คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : 2 ปณิธานของเฉินหนัวอิงกับความจริงที่โหดร้าย
เฉินหนัวอิงในภพเดิมเป็นคนตื่นสาย วันนี้พอถูกเสียงนกเสียงไก่วุ่นวายปลุกจนต้องลืมตาขึ้นมาตั้งแต่ยามเหม่า[1]ก็รู้สึกหงุดหงิด เดินกระฟัดกระเฟียดออกมาจากห้องด้วยสายตาแทบพ่นไฟในทุกฝีก้าว
เสียง “ปึง” ดังขึ้นทีหนึ่ง เฉินหนัวอิงก็นั่งลงกับเก้าอี้ไม้เก่าคร่ำ ตอนนี้เธอถึงได้กวาดสายตาไปรอบบ้าน ยังไม่ทันมองอย่างละเอียดก็ต้องขอเวลานอกปลุกปลอบหัวใจตัวเองที่จู่ๆ หดหู่ขึ้นมาอย่างเฉียบพลัน คล้ายยังยอมรับความจริงที่เกิดขึ้นในระยะเวลาอันสั้นไม่ได้ ก่อนถอนหายใจคราหนึ่ง สะบัดไล่ความฟุ้งซ่านในหัว ทำใจอยู่กับปัจจุบันแล้วกวาดตามองพินิจสภาพบ้านอย่างละเอียด
ตอนนี้เธอกำลังอยู่ในกระท่อมซอมซ่อแห่งหนึ่ง ในกระท่อมมีห้องแค่สามสี่ห้องที่เชื่อมถึงกัน เป็นต้นว่าห้องรับรองแขก ห้องครัวและห้องนอน สภาพภายนอกแค่มองปราดเดียวก็รู้ว่าผ่านการใช้งานมานานโดยที่ผู้อาศัยไม่มีแก่ใจไปทะนุบำรุง ข้าวของที่ใช้ล้วนเป็นงานฝีมือหยาบๆ จากคนในท้องถิ่น เครื่องเรือนทุกชิ้นมีลักษณะเรียบง่ายเน้นอรรถประโยชน์การใช้สอย จากมุมมองของเฉินหนัวอิง ในเชิงภาพรวมนับว่าไม่ต่างจากที่คิดไว้เท่าไหร่ ไม่มีอะไรดีเกินไปและแย่เกินไปสำหรับฐานะนี้ทั้งสิ้น
กวาดสายตามองรอบทิศอยู่นานท้องก็เริ่มครวญครางด้วยความหิว อาจเพราะเจ้าของร่างเพิ่งตกน้ำไปเมื่อวาน เธอถึงรู้สึกว่าหน้าผากร้อนผ่าวเหมือนมีไข้เล็กน้อย ตอนนี้อยากหาอะไรอุ่นๆ รับประทาน จึงหยัดกายลุกแล้วมองหาวัตถุดิบประกอบอาหารง่ายๆ แต่คิดไม่ถึงตอนที่เธอผุดลุก กลับหน้ามืดจนวูบ ขณะคิดว่าตัวเองกำลังจะร่วงไปกองกับพื้นอย่างสุดอนาถก็มีใครคนหนึ่งยื่นมือเข้ามารับเธอไว้ในอ้อมแขน
“หนัวหนัวยังไม่หายดี วันนี้สมควรพักผ่อน ไม่จำเป็นอย่าออกมาเดินตากลมข้างนอก” เขาพูด
ท่ามกลางความเงียบในชั่วอึดใจและน้ำเสียงนุ่มนวลราวกับสีเงินยวงของพระจันทร์ เฉินหนัวอิงกลับจินตนาการในหัวได้ถึงภาพพระเอกที่เดินออกมาจากในซีรีส์ ทว่าฉับพลันที่เงยหน้าขึ้นมา กลับพบผู้ชายสวมผ้าคลุมหัวไว้ทั้งผืน!
เฉินหนัวอิงตกใจจนสติแจ่มชัดในพริบตา ผละกายออกจากอ้อมแขนเขาอย่างรวดเร็ว พอเห็นเขามองมาด้วยสายตาหาพิรุธก็ปัดไม้ปัดมือกลบเกลื่อน จังหวะนั้นเหมือนกระเพาะอาหารกู้หน้าให้เธอได้ทันท่วงที ส่งเสียงโครกครากออกมาดังลั่นชนิดไม่ต้องขยายเสียงด้วยไมโครโฟน เธอจึงลูบหน้าท้องแบนราบของตัวเองเบาๆ เม้มปากเล็กน้อย “ข้าหิว”
เฉินหนัวอิงได้ยินเสียงหัวเราะจากอีกฝ่าย เธอสะบัดตัวในทันใด ก่อนจ้ำพรวดพุ่งตรงไปที่ห้องครัวตามที่เธอได้ใช้สายตาสำรวจอย่างละเอียดไปเมื่อครู่ แต่พอมาถึงห้องครัวจริงๆ กลับต้องตกตะลึงอ้าปากจนกรามค้าง
ปกติอาหารง่ายๆ อย่างข้าวต้มไข่เจียวก็ไม่ใช่ว่าเธอจะทำไม่เป็น
แต่เธอลืมไปว่าที่นี่ไม่มีกระทะไฟฟ้า!
มองไปยังเตาถ่านที่ไม่มีสัญญาณว่าไฟจะจุดติดขึ้นได้เอง เฉินหนัวอิงถึงกับเบะปากอยากร้องไห้ขึ้นมากะทันหัน นึกเสียใจที่ตัวเองทำอวดเก่งในตอนแรก ถ้าย้อนกลับไปได้เธอน่าจะแกล้งไม่มีแรงยกหม้อยกไหแล้วใช้ให้สามีหุงหาอาหารให้กิน
เฉินหนัวอิงเจ้าของร่างเดิมเป็นสตรีชนบท แต่เดิมเรื่องทำอาหารก็ต้องเชี่ยวชาญระดับหนึ่งอยู่แล้ว แต่เธอในตอนนี้ไม่มีปัญญาแม้แต่จุดไฟ ในเมื่อเขาเป็นสามีก็ย่อมมองสิ่งที่เปลี่ยนไปของภรรยาออกได้ไม่ยาก น่าเวทนาก็แต่เฉินหนัวอิงคนใหม่ เพิ่งเข้ามาสิงร่างได้วันแรกก็ทำตัวให้ถูกจับได้แบบนี้ แล้ววันต่อไปเธอจะใช้ชีวิตให้กลมกลืนได้อย่างไร
กว่าจะรู้ตัว สามีก็สืบเท้าก้าวขึ้นหน้าเดินเข้ามาอีกหลายก้าว เขาคลุมผ้าหยาบๆ ผืนหนึ่งไว้เผยให้เห็นแต่ดวงตาคมกริบ เฉินหนัวอิงพลันแผ่นหลังสะท้านวูบ รู้สึกเหมือนกำลังถูกคุกคาม ถอยร่นไปหลายก้าว กระทั่งเสียงของเขาดังขึ้น
“หนัวหนัว ข้ารู้ความจริงหมดแล้ว เจ้าอย่าได้เห็นข้าเป็นคนอื่น ปิดบังเรื่องนี้แก่ข้า”
เฉินหนัวอิงแทบใจกระดอน ไหนใครบอกผู้ชายบ้านนอกล้วนทึ่มทื่อ แต่เขาแค่มองปราดเดียวก็ดูออกว่าเธอไม่ใช่เฉินหนัวอิงเจ้าของร่าง ไม่ใช่ว่าหัววัวหน้าม้าคิดอยากกลั่นแกล้งเธอซ้ำ แอบเข้าไปกระซิบบอกเขาในฝันหรอกใช่ไหม?
ระหว่างที่เฉินหนัวอิงกำลังใจเต้นโครมครามด้วยความร้อนตัว ไม่รู้ว่าถ้าสามีเฉินหนัวอิงรู้ว่าเธอคนนี้เป็นแค่วิญญาณเร่ร่อนที่มาสิงร่างภรรยาจะจัดการอย่างไร จะเอาไปโพนทะนาให้เป็นเรื่องใหญ่โตหรือไม่ เคยได้ยินว่าในชนบทบางท้องที่ของจีนแม้เป็นในยุคปัจจุบันก็ยังมีแนวคิดต่อต้านภูตผีปีศาจ นี่เธอคงจะไม่ได้กำลังจะถูกจับมัดเผาไฟตายอนาถซ้ำสองใช่ไหม!
“เจ้าตกน้ำ พอฟื้นขึ้นมาก็ทำตัวเลอะเลือนเช่นนี้ คงเป็นอื่นไปไม่ได้”
เขาก้าวเข้ามาถึงตัว ดันเฉินหนัวอิงแนบชิดติดผนัง ใช้มือยันไว้ข้างหนึ่งไม่ให้เธอหลบหนี เฉินหนัวอิงแทบอยากปล่อยโฮขึ้นมา โดนจับได้คราวนี้ เธอคงต้องกลายเป็นวิญญาณเร่ร่อนโดยสมบูรณ์!
“เจ้าก็ความจำเสื่อมเหมือนข้าใช่ไหม”
เฉินหนัวอิงเบิกตากว้างอย่างคาดไม่ถึง
บุรุษกลอกตาไปมาเล็กน้อย คล้ายกำลังระลึกความทรงจำ “ตอนนั้นที่เจ้าเก็บข้ามาได้ ข้าก็ความจำเสื่อมเหมือนกัน พอตื่นมาก็สับสนแบบนี้ หนัวหนัวเมื่อวานเพิ่งตกน้ำ พอตื่นขึ้นมาก็ทำตัวแปลกๆ ถึงข้าไม่ใช่หมอแต่พอมองสภาพการณ์ออก เจ้าต้องความจำเสื่อมเหมือนข้าแน่นอน แต่หนัวหนัวไม่ต้องห่วง นี่ไม่ใช่เรื่องน่าอาย เจ้ายังมีข้าความจำเสื่อมเป็นเพื่อน!”
พูดจบพลางตบอกตัวเองแรงๆ สองที!
เฉินหนัวอิงเข่าแทบทรุด เหมือนนักโทษประหารที่เพิ่งได้รับพระราชทานอภัยโทษ ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก ในเมื่อเขาเปิดทางให้เธอขนาดนี้แล้ว ก็ไม่มีความจำเป็นอะไรต้องเดินไปทางอื่น
วินาทีนั้นเฉินหนัวอิงจึงตัดสินใจอย่างห้าวหาญ สวมรอยเป็นคนความจำเสื่อม!
อย่าคิดว่าหัววัวหน้าม้าจะใจดีกับเธอขนาดนั้น จริงอยู่ที่พวกเขายื่นประวัติของเฉินหนัวอิงคนเดิมให้อ่านก่อน แต่เธอเพิ่งอ่านได้ไม่เกินสามบรรทัด ก็โดนผลักเข้ามาสิงร่างแบบงงๆ
นอกจากรู้ว่าเจ้าของร่างชื่อเฉินหนัวอิง อายุสิบห้า กำพร้าบุพการี มีสามีสมองเสื่อม ก็ไม่รู้อย่างอื่นอีก ไม่รู้เหตุผลและช่วงเวลา ไม่รู้ถึงสาเหตุที่ผู้หญิงคนนี้คิดสั้นฆ่าตัวตายด้วยซ้ำ
โครกคราก!
เป็นเสียงพยาธิในท้องที่กำลังโอดครวญของเธออีกแล้ว เฉินหนัวอิงพยักหน้าอย่างแรงสองสามที ยกมือลูบท้ายทอยพลางแลบลิ้น ในใจคิดอยากจะหัวเราะคำพูดของเขาออกมาดังๆ ไม่รู้เขาไปจำมาจากงิ้วโรงไหนถึงได้ตั้งคำถามออกมาเช่นนี้ ถามอะไรไม่ถาม ถามว่า “เจ้าความจำเสื่อมเหมือนข้าใช่หรือไม่” แล้วคนความจำเสื่อมที่ไหนจะรู้ตัวว่าตัวเองความจำเสื่อม! ทว่าถึงคิดในใจแบบนั้นกลับแสดงออกมาแค่อาการหลุบตาลงต่ำอย่างน่าสงสาร พูดตะกุกตะกัก
“ความจำเสื่อมหรือ? ดูท่า…จะเป็นแบบนั้น”
ได้ยินดังนั้นแววตาของเขาก็อ่อนโยนขึ้นมาก ส่งเสียงดัง “ฮึ่ม” พลางพยักหน้าอย่างแรง ยกแขนขึ้นสองข้างดันไหล่เฉินหนัวอิงแล้วกดลงนั่งบนเก้าอี้ “เช่นนั้นหนัวหนัวนั่งรออยู่ตรงนี้ เดี๋ยวข้าทำกับข้าวอร่อยๆ ให้เจ้ากิน”
เฉินหนัวอิงนั่งรออย่างเชื่อฟัง โต๊ะไม้อยู่ห่างจากครัวไม่มาก เธอเท้าคางนั่งมองเงาหลังสูงใหญ่อย่างเพลิดเพลิน ด้วยสายตาอันเฉียบคมของสาวสวยในยุคสองพันยี่สิบที่วัฒนธรรมชายหญิงเปิดกว้าง มองจากระยะไกลๆ ก็พอประเมินได้ ส่วนสูงของเขาหากวัดด้วยหน่วยมาตรฐานในยุคของเธอก็น่าจะเกินหนึ่งร้อยแปดสิบห้า ภายใต้ร่มผ้าที่แน่นตึงน่าจะมาจากส่วนของกล้ามเนื้อ หรือถ้าจะให้พูดอย่างรวบรัด รูปร่างของเขานับว่าดีพอที่จะเป็นนายแบบนิตยสาร Vogue[2] ได้ไม่ยาก ผู้ชายสูงโปร่งแบบนี้ในหมู่คนชนบทที่อดๆ อยากๆ คงมีน้อย ไม่แปลกถ้าเฉินหนัวอิงคนเก่าถึงกับใจกล้าไปเก็บเขามาแล้วบังคับให้เป็นสามี
ระหว่างที่คิดเรื่องในหัวร้อยแปดเตรียมจะถามเขาให้กระจ่าง เฉินหนัวอิงก็ได้กลิ่นอาหารลอยมา มือขาวๆ ของบุรุษยกชามชามหนึ่งมาวางไว้ตรงหน้า เฉินหนัวอิงรีบชะโงกหัวไปดูโดยพลัน แต่ชั่วอึดใจ ประกายคาดหวังในดวงตาจำต้องดับวูบ เฉินหนัวอิงหยิบช้อนขึ้นมาคนในข้าวต้ม ตักขึ้นแล้วเอียงปลายช้อนปล่อยให้น้ำข้าวต้มตกสู่จุดเดิม
นี่เรียกว่าข้าวต้มได้ที่ไหน เรียกว่าน้ำเปล่าต้มยังจะสมศักดิ์ศรีซะกว่า!
เฉินหนัวอิงเงยหน้ามองเขา เม้มปากแน่น ทำหน้าเหมือนได้รับความไม่เป็นธรรมอย่างแสนสาหัส
เขาทำตาละห้อยเล็กน้อย ถึงพูดออกมา “ตอนนี้เป็นฤดูใบไม้ร่วงแล้ว อาหารที่กักตุนไว้ยังต้องเผื่อหน้าหนาว ทำข้าวต้มทีหนึ่งข้าก็เลยใส่น้ำเยอะหน่อย อีกสองสามเดือนข้างหน้าพวกเราจะได้ไม่ลำบากจนเกินไป”
เฉินหนัวอิงตกตะลึงจนกรามค้าง ที่ว่าฐานะยากจนก็คือจนแสนจนจริงๆ จนจนยากจะลืมตาอ้าปาก จนถึงขนาดข้าวต้มยังมีน้ำเยอะกว่าข้าว!
เธอเริ่มอยากตายขึ้นมาอีกรอบ อย่างน้อยเป็นวิญญาณลอยไปลอยมาก็ไม่มีความรู้สึกหิว!
ถึงในใจคิดอย่างนั้น แต่เฉินหนัวอิงไม่ใช่คนที่จะทำร้ายความรู้สึกคนรอบข้าง ความจริงเรื่องนี้มันก็ไม่ใช่ความผิดเขา ถ้าจะผิดก็ผิดที่ความจน!
เฉินหนัวอิงสูดหายใจเข้าลึก กดข่มอารมณ์พลุ่งพล่านของตัวเอง สอดส่ายสายตามองออกไปนอกหน้าต่าง เอ่ยถามเขาอย่างใจเย็น “ใกล้ฤดูหนาวแล้วต้องกินอยู่อย่างประหยัดข้าเข้าใจได้ แต่บ้านเราไม่มีวัวไม่มีไก่เอามาทำเป็นน้ำแกงกินแกล้มเลยหรือ? อย่างน้อยข้าวต้มชามนี้ใส่ไข่ไก่ลงไปด้วยก็ยังดี”
เฉินหนัวอิงฉีกยิ้มกว้างจนตาเป็นรูปพระจันทร์โค้ง กะพริบตาปริบๆ
เขานิ่งชะงักไปนิดหนึ่ง จากนั้นพยักหน้า “ความจริงก็มี”
เฉินหนัวอิงได้ยินดังนั้นก็ตบไม้ตบมือ ส่งสายตาอ้อนวอนไปทางเขา
“แต่เห็นว่าเจ้าหิวมากจนท้องร้องโกรกๆ ข้าคิดว่าคงไม่มีเวลาพอไปจับมาให้เจ้า”
เฉินหนัวอิงวางมือสองข้างตะปบโต๊ะในทันใด “ไฉนต้องไปจับ? พวกเราไม่ได้เลี้ยงไก่ไว้ในเล้าเลี้ยงวัวไว้ในคอกหรือ?”
เขาส่ายหน้า “อืม…วัวอยู่ในคอกจริง แต่พอข้าจ้องตามันเมื่อไหร่ก็สงสาร หักใจล้มไม่ลง ส่วนไก่ข้ากลัวพวกมันอยู่ในเล้าแล้วอุดอู้ แต่ไหนแต่ไรก็ปล่อยให้พวกมันไปเดินเล่นตามใจ…”
พอพูดถึงตรงนี้ ดวงตาเขาก็สว่างวาบ พูดด้วยน้ำเสียงภาคภูมิใจดุจลูกในไส้สอบได้ตำแหน่งจ้วงหยวน[3]
“แต่มันรักดียิ่ง ไม่เคยถูกบ้านอื่นจับได้ เดินกลับมานอนในเล้าได้ครบทุกตัวทุกคืน”
“…”
เขายังมองออกไปนอกหน้าต่างด้วยดวงตาเป็นประกาย ประหนึ่งนักธุรกิจมือทองผู้วิสัยทัศน์กว้างไกลมองแนวโน้มเศรษฐกิจในไตรมาสใหม่ “เช้ามาก็ไข่ไว้ให้พวกเราตัวละฟองสองฟอง ตั้งแต่ก่อนยามเหม่าข้าก็เก็บไปขายที่ตลาดจนหมด ก่อนหน้านี้เจ้าเก็บเนื้อเก็บตัวไม่ค่อยกินข้าวกินปลาบอกว่าจะลดน้ำหนัก ข้าเลยไม่ได้เก็บไว้ให้ กลัวเจ้าจะโกรธแล้วพาลอารมณ์เสียใส่ข้าอีก วันนี้เจ้าหิวข้าก็รีบทำข้าวต้มให้โดยไม่ทันคิด แต่ถึงข้าจะทันคิดก็คงไปจับไก่มาเบ่งไข่ให้เจ้ากินไม่ทัน”
ทุกประโยคของเขาราวกับไม้ตีกลองฟาดบนหัวใจเฉินหนัวอิงซ้ำๆ เธอว่าเขาไม่ได้แค่สมองเสื่อมแล้วล่ะ เขาน่าจะสมองมีปัญหามากกว่า มีอย่างที่ไหนชีวิตตัวเองยังแทบจะเอาไม่รอด ยังมีหน้ามาห่วงชีวิตสัตว์โลกจนไม่อาจหักใจฆ่าแกง!
โอเค เฉินหนัวอิงยอมรับชะตากรรม มื้อเช้าต้อนรับชีวิตในภพใหม่ เป็นข้าวต้มที่น้ำมากกว่าข้าวก็ไม่เลว
เธอกินหนึ่งชาม เขากินหนึ่งชาม กินเสร็จเขาก็ยกภาชนะเปล่าไปล้าง
เฉินหนัวอิงยังมีปัญหาอีกเป็นพันเรื่องที่อยากถามเขา
พอเขากลับเข้ามานั่งอีกครั้ง เฉินหนัวอิงก็ถือวิสาสะรั้งแขนเขาไว้อย่างกระตือรือร้น ถามด้วยสายตาเป็นประกาย
“แถวนี้มีสัตว์อสูรหรือไม่? หรือเป็นโลกแห่งสัญญาพันธะวิญญาณ ฝึกปรือพัฒนาลมปราณได้?”
คำถามที่ไร้ที่มาที่ไปทำให้บุรุษถึงกับงงวูบ อึ้งค้างไปพักใหญ่ ถึงตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงแปลกพิกล
“หนัวหนัว เจ้าพูดถึงเรื่องอะไร?”
เฉินหนัวอิงไหล่ตกทันที เห็นปฏิกิริยาของเขาก็รู้ว่าโลกนี้ไม่ใช่โลกเวทย์มนต์ตามนิยายที่มีพล็อตเรื่องอย่างเช่น หญิงสาวตายแล้วเกิดใหม่ในโลกแห่งลมปราณ เก็บสมุนไพรและสัตว์วิญญาณขายจนร่ำรวย ตัดความหวังสายสุดท้ายของเฉินหนัวอิงจนขาดสะบั้น พูดอย่างไม่อ้อมค้อมก็คือในชาติภพเดิมก่อนตายเธอมีความฝันว่าในชีวิตนี้จะต้องร่ำรวยสักครั้ง จู่ๆ ชีวิตพลิกผันไม่ทันได้ทำปณิธานให้ลุล่วงก็ต้องมาสิ้นใจเพราะยมทูตเฮงซวยเก็บวิญญาณผิดดวง พอได้มาเกิดใหม่อีกครั้ง กลับยังอยากเดินตามเส้นทางเดิม เป็นเศรษฐีนีอันดับหนึ่งในแผ่นดินให้ได้
เธอรู้ดีตั้งแต่ลืมตามาในชาติภพนี้ เฉินหนัวอิงคนที่เธอมาสิงร่างไม่ใช่คุณหนูตระกูลใหญ่หรือองค์หญิงผู้สูงศักดิ์ที่ไหน คนเหล่านี้แม้ตามในนิยายจะเกิดมาชะตาอาภัพ แต่การจะสร้างเนื้อสร้างตัวกลับไม่ใช่เรื่องยาก
เพราะพวกนางไม่ว่าจะเป็นสมบัติพัสถานหรือศักดิ์ฐานะที่ได้รับโดยชาติกำเนิด กอปรกับทุนทรัพย์และความสัมพันธ์ส่วนตัวระหว่างชนชั้นสูง ล้วนแล้วแต่สามารถนำมาลงทุนให้งอกเงยผลิดอกออกผลได้ทั้งสิ้น แบบนี้จะไม่ร่ำรวยได้อย่างไร? ลองจำลองภาพง่ายๆ หากเจ้าเป็นคุณหนูตระกูลดีแต่นิสัยดื้อรั้นสักคน คิดอยากยืนด้วยลำแข้งตัวเองก็เอาสินเดิมมารดามาเปิดโรงน้ำชาสักร้าน ใช้ความสัมพันธ์ส่วนตัวที่ได้จากงานจิบชาชมบุปผาของชนชั้นสูงเชื้อเชิญพวกคุณหนูคุณชายคนใหญ่คนโตให้แวะเวียนเข้ามาใช้บริการ ที่เหลือก็เป็นเรื่องของการรักษาคุณภาพของอาหารและบริการให้อยู่ในระดับที่น่าพึงพอใจ เท่านี้ก็สามารถยืนหยัดในเมืองหลวงได้อย่างไม่น้อยหน้า กลับกันหากไม่มีเงินทุนและคอนเนคชัน คนคนหนึ่งกว่าจะหาเงินมาเปิดกิจการสักอย่างหนึ่งคงลำบากไปหลายสิบปี นี่ยังไม่รวมการต้องคิดกลยุทธ์เรียกคนเข้าร้านอย่างยากลำบาก เปรียบเทียบเผินๆ ดูก็รู้แล้วว่าแบบไหนน่าจะราบรื่นมากกว่าและประสบความสำเร็จเร็วกว่า ตัวอย่างในโลกยุคปัจจุบันก็ไม่ใช่ไม่มีให้เห็น อาทิเช่นทายาทเจ้าของกิจการที่แยกตัวออกไปทำธุรกิจเป็นของตัวเองแล้วประสบความสำเร็จตั้งแต่อายุยังน้อย คนเหล่านั้นไม่เพียงมีเงินทุนและคอนเนคชันที่นำมาซึ่งโอกาส ยังได้รับคำปรึกษาจากผู้ใหญ่ในบ้านที่สั่งสมประสบการณ์มานานปี ผู้เต็มเปี่ยมไปด้วยวิสัยทัศน์และหน้าตาทางสังคม แล้วธุรกิจของพวกเขาเหล่านั้นจะไม่สำเร็จอย่างไรได้ นี่ไม่ใช่การดูถูกว่าพวกเขาไม่พยายาม แต่กลับต้องยอมรับความจริงว่าคนที่ไม่มีต้นทุนเหล่านี้ต้องใช้ความพยายามมากกว่าพวกเขาหลายเท่าตัว
แต่อย่างไรก็ตาม การที่ไปเกิดในแวดวงคนชั้นสูงเหล่านั้นไม่ได้ ความจริงเรื่องนี้เธอก็ตัดใจได้แล้ว แต่ยังอดไม่ได้ที่จะนึกถึงความเป็นไปได้อีกข้อหนึ่ง ถึงไม่มีทุนทรัพย์และคอนเนคชัน การหาเงินอีกรูปแบบหนึ่งก็คือการทำอาร์บิทาร์จ[4]จากสินค้าประเภทซื้อถูกขายแพง ตามนิยายที่เคยอ่านก็มีโลกบางประเภทที่สามารถขายสินค้าได้โดยไร้ต้นทุน อย่างเช่น ขายสมุนไพรหายากที่บังเอิญเก็บได้แบบงงๆ ขายสัตว์วิญญาณที่จับได้จากป่าลึก จริงอยู่สินค้าเหล่านี้ก่อนจะได้มาก็ต้องลงแรงซึ่งสามารถนำไปเทียบเป็นตัวเงินได้ในภายหลัง แต่นี่จะเทียบอะไรกับราคาของมันที่สูงลิบลิ่วถึงขนาดเปลี่ยนยาจกเป็นเศรษฐีได้ภายในชั่วข้ามคืน ไม่ว่าจะคิดอย่างไรก็มีแต่คำว่าคุ้มค่าโผล่ออกมาอยู่วันยันค่ำ
โลกวิเศษดังกล่าวถ้าพูดง่ายๆ ก็เหมือนการช้อนซื้อหุ้นที่กำลังจะล้มละลายไม่มีใครเหลือบแลแต่ภายหลังปรากฏว่าผลประกอบการสามารถชนะตลาดจนราคาขึ้นพรวดพราด หรือจะให้พูดอย่างตรงไปตรงมา ก็เป็นวิธีรวยทางลัดแบบหนึ่งของคนที่มีสายตาแหลมคมหรือไม่ก็คนโง่ที่โชคหล่นทับ และถูกต้อง ถึงแม้เธอจะเลือกเกิดไม่ได้ เธอก็ยังอยากจะเป็นคนโง่ที่มีโชคหล่นทับ เพราะฉะนั้นถึงได้หยิบยกคำถามข้อนี้ขึ้นถาม แต่คำตอบที่ได้รับกลับเหมือนตะโกนตอกกลับมาอย่างไม่ไว้หน้า ว่าเฉินหนัวอิงคนนี้ดวงซวยไม่พอ สวรรค์ยังเลือกส่งเธอมาใช้ชีวิตในเส้นทางที่ยากลำบากที่สุด การจะสร้างฐานะให้หลุดพ้นจากความยากจน ไม่เพียงต้องใช้แรงกายแรงใจ ยังต้องเริ่มต้นใหม่จากศูนย์!
หรืออาจจะติดลบด้วยซ้ำ ถ้าความจริงเปิดเผยออกมาว่าเจ้าของร่างกู้หนี้ยืมสินจนมีเงินค้างชำระเป็นภาระก้อนโต!
เฉินหนัวอิงพอคิดได้ถึงตรงนี้ก็อ่อนอกอ่อนใจ แกล้งตายอีกครั้งเลยดีไหมนี่!
หลังเงียบอยู่นาน เฉินหนัวอิงกล้ำกลืนความชอกช้ำแล้วส่ายหน้าเบาๆ ตอบคำถามเขา “ไม่มี ข้า…ถามเล่นๆ ”
จากนั้นยืดตัวขึ้นเล็กน้อย สูดหายใจยอมรับความจริงแล้วเอ่ยถาม “แล้วครอบครัวเรามีกิจการอะไรบ้างหรือไม่?”
เขาเอียงคออยู่นาน เฉินหนัวอิงถึงใช้คำพูดที่ง่ายขึ้น “อย่างเช่น พวกเราทำงานอะไรเพื่อหาเงินประทังชีพ?”
“อ้อ! พวกเราขายผักกับไข่ไก่” เขาพูดด้วยดวงตาสว่างไสว ทำมือไม้ประกอบให้เห็นภาพ “ทางทิศตะวันตกของหมู่บ้านมีที่ดินแปลงใหญ่ที่เป็นศักดินาของขุนนาง ข้าไปรับจ้างปลูกผักที่นั่น ส่วนไข่ไก่ก็ได้จากไก่ในเล้า ข้าเก็บไปขายที่โรงเตี๊ยมทุกเช้าตอนต้นยามเหม่า”
เฉินหนัวอิงสะอึกทันที
เรื่องไข่ไก่ยังพอว่า แต่นี่แม้แต่ที่ดินยังไม่มีเป็นของตัวเอง รับจ้างปลูกผักแล้วได้ส่วนแบ่ง ที่มันจนของโคตรๆ จนชัดๆ !
สาวสวยเจ้าของฉายาอัจฉริยะแห่งคณะบริหารธุรกิจเป่ยต้าถึงกับหน้ามืดขึ้นมาฉับพลัน ตอนนี้เธอยังไม่เห็นหนทางลืมตาอ้าปากเลยสักนิด!
“แต่นี่เข้าฤดูใบไม้ร่วงแล้ว ข้าไม่ต้องไปปลูกผัก จะได้มีเวลามาอยู่เป็นเพื่อนหนัวหนัวได้เต็มที่” เขาพูดเสียงใส
เฉินหนัวอิงปวดหัวจนสะกดอารมณ์ที่พลุ่งพล่านไม่อยู่ ตวาดแว้ด “บอกให้เรียกต้าเจี่ย!”
“เข้าใจแล้วต้าเจี่ย” บุรุษหุบยิ้มโดยพลัน รับคำด้วยน้ำเสียงเศร้าหมอง
เฉินหนัวอิงไม้ได้เห็นสีหน้าของเขา แต่ฟังจากเสียงก็อดรู้สึกผิดมิได้ น้ำเสียงอ่อนลงเล็กน้อย “ต่อไปนี้ก็ให้เรียกต้าเจี่ย เข้าใจหรือไม่?” จากนั้นยื่นมือไปจับผ้าที่คลุมหน้าของเขา เกิดการคาดเดาในใจไปต่างๆ นานา เมื่อคืนอยู่ในความมืด เธอมองเห็นหน้าเขาไม่ชัด แต่ตอนนี้เช้าแล้วกลับเจอเขาใช้ผ้าปิดหน้า กับผู้ชายที่รูปร่างสมบูรณ์แบบแต่ไม่มีความมั่นใจกระทั่งเผยโฉมหน้า ไม่แน่ว่าเขาอาจจะหน้าตาอัปลักษณ์ เฉินหนัวอิงส่ายหน้าทอดถอนใจ ทำเสียงจุ๊ๆ ในลำคอคิดไปว่าสวรรค์ไม่เอนเอียงเลือกข้างจริงๆ ทำให้คนได้อย่างหนึ่งมาจนเหลือเฟือแต่ก็เสียอย่างหนึ่งไปจนกลายเป็นขาดแคลน
แต่อย่างไรเขาก็ขึ้นชื่อว่าเป็นสามี จะไม่ให้เธอเห็นหน้าค่าตาเลยก็ไม่ใช่ เฉินหนัวอิงเก็บการคาดเดาของตัวเองไว้ในใจ เพราะไม่อยากทำร้ายจิตใจเขา จึงลอบสาบานกับตัวเองเงียบๆ ว่าไม่ว่าเห็นอะไรต่อจากนี้ก็จะทำสีหน้าให้เป็นปกติที่สุด เมื่อตกลงกับตัวเองเสร็จเรียบร้อยก็ทำตัวไม่รู้ไม่ชี้ เอ่ยปากถาม “แล้วเจ้าปิดหน้าทำไม นี่ก็อยู่ในบ้านแล้ว ไม่ร้อนหรือ?”
“หนัวห--- ต้าเจี่ย ข้าไม่ร้อน” เขาโบกไม้โบกมือ
“แต่ข้าเพิ่งความจำเสื่อม เมื่อคืนไม่เห็นหน้าเจ้า ตอนนี้ก็ยังไม่เห็นหน้าเจ้า เจ้าไม่เปิดหน้าให้ข้าดูสักหน่อย ต้าเจี่ยกลัวว่าถ้าเจอกันที่อื่นจะจำหน้าสามีตัวเองไม่ได้”
เขาที่ลุกออกไปแล้วเดินด้วยความงุ่นง่านก่อนหน้านี้ พอได้ยินเธอพูดก็หันขวับกลับมาตอบเสียงแข็ง
“ต้าเจี่ย นี่ไม่ได้เด็ดขาด ในโลกนี้ต้าเจี่ยจะลืมอะไรก็ได้ แต่ห้ามลืมสามีเช่นข้า”
พูดจบก็ปลดผ้าคลุมหน้าออกอย่างรวดเร็ว แต่ถึงจะรวดเร็วอย่างไร สำหรับเฉินหนัวอิงเวลานั้นก็ราวกับโลกหยุดหมุน
ได้ยินเสียงหัวใจตัวเองเต้น…โครมคราม!
ก้าวเข้าสู่ยามเฉิน[5] พระอาทิตย์โผล่พ้นขอบฟ้า แสงแดดไล้มาตามช่องหน้าต่างอาบย้อมแผ่นหลังของบุรุษ กระจายออกจากข้างลำตัวจนเกิดแสงเรืองรอง เฉินหนัวอิงนึกว่าตัวเองตาพร่า เหมือนมองเห็นพระเอกที่หมายตาเดินออกมาจากในซีรีส์ ผู้ชายอะไรสูงยาวเข่าดีไม่พอ หน้าตายังหล่อเหลาราวกับเทพสร้าง องคาพยบทั้งห้ารับจับกันไม่มีส่วนไหนให้ติเลยสักกระผีกริ้น หน้าผากผ่องใส ดวงตาโฉบเฉี่ยว จมูกโด่งเป็นสัน ริมฝีปากแดงเรื่อ ผิวพรรณเนียนละเอียด ไม่เข้าใจจริงๆ ว่าทำไมต้องปิดบังหน้าตาไม่ให้ภรรยาคนนี้ได้เห็น หากไม่ใช่อัปลักษณ์แล้วก็คงจะเป็นเหตุผลอื่น
แต่เท่านี้ก็เพียงพอแล้ว
เพียงพอให้สติปัญญาของเฉินหนัวอิงโลดแล่นในฉับพลัน
เลิกทดท้อกับชีวิตแล้วคิดฮึดสู้!
ถ้ามีสามีหน้าตาแบบนี้ ต่อให้กัดฟันเลือดตาแทบกระเด็นก็จะต้องทำให้ครอบครัวหลุดพ้นจากความยากจนให้ได้!
เฉินหนัวอิงเม้มปากแน่น ในอกได้ยินเสียงโครมคราม สองข้ามแก้มยังร้อนผ่าว เอ่ยถามเขาด้วยน้ำเสียงติดๆ ขัดๆ
“เจ้าคือ…?”
“ข้าก็คือสามีของต้าเจี่ย” บุรุษเข้าใจว่านางต้องการจะให้เขายืนยันฐานะ จึงตอบอย่างใสซื่อ
ถึงเฉินหนัวอิงจะไม่ต้องการคำตอบนี้ แค่อยากรู้ว่าเขาชื่ออะไร แต่คำตอบที่ได้กลับมากลับทำให้เธอแทบกรีดร้องออกเสียง ทว่าด้วยความเป็นกุลสตรีถึงได้เก็บอาการไว้เงียบๆ ในใจ ถามเขาใหม่อีกรอบด้วยลำคอตั้งเกร็ง
“ข้าจะถามว่าเจ้าชื่ออะไร?”
เขาผลุนผลันเข้ามานั่งบนเก้าอี้ ยื่นหน้าเข้ามาใกล้ “แค่ชื่อข้าต้าเจี่ยก็จำไม่ได้หรือ?”
เฉินหนัวอิงเม้มริมฝีปาก พยักหน้า
“ข้าชื่อมู่หยาง ถูกต้าเจี่ยเก็บมาได้จากหลังเขาแล้วความจำเสื่อมจึงไม่มีแซ่ เดิมต้าเจี่ยชอบเรียกข้าว่ามู่มู่”
มาถึงตอนนี้ เฉินหนัวอิงไม่ได้ติดใจที่เขาชื่ออะไร แต่ติดใจตรงคำเรียกขานที่เขาใช้เรียกตัวเอง ถามย้ำราวกับคนเหม่อลอย “เรียกข้าว่าอะไรนะ?”
“ต้าเจี่ย”
คำเรียกขานฟังดูแล้วค่อนข้างห่างเหิน เฉินหนัวอิงได้ยินแล้วนึกอยากตบปากตัวเองเมื่อไม่กี่นาทีก่อนหน้า ตอนนี้อย่าว่าแต่หนัวหนัวหรืออิงอิง เธออยากให้เขาเรียกว่าภรรยาสุดที่รักเสียด้วยซ้ำ แต่เฉินหนัวอิงคนนี้มีหลักการเป็นของตัวเอง ไม่ยอมให้คนอื่นมาหาว่าใจง่าย จึงแข็งใจกัดฟันให้เขาเรียกว่าต้าเจี่ยต่อไป
เฉินหนัวอิงถอนหายใจเฮือกหนึ่ง ถามออกมาแบบขอไปทีเพื่อบรรเทาโทสะในใจ
“ใบหน้าเจ้าก็ปกติดี แล้วเมื่อครู่ไฉนปิดหน้าปิดตาไม่ยอมให้ข้าเห็น”
“เพราะต้าเจี่ยเคยบอกว่าอย่าให้ต้าเจี่ยเห็นหน้าข้าบ่อยเกินไป กลัวว่าตัวเองอดใจไม่ไหว ตกหลุมรักข้าจนโงหัวไม่ขึ้น”
ก็จริง!
เฉินหนัวอิงเริ่มเข้าใจขึ้นมาว่าเพราะอะไรเจ้าของร่างเดิมถึงได้เลิกล้มความตั้งใจที่จะกระโดดหน้าผาตายเสียดื้อๆ เปลี่ยนไปขู่เข็ญผู้ชายคนนี้ให้มาเป็นสามีแทน พอได้เห็นอานุภาพความหล่อเหลาที่ร้ายกาจของเขา ทุกอย่างก็ดูสมเหตุสมผลขึ้นมาในพริบตา
“ไป” เฉินหนัวอิงตบโต๊ะ
“ไปไหนหรือ?” มู่มู่ทำหน้าเหวอ
“ไปสำรวจตลาด” เฉินหนัวอิงมองเขาด้วยสายตาแรงกล้า ย้ำอีกครั้ง
“พวกเราไปสำรวจตลาดกัน”
จบคำก็ผุดลุกแล้วสะบัดชายเสื้อเดินออกจากกระท่อมด้วยท่าทางห้าวหาญ
ไม่มีเงินทุนแล้วยังไง ไม่มีคอนเนคชันแล้วยังไง ไม่มีสูตรโกงแล้วยังไง เฉินหนัวอิงไม่เชื่อหรอกว่าด้วยสติปัญญาระดับอัจฉริยะแห่งเป่ยต้าอย่างเธอจะทำให้ครอบครัวร่ำรวยขึ้นมาภายใต้สภาวะตลาดขาดประสิทธิภาพ[6]ไม่ได้!
ขอแค่มีมู่มู่อยู่ตรงนี้ ต่อให้ไร้หนทางขนาดไหน เฉินหนัวอิงคนนี้ก็จะขนความรู้ทางธุรกิจมาทุกแขนงเพื่อกรุยทางบุกเบิกก่อร่างสร้างตัวผลักดันสถานะทางการเงินของครอบครัวให้มั่งคั่งที่สุดในแผ่นดินเอง!
[1] ช่วงเวลาประมาณ 05.00 – 06.59 น.
[2] นิตยสารที่มีองค์ประกอบเกี่ยวกับ แฟชัน วัฒนธรรม ความงามและการใช้ชีวิต โด่งดังและเป็นที่นิยมอย่างแพร่หลายในหลายประเทศทั่วโลก
[3] ตำแหน่งบัณฑิตที่ได้คะแนนสูงสุดในการสอบคัดเลือกขุนนางสนามพระราชวัง บัณฑิตที่สอบได้อันดับหนึ่งเรียก “จ้วงหยวน” อันดับสองเรียก “ปั๋งเหยี่ยน” อันดับสามเรียก “ทั่นฮวา”
[4] การทำอาร์บิทราจ (Arbitrage) คือการพยายามหากำไรโดยปราศจากต้นทุนของสินค้าชนิดเดียวกันหรือคล้ายคลึงกัน โดยมีวิธีการคือ ‘ซื้อถูกขายแพง’
[5] ช่วงเวลาประมาณ 07.00 – 08.59 น.
[6] ภาวะตลาดไม่มีประสิทธิภาพคือตลาดที่ผู้เล่นในตลาดรับรู้และเข้าถึงข้อมูลข่าวสารไม่เท่ากัน ทำให้สามารถสร้างกำไรหรือขาดทุนได้เกินกว่าที่ควรจะเป็นได้
ความคิดเห็น