คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : 3 เฉินหนัวอิงสำรวจตลาด
ความจริงเฉินหนัวอิงก็ไม่รู้ว่าต้องเดินไปทางไหน ก็เธอเพิ่งเป็นวิญญาณข้ามภพมาแถมยังบอกสามีว่าความจำเสื่อม ดีที่มู่หยางตระหนักข้อเท็จจริงข้อนี้ดี จึงจูงมือเธอแล้วเดินเลียบไปตามถนนสายเล็กๆ ไม่นานก็มาโผล่อยู่ที่หน้าตลาดแห่งหนึ่ง
สองสามีภรรยาสวมชุดมอซอ ไม่ต้องพูดถึงว่าจะเข้าไปในโรงเตี๊ยมใหญ่ๆ แค่เดินเฉียดแผงขายขนมแป้งทอดข้างทางยังถูกแม่ค้าใช้สายตาเขม่นไล่โดยไร้เสียง เฉินหนัวอิงรู้สึกสำนึกเสียใจ รู้แบบนี้ก่อนออกมาเธอควรจะเปลี่ยนเสื้อผ้าให้ดูภูมิฐานกว่านี้ จึงสะกิดมู่หยางเบาๆ โน้มคอไปกระซิบบ่นที่ข้างหู เขาฟังแล้วกลั้วหัวเราะ พูดว่าต่อให้เปลี่ยนหรือไม่เปลี่ยนก็ไม่ต่างกัน เพราะเสื้อผ้าพวกเราก็สีซีดมีรอยปะชุนเต็มไปหมดแบบนี้แทบทุกชุด เล่นเอาเฉินหนัวอิงเกิดอาการหดหู่ใจจนสุดระงับ
เดินผ่านไปครึ่งวัน ถึงได้รู้ข้อมูลขึ้นมาบ้าง
โลกที่เธอมาอยู่ใหม่เป็นโลกเสมือนยุคจีนโบราณชื่อว่าแคว้นจิ้น คนพื้นราบเรียกตัวเองว่าชาวจงหยวน หมู่บ้านที่เธออาศัยเป็นชนบทเล็กๆ ทางตอนเหนือชื่อว่าหมู่บ้านเฟิงมี่ตงเป่ย แหล่งผลิตพืชพรรณธัญญาหารอันอุดมสมบูรณ์เพื่อลำเลียงลงใต้เลี้ยงปากท้องราษฎรทั้งแว่นแคว้น
แต่ถึงอย่างนั้นหมู่บ้านเฟิงมี่ตงเป่ยกลับไม่ใช่หมู่บ้านเดียวที่เป็นแหล่งเพาะปลูก ยังมีหมู่บ้านอื่นๆ ในละแวกใกล้เคียงที่ชาวบ้านยังชีพด้วยการทำกสิกรรม พูดกันตามจริง หมู่บ้านของเธอกลับเสียเปรียบด้วยซ้ำ เพราะสภาพภูมิศาสตร์ตั้งอยู่บริเวณเชิงเขาไม่ใช่ที่ราบลุ่มแม่น้ำ ในบางฤดูกาลอย่างเช่นฤดูใบไม้ร่วงหรือฤดูหนาวจะเพาะปลูกไม่ได้เนื่องจากอุณหภูมิต่ำเกินไป ไม่เหมาะกับการปลูกพืชเศรษฐกิจ ดังนั้น พอใบไม้ปลิดจากก้านส่งสัญญาณว่าลมหนาวจะมาเยือนในไม่ช้า ผู้คนถึงต้องกักตุนอาหารไว้ให้เพียงพอสำหรับแต่ละครัวเรือนเพื่อเข้าจำศีลและพาตัวเองให้รอดพ้นจากสภาพความเป็นอยู่ที่ยากลำบาก
โชคร้ายตรงตอนเธอเข้ามาก็ไม่ได้เข้ามาช่วงฤดูเพาะปลูก กลับเข้ามาตอนฤดูที่คนใกล้จำศีล ภาวะเศรษฐกิจของเฟิงมี่ตงเป่ยหยุดชะงัก หากคิดฝันว่าจะเพาะปลูกเพื่อนำผลิตผลทางการเกษตรออกขายก็พับเก็บความคิดนั้นลงไปได้เลย
เฉินหนัวอิงเดินแกว่งแขนอยู่บนถนน มู่หยางซื้อถังหูลู่[1]ให้เธอหนึ่งไม้ แต่เธอกลับเป็นคนที่ใส่ใจสุขภาพไม่กินน้ำตาลเกินยี่สิบสี่กรัมต่อวัน เห็นผลไม้เคลือบน้ำตาลแล้วในใจรู้สึกรับไม่ค่อยได้ จึงยกให้เขากินแทน
มู่หยางเห็นภรรยาเอาใจใส่ก็ดีใจจนออกนอกหน้า รับถังหูลู่ไม้นั้นมาด้วยรอยยิ้มถึงหางตา แตะลิ้นชิมคำหนึ่งก็รู้สึกหวานปานเอาน้ำผึ้งราดลงบนหัวใจ กระชับมือที่จูงเฉินหนัวอิงแน่นขึ้น เดินไปตามเส้นทางที่เนืองแน่นไปด้วยผู้คน
ความอบอุ่นจากมือคู่นั้นส่งเข้ามาอย่างกะทันหัน จู่ๆ ก็แผ่ซ่านไปถึงหัวใจ เฉินหนัวอิงอดยิ้มไม่ได้ ส่ายหน้าเล็กน้อยแล้วเดินต่อ
ส่งสายตาสำรวจสองฝั่งทาง ตอนนี้เข้าสู่ช่วงป๋ายลู่[2] แผงขายของยังเห็นพืชพรรณธัญญาหารออกวางขายประปราย คิดว่าพ่อค้าแม่ค้าคงเก็บเกี่ยวผลผลิตได้เกินความต้องการของคนในครอบครัว ถึงได้นำออกขายหวังจะโกยกำไรรอบสุดท้ายของปี
นอกจากนี้ยังมีขนมและอาหารที่นำผลผลิตเหล่านั้นมาแปรรูป แต่เท่าที่สังเกตดูก็ไม่ได้มีอะไรแปลกใหม่และสะดุดเข้ากับความสนใจของเฉินหนัวอิง หญิงสาวถอนหายใจออกมาเบาๆ เล็กน้อย ถึงได้หันหน้าเข้าไปจูงแขนมู่หยางตรงดิ่งไปนั่งพักในร้านน้ำชาขนาดกลางแห่งหนึ่ง
ทว่าก่อนขาจะก้าวเข้าร้านน้ำชา แขนเสื้อเฉินหนัวอิงก็ตึงวูบ หันหน้ากลับไปเห็นมู่หยางขมวดคิ้วเล็กน้อย ป้องปากกระซิบ “ต้าเจี่ย พวกเราไม่มีเงินเหลือพอจะมานั่งในร้านแบบนี้ มิสู้ไปร้านที่เล็กกว่านี้กันเถอะ”
เฉินหนัวอิงอารมณ์เปลี่ยนทันที จากบรรยากาศที่เหมือนเปิดเพลงรักเป็นฉากหลัง ตอนนี้กลับแทนที่ด้วยเพลงสู้ชีวิต!
แทบหลั่งน้ำตาให้กับความยากจน ขนาดเธอคิดว่าเลือกร้านที่ดูต็อกต๋อยที่สุดแล้วพวกเรายังไม่มีเงินเข้าไปนั่ง อะไรจะใช้ชีวิตได้ไร้ระดับปานนั้น แต่สุดท้ายก็ไร้ทางเลือก จำใจต้องเดินตามหลังมู่หยางไปอีกร้านแต่โดยดี
พอเข้าไปถึง มารในใจก็ถึงกับโอดครวญเล็กน้อย
อย่าเรียกนี่ว่าร้านเลย เรียกว่าเพิงข้างทางยังสะดวกใจมากกว่า!
เฉินหนัวอิงสงบใจนั่งลงไม่นานเถ้าแก่ของร้านก็ยกกาน้ำชามาวางบนโต๊ะ
เธอยังไม่มีแก่ใจไปจิบชาจึงได้แต่เปิดปิดฝากาน้ำชาเล่น มองไอน้ำลอยฉุยด้วยสายตาเหม่อลอยพลางเอ่ยปากถาม
“มู่หยาง เจ้าบอกว่ากิจการของบ้านเราคือขายผักกับไข่ไก่ ใกล้ฤดูหนาวก็ไม่มีผักให้ขาย รายได้จากส่วนนี้ก็คงไม่เหลือ ว่าแต่ขายไข่ไก่ วันหนึ่งพวกเราขายไข่ไก่ได้กี่ฟอง ได้เงินมาประมาณวันละเท่าไหร่หรือ?”
มู่หยางนั่งเอาคางเกยกับโต๊ะ ได้ยินคำถามถึงเปลี่ยนท่ามาลูบปลายคางตอบอย่างจริงจัง “อืม… ไก่ที่บ้านมีสิบสองตัว ออกไข่ตัวหนึ่งก็วันละสองสามฟอง เฉลี่ยตกอยู่ 24 ฟองต่อวัน เอาไปขายให้ห้องครัวโรงเตี๊ยมได้ราคาเหมารอบละ 10 อีแปะ”
เฉินหนัวอิงตกตะลึงตาโต “หา! ถ้าอย่างนั้นแปลว่าไข่ไก่ฟองหนึ่งขายได้ฟองละไม่ถึงอีแปะน่ะหรือ?”
เดี๋ยวนะ! เฉินหนัวอิงขอนั่งคำนวณ อีแปะคือหน่วยเงินที่เล็กที่สุดของแคว้นจิ้น หนึ่งพันอีแปะเท่ากับหนึ่งตำลึงเงิน สิบตำลึงเงินเท่ากับหนึ่งตำลึงทอง ม้าดีหนึ่งตัวต้องใช้เงินประมาณสี่ถึงห้าตำลึงทอง คฤหาสน์หนึ่งหลังต้องมีเงินห้าสิบตำลึงทอง ขายไข่ไก่ได้วันละสิบอีแปะ ยังไม่รวมค่าใช้จ่ายในการสร้างคอกสร้างเล้าซื้อแกลบเลี้ยงไก่ซื้อหญ้าเลี้ยงวัว ถ้าหักไปหักมานี่ไม่ได้หมายความว่ายิ่งทำงานยิ่งติดลบไปทุกวันหรอกหรือ? แล้วแบบนี้ชาติไหนถึงจะลืมตาอ้าปากได้!
ตอนนี้ยังไม่ต้องพูดถึงลืมตาอ้าปาก แค่ซาลาเปาไส้ผักสองอีแปะซาลาเปาไส้หมูสี่อีแปะ เทียบกับรายได้ที่ได้รับมาในแต่ละวันจะซื้อทียังต้องคิดแล้วคิดอีก ช่วงนี้ยังพอว่าหากเข้าฤดูกาลเพาะปลูกขึ้นมายังต้องกลายเป็นชนชั้นกรรมาชีพ ทำงานรับจ้างปลูกผักภายใต้การกดขี่ของขุนนาง แม้แต่ผักที่ปลูกแรงที่ลงไปก็ยังไม่ได้อะไรกลับมาเป็นของตัวเอง นอกจากผักไม่กี่กำที่ไม่รู้ว่าจะขายได้รึเปล่าด้วยซ้ำ!
โอ้ เฉินหนัวอิงยิ่งคิดยิ่งปวดหัว ยกมือคลึงขมับตัวเองอย่างต่อเนื่อง
“ครอบครัวเราคงไม่มีภาระหนี้สินใช่ไหม?” เฉินหนัวอิงเงยหน้าขึ้นมาถามด้วยน้ำเสียงอิดโรย
“ไม่มีหรอกต้าเจี่ย ถึงบ้านเราจะยากจนแต่ก็ไม่ได้เป็นคนฟุ้งเฟ้อ พวกเราไม่เคยยืมเงินใคร”
เฉินหนัวอิงพรูลมหายใจยาวด้วยความโล่งอก
เธอลุกขึ้นมาใหม่ ยกชาขึ้นจิบดับหัวใจที่ร้อนรุ่ม ระงับอารมณ์ตั้งสติให้แน่วแน่ ทว่าระหว่างจิบชากลับต้องเบิกตากว้าง นี่ไม่ใช่รสขมและกลิ่นหอมของน้ำชาที่เธอเคยดื่มปกติในโลกยุคปัจจุบัน แต่กลับให้รสสัมผัสอ่อนละมุนเหมือนกลิ่นดอกไม้ฟุ้งกระจายในโพรงปาก เฉินหนัวอิงรู้สึกแปลกใจจนขมวดคิ้ว หันหน้าถามมู่หยาง “นี่มันน้ำอะไร?”
มู่หยางพอได้ยินภรรยาถามถึงได้ยกจอกขึ้นมาจิบ ชิมไปสักพักก็ตอบ “นี่คือน้ำสกัดของหยางกานจวี๋(คาโมมายล์) ต้าเจี่ยคงไม่เคยกินเพราะไม่ได้ออกมาเดินตลาดนาน ยิ่งไม่เคยนั่งในร้านแบบนี้ แต่ข้าจะบอกให้ น้ำสกัดดอกไม้เป็นที่นิยมในแถบนี้อย่างมาก แม้แต่ในโรงเตี๊ยมใหญ่ๆ ก็ขายน้ำสกัดดอกไม้ทั้งสิ้น นอกจากหยางกานจวี๋ ยังมีดอกเหลียน(ดอกบัว) ดอกเหมยกุ้ย(ดอกกุหลาบ) ดอกจวี๋(เก๊กฮวย) แต่ที่แพงที่สุดจะเป็นน้ำสกัดดอกป่ายเหอ(ลิลลี่ขาว) เพราะต้องนำเข้ามาจากชาวโพ้นทะเล”
มู่หยางพูดด้วยความกระตือรือร้น
“คนในแคว้นจิ้นไม่นิยมดื่มชาแล้วหรือ?” เฉินหนัวอิงถามด้วยความสงสัย
มู่หยางขมวดคิ้ว “ต้าเจี่ย ชาคืออะไร? ข้าไม่รู้จัก”
“ก็คือเครื่องดื่มชนิดหนึ่ง เอาใบไม้ตากแห้งมาต้มกับน้ำร้อน ต้มแล้วจะได้กลิ่นหอม ดื่มคู่กับขนมจะยิ่งรสชาติดี แคว้นจิ้นไม่มีสิ่งนี้ขายหรือ?” เฉินหนัวอิงเอ่ยปากถามด้วยสีหน้าฉงน
“ตั้งแต่ฟื้นกลับขึ้นมาหลังจากตกหน้าผา เข้ามาทำงานในตลาดได้ปีกว่า ไม่ว่าโรงเตี๊ยมไหนข้าก็เคยเอาไข่ไก่ไปส่ง แต่ยังไม่เคยเห็นที่ไหนเอาใบไม้ไปต้มดื่ม แม้แต่ในหมู่คาราวานพ่อค้าก็ไม่มี ต้าเจี่ยไปเอาความคิดนี้มาจากไหนหรือ?”
ฟังประโยคนี้จบ เฉินหนัวอิงถึงได้เข้าใจ ที่แท้ก็ไม่ได้เป็นเพราะวัฒนธรรมการดื่มชาเสื่อมความนิยม แต่เพราะใบชายังไม่เป็นที่แพร่หลายต่างหาก
“ไม่มีอะไร ข้าก็แค่คิดไปเรื่อยเปื่อย” เฉินหนัวอิงส่ายหน้า ตอบเสียงเรียบ
เฉินหนัวอิงชักจะชอบกลิ่นหอมของหยางกานจวี๋ ดื่มไปอีกหลายอึก ดื่มด่ำกับบรรยากาศของผู้คนสัญจรขวักไขว่อีกครู่หนึ่ง ถึงพูดขึ้นมาอีกครั้ง “แล้วนอกจากขายผักกับไข่ไก่ พวกเรายังทำการค้าอย่างอื่นอีกไหม?”
หลังเฉินหนัวอิงสงบใจได้ก็ตั้งสติ จึงสังเกตเห็นจุดผิดปกติอีกจุดในครอบครัวเฉินหนัวอิงคนเดิม กับแค่เงินไม่กี่อีแปะที่ได้มาจากการขายผักกับไข่ไก่ไม่ว่าคิดอย่างไรก็คงไม่พอสำหรับซื้อไก่อ้วนถึงสิบสองตัวและเลี้ยงวัวอีกเป็นคอก อีกทั้งจำได้ว่าเจ้าของร่างเดิมไม่มีบุพาการีหรือคนอุปถัมภ์ที่ไหน แล้วนางจะมีปัญญาไปซื้อไก่ซื้อวัวมาให้สามีดูเล่นแบบนี้ได้อย่างไร
“ไม่มีแล้ว” เขาตอบ
เฉินหนัวอิงตกตะลึง “แล้วไก่อ้วนกับวัวอีกเป็นคอกเล่ามาจากไหน?”
“ข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน ตั้งแต่ข้ามาอยู่ก็เห็นแล้ว แต่เท่าที่พอได้ยินจากคนในหมู่บ้าน ฟังว่าเป็นเพราะอดีตคู่หมั้นของต้าเจี่ยทำผิดสัญญาหมั้นหมาย ถึงได้ส่งวัวส่งไก่มาให้ต้าเจี่ยเป็นการชดเชย”
มู่หยางพูดจบก็มองเฉินหนัวอิงด้วยสีหน้าใคร่รู้ “หรือต้าเจี่ยอยากทำอย่างอื่นเพิ่มอีก? ข้าเพิ่งคิดได้ อย่างไรช่วงฤดูหนาวพวกเราก็ว่างงาน หากคิดจะทำจริงๆ สองคนร่วมแรงกันทำงานก็ไม่นับว่าลำบากจนเกินไป”
เฉินหนัวอิงไม่ได้ตอบมู่หยางในทันที เพียงยกชาขึ้นจิบพลางจัดการความคิดร้อยแปดในหัว
พูดถึงเรื่องคิด ก่อนหน้านี้ ความจริงเธอก็เคยคิด
ยังไงเธอก็ถือเป็นบัณฑิตที่เพิ่งจบการศึกษา มีความฝันว่าอยากร่ำรวยทั้งที อย่างน้อยก็คงต้องหาลู่ทางว่าจะร่ำรวยจากอะไร แต่เผอิญว่าความสนใจของเธอในช่วงเป็นนักศึกษามุ่งไปที่ธุรกิจ E-commerce[3] ที่กำลังได้รับความนิยมในจีนแผ่นดินใหญ่ มีความคิดริเริ่มอยากจะพัฒนา Application[4] เกี่ยวกับ Online marketplace[5] เพื่อเข้ามาเป็นผู้เล่นรายใหม่ในตลาด ยิ่งไปกว่านั้น เธอยังไม่คิดเปล่า แต่ได้ดำเนินการติดต่อเพื่อนต่างคณะที่มีวิสัยทัศน์ตรงกันมาจัดตั้งทีมทำ Start-Up[6] ไว้เรียบร้อยแล้ว เสียก็แต่ใครมันจะไปรู้ว่าเฉินหนัวอิงคนนี้จะอายุสั้น ตายก่อนวัยอันควรเพราะอุบัติเหตุตอนอายุแค่ยี่สิบสอง แถมยังกลับมาเกิดใหม่ในยุคโบราณที่ไม่มีแม้กระทั่งไฟฟ้าหรือสัญญาณอินเทอร์เน็ต แผนการที่เคยวางไว้จึงกลายเป็นสูญเปล่า พังครืนในพริบตา
แต่นั่นเป็นเรื่องในชาติภพก่อน เธอถือคติว่าเรื่องที่ผ่านไปแล้วก็ให้แล้วกันไป เฉินหนัวอิงเป็นคนอยู่กับปัจจุบันและมองไปในอนาคตเสมอ การที่ให้มู่หยางพาออกมาวันนี้ก็เพื่อมองหาลู่ทางการทำธุรกิจใหม่ๆ บุกเบิกเส้นทางทำมาหากิน ซึ่งจากการวิเคราะห์ของเธอในเบื้องต้น สำหรับครอบครัวของเฉินหนัวอิงในเวลานี้ คำว่าลืมตาอ้าปากหรือร่ำรวยอะไรทำนองนี้ดูเป็นเรื่องไกลตัวยิ่ง
จะไม่ไกลตัวได้อย่างไร หากมองสภาพเศรษฐกิจและสังคมโดยรวมของหมู่บ้านเฟิงมี่ตงเป่ยและใกล้เคียง ชาวบ้านล้วนทำอาชีพเกี่ยวกับกสิกรรมและปศุสัตว์เพื่อเลี้ยงชีพ ในฤดูกาลเก็บเกี่ยวก็จะนำผลผลิตออกขายในช่วงไล่เลี่ยกัน เมื่อเวลานั้นมาถึงก็จะมีสินค้าประเภทเดียวกันล้นตลาดทำให้ราคาสินค้าตกต่ำ อีกอย่าง สินค้าเชิงเกษตรเหล่านี้ยังมีความเสี่ยงจากดินฟ้าอากาศที่ควบคุมไม่ได้ ไม่รู้ว่าหลังเพาะปลูกจะสามารถเก็บเกี่ยวผลผลิตได้เท่าไหร่ ทำให้ไม่สามารถคาดการณ์รายได้ได้ล่วงหน้ากระทั่งสามารถบอกได้ว่าเป็นธุรกิจประเภทรายได้ผันผวนแต่ต้นทุนคงที่ ยิ่งไปกว่านั้น ยังมีปัญหาเกี่ยวกับเรื่องกลุ่มลูกค้า เพราะนอกจากจะผลิตสินค้าซ้ำกันออกมาในปริมาณมากแล้วยังไม่รู้จะขายให้ใคร เพราะในทุกครัวเรือนก็ล้วนทำอาชีพเดียวกันทั้งสิ้น นั่นไม่เพียงเป็นเหตุผลให้ผู้ขายต่อรองราคาไม่ได้ ยังทำให้ราคาสินค้าชนิดนี้ผันผวนไปตามความต้องการของผู้ซื้อในขณะนั้นด้วย
ยกตัวอย่างง่ายๆ เช่น สมมติว่ารัชศกไท่ซงปีที่สิบห้า หมู่บ้านทางตอนเหนือผลิตส้มออกมาได้มากกว่าปกติ ขายให้คนในท้องที่ไม่ได้ราคาเพราะไม่ว่าบ้านไหนก็ปลูกเหมือนกัน และถึงแม้จะสามารถลำเลียงลงใต้ไปขายในเมืองหลวงได้ แต่ก็ถูกกดราคาจากพ่อค้าคนกลาง เพราะพ่อค้าคนกลางมีสิทธิ์เลือกซื้อจากหลายเจ้า ชาวบ้านหากอยากขายสินค้าในไร่ของตัวเองออกไปก็ต้องปรับราคาลงจนถึงขีดสุด หรือต่อให้บ้านไหนมีต้นทุนพอที่จะหอบลงใต้ไปเปิดหน้าร้านขายเองในเมืองหลวงได้ ผลลัพธ์ก็ไม่ค่อยแตกต่าง เพราะมีผลผลิตมากเกินกว่าความต้องการของผู้บริโภค ต้องรู้ก่อนว่าไม่ว่าสินค้าที่ผลิตออกมาได้มามีมากขนาดไหน แต่ความต้องการของผู้บริโภคก็ยังมีจำกัด ไม่สามารถซื้อของที่นำออกขายในตลาดได้ทั้งหมด จึงเป็นเหตุให้เกิดกลไกที่ว่าหากอยากขายก็ต้องลดราคา กระทั่งเกิดเหตุการณ์นี้ในทุกร้านค้า สุดท้ายราคาสินค้าก็ปรับตัวลงอย่างช่วยไม่ได้
แต่เธอก็ไม่ได้บอกว่าการประกอบอาชีพเช่นนี้จะไม่มีวิถีทางร่ำรวยเลย นั่นก็เพราะธุรกิจเกี่ยวกับผลิตผลทางการเกษตรและสินค้าโภคภัณฑ์ภาคปศุสัตว์เป็นหนึ่งในสี่ของปัจจัยที่มีความจำเป็นต่อการยังชีพ แต่ส่วนมากการจะร่ำรวยจากธุรกิจประเภทนี้เกิดจากการเป็นเจ้าของสวนขนาดใหญ่ที่สามารถซื้อวัตถุดิบเพาะปลูกได้ในราคาถูกกว่า และมีอำนาจต่อรองในการนำออกขาย เพราะฉะนั้น ถ้าย้อนกลับมามองครอบครัวของเฉินหนัวอิงที่เล็กกระจิดมีไก่แค่สิบสองตัว ฟาร์มวัวหนึ่งคอก และไม่มีที่ดินเป็นของตัวเอง การจะร่ำรวยจากธุรกิจที่มี margin[7] ต่ำและเป็นสินค้าที่วางขายเกลื่อนตลาดก็แทบจะเป็นไปไม่ได้
แต่ตั้งแต่เธอเข้ามาสิงในร่างนี้
ทุกอย่างก็ได้เปลี่ยนไป!
ทุกสิ่งที่ดูเหมือนไกล พออยู่ในมือเฉินหนัวอิงคนใหม่ก็กลายเป็นใกล้พอจะเอื้อมมือคว้า!
เฉินหนัวอิงวางจอกชาในมือลง ยื่นแขนข้างหนึ่งไปโน้มคอมู่หยาง ถาม
“เรื่องที่ต้าเจี่ยจะทำ มู่มู่จะสนับสนุนสุดความสามารถหรือไม่?”
มู่หยางหันหน้ามองเธอด้วยดวงตาสว่างวาบ “ต้าเจี่ยจะทำอะไรหรือ?”
“ถ้าไม่ใช่ฆ่าไก่ในเล้า ล้มวัวในคอก ข้าก็สามารถทำให้ต้าเจี่ยได้ทั้งสิ้น”
เฉินหนัวอิงหัวเราะเล็กน้อย “เมื่อครู่เดินผ่านแถวโรงเตี๊ยมเซิ่งฝู ได้ยินว่าฮูหยินเอกของรองเจ้ากรมคลังจากเมืองหลวงมารักษาตัวที่คฤหาสน์แถวเมืองเผิงเฉิงหลังคลอด มู่มู่รู้จักคฤหาสน์หลังนั้นหรือไม่?”
“หืม…ต้าเจี่ยรู้จักนางหรือ?”
“ไม่รู้จัก”
“เช่นนั้นต้าเจี่ยถามข้าทำไม อย่าบอกนะว่า…” มู่หยางเอามืออุดปาก ทำตาโตมองเฉินหนัวอิง
“ได้ข่าวว่าเจี่ยงซื่อ[8]นำผู้คุ้มกันส่วนตัวมาเป็นโขยง พวกเขาล้วนหน้าตาดุร้าย ฝีมือไม่ธรรมดา กับข้าไม่เท่าไหร่ ข้ากลัวก็แต่ต้าเจี่ย ถ้าเห็นพวกเขาแล้วหัวใจวายขึ้นมาจะทำอย่างไร ไม่ได้ไม่ได้ ไม่ไปเด็ดขาด”
เฉินหนัวอิงปล่อยมือจากคอเขาแล้วกอดอก “ต้าเจี่ยเป็นคนขี้กลัวขนาดนั้นหรือ มู่มู่ไม่พาต้าเจี่ยไป ต้าเจี่ยก็คงต้องหาวิธีไปเอง”
พูดจบก็สะบัดหน้าไปอีกทาง แอบเหล่มองมู่หยางที่ใบหน้าง้ำงอเหมือนกำลังครุ่นคิดอย่างหนัก
เขาถอนหายใจเฮือกหนึ่งอย่างอ่อนใจ พยักหน้าเล็กน้อยถือว่ารับคำ
“ว่าแต่ต้าเจี่ยไม่รู้จักเจี่ยงซื่อแล้วจะไปหานางทำไม”
เฉินหนัวอิงอมยิ้ม ทำสายตาเจ้าเล่ห์ ป้องปากตอบเสียงใส “ไปศึกษาว่าที่ลูกค้าในอนาคต”
พูดจบก็ยกน้ำสกัดหยางกานจวี๋ขึ้นซดหมดในรวดเดียว เปลี่ยนเป็นคล้องแขนเขา
มู่หยางเข้าใจสัญญาณที่เฉินหนัวอิงส่งให้ รีบจ่ายเงินแล้วเดินออกจากร้านทันที
เฉินหนัวอิงมองหน้ามู่หยางอย่างเคลิบเคลิ้ม รอยยิ้มเจิดจ้าปรากฏเต็มหน้า ตบบ่าพูดกับเขา
“ยังต้องพึ่งความสามารถของมู่มู่แล้ว พวกเรารีบกลับบ้านกันเถอะ ข้ายังจำหน้าไก่ไม่ได้ มิสู้กลับไปมู่มู่ตามพวกมันมาให้ข้าจำหน้าสักหน่อย”
ถึงมู่หยางจะไม่เข้าใจว่านางพูดอะไร ไม่เข้าใจว่าทำไมนางถึงเบิกบาน ไม่เข้าใจว่าทำไมนางถึงยิ้ม แต่นางยิ้มก็พอแล้ว
“อื้ม” มู่หยางพยักหน้าเต็มแรง จากนั้นกุมมือเฉินหนัวอิงไว้แน่น
“เช่นนั้นพวกเรากลับบ้านกัน ข้าจะเรียกพวกมันมาให้ต้าเจี่ยจำหน้าทุกตัว!”
[1] ผลไม้เคลือบน้ำตาลเสียบไม้ ตำรับดั้งเดิมผลไม้ที่ใช้จะเป็นซานจาหรือพุทราป่า (Chinese Hawthorn berry)
[2] เป็นช่วงที่น้ำค้างเริ่มเกาะบนใบไม้ของฤดูใบไม้ร่วง อากาศเริ่มเย็นลง เริ่มประมาณวันที่ 7,8 หรือ 9 กันยายนเป็นต้นไป
[3] มาจากคำว่า Electronic commerce แปลว่าการพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ เป็นการทำธุรกิจการซื้อขายสินค้าหรือบริการผ่านช่องทางอิเล็กทรอนิกส์ เช่น โทรทัศน์ วิทยุ แต่ที่เป็นที่นิยมมากคืออินเทอร์เน็ต
[4] แปลตรงตัวคือตลาดบนโลกออนไลน์ มักอยู่ในแพล็ตฟอร์มเว็บไซต์ออนไลน์หรือแอปพลิเคชันโดยมีจุดประสงค์เพื่อการซื้อขาย
[5] โปรแกรมที่อำนวยความสะดวกที่ออกแบบมาเพื่ออุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่ใช้ในชีวิตประจำวัน เช่น โทรศัพท์มือถือหรือแท็บเล็ต
[6] ธุรกิจเกิดใหม่โดยมีลักษณะการเติบโตของยอดขายที่ก้าวกระโดดในช่วงทำเงินจากการใช้เทคโนโลยีมาเป็นตัวช่วย
[7] แปลว่าส่วนต่าง ในที่นี้หมายถึงส่วนต่างระหว่างรายได้และต้นทุนขาย
[8] “ซื่อ” หมายถึงสกุล ใช้ตามหลังชื่อสกุลสตรีที่ออกเรือนแล้ว เพื่อบอกว่าเป็นสตรีที่มาจากสกุลใด แต่บางครั้งจะมีการเติมแซ่ของสามีไว้ด้านหน้า เพื่อบอกว่าสตรีนางนี้มาจากสกุลใดและสมรสเข้าสกุลใด
ความคิดเห็น