ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ต้าเจี่ยจะเป็นเศรษฐีนีอันดับหนึ่ง

    ลำดับตอนที่ #5 : 5 ความผิดปกติของอาหารในโรงเตี๊ยม

    • อัปเดตล่าสุด 15 ก.ค. 64


     

    แม้กระทั่งตอนกลับมาถึงบ้านแล้วยังหุบยิ้มไม่ได้ เฉินหนัวอิงรู้สึกว่าตัวเองกำลังย้อนวัยไปเป็นสาวน้อยอายุสิบห้าจริงๆ

    ตอนเท้าก้าวเข้าบ้านก็เป็นต้นยามโหย่ว[1]แล้ว มู่หยางบอกว่าไก่อ้วนที่บ้านปกติจะเดินแถวตรงกลับเข้าเล้าช่วงปลายยามซวี[2] แต่เพราะวันนี้นายหญิงของบ้านอยากพบ เขาจะถือโอกาสแสดงอำนาจบาตรใหญ่ในฐานะประมุขบ้านเรียกพวกมันกลับเข้ามาเร็วกว่ากำหนด

    มู่หยางไม่พูดเปล่า เขาก้าวอาดๆ ไปยืนอยู่หน้าบ้านจากนั้นผิวปากส่งสัญญาณสิบสองครั้ง รอไม่ถึงหนึ่งก้านธูป[3] ไก่อ้วนก็เดินกลับเข้าเล้าอย่างที่เขาว่าจริงๆ แต่ก่อนจะเดินเลี้ยวขวาอย่างว่าง่ายเหมือนนัดกันมา มู่หยางก็เท้าสะเอวพูดขึ้น

    “อย่าเพิ่งเดินเข้าเล้า เรียกพวกเจ้ามาก็เพราะนายหญิงอยากพบหน้า เพราะฉะนั้นไปที่โถงหลักของบ้านคารวะฮูหยินก่อน”

    เฉินหนัวอิงถึงกับกลั้นหัวเราะไม่อยู่ ขำออกเสียงจนตัวงอ มือหนึ่งกุมท้องแล้วเงยหน้ามองมู่หยางที่หันกลับมา

    ใครจะไปคิดว่าช่วงตะวันชิงพลบจะเข้ากันได้ดีกับความงามอันล่อลวงของเขาได้ขนาดนี้ แสงสุกใสของสนธยากวาดผ่านห้าขุนเขาต้องร่างบุรุษอย่างเงียบงัน ทั้งโลกราวกับถูกอาบย้อมด้วยความอบอุ่นชั้นหนึ่ง หยุดมองไม่ได้แม้ชั่วอึดใจ

    แต่ก็มีเสียงไก่ที่ไหนไม่รู้มาปลุกเฉินหนัวอิงตื่นจากภวังค์ ทำเอาเธอนึกโกรธจนอยากจับพวกมันมาเชือดเป็นมื้อเย็นซะให้รู้แล้วรู้รอด!

    แต่เพราะไก่อ้วนเป็นของรักของมู่หยาง เธอไม่อยากเห็นเขาเสียใจ จึงต้องยับยั้งชั่งใจไม่ให้ลงมือ!

    แต่จะไม่สั่งสอนก็ไม่ได้ เฉินหนัวอิงเลยจ้องกลับไปทางไก่อ้วนด้วยสายตาคุกคาม

    มู่หยางเป็นของฉัน ไม่ใช่ของพวกแก จำไว้!

    เพราะฉะนั้นขัดขวางไปก็ไม่มีประโยชน์!

    เฉินหนัวอิงพูดกับพวกมันโดยไร้เสียง

    ทว่าในชั่วพริบตา เมื่อเผชิญสายตาของมู่หยางที่มองมาก็หันไปโปรยยิ้มอย่างอ่อนหวาน

    “นี่เป็นไก่อ้วนทั้งหมดในเล้าบ้านเรา ข้าจะแนะนำให้ต้าเจี่ยรู้จัก นี่คือเจ้าหนึ่ง, เจ้าสอง, เจ้าสาม,…, เจ้าสิบสอง” มู่หยางพูดพลางกวาดมือไปมาด้วยสายตาภาคภูมิใจ

    เคยได้ยินว่าถ้าเลี้ยงสัตว์แล้วเผลอตั้งชื่อ จะผูกพันกับพวกมันโดยไม่รู้ตัว เห็นแบบนี้แล้ว เฉินหนัวอิงไม่แปลกใจเลยว่าทำไมเขาถึงหักใจฆ่าแกงไก่อ้วนพวกนี้ไม่ลง แม้เธอไม่ใช่คนรักสัตว์ แต่กลับอดรู้สึกสะเทือนใจขึ้นมาไม่ได้ มองไก่ทีหนึ่ง มองหน้ามู่หยางทีหนึ่ง สุดท้ายก็หันไปพูดกับเขา “ตั้งชื่อให้พวกมันแบบนี้แล้วเจ้าแยกได้จริงๆ หรือว่าตัวไหนชื่ออะไร”

    ในสายตาเธอไก่ตัวไหนก็หน้าเหมือนกันหมด เพราะฉะนั้น แน่นอน ประโยคเมื่อครู่เฉินหนัวอิงพูดออกไปเพื่อลดความสะเทือนใจของตนเอง

    แต่กลับไม่คิดว่ามู่หยางจะพยักหน้า “ข้าตั้งชื่อให้พวกมันทั้งที ทำไมจะจำไม่ได้”

    เห็นความมั่นใจของเขาแล้วเฉินหนัวอิงเกิดความรู้สึกท้าทายอยากเอาชนะรูปแบบหนึ่งขึ้นมา เผลอฟาดมือเข้ากับโต๊ะไม้ฉาดใหญ่จนปลายนิ้วชาดิก จริงอยู่ที่เธอรู้สึกเจ็บ แต่วินาทีนั้นเป็นศึกแห่งศักดิ์ศรีจึงต้องกล้ำกลืนสีหน้ารวดร้าวเอาไว้ กระตุกยิ้มที่มุมปากแล้วพูดกับเขา “ดียิ่ง เช่นนั้นพวกเรามาทดสอบกัน ถ้าแพ้ครั้งหนึ่ง ฆ่าไก่ตัวหนึ่ง!”

    มู่หยางตกใจจนหน้าซีด แต่เขาตอนนั้นราวกับถูกผีพนันเข้าสิง มองเห็นประกายตาที่เหี้ยมหาญปานประหนึ่งมีเปลวไฟลุกโชนในดวงตาของภรรยาก็ตอบตกลงทันที

    เฉินหนัวอิงให้เขาพูดลำดับไก่อ้วนทั้งสิบสองตัวใหม่ หมายหัวไก่ผู้โชคร้ายตัวหนึ่งไว้แม่น ดึงเศษฟางจากข้างผนังมาเส้นหนึ่ง สั่งให้เขาปิดตาหันหลัง จากนั้นจับไก่ที่ชื่อเจ้าเจ็ดมาตัวหนึ่ง มัดเศษฟางไว้กับขาของมัน

    ผ่านไปไม่นาน เฉินหนัวอิงก็ตะลุมบอนจนไก่อ้วนวิ่งวุ่นเหมือนทัพแตกพ่ายไม่เป็นกระบวน เมื่อเห็นว่าผลลัพธ์ที่ออกมาเป็นที่พึงพอใจแล้วก็ถอยหลังก้าวหนึ่ง “มู่มู่หันกลับมาได้แล้ว”

    พอเขาหันกลับมา เฉินหนัวอิงก็ชี้ไปที่ไก่ตัวหนึ่ง “ตัวที่มัดเศษฟางไว้ที่ขาชื่อว่าอะ---“

    “เจ้าเจ็ด” ถามยังไม่ทันจบ มู่หยางก็โพล่งออกมาด้วยน้ำเสียงหนักแน่น ขนาดดวงตายังไม่มีเค้ารอยความลังเล

    เฉินหนัวอิงตะลึงวูบ ปากพึมพำ “เป็นไปไม่ได้” อยู่สามครั้ง อดไม่ได้ยกมือทาบอกอย่างอัศจรรย์ใจ

    แต่เฉินหนัวอิงไม่ยอมแพ้ เริ่มต้นกระบวนการเดิมใหม่ เปลี่ยนไปมัดขาไก่อีกตัว

    มู่หยางหันขวับกลับมา “เจ้าเก้า” ตอบโดยที่เธอยังไม่ทันถาม

    “เจ้าแปด”

    “เจ้าสิบสอง”

    “เจ้าสาม”

    .

    .

    .

    และเจ้าอื่นๆ ดังออกมาจากริมฝีปากอย่างต่อเนื่อง กระทั่งหนึ่งครึ่งชั่วยาม[4]ผ่านไป เฉินหนัวอิงอ่อนใจจนยอมชูธงขาวศิโรราบแก่เขาแต่โดยดี “แพ้แล้ว แพ้แล้ว มู่หยางอย่ารังแกต้าเจี่ยจนเกินไป ไม่ฆ่าก็ไม่ฆ่า”

    เฉินหนัวอิงยกมือขึ้นเหนือไหล่ พูดด้วยอาการเหนื่อยหอบเล็กน้อย “เชื่อแล้วว่ามู่มู่ของข้าจำพวกมันได้ทุกตัว”

    และคงไม่ต้องบอกว่าพวกมันจำมู่หยางได้หรือไม่

    เธออ่านสายตาพวกมันออก

    มองเธอมาด้วยสายตาแทบฆ่าฟัน แต่ทีกับมู่หยางกลับเปลี่ยนเป็นอ่อนหวานออเซาะ

    น่าหมั่นไส้จริงๆ !

    ไม่กินก็ไม่กิน!

    เฉินหนัวอิงสะบัดหน้าไปอีกทาง

    มู่หยางกลัวภรรยาหน้ามืดขึ้นมากะทันหันจนจับไก่อ้วนในเล้าเชือดทำน้ำแกงเป็นอาหารเย็น จึงฉวยโอกาสตอนที่นางยังมีสติยับยั้งชั่งใจลำเลียงไก่เข้าเล้า พอเขากลับมาอีกที นึกว่าเฉินหนัวอิงจะคุกคามไก่อ้วนของเขาด้วยวิธีแปลกๆ อีก แต่กระนั้นกลับต้องประหลาดใจ เมื่อนางไม่สนใจไก่อ้วนสิบสองตัวอีกเลยแม้แต่นิดเดียว เดินไปเดินมาแล้วเอ่ยถามขึ้นด้วยน้ำเสียงฉงน “ว่าแต่มู่มู่ ไข่ไก่พวกนี้ จำได้ว่าเจ้าเคยบอกว่าเอาไปขายโรงเตี๊ยมในราคาเหมา เจ้าเอาไปขายที่โรงเตี๊ยมไหนหรือ?”

    “โรงเตี๊ยมเซิ่งฝู ข้าเอาไปขายให้โรงเตี๊ยมเซิ่งฝู” ดีแล้วที่นางไม่มีดำริจะเอาไก่อ้วนมาทำน้ำแกงเป็นอาหารมื้อเย็น เมื่อเห็นนางไม่เอ่ยถึง มู่หยางก็รีบตอบเบี่ยงประเด็น โพล่งตอบขึ้นมาแบบไม่คิด ตอบเสร็จก็จ้ำพรวดๆ มานั่งที่โต๊ะเท้าคางมองนาง

    “โรงเตี๊ยมตั้งใหญ่ กลับยอมรับไข่ไก่จาก Supplier[5] ที่มีสินค้าส่งแค่วันละ 24 ฟอง?” เฉินหนัวอิงพูดขึ้นแบบไม่มีหัวไม่ท้าย ขมวดคิ้วฉับโดยไม่รู้ตัว  

    แน่นอนว่ามู่หยางไม่เข้าใจว่า Supplier คืออะไร แต่เข้าใจว่า 24 ฟองคืออะไร จึงพอจับประเด็นได้ ดังนั้นโบกไม้โบกมือพูดขึ้น “เมื่อก่อนไม่ได้ส่งโรงเตี๊ยมเซิ่งฝู แต่ส่งโรงเตี๊ยมอื่น ข้าเพิ่งเปลี่ยนมาส่งที่นี่เมื่อหกเดือนก่อน”

    เฉินหนัวอิงเหมือนเพิ่งปะติดปะต่อเรื่องอะไรขึ้นมาได้ ในหัวฉายภาพอาหารที่จ้าวหว่านหรูทำตกตอนกลางวันสลับกับภาพไก่อ้วนที่บ้าน ตบเข่าดังฉาด เธอรู้อยู่แล้วว่าไก่อ้วนที่มารยาร้อยเล่มเกวียนแบบนี้ต้องเป็นไก่ที่ทรงคุณค่า!

    และเธอค่อนข้างแน่ใจว่าตัวเองไม่ได้คิดผิด

    แปลกเกินไป โรงเตี๊ยมเซิ่งฝูหากเทียบในยุคเธอก็เหมือนโรงแรมห้าดาวที่มีแขกเข้าพักวันละเป็นพันๆ คน ถ้าเธอเป็นผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อของโรงแรม แน่นอนว่าเรื่องวัตถุดิบในการทำอาหารย่อมต้องสั่งเหมาเป็นจำนวนมากจากแหล่งผลิตคุณภาพสูงที่เชื่อถือได้ ตามตรรกะของคนทั่วไปแล้วใครมันจะมานั่งสั่งทีละชิ้นสองชิ้นจากผู้ผลิตรายย่อยที่จำนวนการผลิตต่อวันรับประกันความแน่นอนไม่ได้ ขืนทำแบบนั้นก็มีแต่จะนำความยุ่งยากและเสียเวลามาให้ไม่รู้จบ

    ยกเว้นมีเหตุผลอื่น

    ถ้าลองทำการประมาณแบบหยาบๆ จำนวนครัวเรือนในเมืองเผิงเฉิงและสิบหมู่บ้านใกล้เคียง สมมติว่าเฉลี่ยมีทั้งหมด หนึ่งพันครัวเรือนต่อหนึ่งหมู่บ้าน แต่ละครัวเรือนมีสมาชิกห้าคน หนึ่งหมู่บ้านก็มีประชากรประมาณห้าพัน สิบหมู่บ้านห้าหมื่น รวมกับคนจากเมืองเผิงเฉิงทั้งที่ตั้งรกรากและสัญจรผ่านไปมาตีว่าเป็นสองเท่าก็ได้จำนวนความหนาแน่นของประชากรทั้งหมดหกหมื่น

    ในจำนวนหกหมื่นคนนี้ หากคิดแบบ Conservative[6] คนที่มีความสามารถในการจับจ่ายใช้สอยพอที่จะเป็นกลุ่มลูกค้าที่มีศักยภาพของโรงเตี๊ยมเซิ่งฝูอาจมีประมาณ 0.5% เพราะฉะนั้นโรงเตี๊ยมเซิ่งฝูก็จะมีลูกค้าถึง 300 คนต่อวัน เทียบกับการประกอบอาหารจานหนึ่งในโรงเตี๊ยมระดับสูง ถ้าเป็นเมนูที่ต้องใช้ไข่ไก่สดเป็นส่วนประกอบอาจจะต้องใช้ไข่จำนวน 4-5 ฟอง Capacity[7] ในการนำไข่ออกจำหน่ายของมู่หยางเป็น 24 ฟองต่อวัน เพราะฉะนั้นหากสมมติฐานนี้เป็นไปได้ ใน 24 ฟองนี้ก็จะประกอบอาหารได้ประมาณ 6 จาน สำหรับการจัดใส่ปิ่นโตไม้จันทน์สองชั้นหนึ่งสำรับ หนึ่งปิ่นโตจะประกอบด้วยอาหารขั้นต่ำ 2 อย่าง ถ้าเป็นแบบนี้วันหนึ่งก็มีสินค้าพอขายไม่เกิน 3 ชุดพอดี!

    ช่างเหมาะเจาะอะไรเช่นนี้!

    สำรับไม้จันทน์ที่เธอเห็นในตลาดวันนี้ มองดูเผินๆ ก็รู้แล้วว่าราคาไม่ถูก ยิ่งเป็นโรงเตี๊ยมเซิ่งฝูที่ต้อนรับเฉพาะคนที่พกเงินมาตั้งแต่ห้าร้อยอีแปะขึ้นไป ราคาอาหารขั้นต่ำหนึ่งจานก็คงหลายร้อยอีแปะ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเมนูชูโรงที่เหล่าขุนนางคหบดีต่อแถวแย่งกันซื้อ ดีไม่ดีราคาอาจสูงเฉียดหนึ่งตำลึงเงินหรือมากกว่า ความจริงถ้าไม่เห็นเธอก็คงไม่เฉลียวใจ นึกว่าเป็นเมนูที่ทำจากวัตถุดิบราคาแพงอย่างเช่นหูฉลามหรือเป๋าฮื้ออะไรทำนองนั้น แต่นี่กลับเป็นแค่เมนูพื้นๆ ที่มีไข่เป็นส่วนประกอบหลัก

    ถ้าคำพูดนี้ไม่ได้ออกมาจากปากจ้าวหว่านหรูเธอคงไม่เชื่อ

    แต่คำพูดเหล่านี้ดันมาจากปากของจ้าวหว่านหรู

    กับจ้าวหว่านหรูที่เจออดีตคู่หมั้นของคู่หมั้นปัจจุบัน ด้วยฐานะที่สูงกว่าและอุปนิสัยหยิ่งยโสของคุณหนูตระกูลดีเช่นนางย่อมต้องการกดข่มอีกฝ่ายให้จมดินอยู่แล้ว เรื่องที่นำมาหาเรื่องได้ก็นำมาหาเรื่อง เพราะฉะนั้นเฉินหนัวอิงมั่นใจว่านางไม่ได้โกหก ทำให้เธอมั่นใจว่าไข่ไก่ของมู่หยางกับอาหารชั้นเลิศที่ขายในโรงเตี๊ยมต้องมีความสัมพันธ์บางอย่างที่เชื่อมถึงกันแน่

    แต่ถึงจะมั่นใจอย่างไร เฉินหนัวอิงก็ไม่ยึดถือความเชื่อมั่นที่ยังไม่ได้พิสูจน์นี้เต็มร้อย

    มู่หยางอาจจะส่งไข่ไก่ไปโรงเตี๊ยมเซิ่งฝูก็จริง โรงเตี๊ยมเซิ่งฝูอาจจะเจาะจงใช้ไข่ไก่ของมู่หยางเป็นวัตถุดิบหลักก็จริง แต่ราคาที่เพิ่มขึ้นมาอย่างมหาศาลก็ไม่แน่ว่าจะเป็นเพราะความโดดเด่นของไข่ไก่ อาจมาจากปัจจัยอื่น เช่น ฝีมือการปรุงอาหารของพ่อครัว ประวัติอันยาวนานหรือแม้กระทั่ง loyalty[8] ของผู้บริโภคที่มีต่อโรงเตี๊ยมเซิ่งฝูที่ทำให้ไม่ว่าโรงเตี๊ยมจะเอาอะไรออกมาขายคนก็แห่กันไปหว่านเงินจ่ายอย่างหน้ามืดตามัว ยิ่งเป็นเรื่องเกี่ยวกับอาหารที่ผ่านการแปรรูปจากวัตถุดิบหลัก อาจถือเป็นศิลปะชนิดหนึ่ง คำว่าศิลปะในหมู่ชนชั้นสูงย่อมไม่อาจใช้สายตาและตรรกะอย่างคนทั่วไปมาประเมินค่าได้อยู่แล้ว

    เฉินหนัวอิงเลยคิดอยากพิสูจน์

    แต่แน่นอนว่าเธอไม่มีเงินพอจะไปซื้อมาลองทาน และถึงต่อให้มีเงินพอก็ต้องต่อแถวรอไปอีกไม่รู้กี่เดือน

    ช้าเกินไป!

    โอกาสทางธุรกิจรอไม่ไหว อีกอย่างถ้าจะให้มานั่งใจจดใจจ่อกับความหวังลมๆ แล้งๆ ก็ไม่ใช่วิธีการของเฉินหนัวอิง

    เพราะฉะนั้นถ้าเธออยากยืนยัน ก็ต้องใช้วิธีอื่น

    “มู่หยาง”

    “ต้าเจี่ยว่าอย่างไร?”

    “พรุ่งนี้ไม่ต้องเอาไข่ไก่ไปส่งที่โรงเตี๊ยมเซิ่งฝูแล้ว”

    เฉินหนัวอิงพูดอย่างรวบรัด ไม่ให้เหตุผลประกอบแม้แต่บรรทัดเดียว แต่ถึงไม่ให้เหตุผลประกอบ เธอก็ให้ทางเลือก

    “พวกเราจะไม่เอาไข่ไก่ไปส่งที่โรงเตี๊ยมเซิ่งฝูสักพัก ระหว่างนี้พวกเราไปหาฮูหยินซ่ง เรื่องเงินไม่ใช่ปัญหา พวกเราเพิ่งได้เงินมาจากคุณชายหวัง ถึงจะจ่ายค่ายาไปครึ่งหนึ่ง แต่ยังเหลืออีกกว่าครึ่ง ช่วงนี้เป็นช่วงฤดูใบไม้ร่วง แม้จะไม่ใช่ช่วงฤดูกาลเก็บเกี่ยวรอบแรกหรือรอบที่สองของปีอย่างช่วงลี่ชิว[9]หรือชู่สู่[10] ก็ยังถือเป็นฤดูกาลเก็บเกี่ยว คนเอาผลิตผลทางการเกษตรออกมาขายรอบสุดท้ายของปี ก่อนหน้านี้คงคำนวณแล้วว่าเกินความจำเป็นสำหรับปากท้องคนในครอบครัว จุดประสงค์นอกจากโกยกำไรแล้วคงเป็นการขายให้หมดโดยเร็ว ดังนั้น ราคาผลิตผลทางการเกษตรน่าจะต่ำกว่าปกติ พวกเราเอาเงินจำนวนนี้ไปซื้ออาหารมากักตุนเพิ่ม รวมกับที่เจ้ากักตุนไว้แล้วส่วนหนึ่งสำหรับฤดูหนาวที่กำลังจะล่วงเข้ามา แค่นี้พวกเราก็อยู่ได้สบาย กินอิ่มนอนอุ่น ร่างกายแข็งแรงไปถึงสิ้นปี ช่วงนี้ยังมีโอกาสเตรียมจิตใจให้พร้อมเผชิญหน้ากับความเสี่ยงได้”

    เห็นแววตาเป็นประกายเต็มเปี่ยมไปด้วยชีวิตชีวาและความมั่นใจของนาง มู่หยางไม่ถามเหตุผลอีก สำหรับเขา ต้าเจี่ยก็เหมือนมารดา พูดอะไรล้วนต้องเชื่อฟังทั้งสิ้น เชื่อว่าเบื้องหลังประโยคมากมายที่พรั่งพรูออกมาด้วยน้ำเสียงกระตือรือร้นของนางนั้นต้องมีความสมเหตุสมผลที่ผ่านการไตร่ตรองมาแล้วอย่างละเอียดซ่อนอยู่แน่นอน

    เมื่อเห็นมู่หยางมองกลับมาด้วยสายตาไว้วางใจเต็มเปี่ยม เฉินหนัวอิงก็ยิ่งตื้นตันใจที่มีคนคนหนึ่งเชื่อมั่นในตัวเธอขนาดนี้ ถึงกับอดไม่อยู่ยื่นมือไปลูบหัวเขาเบาๆ พูด “มู่มู่เด็กดี วันนี้มู่มู่แขนเจ็บ เช่นนั้นต้าเจี่ยไปทำกับข้าวให้มู่มู่ทานดีหรือไม่?”

    มู่หยางคลี่ยิ้มก่อน ค่อยฉุกคิดขึ้นได้ “แต่ต้าเจี่ยทำอาหารเป็นหรือ? ยังจำการจุดไฟได้อยู่หรือไม่?”

    เฉินหนัวอิงส่ายหน้า “ก็ให้มู่มู่ไปจุดไฟให้ต้าเจี่ยเสียก็สิ้นเรื่อง”

    แต่พูดประโยคนี้ เฉินหนัวอิงกลับรู้สึกว่านี่ไม่ต่างอะไรกับการใช้เขาไปทำอาหารเลย ในใจอดไม่ได้ที่จะรู้สึกผิดนิดๆ

    แต่ถึงอย่างนั้น เธอก็ตั้งใจจะทำอาหารให้เขาจริงๆ นี่นา

    เคยได้ยินคนโบราณเล่ากันว่าสามีจะหลงใหลภรรยาจนโงหัวไม่ขึ้นเพราะเสน่ห์ปลายจวัก เธอคิดว่าฝีมือการทำอาหารของตัวเองก็ไม่ถึงกับแย่ ประกอบกับน้ำใจที่เธอมีต่อเขาแบบนี้ มู่หยางต้องซาบซึ้งตื้นตันจนลืมเฉินหนัวอิงคนเก่าแล้วเปลี่ยนมาตกหลุมรักเธออย่างเต็มหัวใจได้ไม่ยากแน่นอน

    ถึงตรงนี้ เฉินหนัวอิงก็คิดไปร้อยแปดด้วยความเบิกบาน!

    แต่มู่หยางไม่ได้คิดมากเหมือนเธอ เดินเข้าครัวไปครู่หนึ่ง ไฟในเตาถ่านก็จุดติด

    เฉินหนัวอิงเดินตามเข้าไป มองกระทะหม้อไหด้วยสายตาแรงกล้า สุดท้ายก็เลือกทำข้าวต้มเมนูเดิม เพิ่มเติมคือใส่ความพิถีพิถันสุดฝีมือ รับรองว่ามู่หยางต้องชอบแน่!

    พอทำเสร็จ ควันกรุ่นร้อนและกลิ่นอาหารหอมๆ ก็ลอยฉุยเหมือนเมฆก้อนน้อยๆ แตะแต้มบรรยากาศของบ้านให้รู้สึกเป็นสุข

    เฉินหนัวอิงเดินถือชามออกมาด้วยอารมณ์แจ่มใส จินตนาการได้ถึงมื้อเย็นอันแสนหวาน

    แต่คิดไม่ถึงว่าจะมีก้างขวางคออีกแล้ว!

    พอยกชามเดินมาถึงโต๊ะ ก็มีผู้ชายที่ไหนมารู้มานั่งถือตะเกียบมองชามข้าวต้มตาเป็นมัน

    เฉินหนัวอิงถึงกับยื้อชามข้าวต้มไว้แนบอก เหลือบมองเขาแวบหนึ่งด้วยสายตาทิ่มแทงแล้วหันไปหามู่หยาง

    “นี่ใคร?”

    ได้ยินเสียงแข็งกระด้างของภรรยา มู่หยางก็อดยืดตัวขึ้นมามิได้ รู้สึกเย็นวาบจนสะท้านไปทั้งแผ่นหลังโดยไร้สาเหตุ สูดหายใจเข้าลึกทีหนึ่ง ยิ้มมองไปที่เฉินหนัวอิง พูด

    “นี่ก็คือสหายหมู่บ้านข้างๆ ของข้า เสวียนเซิ่ง เขาได้ข่าวว่าภรรยาข้าเพิ่งหายป่วยก็ตั้งใจเอาลูกพลับป่ามาเยี่ยม ความจริงเขาจะจากไปแล้ว แต่ข้าถือโอกาสที่เขามาทั้งที บอกว่าวันนี้มีลาภปาก รั้งตัวเขาอยู่ชิมอาหารฝีมือต้าเจี่ยก่อน”

    เฉินหนัวอิงฉงนใจเล็กน้อย กับมู่หยางที่ตกเขาความจำเสื่อมมาอยู่ที่หมู่บ้านนี้ได้ไม่ถึงปีกลับมีสหายแล้ว แต่เฉินหนัวอิงเจ้าของร่างอยู่ที่นี่มาตั้งแต่เกิด ผ่านมาวันหนึ่งจนตอนนี้เธอยังไม่เห็นสหายที่ไหนโผล่มาเยี่ยมสักคน

    แต่เฉินหนัวอิงไม่ใช่คนคิดมาก ไม่เก็บเรื่องนี้มาใส่ใจ ส่วนเรื่องของเสวียนเซิ่ง พอรู้ว่าเป็นเพื่อนของมู่หยางก็ไม่คิดใจแคบอีก กลอกตาไปมาเล็กน้อย แล้วพูดว่า “ถึงข้าจะทำข้าวต้มมาพอดีแค่สองชาม แต่ก็ไม่เป็นไร ชามนี้ยกให้อาเฟิ่ง ชามนี้ยกให้มู่มู่ นี่ก็กลางยามซวีแล้ว ผู้หญิงกินข้าวดึกจะลงพุงเอาได้ ข้ายิ่งเป็นคนรักสวยรักงาม เพราะฉะนั้นพวกเจ้ากินกันให้สบายใจเถอะ”

    เฉินหนัวอิงพูดด้วยรอยยิ้ม ยกข้าวต้มมาวางตรงหน้าเสวียนเซิ่งก่อน ค่อยยกมาวางตรงหน้ามู่หยาง ทว่าทันทีที่วางเสร็จกำลังจะชักมือกลับ มู่หยางกลับเอื้อมแขนมารั้งมือนางไว้ “ต้าเจี่ยเพิ่งฟื้นไข้ ไม่กินข้าวกินปลาจะไม่ดีต่อร่างกาย ถ้าต้าเจี่ยไม่รังเกียจ ต้าเจี่ยกินชามเดียวกับข้าก็ได้”

    มู่หยางพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนหวาน ส่วนดวงตาก็หยาดเยิ้ม

    เฉินหนัวอิงมองเขากลับด้วยใบหน้าแดงซ่าน

    ส่วนเสวียนเซิ่งแทบสำลักความรักของคนทั้งสอง

    ทนไม่ไหว ปิดตาไม่ดู!

    “ไม่กินก็คือไม่กิน อาหารที่ต้าเจี่ยตั้งใจทำให้ก็อยากให้มู่มู่กินให้เต็มที่ มู่มู่เด็กดี ต้องเชื่อฟังต้าเจี่ย ห้ามขัดอีก”

    “ก็ได้” มู่มู่พยักหน้าเต็มแรง “ล้วนทำตามต้าเจี่ย”

    พูดจบ มู่หยางก็ตั้งหน้าตั้งตาพุ้ยข้าวต้มกินเต็มปาก ซดแล้วซดอีกเหมือนเป็นอาหารอันโอชะที่ประทานมาจากสวรรค์ ราวกับว่าหากช้าเพียงครึ่งคำข้าวกับน้ำในชามจะปลาสนาการระเหิดหายไปในอากาศอย่างไร้ร่องรอย

    เสวียนเซิ่งไม่เคยชิมรสมือของเฉินหนัวอิงมาก่อน พอเห็นท่าทางของสหายก็คาดหวังในใจอย่างเต็มเปี่ยมว่าข้าวต้มชามนี้ต้องอร่อยไม่ต่างจากอาหารที่ประทานมาจากเบื้องบน แต่คิดไม่ถึงพอตักเข้าปากคำแรก น้ำข้าวต้มละลายในลิ้นทีกลับแทบสำลัก ทำหน้าตาเจ็บปวดเหลือทน ทว่าพอเงยหน้าขึ้นมาคิดจะคายทิ้งก็เจอสายตาขู่ตัดเพื่อนของมู่หยาง ทำให้ต้องรีบกลืนลงท้องแต่โดยดี กลืนเสร็จก็หัวเราะทั้งน้ำตา พูดอย่างไม่มีหัวไม่มีท้าย “ข้าเชื่อแล้วล่ะว่ามู่หยางรักฮูหยินเฉินจริงๆ ”

    กินได้คำเดียวก็ขอตัวกลับเลย ไม่ยึกยักอยู่เป็นมารความรักของเธออีก

    เฉินหนัวอิงค่อนข้างพอใจกับการตัดสินใจของเขา แต่อดแปลกใจไม่ได้กับการตอบสนองของเสวียนเซิ่งต่อรสชาติของข้าวต้ม ก่อนมู่หยางซดน้ำในชามช้อนสุดท้ายหมด เธอจึงวางมือไปยับยั้ง แล้วแย่งช้อนนั้น ยกขึ้นมาส่งน้ำข้าวต้มเข้าปาก

    แต่คิดไม่ถึงว่ารสชาติอาหารที่เธอทำจะมีพลานุภาพเกินต้าน เข้าไปได้ไม่ถึงครึ่งวินาที เฉินหนัวอิงก็สำลักออกมาหน้าดำหน้าแดง

    อะไรมันจะเค็มขนาดนี้!

    นี่เธอคงไม่ได้แยกเกลือกับน้ำตาลไม่ออกหรอกใชไหม!

    เฉินหนัวอิงสำลักจนปวดหัว ยังดีมีมู่หยางส่งน้ำเปล่ามาให้ถึงมือ เธอรับน้ำขึ้นมากลืนอึกๆ จนหมดแก้วในรวดเดียว แต่ถึงจะกินน้ำไปเยอะขนาดนี้ ยังละลายรสชาติในปากไม่ได้ ปานประหนึ่งว่าความเค็มของเกลือที่มากเกินควรได้ซึมซาบเข้าสู่ปลายลิ้นไปแล้วทุกอณู

    เฉินหนัวอิงกินไปคำเดียว เพราะฉะนั้นถึงอาการจะสาหัสแค่ไหนก็ยังพอแก้ไขได้

    ห่วงก็แต่มู่หยาง กินไปทั้งชามกลับไม่บ่นออกมาสักคำ

    ไม่รู้ว่าเป็นเพราะความหน้ามืดตามัวชนิดไหนถึงทำให้ขีดจำกัดความอดทนของคนเรามันสูงได้ขนาดนี้

    ตอนนี้เฉินหนัวอิงเชื่ออย่างสนิทใจแล้ว ว่าความรักของมู่หยางล้ำลึกเกินหยั่งขนาดไหน

    อาหารรสชาติเป็นพิษต่อร่างกายขนาดนี้ กินยังไงให้หน้าตาแสดงความปริ่มใจออกมาได้

    น่าตื้นตันใจจนน้ำตาไหลพรากแทนเฉินหนัวอิงคนเก่าจริงๆ

    แต่พอนึกถึงเรื่องรสชาติของอาหารอีกครั้ง เฉินหนัวอิงก็รู้สึกทอดถอนหายใจไม่น้อย ในอดีตเธอยังเคยคิดว่าถ้าย้อนเวลากลับมาอยู่ในร่างใครสักคน อย่างน้อยก็ต้องได้รับการถ่ายทอดความทรงจำหรือทักษะอะไรของเจ้าของร่างเดิมติดตัวมาบ้าง แต่เธอกลับไม่ได้รับอะไรเลย

    มีแต่ความสามารถของตัวเองในชาติภพเดิมล้วนๆ

    เธอคำนวณเลขเป็น เรียนเก่ง ไม่ยอมก้มหัวให้ใคร แต่ฝีมือการทำอาหารกลับไม่ได้เรื่อง

    แต่ว่าด้วยสัจธรรมของโลกแล้ว ใครมันจะเก่งไปซะทุกอย่าง เชี่ยวชาญไปซะทุกเรื่อง เธอเองก็เป็นคนธรรมดาไม่ใช่เทพเซียน จะไปบรรลุทุกศาสตร์อย่างทะลุปรุโปร่งได้ยังไง

    คิดได้แบบนี้เฉินหนัวอิงก็สบายใจ

    คิดจบก็หันหน้าไปมองมู่หยางด้วยสายตาลุแก่โทษ มู่หยางไม่ได้บ่น แค่พูดกับเธอด้วยรอยยิ้มว่า

    “วันหลังไม่รบกวนต้าเจี่ยทำกับข้าวแล้ว เป็นผู้หญิงต้องถนอมมือไม้เข้าไว้ ต่อไปให้เป็นหน้าที่ของข้าเองจะดีกว่า”

    เฉินหนัวอิงไม่ได้รู้สึกเสียศักดิ์ศรี กลับเห็นด้วยอย่างยิ่ง เม้มปากพยักหน้าอย่างต่อเนื่อง

    รอจนมู่หยางยกชามไปล้างเสร็จ เธอก็คุกเข่าเตรียมโขกศีรษะให้เขา สำนึกได้ว่าต่อไปนี้จะไม่เข้าครัวทำอาหารอีกเด็ดขาด ทว่ามู่หยางเมื่อเห็นเฉินหนัวอิงคุกเข่าโดยไม่มีผ้ารอง ก็มองเธอด้วยสายตาปวดใจ รุดกายมาช่วยพยุงลุกทันที

     

    ปลายยามไฮ่[11]ลมหนาวเริ่มพัดพรูเข้ามาจากด้านนอก เฉินหนัวอิงให้มู่หยางไปส่งที่ริมธาร หลังอาบน้ำเสร็จสวมเสื้อผ้าเรียบร้อยก็มานั่งกอดเข่ามองดาวอยู่บนตั่งเตี้ยริมหน้าต่าง

    มู่หยางเพิ่งกลับมาจากการอาบน้ำ เห็นเฉินหนัวอิงมองดาวด้วยสายตาเหม่อลอย ก็เอ่ยปากถาม “ว่าแต่ต้าเจี่ย ข้าลองคิดดูแล้ว หากเราไม่เอาไข่ไก่ไปขายที่โรงเตี๊ยมเซิ่งฝู ต้าเจี่ยคงอยากเอาไปขายให้เจี่ยงซื่อแทนใช่หรือไม่?”

    พอได้ยินคำถาม เฉินหนัวอิงเลิกคิ้ววูบ หันไปยิ้มให้มู่หยางด้วยสายตาประหลาดใจ “มู่มู่รู้ได้อย่างไร?”

    มู่หยางเดินมานั่งข้างๆ “ดูจากที่ต้าเจี่ยตัดสินใจว่าจะไม่ส่งไข่ไก่ไปขายที่โรงเตี๊ยม หากไม่เก็บไว้กินเองก็ต้องเอาไปขายให้คนอื่น แต่ต้าเจี่ยเพิ่งบอกว่าจะเอาเงินที่ได้จากหวังลั่วจวินไปซื้อของในตลาด แบบนี้ก็คงเป็นไปได้แค่อย่างเดียว ซ้ำช่วงนี้ต้าเจี่ยยังพูดถึงฮูหยินรองเจ้ากรมคลังบ่อยๆ เพราะฉะนั้นข้าถึงคิดว่าต้าเจี่ยต้องเอาไปขายให้เจี่ยงซื่อแน่นอน”

    “คิดไม่ถึงว่ามู่มู่จะรู้ใจต้าเจี่ยขนาดนี้” เฉินหนัวอิงเผยยิ้มกว้าง เห็นมู่หยางตัวหมาดๆ แม้แต่ผมก็ยังไม่ได้ซับให้แห้งก็มีความคิดจะไปช่วยเช็ดผมให้เขา พูดจบก็ถึงกับผุดลุกไปคว้าผ้าสะอาดมาหนึ่งผืน คลุมทาบศีรษะเขาแล้วออกแรงเช็ดแบบเก้ๆ กังๆ

    เช็ดไปก็แอบถอนหายใจเล็กน้อย พูดสิ่งที่คิดในใจกับเขา “ที่ต้าเจี่ยไม่ให้มู่มู่เอาไข่ไก่ไปส่งที่โรงเตี๊ยมก็เพราะต้องการยืนยันความเป็นไปได้ข้อหนึ่ง จากที่เห็นอาหารในสำรับของจ้าวหว่านหรูวันนี้ ต้าเจี่ยสงสัยว่าไข่ไก่ที่มู่มู่เอาไปส่งจะมีความเกี่ยวข้องกับอาหารราคาแพงระยับที่เป็นเมนูขึ้นชื่อของโรงเตี๊ยมเซิ่งฝู แต่น่าน้อยใจที่ถึงอาหารแพงอย่างไรมู่มู่ของต้าเจี่ยก็ยังขายไข่ไก่ได้ในราคาสิบอีแปะเท่าเดิม ต้าเจี่ยยิ่งสงสารไก่อ้วนในเล้าของมู่มู่ที่ออกแรงเบ่งไข่ทุกวัน ต้าเจี่ยเลยมีความคิดว่าถ้าองค์ประกอบสำคัญที่ขาดไม่ได้อยู่ที่ไข่ไก่จริง พวกเราก็ควรจะได้เงินมากกว่านี้ การไม่ให้มู่มู่เอาไข่ไปส่งสักพักก็เพื่อรอดูปฏิกิริยาของเถ้าแก่โรงเตี๊ยม ถ้าพวกเขาไม่มีอาหารนำออกขายก็จะเป็นการยืนยันว่าสิ่งที่ต้าเจี่ยคิดถูกต้องแล้ว แต่ถ้าพวกเขายังสามารถนำอาหารออกขายได้ตามปกติก็แปลว่าต้าเจี่ยคิดผิด แต่ต้าเจี่ยไม่อยากให้มู่มู่มาเสียเวลาไปเปล่าๆ ไข่ไก่ของมู่มู่โดดเด่นกว่าบ้านอื่น หากขายที่โรงเตี๊ยมที่มีตัวเลือกมากมายแล้วได้ราคาไม่ดี มิสู้เอาไปเสนอให้คนอื่นที่ต้องการจะยังดีซะกว่า”

    มู่หยางหันหัววูบ “ต้าเจี่ยหมายถึง…ฮูหยินซ่ง”

    เฉินหนัวอิงพยักหน้า

    มู่หยางมุ่นคิ้ว “นางจะต้องการไข่ไก่ของพวกเราหรือ? นางเป็นถึงฮูหยินตราตั้งของขุนนางขั้นสอง รายล้อมด้วยสมบัติพัสถาน ไม่ว่าอาหารชั้นเลิศชนิดไหน แค่เอ่ยปากคำหนึ่ง คนก็นำมาประเคนให้แทบไม่ทัน แน่นอนว่าย่อมไม่ขาดแคลนไข่ไก่”

    “นางย่อมต้องการแน่นอน” เฉินหนัวอิงพูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่น มีความมั่นใจเป็นอย่างมาก

    “ได้ข่าวว่านางเดินทางมาเผิงเฉิงก็เพื่อพักผ่อน ฟื้นฟูร่างกายหลังคลอด สตรีหลังคลอดจะยังต้องการอะไรอีกถ้าไม่ใช่ไข่ไก่ที่เป็นยาบำรุงชั้นเลิศชนิดไม่ต้องสกัดแต่ได้คุณค่าทางโภชนาการครบถ้วน”

    มู่หยางพยักหน้าคล้อยตาม จากนั้นยกมือกอดอก ถาม “แล้วต้าเจี่ยจะเข้าพบนางอย่างไร เดินอาดๆ เข้าไป ผู้คุ้มกันเหล่านั้นของนางย่อมไม่ม่ทางให้เข้าพบแน่”

    “ข้าก็ไม่ได้บอกว่าจะไปคฤหาสน์ขุนนางเพื่อเข้าพบนางเสียหน่อย” เฉินหนัวอิงพูดพร้อมกับสายตาเจ้าเล่ห์ ค่อยโน้มคอลงไปกระซิบข้างหูมู่หยาง “ที่ต้าเจี่ยต้องการคือการให้มู่หยางไปเลียบเคียงต่างหาก”

    “เลียบเคียงเรื่องอะไรหรือ?” คราวนี้เขาหันทั้งตัวกลับมาถามด้วยความสงสัย

    เฉินหนัวอิงผละออกห่างจากมู่หยางสองชุ่น[12] ค่อยเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเร้นเลศ “เดี๋ยวพรุ่งนี้มู่มู่ก็รู้เอง”

    จากนั้นแตะมือไปที่บ่าเขาเบาๆ “มู่มู่สงบใจแล้วนอนเถอะ พรุ่งนี้พวกเรายังมีเรื่องต้องทำอีกมาก”

    มู่หยางคลานกลับไปนอนล่างเตียงเหมือนเดิม ส่วนเฉินหนัวอิงปีนขึ้นไปนอนบนเตียงอย่างเก่า

    อันที่จริงเฉินหนัวอิงก็ชอบเขา ชอบมากๆ ด้วย แต่เธอนอนคนเดียวมาตั้งแต่เด็ก จะให้เขามานอนเป็นเพื่อนกลับไม่ชิน อีกอย่างเธอต้องการบ่มเพาะความรักระหว่างคนทั้งสองอย่างค่อยเป็นค่อยไป ไม่ต้องการเร่งรีบ จริงอยู่ ถึงจะอยู่ในร่างเดียวกัน มีความสัมพันธ์เป็นสามีภรรยาเรียบร้อยแล้ว แต่แน่นอนว่าเฉินหนัวอิงคนเก่ากับเฉินหนัวอิงคนใหม่ย่อมมีส่วนที่แตกต่าง เธอต้องการให้เขาลืมนางได้อย่างหมดจด ถึงสามารถพัฒนาความสัมพันธ์ขั้นต่อไป นี่จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมคนทั้งสองถึงไม่ควรใกล้ชิดเกินพอดีในช่วงเวลาแบบนี้

    ที่สำคัญยิ่งไปกว่านั้น ยังมีเรื่องต้องทำอีกมากจริงๆ

    ไฟในตะเกียงถูกดับลงไปนานแล้ว แต่ความคิดนับพันนับหมื่นยังคงโลดแล่นในหัว ดวงตาของเฉินหนัวอิงเป็นประกายในความมืด คิดถึงไข่ไก่ใบโตและคิดถึงเจี่ยงซื่อที่ไม่เคยพบ รอคอยการมาถึงของวันพรุ่งนี้อย่างใจจดใจจ่อ


     


    [1] ช่วงเวลาประมาณ 17.00 – 18.59 น.

    [2] ช่วงเวลาประมาณ 19.00 – 20.59 น.

    [3] หนึ่งก้านธูประยะเวลาประมาณ 15 นาที

    [4]  หนึ่งชั่วยามคือระยะเวลาประมาณ 2 ชั่วโมง

    [5] ซัพพลายเออร์ (Supplier) คือผู้ที่จัดส่งสินค้าและบริการให้กับธุรกิจอื่น อย่างเช่น วัตถุดิบประกอบอาหาร ส่วนประกอบอะไหล่รถยนต์เพื่อเข้าสู่กระบวนการนำไปแปรรูปเป็นสินค้าสำเร็จรูป (finished goods) ต่อไป ซัพพลายเออร์อาจเป็นบุคคลหรือองค์กรก็ได้

    [6] ในเชิงธุรกิจคำว่า Conservative หากนำมาใช้ในการประมาณการจะแปลว่า การประมาณที่ต่ำกว่าความเป็นจริง การประมาณการแบบนี้อาจมาจากหลายสาเหตุ อย่างเช่น ผู้ที่ทำการประมาณการต้องการรวมความเสี่ยงที่มองไม่เห็นเข้าไปด้วย

    [7] หมายถึงความจุหรือจำนวนที่มากที่สุดที่สินค้าสามารถผลิตได้ในหนึ่งรอบ

    [8] ความจงรักภักดีของผู้บริโภค หรือความผูกพันของลูกค้าที่มีต่อแบรนด์ หากลูกค้ามีความจงรักภักดีต่อแบรนด์ การที่จะเปลี่ยนใจไปใช้สินค้าชนิดอื่นทดแทนเป็นไปได้ยากมากกระทั่งไม่เปลี่ยนเลย แม้ปัจจัยอย่างอื่นจะเปลี่ยนไป เช่น ต่อให้ราคาเพิ่มสูงขึ้น แต่ลูกค้าก็จะยังซื้อสินค้าเหมือนเดิม

    [9] เป็นช่วงเริ่มต้นฤดูใบไม้ร่วง เริ่มประมาณวันที่ 7, 8 หรือ 9 สิงหาคมเป็นต้นไป

    [10] เป็นช่วงสิ้นสุดของอากาศร้อนหลังเข้าสู่ฤดูใบไม้ร่วง เริ่มประมาณวันที่ 22, 23 หรือ 24 สิงหาคมเป็นต้นไป

    [11] ช่วงเวลาประมาณ 21.00 – 22.59 น.

    [12] หน่วยวัดโบราณ 1 ชุ่นประมาณ 1 นิ้ว


     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×