าไข่ไก่ของมู่หยางต่างจากไข่ไก่ของพ่อค้าเจ้าอื่นตรงไหน และยิ่งไม่เข้าใจว่าไข่ไก่ธรรมดาๆ แค่ใบเดียวมีคุณสมบัติอะไรจะเอาไปขึ้นราคาจนเกินกว่าที่ควรจะเป็น หากมาถึงตรงนี้แล้วยังไม่กระจ่าง เฉินหนัวอิงก็ขอให้สัมภาษณ์ด้วยความจริงใจว่านี่เป็นเรื่องที่ถูกต้องแล้ว เพราะข้อมูลในมือและวิสัยทัศน์เป็นสิ่งสำคัญสำหรับนักธุรกิจเสมอ หากปล่อยให้คนมองความคิดอ่านทะลุปรุโปร่งได้ง่ายๆ แล้วจะสามารถขึ้นเป็นเศรษฐีนีอันดับหนึ่งได้อย่างไร

    เฉินหนัวอิงหัวเราะคิกคักออกมาอย่างเบิกบาน แต่ถึงจะหัวเราะแบบนั้น ในใจก็ยังคงเต็มไปด้วยความประหม่า

    ใช้เวลาไม่นาน พออาบน้ำแต่งตัวเสร็จ เฉินหนัวอิงก็เตรียมตัวออกจากบ้าน ชุดที่ใส่ในวันนี้เป็นสีเขียวทะเลสาบเข้าคู่กันดีกับสีเสื้อผ้าของมู่หยาง มองปราดเดียวก็รู้ว่าเป็นคู่รักข้าวใหม่ปลามันที่รักกันดีและมีความสุข ทำตัวน่าหมั่นไส้ที่สุดในโลก

    เฉินหนัวต้องกันไว้ดีกว่าแก้ มู่หยางหน้าตาดีขนาดนี้ แถมยังเรียกเธอว่าต้าเจี่ย ขืนไม่ออกตัวประกาศโดยไร้เสียงว่ามู่หยางมีเจ้าของแล้ว เกิดมีผู้หญิงหน้าไม่อายมาแอบหมายปองเขา เข้าใจผิดว่าเธอเป็นพี่สาวจริงๆ จะทำยังไง แบบนั้นคงสร้างเรื่องวุ่นวายมากวนใจเธอไม่รู้จบ เพราะฉะนั้น ก่อนที่เธอจะพิชิตใจเขาได้ จะไม่ยอมให้มีเรื่องไหนมาเป็นอุปสรรคเด็ดขาด!

    เฉินหนัวอิงหมุนตัวไปมาอยู่ครู่หนึ่ง เหลือบมองไข่ไก่ที่มู่หยางอุ้มอยู่ในอ้อมแขนเล็กน้อย ก็พยักหน้าให้เขา พร้อมออกจากบ้าน

    จากนั้นสองสามีภรรยาก็จับจูงมือกันออกจากบ้าน มุ่งหน้าสู่คฤหาสน์ในเมืองเผิงเฉิงของเจี่ยงซื่อ

     

    ผ่านไประยะเวลาจิบชาหนึ่งถ้วย[2]ก็เดินมาถึงหน้าคฤหาสน์

    คฤหาสน์แห่งนี้เป็นบ้านพักต่างอากาศที่อยู่ทางเหนือถัดจากเมืองหลวงของจวนอันติ้งโหว[3] เดิมทีเป็นเรื่องไม่สมเหตุสมผลที่จะอนุญาตให้ภรรยาเอกที่เพิ่งผ่านการคลอดบุตรต้องเดินทางไกล แต่ด้วยเพราะเส้นทางจากฉางอันถึงเผิงเฉิงเป็นเส้นทางลำเลียงอาหาร ถนนหนทางได้รับการทะนุบำรุงจากหลวงทุกปี การเดินทางระหว่างสองเมืองนี้จึงไม่ใช่เรื่องลำบาก ประกอบกับได้ยินว่าทิวทัศน์ของเมืองเผิงเฉิงในเดือนสารทมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว งดงามเป็นอย่างมาก สองฝั่งทางเต็มไปด้วยใบเฟิง[4]ร่วงพรู พร่างพรายราวกับดวงดาวตอนกลางวัน เหมาะสำหรับเป็นสถานที่พักผ่อนหย่อนใจ ฟื้นฟูร่างกายที่อิดโรยอ่อนล้าของสตรีหลังคลอด ดังนั้น เมื่อฮูหยินซ่งเอ่ยปาก รองเจ้ากรมคลังอันติ้งโหวถึงได้พยักหน้าตอบตกลงทันที

    รถม้างามวิจิตรของฮูหยินซ่ง เจี่ยงซู่ผิงจึงได้มุ่งหน้าเดินทางเข้าสู่เมืองเผิงเฉิงในลักษณะนี้

    หากนับไปนับมา หลังจากเกิดเหตุการณ์ที่ชาวเมืองแตกตื่นกับการเดินทางชนิดย่างเท้าทีก็แทบจะเอาดอกบัวมารองเดินเพื่อป้องกันไม่ให้ร่างกายกระทบกระเทือน นี่ก็เข้าสู่วันที่สามแล้ว

    เฉินหนัวอิงเดินทางมาถึงหน้าคฤหาสน์ช่วงกลางยามเหม่า มิได้ไปป้วนเปี้ยนหน้าคฤหาสน์ให้เป็นที่สงสัย กลับยืนอยู่หลังต้นไม้สังเกตการณ์ดูก่อน เมื่อสายตาอันเฉียบคมสะดุดเข้ากับสตรีนางหนึ่งก็กวักมือเรียกมู่หยาง พูดโดยไร้เสียง “มาแล้วๆ”

    “ใครมาหรือต้าเจี่ย” มู่หยางเห็นผู้หญิงวัยกลางคนอายุราวสี่สิบเดินออกมาจากประตูข้างของคฤหาสน์

    “ท่านป้าจ่ายตลาด!” เฉินหนัวอิงตอบด้วยน้ำเสียงกระตือรือร้น

    มู่หยางไม่เข้าใจว่าทำไมนางถึงพูดด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น แต่ก่อนเขาจะถามเฉินหนัวอิงก็รีบบุ้ยใบ้ชี้ไปทางท่านป้าคนนั้น “นี่ก็คือเป้าหมายแรกของพวกเรา สิ่งที่ต้าเจี่ยต้องการคือให้มู่หยางทำก็คือ ไปเลียบเคียงเรื่องฮูหยินซ่งกับนาง”

    “ฮูหยินซ่งเป็นถึงฮูหยินขุนนางขั้นสอง แต่อยู่ดีๆ หลังคลอดก็เดินทางออกจากฉางอันที่พรั่งพร้อมบริบูรณ์ไปด้วยข้าวปลาอาหารและไม่ขาดแคลนหมอ หากจะบอกว่ามาเพื่อพักผ่อนหย่อนใจ ข้ากลับไม่เชื่อเด็ดขาด ถ้าต้าเจี่ยเป็นนาง เพิ่งคลอดลูกชายได้ก็สมควรจะอยู่กอบโกยความโปรดปรานจากอันติ้งโหวมากกว่า เพราะฉะนั้น เชื่อเถอะว่าที่นางมาเผิงเฉิงย่อมต้องมีเหตุผลอื่นแอบแฝง เหตุผลอื่นที่บอกคนนอกไม่ได้…”

    เฉินหนัวอิงกดเสียงเบา “แต่ถึงไม่มีเหตุผลที่บอกคนนอกไม่ได้ ออกเดินทางทั้งทีจะให้มาอุดอู้อยู่ในบ้านก็ไม่ใช่ ได้ยินว่าไม่ไกลจากเมืองเผิงเฉิงมีอารามศักดิ์สิทธิ์อยู่หลายแห่ง เหล่าบรรดาฮูหยินตระกูลดีล้วนแล้วแต่ไปไหว้พระขอพร นางก็น่าจะไปเช่นกัน เห็นบ่าวไพร่จวนนางไปหว่านเงินจองดอกบัวบูชาพระล่วงหน้ากับร้านขายดอกไม้ในตลาดตั้งแต่เมื่อวาน เพื่อไม่ให้ดอกไม้เฉาจนใช้การไม่ได้ก็คงจะไปวันนี้ หน้าที่ของมู่มู่ก็คือไปสืบมาให้ต้าเจี่ยให้ได้ว่านางจะเดินทางไปอารามไหนในเวลาใด”

    พูดจบก็เอี้ยวตัวไปอุ้มไข่ไก่มาจากอ้อมแขนเขาด้วยความนุ่มนวลราวกับเป็นบุตรในอุทร มองเขาด้วยสายตาแรงกล้า

    มู่หยางขมวดคิ้วเล็กน้อย แล้วออกแรงพยักหน้าโดยไม่อิดออด

    ผ่านไปไม่นาน มู่หยางก็ยิ้มร่ากลับมา เฉินหนัวอิงรู้ดีอยู่แล้วว่าเขาต้องทำสำเร็จ จากประสบการณ์ในชีวิตที่ผ่านมาสอนให้เธอรู้ว่าหากอยากล้วงข่าววงในจากปากผู้ชายต้องไปแอบฟังจากบทสนทนาในวงเหล้า แต่ถ้าอยากได้ยินเรื่องซุบซิบนินทาที่เป็นความลับในหมู่ผู้หญิงต้องพึ่งความเสน่หา

    มู่หยางหน้าตาน่าเอ็นดู ท่านป้าผู้นั้นอายุประมาณสี่สิบหากมีลูกชายก็คงจะอายุรุ่นราวคราวเดียวกับเขา ด้วยจุดอ่อนข้อนี้ เล่นลูกไม้สักหน่อยก็คงจะล้วงข้อมูลออกมาได้ไม่ยาก แต่ถึงอย่างนั้นเธอกลับไม่รู้ว่าเขาใช้วิธีไหน

    ได้ยินเสียงฝีเท้าเดินมาใกล้ ใบหน้าเต็มไปด้วยสัญญาณมงคล เฉินหนัวอิงใช้แขนยันตัวลุก ทิ้งหญ้าหางม้า[5]ในมือพลางแกว่งแขนปัดฝุ่นไปมา ปัดเสร็จก็มองไปทางมู่หยาง ถามด้วยน้ำเสียงใคร่รู้ “ได้เรื่องว่าอย่างไร?”

    “ท่านป้าจ่ายตลาดบอกข้าว่าฮูหยินซ่งจะเดินทางออกไปสักการะรูปปั้นพระโพธิสัตว์ที่อารามหย่งเหอ ออกเดินทางวันนี้ปลายยามเฉิน” เขาตอบพลางย่อกายลงไปหอบไก่ไข่ยี่สิบสี่ฟองในตะกร้าสานที่รองด้วยไผ่เขียวขึ้นมาอุ้มอีกครั้ง

    เฉินหนัวอิงงอนิ้วคำนวณ เห็นว่าเวลามีไม่มาก “เช่นนั้นพวกเรารีบไป”

    พูดจบก็พยักเพยิดให้เขานำทางทันที

     

    แรงคนต่อให้เดินเร็วอย่างไรก็ยังช้ากว่ารถม้า ดีที่เฉินหนัวอิงและพวกเริ่มออกเดินทางก่อน ทำให้มาถึงในเวลาไล่เลี่ยกับเจี่ยงซื่อ ไม่ทิ้งช่วงห่างเท่าไหร่ โอกาสในการพบหน้าโดย ‘บังเอิญ’ ถือว่ายังพอมีความเป็นไปได้

    แต่เฉินหนัวอิงมิได้รีบร้อน เมื่อมาถึงหน้าอารามตามเวลาที่ได้คำนวณไว้โดยไม่ขาดไม่เกิน เหลือบมองรถม้าที่จอดสนิทอยู่ด้านข้างทีหนึ่ง ฝีเท้าที่เร่งรีบก็หยุดชะงักลงในทันใด เปลี่ยนเป็นจูงมือสามีอุ้มไข่ไก่เดินอย่างอ้อยส้อย ราวกับต้องการจะดื่มด่ำกับอรรถรสแห่งดินแดนแสวงธรรมอย่างผู้ฝักใฝ่ในพุทธศาสนาก็ไม่ปาน

    พูดถึงอารามหย่งเหอ อารามแห่งนี้ตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกของเมืองเผิงเฉิง ขึ้นชื่อว่าศักดิ์สิทธิ์และมีชื่อเสียงในด้านการประทานความฉลาดหลักแหลมแก่บุตรธิดา สืบทอดมาตั้งแต่สมัยราชวงศ์ก่อน บรรยากาศโดยรอบสงบร่มรื่น ตัวสถาปัตยกรรมตั้งตระหง่านกลางสนเขียว มองปราดเดียวก็รู้สึกถึงความเรียบง่ายแต่เคร่งขรึม ชวนให้ผู้คนเกิดความเลื่อมใสได้ไม่ยาก

    โดยเฉพาะกับเจี่ยงซื่อหรือเจี่ยงซู่ผิง

    ก่อนออกเรือนเข้าสู่ชายคาตระกูลซ่ง นางเป็นคุณหนูตระกูลใหญ่ ได้รับการอบรมจากอาจารย์ที่ฝักใฝ่ในลัทธิเต๋า เมื่อเติบใหญ่ย้ายสาแหรกเข้าสู่สายสกุลซ่งก็ต้องคล้อยตามสามี หันมาปวารณาตนเป็นพุทธศาสนิกชนเลื่อมใสในพุทธธรรมนิกายมหายาน เพราะฉะนั้น แม้ยามอยู่ในเมืองหลวงนางจะใช้ชีวิตฟุ้งเฟ้ออย่างไร เมื่อเท้าก้าวเข้าสู่เขตอารามก็เปลี่ยนมาเป็นเรียบง่ายสันโดษ แต่งตัวอย่างชาวบ้านธรรมดา แม้แต่คนรับใช้หรือผู้คุ้มกันก็สั่งให้ออกห่างอารามหลายสิบจั้ง พร้อมทั้งกำชับอย่างเด็ดขาดว่าไม่ให้ขัดขวางผู้มีใจฝักใฝ่ในพระธรรมที่ต้องการเข้ามากราบไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ในอารามแม้แต่ครึ่งก้าว เกรงว่าจะเป็นการดูหมิ่นเส้นทางกุศลของผู้จิตใจใสสะอาด แล้วพลอยส่งผลกระทบต่อคุณชายน้อยที่เพิ่งลืมตาดูโลกในภายภาคหน้า

    เพราะฉะนั้นเมื่อเฉินหนัวอิงและมู่หยางเดินเท้าเปล่าก้าวเข้าอารามด้วยฝีเท้าแช่มช้อย ทั้งตัวเปี่ยมไปด้วยความสุภาพกิริยาท่าทางสุขุมสำรวม จึงสามารถเดินเข้ามาร่วมเขตอารามเดียวกับฮูหยินซ่งได้อย่างราบรื่น

    ควันธูปลอยม้วนอ้อยอิ่ง เฉินหนัวอิงเดินมาถึงธรณีประตูก็เห็นเงาหลังสง่างามของผู้หญิงคนหนึ่ง สิบนิ้วพนมดวงตาหลับพริ้มปากพร่ำคำอธิษฐาน จึงสืบเท้าขึ้นหน้าด้วยฝีเท้าเบาหวิว ไม่นานก็มานั่งอยู่ข้างเจี่ยงซื่อพร้อมกับมู่หยางและไข่ไก่

    เจี่ยงซู่ผิงเมื่ออธิษฐานเสร็จก็ยื่นธูปให้สาวใช้นำไปปักในกระถาง จังหวะนั้นเฉินหนัวอิงจึงบีบเสียงเล็กเสียงน้อยประนมมือพูดขึ้น “ข้าแต่พระโพธิสัตว์ วันนี้ผู้แซ่เฉินมีใจนำไข่ไก่มาถวาย แม้มิได้เป็นทรัพย์สินล้ำค่าอะไร แต่พระองค์โปรดเห็นแก่ความจริงใจของข้า ไข่ไก่เหล่านี้ล้วนได้มาจากแม่ไก่อ้วนที่ฉลาดหลักแหลม อีกทั้งยังถูกเลี้ยงมาด้วยมือของผู้ทรงศีล ก็คือสามีของข้า แม้จะอดอยากแร้นแค้นอย่างไรก็ไม่เคยหักใจเชือดไก่ล้มวัว เพราะเห็นว่าเป็นการเบียดเบียนสรรพชีวิต ฉะนั้น ไข่ไก่เหล่านี้ล้วนบริสุทธิ์อย่างมาก คุณสมบัติก็ดีเยี่ยมเปี่ยมไปด้วยแร่ธาตุอาหาร เช่นนี้แล้ว ขอพระองค์โปรดรับไว้และประทานพร”

    เฉินหนัวอิงโน้มตัวก้มกราบรูปปั้นในอารามสามโค้ง ถึงได้ลุกขึ้นมาสบตามู่หยาง ส่งสัญญาณให้เขา

    มู่หยางนำตระกร้าสานที่บรรจุไข่ไก่ยี่สิบสี่ฟองยกขึ้นถวายเบื้องหน้ารูปปั้นพระโพธิสัตว์ เฉินหนัวอิงมองตามไปด้วยสีหน้าเปล่งประกายด้วยความหวังและแรงศรัทธาจนสุดสายตา กระทั่งไม่รู้ตัวว่ามีสายตาอีกคู่หนึ่งจ้องตนเองอยู่

    เจี่ยงซู่ผิงยืดและหดแขน ชั่งใจอยู่นานว่าจะยื่นแขนออกไปดีหรือไม่ คิดไม่ถึงว่าจังหวะนั้นเฉินหนัวอิงจะหันหน้ากลับมาสบตานางเข้าพอดี

    เฉินหนัวอิงขมวดคิ้วมองผู้หญิงที่ทำตัวเก้ๆ กังๆ มีพิรุธด้วยสายตาฉงน

    เจี่ยงซื่อมิได้รีบสำรวมกิริยา ด้วยเห็นว่าตนเองแฝงกายมาในคราบสามัญชน เมื่อสบจังหวะเข้าพอดีจึงถือโอกาสป้องปากถาม “ไข่ไก่พวกนี้เป็นอย่างที่เจ้าว่าจริงหรือไม่? สามีของเจ้าที่เลี้ยงแม่ไก่มาไม่เคยฆ่าสัตว์เบียดเบียนสรรพชีวิตเลยจริงๆ ?”

    เฉินหนัวอิงยิ้มรับ แสร้งทำเป็นไม่รู้ฐานะที่แท้จริงของเจื่ยงซื่อ ทำตัวราวกับว่าเห็นนางเป็นชาวบ้านในละแวกใกล้เคียงที่ไม่รู้จักคนหนึ่ง วันนี้บังเอิญได้พบเข้าบนเส้นทางแสวงบุญ พยักหน้าอย่างโดยไม่คิดอะไรมาก

    “ทำไมจะไม่จริง สามีข้าแต่ไหนแต่ไรมาก็ไม่เคยล้มวัวฆ่าไก่ ปกติที่ทำก็มีแต่ปลูกผักบนที่ดินศักดินากับเก็บไข่ไก่จากไก่อ้วนที่บ้านออกขาย จะให้พูดก็พูดเถอะ ทุกวันนี้ข้ายังต้องกินข้าวต้มไม่ใส่เนื้อที่มีน้ำมากกว่าข้าวอยู่เลย”

    ฮูหยินซ่งได้ยินดังนั้นก็ยกมือทาบอก “เช่นนั้นไข่ไก่ที่พวกเจ้านำขึ้นถวายย่อมบริสุทธิ์จริงๆ เลี้ยงจากคนที่ไม่เคยฆ่าสัตว์ตัดชีวิตไม่พอ แม้แต่กินก็ไม่กิน ช่างเป็นต้นแบบบุคคลผู้ทรงศีล”

    “ว่าแต่ไก่อ้วนฉลาดหลักแหลมที่ว่านี่ พวกมันฉลาดหลักแหลมอย่างไรหรือ?” เจี่ยงซู่ผิงเอ่ยถามตาโต

    เฉินหนัวอิงถอนหายใจเฮือกใหญ่ เอนหลังเล็กน้อย ชี้มือชี้ไม้เล่า “ก็สามีข้าน่ะซี่ ไม่ฆ่าไม่แกงไก่อ้วนไม่พอ ยังไม่เคยกักขังมันในเล้า เช้ามาก็ปล่อยให้มันเดินเล่นไปมาได้อย่างอิสระ เติบโตท่ามกลางดินฟ้า แต่ถึงอย่างนั้น บ้านข้าเลี้ยงไก่อ้วนไว้สิบสองตัว ตั้งแต่ต้นปีถึงสิ้นปี ก็ยังคงมีสิบสองตัวเท่าเดิม สามีบอกข้าว่ามันรักดียิ่ง ตอนกลางวันไม่รู้ไปเดินเตร็ดเตร่ที่ไหน แต่ปลายยามซวีก็เดินกลับเข้าเล้าได้ครบสิบสองตัวไม่ขาดไม่เกิน แสดงว่ามีทักษะการเอาตัวรอด แต่ข้าว่าพวกมันน่าจะเหมาะกับคำนิยามประเภท ‘ฉลาดหลักแหลม’อะไรทำนองนี้มากกว่า” เฉินหนัวอิงคุยอย่างออกรส โบกไม้โบกมือ พูดสำทับอีกประโยค

    “ย่อมไม่ผิดแน่ สามีข้ายังจำหน้าพวกมันกระทั่งแยกแยะออกว่าตัวไหนเป็นตัวไหนอีกด้วย น่าอัศจรรย์ใจยิ่ง”

    ฟังประโยคนี้จบ ปฏิกิริยาของเจี่ยงซู่ผิงยิ่งรุนแรงกว่าเดิม โผเข้ามาจับมือเฉินหนัวอิงไว้แน่นด้วยดวงตาเป็นประกาย

    “ไข่ไก่พวกนี้ของเจ้ายังมีอยู่อีกหรือไม่? เช่นนี้เป็นอย่างไร ถ้ายังมีเหลือ มิสู้พวกเจ้าขายไข่ไก่เหล่านี้ให้ข้า”

    เฉินหนัวอิงขมวดคิ้วเล็กน้อย ทำสีหน้าหนักใจ “เกรงว่าคงไม่ได้ ไก่อ้วนบ้านข้ามีสิบสองตัว เบ่งไข่ออกมาตัวละสองฟองรวมกันได้ยี่สิบสีฟอง ทั้งหมดข้าล้วนนำมาเป็นเครื่องสักการะพระโพธิสัตว์จนหมดแล้ว จะเหลือขายได้อย่างไร”

    “เช่นนั้นก็ของวันพรุ่งนี้ ขายให้ข้า” เจี่ยงซู่ผิงไม่ยอมแพ้

    “ไม่ได้อีกเช่นกัน ข้ากับสามีแต่งงานกันมานาน เพราะเมื่อก่อนพวกเราอยู่ในสภาพยากจนแร้นแค้นทำให้ไม่กล้ามีลูก ฤดูหนาวปีนี้วางแผนจะให้กำเนิดบุตรธิดาแล้ว ตั้งใจว่าจะนำไข่ไก่เหล่านี้มาอธิษฐานต่อหน้าพระโพธิสัตว์ทุกวัน วิงวอนให้พระองค์มอบบุตรธิดาที่น่ารักฉลาดหลักแหลมให้แก่ข้า ขายให้ไม่ได้จริงๆ ” เฉินหนัวอิงว่าพลางกระเถิบกายออกห่างเจี่ยงซื่อ

    เจี่ยงซู่ผิงขมวดคิ้วเล็กน้อย จากนั้นระบายยิ้มหวาน พูดด้วยน้ำเสียงวิงวอน “ของสักการะพระโพธิสัตว์เป็นอย่างอื่นมิได้หรือ? ข้าต้องการไข่ไก่พวกนี้จริงๆ หยิบยื่นความจริงใจแก่รูปปั้นที่ไม่มีชีวิต มิสู้หยิบยื่นน้ำใจให้เพื่อนมนุษย์จะยังดีซะกว่า อย่างไรก็ถือว่าเป็นการเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ พระโพธิสัตว์คงจะเห็นความตั้งใจเช่นกัน”

    เฉินหนัวอิงผุดสีหน้าลำบากใจ เงียบไปครู่หนึ่ง ถึงเอ่ย “ไม่ได้ ไม่ได้ บ้านข้าฤดูหนาวนี้ นอกจากไข่ไก่ที่ปกตินำออกขายก็ไม่มีรายได้อย่างอื่น คราวนี้ตัดสินใจนำมาน้อมสักการะพระโพธิสัตว์ หากขายให้เจ้าก็ไม่มีของนำขึ้นถวาย ซ้ำเงินที่สะสมไว้ก็นำไปซื้อของมากักตุนให้พอเลี้ยงปากท้องช่วงหน้าหนาวหมดแล้ว ไม่มีเงินไปซื้ออย่างอื่น อีกอย่างถ้าขายให้เจ้าในตอนนี้ในราคาตลาดก็ไม่ได้ เพราะข้าวของอย่างอื่นผ่านช่วงป๋ายลู่ไปก็ขึ้นราคากันหมด ต่อให้ได้เงินมาแล้วยังจะนำเงินไปซื้ออะไรมาเป็นเครื่องสักการะพระโพธิสัตว์ได้ เสียทั้งความตั้งใจเสียทั้งแผนการจับจ่ายใช้สอย แล้วนี่จะได้อย่างไร? ขายให้ไม่ได้เด็ดขาด”

    เฉินหนัวอิงเริ่มร้องโวยวาย

    เจี่ยงซู่ผิงเดิมเป็นคุณหนูตระกูลใหญ่ แน่นอนว่าย่อมไม่เข้าใจความลำบากของสตรีสามัญชน แต่พอฟังมากเข้า รู้สึกว่ามีอารมณ์ร่วม อดไม่ได้ที่จะรู้สึกสะเทือนใจ นิ่งชะงักสงบอารมณ์ไปพักหนึ่ง คิดไม่ถึงว่าความสะเทือนใจจะแผ่ซ่านมาถึงดวงตา ทำให้โพรงจมูกนางแสบฉุน ขอบตาร้อนผ่าว หากอายุน้อยกว่านี้สักปีสองปีคงจะเบะปากร้องไห้

    เป็นแม่นมที่อยู่ด้านหลังเห็นปฏิกิริยาของนาง เริ่มทนไม่ไหว จึงโพล่งออกมา “เจ้ารู้หรือไม่ว่าสตรีสูงศักดิ์ที่เจ้าพูดด้วยเป็นใคร นางเป็นถึงภรรยาเอกจวนอันติ้งโหว หรือยังคิดว่าพวกข้าไม่มีเงินซื้อ ราคาตลาดไข่ไก่สองใบหนึ่งอีแปะ ผ่านช่วงป๋ายลู่ไปแล้วแม้ข้าวของจะราคาขึ้น แต่พวกเราสามารถซื้อในราคาสูงกว่าตลาดได้”

    เจี่ยงซู่ผิงเมื่อได้ยินประโยคดังกล่าวก็รู้สึกเหมือนความหวังที่ดับมอดถูกจุดประกายขึ้นมาใหม่อีกครั้ง กัดริมฝีปากแล้วพยักหน้าอย่างต่อเนื่อง

    เฉินหนัวอิงถอนหายใจเล็กน้อย “แต่พวกข้าไม่ใช่คนที่จะขายของเกินราคา ถึงพวกข้าจะจนแต่ก็มีมโนธรรมในจิตใจ ท่านป้าดูถูกว่าพวกข้าเห็นแก่เงินดีถึงขายไข่ไก่เช่นนี้ ไม่คิดว่าเกินไปหน่อยหรือ? พวกข้าอาศัยอยู่กับวัวกับไก่สองสามีภรรยา แม้แต่ข้าวต้มที่มีน้ำมากกว่าข้าวยังอดทนกินกันได้ หรือยังต้องเห็นแก่เงินของพวกเจ้า”

    จากนั้นหันหน้ากลับมาทางเจี่ยงซื่อ “ฮูหยิน แต่เดิมได้พบท่านบนเส้นทางแสวงบุญยังคิดว่าจะได้เจอสหายที่สามารถพูดคุยกันได้อย่างออกรส แต่เห็นท่านป้าผู้นี้ของท่านดูถูกพวกเราแบบนี้ ข้าก็ปวดใจจนสุดปัญญา เพราะฉะนั้นเรื่องไข่ไก่บ้านข้า ท่านก็ลืมไปเสียเถอะ ถือว่าวันนี้ข้าไม่ได้พูด”

    เจี่ยงซู่ผิงเริ่มลนลาน หันหน้าไปเอ็ดแม่นมอยู่ครู่หนึ่ง ค่อยโอบสองมือมาประคองมือเฉินหนัวอิงเอาไว้ พูดเสียงเครือ “ไม่ใช่ไม่ใช่ นางไม่ได้มีเจตนาดูถูกพวกเจ้า นางเป็นแม่นมของข้าเลี้ยงข้ามาตั้งแต่เล็ก เห็นข้าเจอปัญหาย่อมช่วยหาทางแก้ไขสุดความสามารถ เมื่อครู่นางก็แค่เลอะเลือนไปชั่วขณะถึงได้พูดเช่นนั้นออกมา ข้าจะดูถูกพวกเจ้าได้อย่างไร หากเป็นเช่นนั้นคงไม่มานั่งคุยกันอยู่ตรงนี้หรอกจริงไหม? หืม?” ฮูหยินซ่งเลิกคิ้วมองเฉินหนัวอิงด้วยสีหน้าวาดหวัง

    “เจ้าดูข้า ข้าเพิ่งคลอดเจ้าก้อนแป้งตัวน้อยๆ ออกมาให้สามี เดิมทีข้าก็นับถือในพระโพธิสัตว์อย่างยิ่ง ซ้ำก่อนหน้านี้ยังเคยอธิษฐานขอบุตรธิดาจากพระองค์ เดิมข้าร่างกายอ่อนแอ กว่าจะมีลูกได้คนหนึ่งไม่ใช่เรื่องง่าย ตั้งใจว่าจะฟูมฟักเลี้ยงดูเขาให้ดีที่สุด ติดแค่ว่าตอนข้าอธิษฐาน ได้บอกแก่เทพเทวัญว่าหากคลอดเขาออกมาได้อย่างปลอดภัยจะถือศีลกินเจชั่วชีวิต แต่พอปรึกษาหมอในเมืองหลวงดูแล้วกลับพบว่าไม่ได้ น้ำนมมารดาอุดมไปด้วยสารอาหารที่จำเป็นต่อการเติบโตของทารก จะสามารถกินแต่ผักแต่ไม้ได้อย่างไร แต่เดิมข้าสิ้นไร้หนทางอย่างยิ่งจนต้องเดินทางมาสงบใจถึงเผิงเฉิง วันนี้โชคดีได้พบพวกเจ้า ถึงได้รู้ว่าข้าเจอทางรอดแล้ว” เจี่ยงซู่ผิงยิ้มทั้งน้ำตา น้ำเสียงยิ่งมายิ่งสั่นสะท้านด้วยความตื้นตันเต็มอก

    แม้จะมีการกินมังสวิรัติบางประเภทที่ทำให้ร่างกายได้สารอาหารครบถ้วน แต่ในอดีตปริมาณสารอาหารไหนเลยจะสามารถคำนวณได้อย่างแม่นยำ หรือต่อให้ทำได้ เจี่ยงซู่ผิงนางมีฐานะเป็นถึงฮูหยินใหญ่ของจวน ลูกชายที่เกิดจากนางก็เป็นซื่อจื่อ[6]โดยกำเนิด เป็นอนาคตและความคาดหวังที่จะสืบทอดตำแหน่งโหวต่อจากบิดา การเลี้ยงดูช่วงแรกคลอดสำคัญมาก มีผลกระทบต่อพัฒนาการและการเติบโตของเด็กไปชั่วชีวิต พวกเขามีหรือจะยอมให้เจี่ยงซื่อเอาชีวิตลูกชายไปเสี่ยง อีกทั้งคำว่า ‘กินเจ’ ยังมีความหมายที่สองแปลว่าคนโง่ ตามเคล็ดความเชื่อของตระกูลที่หยั่งรากในเมืองหลวงมานาน ยังจะหักใจให้นางทำตามคำบนบานศาลกล่าวได้อย่างไร สุดท้ายแม้ต้องผิดต่อสวรรค์ก็คงต้องฝืนใจกระทำแล้ว

    เฉินหนัวอิงพอคาดเดาได้คร่าวๆ แล้ว เจี่ยงซู่ผิงคงถูกกดดันจากครอบครัวให้อยู่ในสภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออก เลือกไม่ทำตามสัจจะวาจาที่ให้ไว้แก่ทวยเทพก็หวั่นจะเกิดผลกระทบที่มองไม่เห็นแก่บุตร แต่หากเลือกทำตามสัจจะวาจากลับเกิดผลกระทบแก่บุตรโดยตรง หากเลือกกันตามหลักเหตุและผลย่อมเลือกตามข้อสอง ทว่าถึงอย่างไร นางก็ยังหนีความรู้สึกผิดในใจไม่พ้น เห็นไข่ไก่ใบหนึ่ง ถึงกับรู้สึกค้นพบทางรอดขึ้นมา เพราะอย่างน้อยการถือศีลกินเจในบางตำราก็อนุญาตละเว้นให้กินไข่ไก่ได้เป็นกรณีพิเศษ ซ้ำภายหลังนางยังได้รู้ว่าไข่ไก่ใบนี้ช่างบริสุทธิ์ยิ่งกว่าอะไรในโลกทั้งวิธีการเลี้ยงดูไก่และจิตใจของผู้เลี้ยง

    ถึงเป็นสาเหตุให้นางเกิดปฏิกิริยารุนแรงเช่นนี้

    เห็นเฉินหนัวอิงนิ่งไปครู่หนึ่ง เจี่ยงซื่อถึงกับคิดว่านางคล้อยตามแล้ว พูดรวบหัวรวบหาง “เอาแบบนี้ดีหรือไม่? ไข่ไก่พวกนี้ในวันต่อๆ ไป พวกเจ้าก็เอามาขายให้ข้า ส่วนเรื่องราคาก็คิดเป็นรอบๆ ข้าอยู่เมืองเผิงเฉิงประมาณสองเดือน ช่วงลี่ตง[7]ถึงจะกลับเมืองหลวง สิบวันแลกกับหนึ่งตำลึงเงิน ข้าอยู่หกสิบวันรวมกันทั้งหมดมีหกรอบได้หกตำลึงเงิน จากคนที่เคยมีประสบการณ์มาก่อน ข้าจะบอกให้ การมีบุตรธิดาไม่ใช่แค่ขอพรจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์อย่างเดียว ทั้งยังต้องบำรุงร่างกายให้ดี เงินจำนวนนี้เจ้าไม่เพียงสามารถเอาไปซื้อของมาสักการะพระโพธิสัตว์ ยังสามารถนำไปซื้อสมุนไพรบำรุงร่างกายได้อีกด้วย”

    จบประโยค เฉินหนัวอิงยังพอรักษากิริยา แต่แม่นมด้านหลังถึงกับตกตะลึงตาค้าง!

    ไข่ไก่สองฟองตามท้องตลาดขายแค่หนึ่งอีแปะ แต่นี่คุณหนูของนางถึงกับให้ราคาหนึ่งตำลึงเงิน!

    เฉินหนัวอิงไหนเลยคำนวณหยาบเช่นนาง พอได้ยินประโยคดังกล่าวก็ขบคิดเร็วรี่ หนึ่งวันมีไข่ไก่ 24 ฟอง สิบวัน 240 ฟอง 240 ฟองขายได้ 1 ตำลึงเงิน 1 ตำลึงเงินเท่ากับ 1,000 อีแปะ แสดงว่า 240 ฟองขายได้ 1,000 อีแปะ หารเฉลี่ยต่อหนึ่งฟองจะขายไข่ไก่ได้เงิน 4 อีแปะกว่าๆ เมื่อเทียบกับไข่ไก่ที่ขายให้แก่โรงเตี๊ยมเซิ่งฝูตกราคาฟองละ 0.4 อีแปะ หรือต่อให้นำไปขายในท้องตลาดราคาก็เพิ่มขึ้นมาเป็นฟองละ 0.5 อีแปะแทบไม่มีความแตกต่าง

    แต่สิ่งที่พวกนางกำลังจะได้ในวันนี้คือ ราคาเสนอซื้อไข่ไก่ในจำนวนเงินสูงถึง 4 อีแปะ!

    หากเทียบในอดีตและปัจจุบัน ไข่ไก่หนึ่งฟองเพิ่มจากราคาฟองละ 0.4 อีแปะมาเป็น 4 อีแปะ!

    นั่นหมายถึง ราคาเพิ่มขึ้นมา 10 เท่า หรือ 1000% ภายในชั่วพริบตา!

    เล่นหุ้นยังไม่แน่ว่าจะโกยเงินได้เป็นกอบเป็นกำเท่านี้!

    ขาย!

    เฉินหนัวอิงพยักหน้าตกลงกับตัวเองในใจสุดแรง แต่สีหน้าที่สะท้อนออกมากลับคล้ายกับคนกำลังชั่งใจอย่างแสนสาหัส สุดท้ายแววตาเฉินหนัวอิงก็ทอแสงอ่อนลง เต็มไปด้วยความเข้าอกเข้าใจ ยกมือซ้ายขึ้นมาลูบหลังมือเจี่ยงซื่อเบาๆ พรูลมหายใจยาวอย่างอดเสียไม่ได้

    “เห็นแก่ความจริงใจของฮูหยินซ่ง ข้าจะขายให้ก็ได้”

     


     


    [1] หมายถึงคนประเภทตื่นเช้าหรือมาเช้าเสมอในการนัดหมายหนึ่งๆ

    [2] ช่วงระยะเวลาประมาณ 10 - 15 นาที

    [3] บรรดาศักดิ์ขุนนางจีนโบราณ แบ่งเป็น 6 ขั้น เรียงตามลำดับจากสูงไปต่ำได้แก่ หวัง กง โหว ปั๋ว จื่อ หนาน

    [4] เมเปิล (Maple) พืชในสกุล Acer เป็นไม้พุ่ม ลักษณะใบแหลมเป็นแฉก ลักษณะแฉกมีหลายรูปแบบตามแต่ละสายพันธุ์

    [5] หญ้าหางม้า (Horsetail) พืชชนิดหนึ่งในตระกูลเฟิร์น ลักษณะคล้ายหางม้า

    [6] ตำแหน่งผู้สืบทอด ยกตัวอย่างเช่น หากบิดาเป็นอ๋อง บุตรที่เกิดมาจะเป็นซื่อจื่อรอรับตำแหน่งอ๋องต่อจากบิดา หรือหากเป็นในบริบทนี้บิดาเป็นโหว ซื่อจื่อที่บิดาเป็นโหวก็หมายถึงบุตรที่จะรับตำแหน่งโหวต่อจากบิดา

    [7] วันแรกของการเริ่มต้นฤดูหนาว เริ่มประมาณวันที่ 7 หรือ 8 พฤศจิกายนเป็นต้นไป

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×