บำเรอรักอุ้มท้องลับ - บำเรอรักอุ้มท้องลับ นิยาย บำเรอรักอุ้มท้องลับ : Dek-D.com - Writer

    บำเรอรักอุ้มท้องลับ

    "เมื่อความสัมพันธ์ที่ควรเป็นเพียงความลับ กลับนำพาเธอสู่บทบาทที่ไม่อาจหลีกเลี่ยง... สาริณี หญิงสาวที่ต้องยอมเป็นนางบำเรอของเดชน์ดนัย ซีอีโอหนุ่มหล่อที่เพียบพร้อมไปด้

    ผู้เข้าชมรวม

    180

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    60

    ผู้เข้าชมรวม


    180

    ความคิดเห็น


    0

    คนติดตาม


    4
    หมวด :  รักอื่น ๆ
    เรื่องสั้น
    อัปเดตล่าสุด :  8 ม.ค. 68 / 18:12 น.


    ข้อมูลเบื้องต้น

    r3/story-editor.php?story_id=
    "เมื่อความสัมพันธ์ที่ควรเป็นเพียงความลับ กลับนำพาเธอสู่มหาวิทยาลัยบำเรอรัก​ อุ้มท้องลับbrowser
    "เมื่อความสัมพันธ์ที่ควรเป็นเพียงความลับ กลับนำพาเธอสู่

    สาริณี หญิงสาววัย 23 ปีที่เพิ่งจบการศึกษาจากมหาวิทยาลัยชื่อดังด้วยคะแนนเกียรตินิยมอันดับหนึ่ง เธอเป็นเด็กสาวจากครอบครัวธรรมดา แต่ด้วยความมุ่งมั่นและความอดทน เธอทำงานกลางคืนเพื่อส่งตัวเองเรียนจนสำเร็จ บาร์หรูที่เธอทำงานเป็นที่พบปะของผู้คนหลากหลายฐานะ และที่นั่นเองที่เธอได้พบกับ เดชน์ดนัย แม็คเกรเกอร์ ซีอีโอหนุ่มลูกครึ่งตาน้ำข้าวเจ้าของบริษัทอสังหาริมทรัพย์ระดับโลก ชายผู้เพียบพร้อมไปด้วยอำนาจ เงินตรา และเสน่ห์ที่ดึงดูดทุกสายตา
    เดชน์ดนัยสนใจสาริณีตั้งแต่แรกพบ เธอแตกต่างจากผู้หญิงในวงสังคมของเขา ทั้งความฉลาด ความสง่างามที่เป็นธรรมชาติ และดวงตาที่มีแววเศร้าซึ่งเขามองแล้วอดสงสารไม่ได้ จากการพบเจอในค่ำคืนหนึ่ง ความสัมพันธ์ที่ควรจะเป็นเพียงความบังเอิญกลับพัฒนาไปเป็นสิ่งที่ทั้งสองไม่อาจหักห้ามใจได้
    สาริณีถูกเสนอให้เป็นผู้หญิงลับๆ ของเขา ในสัญญาที่เธอไม่อาจปฏิเสธได้ เดชน์ดนัยยื่นข้อเสนอว่าเขาจะดูแลเธอและครอบครัวของเธอทุกอย่าง แลกกับการที่เธอต้องเก็บความสัมพันธ์นี้ไว้เป็นความลับ และทำตามข้อกำหนดที่เขาตั้งไว้ หนึ่งในนั้นคือ ห้ามเธอตั้งครรภ์โดยเด็ดขาด เพราะเขากำลังจะหมั้นกับผู้หญิงที่ "เหมาะสม" อย่าง ลิลลี่ โรเดอริค ทายาทสาวแห่งตระกูลเศรษฐีที่พ่อแม่ของเขาจัดหาให้
    สาริณีพยายามใช้ชีวิตตามเงื่อนไขที่เขากำหนด เธอไม่เคยตั้งคำถามและปฏิบัติตามทุกอย่างเพื่อหลีกเลี่ยงปัญหา แต่ความผูกพันระหว่างเธอกับเดชน์ดนัยกลับลึกซึ้งขึ้นทุกวัน เธอเริ่มรู้สึกถึงความอบอุ่นที่เขาแสดงออกในเวลาที่อยู่ด้วยกัน เธอฝันว่าเขาจะเลือกเธอในสักวัน
    ทว่าฝันเหล่านั้นต้องหยุดชะงักเมื่อเธอพบว่าตนเองตั้งครรภ์ แม้จะพยายามหลีกเลี่ยงไม่ให้เกิดเรื่องเช่นนี้ แต่โชคชะตากลับเล่นตลก เธอไม่สามารถตัดสินใจทำลายชีวิตน้อยๆ ในครรภ์ได้ สาริณีเลือกที่จะเก็บลูกไว้ โดยปิดบังความลับนี้จากเดชน์ดนัย
    ในขณะที่เดชน์ดนัยกำลังเตรียมตัวสำหรับงานหมั้นกับลิลลี่ เขาเริ่มสังเกตถึงการเปลี่ยนแปลงในตัวสาริณี เธอดูเหนื่อยล้าและเลี่ยงการพบปะเขา สัญชาตญาณของเขาทำให้สงสัย และเมื่อความจริงปรากฏ เขาโกรธจนแทบคลั่ง
    “เธอรู้ใช่ไหมว่านี่คือสิ่งที่ฉันบอกว่า 'ห้าม' อย่างเด็ดขาด!” เดชน์ดนัยตะโกนใส่เธอด้วยดวงตาที่เต็มไปด้วยความผิดหวัง
    สาริณียืนนิ่ง น้ำตาคลอเบ้า “ฉัน... ฉันขอโทษ ฉันไม่ได้ตั้งใจ แต่เด็กคนนี้... เขาคือส่วนหนึ่งของฉัน”
    คำพูดของเธอทำให้เดชน์ดนัยรู้สึกสับสน เขาไม่เคยวางแผนให้ชีวิตของเขาต้องวุ่นวายแบบนี้ โดยเฉพาะในช่วงที่เขากำลังจะสร้างครอบครัวที่สมบูรณ์แบบตามแผนที่วางไว้
    ในขณะที่เดชน์ดนัยพยายามกดดันให้สาริณีทำแท้ง แต่เธอไม่อาจทำได้ เธอเลือกที่จะเดินออกจากชีวิตของเขาเพื่อปกป้องลูกในท้อง สาริณีเริ่มต้นชีวิตใหม่ในต่างจังหวัด ห่างไกลจากแสงสีและความวุ่นวายของกรุงเทพฯ
    เดชน์ดนัยเองก็รู้สึกถึงความว่างเปล่าในชีวิต แม้ว่าเขาจะพยายามผลักสาริณีออกไป แต่ในส่วนลึกของหัวใจ เขาไม่อาจลืมเธอได้ เขารู้ว่าความสัมพันธ์ระหว่างเขากับลิลลี่เป็นเพียงการสมรสเพื่อธุรกิจ ไม่ใช่ความรัก
    เมื่อเวลาผ่านไป เดชน์ดนัยได้พบว่าสิ่งที่เขาต้องการไม่ใช่ชีวิตที่สมบูรณ์แบบตามที่คนอื่นคาดหวัง แต่เป็นความรักแท้ที่เขามีกับสาริณี เขาตัดสินใจตามหาเธอ และเมื่อพบเธออีกครั้งพร้อมกับลูกชายตัวน้อยในอ้อมแขน ความรู้สึกผิดหวังและความโกรธที่เขามีต่อเธอได้เปลี่ยนเป็นความรักและความหวัง
    "ผมขอโอกาสได้ไหม?" เขาถามเธอด้วยน้ำเสียงสั่น "ผมอยากจะดูแลคุณและลูก"
    สาริณีมองเขาด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความลังเล เธอกลัวที่จะต้องกลับไปสู่โลกที่เธอหนีออกมา แต่หัวใจของเธอกลับเต้นแรงเมื่อได้ยินคำพูดของเขา
    ได้เลยค่ะ ฉันจะเริ่มแต่งนิยายเรื่อง "เมื่อนางบำเรอตั้งท้อง" ให้เป็นนิยายยาว และค่อยๆ พัฒนาเนื้อหาไปตามพล็อตที่ตั้งใจไว้ เดี๋ยวขอเวลาเรียบเรียงฉากแรกให้อ่านก่อนค่ะ
    เมื่อนางบำเรอตั้งท้อง
    เสียงเพลงบรรเลงเบาๆ ในบาร์หรูแห่งหนึ่งย่านใจกลางเมืองกรุงเทพฯ ผู้คนแต่งตัวสวยงามพลุกพล่านในพื้นที่ที่ถูกจัดไว้อย่างเป็นระเบียบ สาริณี เด็กสาววัยเพิ่งจบมหาวิทยาลัย กำลังทำงานเป็นพนักงานเสิร์ฟในบาร์แห่งนี้ เธอไม่ได้ชื่นชอบงานนี้นัก แต่ชีวิตไม่ได้ให้ทางเลือกมากมายแก่เธอ
    "โต๊ะ 7 สั่งไวน์แดง รีบหน่อยนะ" เสียงพนักงานคนหนึ่งบอกเธอ
    "ได้ค่ะ" สาริณีตอบรับด้วยน้ำเสียงเรียบ เธอหยิบถาดไวน์ เดินไปยังโต๊ะที่มีชายหนุ่มนั่งอยู่เพียงลำพัง ใบหน้าของเขาดูคมคาย ชวนมองตั้งแต่แรกเห็น
    "นี่ค่ะ ไวน์ของคุณ" เธอวางแก้วลงด้วยมือที่มั่นคง ทว่าใจกลับเต้นระรัวอย่างไม่รู้ตัว
    เขาเงยหน้าขึ้นมองเธอ ดวงตาสีฟ้าเจิดจ้าสบกับดวงตาของเธอเพียงชั่วขณะ ก่อนเขาจะพยักหน้ารับ
    "คุณชื่ออะไร" เขาถามด้วยน้ำเสียงเรียบแต่หนักแน่น
    สาริณีชะงัก แต่ก็รีบตอบด้วยความสุภาพ "สาริณีค่ะ"
    ชายหนุ่มยิ้มบางๆ ก่อนพูดขึ้น "ผมชื่อเดชน์ดนัย ยินดีที่ได้รู้จัก"
    สองสัปดาห์หลังจากวันนั้น เดชน์ดนัยกลับมาที่บาร์แห่งเดิมอีกครั้ง แต่คราวนี้เขาไม่ได้มาเพื่อดื่มไวน์ เขามาหาเธอ
    "สาริณี ผมมีข้อเสนอให้คุณ" เขาพูดตรงไปตรงมาในครั้งแรกที่พวกเขาได้คุยกัน
    "ข้อเสนออะไรคะ?" เธอถามด้วยความสงสัย
    "มาอยู่กับผม ผมจะดูแลคุณทุกอย่าง... เงิน การศึกษา ครอบครัวของคุณ ผมจัดการได้หมด แต่...ความสัมพันธ์ของเราต้องเป็นความลับ"
    สาริณีรู้สึกช็อก แต่เธอก็เข้าใจว่าเขาไม่ได้ขอความรักจากเธอ เขาต้องการแค่ความสัมพันธ์ที่ปราศจากเงื่อนไขทางอารมณ์
    "แต่ฉัน..."
    "ไม่มีคำตอบตอนนี้ก็ได้ ผมให้เวลาคุณคิด" เดชน์ดนัยพูดพลางหยิบนามบัตรยื่นให้ "ถ้าคุณตกลง โทรมาหาผม"
    สาริณีลังเล แต่ในใจลึกๆ เธอรู้ว่าข้อเสนอของเขาอาจช่วยชีวิตเธอและครอบครัวได้
    หลังจากความกดดันและความจำเป็นที่ครอบครัวต้องการเงิน เธอตัดสินใจโทรหาเขา และชีวิตของสาริณีก็เปลี่ยนไปทันที
    "ดีใจที่คุณโทรมา ผมจะส่งรถไปรับพรุ่งนี้" เดชน์ดนัยพูดเสียงนิ่ง
    สาริณีรู้สึกเหมือนกำลังเดินเข้าสู่โลกที่ไม่คุ้นเคย เธอถูกพาไปยังคอนโดหรูในย่านที่คนทั่วไปไม่มีสิทธิ์แม้แต่จะผ่านเข้าไป
    เดชน์ดนัยให้เธอพักที่นั่น และกำชับว่าเธอไม่ควรออกไปไหนโดยไม่บอกเขา
    "ฉันแค่คนธรรมดา คุณต้องการอะไรจากฉันจริงๆ?" เธอถามเขาในคืนหนึ่ง
    "ผมแค่ต้องการใครสักคนที่ไม่วุ่นวายกับชีวิตของผม" เขาตอบสั้นๆ
    ความสัมพันธ์ของพวกเขาค่อยๆ พัฒนาไป แม้จะถูกจำกัดด้วยเงื่อนไขที่เดชน์ดนัยตั้งไว้ แต่สาริณีกลับรู้สึกผูกพันกับเขามากขึ้นเรื่อยๆ
    ไม่นานหลังจากนั้น ชีวิตที่เหมือนจะราบรื่นของสาริณีก็เริ่มเปลี่ยนไป เมื่อเธอพบว่าตัวเองตั้งครรภ์ เด็กคนนี้เป็นผลลัพธ์จากคืนที่เขาปล่อยให้ความรู้สึกพาไป
    สาริณีรู้ดีว่าการบอกเขาจะนำมาซึ่งความโกรธและการปฏิเสธ เธอเลือกเก็บเรื่องนี้ไว้ และวางแผนหนีไปเพื่อเริ่มต้นชีวิตใหม่
    สาริณีเริ่มรู้สึกถึงความเปลี่ยนแปลงในร่างกายของตัวเอง ความเหนื่อยล้าที่มาพร้อมกับคลื่นไส้ตอนเช้าทำให้เธอสงสัย เธอรีบไปซื้อชุดตรวจครรภ์มาใช้ในเช้าวันหนึ่ง ขณะที่เดชน์ดนัยไม่อยู่ในคอนโด
    เมื่อเห็นผลบนแผ่นตรวจครรภ์ที่ขึ้นสองขีดชัดเจน หัวใจของเธอแทบหยุดเต้น มือที่จับแผ่นตรวจสั่นระริก เธอไม่เคยคิดว่าชีวิตจะมาถึงจุดนี้ จุดที่เธอไม่อาจย้อนกลับไปได้
    “ฉันจะทำยังไงดี…” เธอพูดกับตัวเอง น้ำตาไหลรินลงมาไม่หยุด
    คืนนั้น เดชน์ดนัยกลับมาพร้อมความเหนื่อยล้าจากงาน เขาสังเกตเห็นว่าบรรยากาศในห้องดูเงียบผิดปกติ
    “สาริณี คุณเป็นอะไรหรือเปล่า?” เขาถามด้วยน้ำเสียงเรียบ
    “เปล่าค่ะ แค่รู้สึกไม่ค่อยสบาย” เธอฝืนยิ้มให้เขา หวังปิดบังความจริงในใจ
    “ถ้าไม่สบายก็ควรไปหาหมอ” เขาพูดอย่างเป็นห่วง แต่ก็ยังคงมีความเย็นชาในน้ำเสียงที่เขาไม่เคยละเลย
    สาริณีได้แต่นิ่งเงียบ เธอไม่กล้าพูดออกไปว่าเธอป่วยเพราะอะไร
    คืนหนึ่ง สาริณีตื่นกลางดึกเพราะอาการคลื่นไส้ เธอวิ่งเข้าห้องน้ำ ทิ้งให้เดชน์ดนัยที่นอนอยู่บนเตียงต้องลุกขึ้นตาม
    “คุณเป็นอะไร?” เขาถามด้วยความกังวล ขณะที่เห็นเธอนั่งหมดแรงอยู่ข้างชักโครก
    “แค่อาหารเป็นพิษค่ะ” เธอตอบโดยไม่มองหน้าเขา
    เดชน์ดนัยขมวดคิ้ว สัญชาตญาณบางอย่างทำให้เขารู้สึกว่าเธอกำลังปิดบังอะไรบางอย่าง
    “อาหารเป็นพิษบ่อยขนาดนี้?” เขาถาม แต่ก็ไม่ได้คาดคั้น
    สาริณีพยักหน้ารับ และเดชน์ดนัยก็ไม่ได้พูดอะไรต่อ เขาเพียงแค่เดินกลับไปที่เตียง ทิ้งเธอไว้กับความกดดันที่เพิ่มขึ้นในใจ
    หลายวันต่อมา สาริณีพยายามหลีกเลี่ยงการพบหน้าเขา เธอรู้ว่าความลับนี้จะไม่สามารถซ่อนอยู่นานได้ เธอเริ่มเก็บเงินที่เดชน์ดนัยให้ไว้สำหรับใช้จ่ายส่วนตัวเพื่อเตรียมหนี
    เธอรู้ดีว่า หากเดชน์ดนัยรู้ว่าเธอฝ่าฝืนเงื่อนไขที่เขากำหนดไว้ ทุกอย่างจะพังทลาย เขาอาจไล่เธอออกไป หรือที่แย่กว่านั้น เขาอาจบังคับให้เธอทำในสิ่งที่เธอไม่อยากทำ
    แต่ในใจลึกๆ เธอรู้ว่าต้องปกป้องเด็กในท้องให้ได้ เด็กคนนี้ไม่ใช่แค่ผลพวงจากความสัมพันธ์ลับๆ แต่เป็นสิ่งเดียวที่เธอรู้สึกว่าเป็นของเธอจริงๆ
    ในเย็นวันหนึ่ง ขณะที่สาริณีกำลังนั่งดูรูปอัลตราซาวด์ที่เพิ่งได้มาจากคลินิก เธอไม่ทันสังเกตว่าเดชน์ดนัยกลับมาถึงบ้านแล้ว
    “รูปอะไรน่ะ?” เสียงของเขาทำให้เธอสะดุ้ง
    เธอรีบซ่อนกระดาษในมือ แต่ไม่ทัน เดชน์ดนัยคว้ามันไปก่อน
    เขาดูภาพนั้น และสีหน้าของเขาเปลี่ยนไปทันที “นี่มันอะไร สาริณี?”
    เธอนิ่งเงียบ ดวงตาเริ่มมีน้ำตาคลอ
    “คุณท้องงั้นเหรอ?” เขาถามเสียงดัง ดวงตาสีฟ้าเจิดจ้าของเขาเต็มไปด้วยความโกรธ
    “ฉันขอโทษค่ะ…” เธอพูดด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา
    “คุณรู้ใช่ไหมว่าผมบอกว่าอะไร ห้ามตั้งท้อง! แล้วคุณทำแบบนี้ทำไม?”
    สาริณีร้องไห้ออกมา เธอพยายามจะอธิบาย แต่เดชน์ดนัยไม่ฟัง เขาหยิบเสื้อสูทของตัวเองแล้วเดินออกจากห้องไป ทิ้งเธอไว้ในสภาพที่หัวใจแหลกสลาย
    คืนหนึ่ง สาริณีที่สวมชุดนอนผ้าซาตินสีอ่อนนั่งอยู่ริมระเบียงของคอนโด ลมเย็นที่พัดมาทำให้เธอรู้สึกอ้างว้าง แม้ว่าจะมีทุกอย่างที่หรูหรารายล้อมอยู่รอบตัว แต่ในใจของเธอกลับว่างเปล่า
    เสียงเปิดประตูดังขึ้น เดชน์ดนัยเดินเข้ามาในห้อง เขาถอดเนกไทออกด้วยความเหนื่อยล้า และเมื่อเห็นเธอนั่งเหม่อมองออกไปนอกหน้าต่าง ใบหน้าของเขาอ่อนลง
    “ยังไม่นอนเหรอ?” เขาถาม ขณะเดินเข้ามาใกล้
    สาริณีหันกลับมามองเขา ดวงตาคู่นั้นมีความเศร้าซ่อนอยู่ “ฉันแค่นอนไม่หลับค่ะ”
    เขานั่งลงข้างเธอ มือใหญ่เอื้อมไปแตะที่แก้มของเธอเบาๆ “คุณคิดมากเรื่องอะไรหรือเปล่า?”
    สาริณีหลบสายตา เธอรู้สึกเหมือนกำลังถูกอ่านใจ แต่ก็ไม่กล้าพูดความจริงออกมา
    เดชน์ดนัยยิ้มบางๆ ก่อนจะลูบไล้มือผ่านเส้นผมของเธอ เขาเอียงใบหน้าเข้ามาใกล้จนเธอรู้สึกถึงลมหายใจของเขาที่อุ่นร้อน
    “คุณรู้ไหม ผมคิดถึงคุณทุกครั้งที่ไม่ได้อยู่ด้วย” เสียงของเขานุ่มนวล ทว่ามั่นคง
    สาริณีหัวใจเต้นรัว เธอไม่สามารถหลบเลี่ยงความรู้สึกของตัวเองได้อีกต่อไป
    เดชน์ดนัยดึงเธอเข้ามาใกล้ ริมฝีปากของเขาประทับลงบนหน้าผากของเธอเบาๆ ก่อนที่จะค่อยๆ เลื่อนลงมาที่แก้มและริมฝีปาก
    สัมผัสนั้นอ่อนโยน ทว่าก็เปี่ยมไปด้วยความปรารถนาที่ซ่อนอยู่ เธอหลับตาลง ปล่อยให้ความรู้สึกทั้งหมดนำพาไป
    เขาอุ้มเธอขึ้นจากเก้าอี้ นำพาเธอไปยังเตียงกว้างที่ตกแต่งด้วยผ้าปูสีขาวสะอาด เขาวางเธอลงอย่างเบามือ ก่อนที่จะตามมาทาบทับ
    “สาริณี…” เขาเรียกชื่อเธอด้วยเสียงกระซิบ “ผมต้องการคุณ…ไม่ใช่แค่คืนนี้ แต่ตลอดไป”
    เธอมองลึกเข้าไปในดวงตาของเขา ความรู้สึกอุ่นวาบแผ่ซ่านไปทั่วร่างกาย “ฉันก็ต้องการคุณค่ะ”
    แสงไฟในห้องค่อยๆ หรี่ลง เหลือเพียงความอบอุ่นจากการโอบกอดที่เต็มไปด้วยความรักและความโหยหา
    วันหนึ่ง เดชน์ดนัยถูกเรียกตัวไปยังคฤหาสน์ของครอบครัว แม้จะไม่เต็มใจนัก แต่เขาก็ไม่อยากปฏิเสธคำสั่งของ คุณหญิงดารินทร์ ผู้เป็นแม่ หญิงสูงศักดิ์ที่เป็นที่นับถือในแวดวงสังคมชั้นสูง
    เมื่อเขาเดินเข้าไปในห้องรับรองที่ตกแต่งอย่างวิจิตร คุณหญิงดารินทร์นั่งอยู่พร้อมกับหญิงสาวคนหนึ่งที่แต่งตัวเรียบร้อยและดูภูมิฐาน
    "นี่ไง เดชน์ดนัย ลูกชายของแม่" คุณหญิงดารินทร์พูดขึ้นด้วยรอยยิ้มขณะยื่นมือไปทางลูกชาย
    เดชน์ดนัยก้มศีรษะเล็กน้อย “สวัสดีครับแม่” แล้วหันไปมองหญิงสาวที่นั่งอยู่
    "นี่ลิลลี่ โรเดอริค ลูกสาวของคุณวิภาดา เธอเรียนจบจากอังกฤษ และตอนนี้ดูแลกิจการของครอบครัวอยู่ ลิลลี่คนนี้แหละที่แม่เห็นว่าเหมาะจะมาเป็นคู่ชีวิตของลูก"
    ลิลลี่ลุกขึ้นยิ้มอย่างสุภาพและกล่าวทักทาย “ยินดีที่ได้รู้จักค่ะ คุณเดชน์ดนัย” เสียงของเธอหวานและนุ่มนวล
    เดชน์ดนัยยิ้มเล็กน้อยเพื่อรักษามารยาท แต่ในใจกลับรู้สึกอึดอัด เขารู้ดีว่าแม่ต้องการอะไร
    "แม่รู้ว่าลูกยุ่งกับงาน แต่เรื่องครอบครัวก็สำคัญไม่แพ้กัน ลิลลี่น่ะทั้งฉลาด มีความสามารถ และเหมาะสมกับตระกูลเรา ลูกจะไม่ผิดหวังเลย" คุณหญิงดารินทร์พูดพลางมองลูกชายด้วยสายตาที่กดดัน
    เดชน์ดนัยเพียงพยักหน้า แต่ไม่ได้ตอบรับหรือปฏิเสธ ความคิดของเขาวนเวียนอยู่กับสาริณี หญิงสาวที่อยู่ในใจเขามาตลอด
    ค่ำคืนนั้น
    หลังจากการพบปะ เดชน์ดนัยกลับมาที่คอนโด เขาเห็นสาริณีกำลังนั่งอ่านหนังสืออยู่ในห้องนั่งเล่น เธอเงยหน้าขึ้นเมื่อเห็นเขา สีหน้าของเธอแสดงความยินดีที่เขากลับมา
    "คุณกลับมาแล้ว" เธอยิ้มบางๆ
    แต่เดชน์ดนัยไม่ได้พูดอะไร เขาเดินตรงไปนั่งข้างๆ เธอ สายตาของเขามองเธออย่างลึกซึ้ง
    "วันนี้ผมไปเจอผู้หญิงคนหนึ่ง" เขาพูดเสียงต่ำ
    สาริณีชะงัก ความยิ้มแย้มบนใบหน้าค่อยๆ จางลง “ใครคะ?”
    "แม่ผมอยากให้เธอมาเป็นคู่หมั้นของผม" เดชน์ดนัยพูดตรงไปตรงมา
    สาริณีรู้สึกเหมือนหัวใจถูกบีบรัด เธอพยายามปั้นหน้าให้เรียบเฉย “แล้วคุณคิดว่าเธอเหมาะสมไหมคะ?”
    เดชน์ดนัยจับมือของเธอแน่น “ไม่มีใครเหมาะสมกับผมมากไปกว่าคุณ สาริณี”
    น้ำตาไหลออกมาจากดวงตาของสาริณี เธอรู้ดีว่าตำแหน่งของเธอในชีวิตของเขาไม่ใช่สิ่งที่สังคมยอมรับได้
    “แต่คุณเป็นคนของสังคม คุณแม่ของคุณคงไม่เห็นฉันในสายตา” เธอพูดเสียงสั่น
    เดชน์ดนัยดึงเธอเข้ามาใกล้ “ผมไม่สนใจว่าสังคมจะมองยังไง ผมสนแค่ว่าคุณอยู่กับผม”
    ได้เลยค่ะ ฉันจะต่อเนื้อหาให้เข้มข้นยิ่งขึ้น เพิ่มทั้งบทสนทนาที่สะท้อนอารมณ์ของตัวละคร และการเผชิญหน้าระหว่างเดชน์ดนัยกับคุณหญิงดารินทร์ รวมถึงความรู้สึกที่ซับซ้อนของสาริณีค่ะ
    วันรุ่งขึ้น เดชน์ดนัยถูกเรียกตัวไปพบคุณหญิงดารินทร์อีกครั้ง ครั้งนี้บรรยากาศในห้องรับรองไม่ผ่อนคลายเหมือนเมื่อวาน สีหน้าของคุณหญิงดารินทร์ดูจริงจัง
    "เดชน์ดนัย แม่จะพูดตรงๆ ลูกอายุสามสิบห้าแล้ว ถึงเวลาแล้วที่ลูกจะต้องแต่งงานและสร้างครอบครัว"
    เดชน์ดนัยนั่งเงียบ ไม่ตอบโต้ทันที เขารู้ว่าการโต้เถียงกับแม่ของเขาไม่ใช่เรื่องง่าย
    "แม่อยากให้ลูกรู้ว่า การแต่งงานกับลิลลี่ไม่ใช่แค่เรื่องของลูก แต่มันเกี่ยวข้องกับอนาคตของบริษัทและชื่อเสียงของตระกูลเราด้วย" คุณหญิงดารินทร์พูดเสียงหนักแน่น
    "แม่ครับ..." เดชน์ดนัยถอนหายใจ "ผมเข้าใจว่าลิลลี่เป็นผู้หญิงที่สมบูรณ์แบบในสายตาแม่ แต่..."
    "ไม่มีแต่!" คุณหญิงดารินทร์ขัด "แม่เลี้ยงลูกมาเพื่อให้เป็นคนที่สมบูรณ์แบบสำหรับสังคม ถ้าลูกยังไม่เห็นความสำคัญของการแต่งงานนี้ ลูกอาจทำลายทุกอย่างที่แม่สร้างมา"
    คำพูดนั้นเหมือนมีดที่กรีดลึกลงในหัวใจของเดชน์ดนัย เขารู้สึกเหมือนถูกบีบให้เลือกระหว่างหน้าที่กับหัวใจ
    ขณะเดียวกัน สาริณีเริ่มสังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลงในตัวเดชน์ดนัย เขาดูเคร่งเครียดขึ้น และเธอเองก็ไม่อาจหลีกหนีความคิดถึงคำพูดของเขาในคืนก่อน
    “คุณคิดจะบอกเขาเรื่องลูกหรือยัง?” เธอถามตัวเองในกระจก
    เธอลูบท้องที่เริ่มนูนเล็กน้อย ความลับนี้เริ่มหนักอึ้งจนเธอไม่อาจทนเก็บไว้อีกต่อไป เธอต้องการบอกเขา แต่ก็กลัวว่าความจริงจะทำลายทุกสิ่ง
    ในค่ำคืนหนึ่ง ขณะที่เดชน์ดนัยกลับมาถึงคอนโด เขาพบสาริณีนั่งอยู่บนโซฟา ดวงตาของเธอเต็มไปด้วยความเศร้า
    "เดชน์ดนัย ฉันมีเรื่องต้องบอกคุณ"
    เขามองเธอ สีหน้าฉายแววสงสัย "อะไรเหรอ?"
    เธอสูดลมหายใจลึก ก่อนจะพูดออกไป "ฉัน...ฉันท้อง"
    คำพูดนั้นทำให้ทั้งห้องตกอยู่ในความเงียบ เดชน์ดนัยจ้องเธอด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความตกใจและสับสน
    "คุณพูดจริงเหรอ?" เขาถามเสียงต่ำ
    "ค่ะ ฉันเพิ่งรู้เมื่อไม่นานมานี้"
    เดชน์ดนัยยืนขึ้น เขาเดินวนไปรอบห้อง ราวกับกำลังพยายามหาคำตอบให้กับสิ่งที่เพิ่งได้ยิน "ทำไมคุณถึงไม่บอกผมตั้งแต่แรก?"
    "ฉันกลัวค่ะ" เธอพูดทั้งน้ำตา "ฉันกลัวว่าคุณจะไม่ต้องการเด็กคนนี้ เพราะฉันรู้ว่า...คุณกำลังจะหมั้น"
    คำพูดนั้นทำให้เดชน์ดนัยหยุดนิ่ง เขาหันกลับมามองเธอ ดวงตาสีฟ้าของเขามีประกายแห่งความสับสนและความเจ็บปวด
    "ผมไม่เคยต้องการให้คุณรู้สึกว่าผมไม่ต้องการคุณ...หรือเด็กคนนี้" เขาพูดเสียงสั่น "แต่คุณรู้ไหมว่านี่มันจะทำให้ทุกอย่างซับซ้อนแค่ไหน?"
    ในวันต่อมา เดชน์ดนัยเผชิญหน้ากับคุณหญิงดารินทร์อีกครั้ง ครั้งนี้เขาตัดสินใจพูดความจริง
    "แม่ครับ ผมมีบางอย่างต้องบอก" เขาพูดเสียงหนักแน่น
    คุณหญิงดารินทร์มองลูกชายด้วยความสงสัย "มีอะไรเหรอ?"
    "ผมมีคนรักอยู่แล้ว และเธอกำลังจะมีลูกของผม"
    คำพูดนั้นทำให้คุณหญิงดารินทร์ถึงกับนิ่งไปชั่วขณะ แต่เมื่อเธอรู้สึกตัว เธอกลับระเบิดความโกรธออกมา
    "ลูกพูดอะไรออกมา! ใครกัน? ผู้หญิงที่ไม่มีหัวนอนปลายเท้าเหรอ?"
    "เธอชื่อสาริณีครับ เธอเป็นคนดีและเธอรักผม ไม่ใช่เพราะเงินหรือสถานะของผม"
    "แต่เธอไม่มีอะไรเหมาะสมเลย!" คุณหญิงดารินทร์ตะโกน "ลูกคิดว่าแม่จะยอมรับเธอเหรอ?"
    เดชน์ดนัยยืนขึ้น เขามองแม่ของเขาด้วยสายตาที่มุ่งมั่น "แม่ครับ ผมรักเธอ และลูกในท้องคือครอบครัวของผม"
    หลังจากการเผชิญหน้ากับคุณหญิงดารินทร์ เดชน์ดนัยกลับมาที่คอนโดพร้อมกับความรู้สึกหนักอึ้งในหัวใจ แต่เมื่อเขาเห็นสาริณีนั่งรออยู่บนโซฟา ใบหน้าเศร้าหมองของเธอทำให้เขารู้สึกว่าต้องทำอะไรสักอย่าง
    "สาริณี..." เขาเดินเข้าไปนั่งข้างเธอ
    เธอหันมามองเขา ดวงตาแดงก่ำราวกับเพิ่งร้องไห้มา "คุณโอเคไหมคะ?"
    "แม่รู้เรื่องแล้ว" เขาพูดตรงๆ
    สาริณีชะงัก น้ำตาเริ่มไหลอีกครั้ง "แล้ว...คุณแม่ว่าอะไรบ้างคะ?"
    "แม่โกรธมาก แต่ผมบอกแม่ไปแล้วว่าไม่ว่าผลจะเป็นยังไง ผมจะไม่ทิ้งคุณและลูก"
    คำพูดของเขาทำให้หัวใจของสาริณีอบอุ่นขึ้น แม้ว่าความกลัวจะยังคงอยู่ แต่ความมั่นคงในน้ำเสียงของเขาทำให้เธอรู้สึกปลอดภัย
    "เดชน์ดนัย...ฉันไม่อยากให้คุณต้องลำบากเพราะฉัน" เธอพูดเสียงเบา "ถ้าคุณอยากให้ฉันไป ฉันจะไป"
    เขาจับมือเธอแน่น "อย่าพูดแบบนั้น ผมต้องการคุณ คุณคือตัวเลือกของผม ไม่ใช่ใครอื่น"
    สองวันต่อมา คุณหญิงดารินทร์ไม่อาจอดทนอยู่เฉยได้อีก เธอเดินทางมาที่คอนโดของเดชน์ดนัยโดยไม่แจ้งล่วงหน้า เมื่อสาริณีเปิดประตูและเห็นคุณหญิงยืนอยู่ตรงหน้า ใบหน้าของเธอซีดเผือด
    "คุณสาริณีใช่ไหม?" น้ำเสียงของคุณหญิงดารินทร์เย็นชา
    "ค่ะ ดิฉัน..."
    "ฉันไม่อยากเสียเวลา" คุณหญิงพูดขัด "เธอควรออกไปจากชีวิตลูกชายฉัน"
    สาริณีรู้สึกเหมือนหัวใจหยุดเต้น แต่เธอยังคงยืนนิ่ง แม้ว่ามือจะสั่นเล็กน้อย
    "ดิฉัน...ดิฉันขอโทษค่ะ แต่ดิฉันรักคุณเดชน์ดนัย และลูกในท้องนี้..."
    "ลูกของเธอไม่มีทางได้เป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวเรา!" คุณหญิงดารินทร์พูดเสียงแข็ง "เธอไม่คู่ควร ไม่มีอะไรเหมาะสมเลย เธอคิดว่าความรักของเธอจะเปลี่ยนอนาคตของเขาได้เหรอ?"
    ขณะที่บรรยากาศเต็มไปด้วยความตึงเครียด เดชน์ดนัยกลับมาถึงพอดี เมื่อเขาเห็นทั้งสองเผชิญหน้ากัน เขารีบเข้ามาขวาง
    "แม่ครับ พอได้แล้ว!" เขาตะโกน
    "เดชน์ดนัย! แม่ทำเพื่อลูกนะ
    "อนาคตของผมคือสาริณีและลูกครับ ไม่ใช่สิ่งที่แม่วางไว้!"
    คุณหญิงดารินทร์นิ่งไป เธอไม่เคยเห็นลูกชายของเธอยืนหยัดแบบนี้มาก่อน น้ำเสียงของเขาเต็มไปด้วยความมุ่งมั่น
    หลังจากเหตุการณ์นั้น เดชน์ดนัยพยายามแสดงให้คุณแม่เห็นว่าเขาจริงจังกับสาริณี เขาพาเธอไปพบเพื่อนร่วมงานและครอบครัวที่สนิทสนม
    ในขณะเดียวกัน สาริณีก็เริ่มพยายามพิสูจน์ตัวเอง เธอเรียนรู้การเข้าสังคมและพัฒนาตัวเองเพื่อไม่ให้เป็นจุดอ่อนของเขา
    แต่ความรักของทั้งคู่ก็ไม่ได้ราบรื่นเสมอไป อุปสรรคจากทั้งครอบครัวของเขา และความรู้สึกด้อยค่าของสาริณียังคงเป็นสิ่งที่ต้องก้าวผ่าน
    คืนหนึ่ง ขณะที่เดชน์ดนัยกำลังกอดสาริณีไว้ในอ้อมแขน เขากระซิบที่ข้างหูของเธอ
    "เราจะผ่านมันไปด้วยกัน ผมสัญญา"
    เธอเงยหน้ามองเขา ดวงตาเต็มไปด้วยน้ำตา แต่ก็มีรอยยิ้มที่อบอุ่น
    "ฉันเชื่อคุณค่ะ"
    หลังจากเหตุการณ์ที่คุณหญิงดารินทร์มาเยี่ยมถึงคอนโด เดชน์ดนัยและสาริณีต่างก็รู้ว่าชีวิตของพวกเขาไม่ได้ง่ายดายอีกต่อไป แม้เขาจะยืนยันอย่างหนักแน่นว่าจะอยู่เคียงข้างสาริณีและลูก แต่แรงกดดันจากสังคมและครอบครัวก็ยังถาโถมเข้ามาอย่างไม่หยุดหย่อน
    คุณหญิงดารินทร์วางแผนตัดสาริณีออกจากชีวิตลูกชาย
    ในค่ำคืนที่เงียบสงบในคฤหาสน์ของตระกูลแม็คเกรเกอร์ คุณหญิงดารินทร์เรียกพบลิลลี่เป็นการส่วนตัว
    “ลิลลี่ ลูกยังอยากแต่งงานกับเดชน์ดนัยอยู่ไหม?” คุณหญิงถามด้วยน้ำเสียงที่เจือความอ่อนโยน
    “แน่นอนค่ะคุณน้า แต่ดูเหมือนเดชน์ดนัยจะ…” ลิลลี่เว้นวรรค น้ำเสียงของเธอเต็มไปด้วยความลังเล
    “แม่ไม่ยอมให้ผู้หญิงคนนั้นมาแย่งทุกอย่างไปหรอก” คุณหญิงดารินทร์พูดด้วยความมุ่งมั่น “ลิลลี่ แม่จะทำทุกอย่างให้เขากลับมาหาลูก และลูกต้องช่วยแม่”
    “แล้วคุณน้าจะทำยังไงคะ?”
    “แม่มีแผน แต่ลูกไม่ต้องกังวล แค่เชื่อฟังแม่ก็พอ
    เดชน์ดนัยกับสาริณีในวันที่ไม่มั่นคง
    ขณะเดียวกัน สาริณีเริ่มรู้สึกถึงความห่างเหินของเดชน์ดนัย แม้เขาจะยังคอยอยู่เคียงข้างเธอ แต่แรงกดดันจากคุณแม่ของเขาและการพยายามผลักดันลิลลี่เข้ามาทำให้เขาดูอ่อนล้าลง
    “คุณโอเคไหมคะ?” เธอถามในคืนหนึ่ง ขณะที่เขานั่งอยู่ริมเตียง มองออกไปนอกหน้าต่าง
    เขาหันมามองเธอ ดวงตาสีฟ้าที่เคยมั่นคงตอนนี้กลับมีแววเหนื่อยล้า “ผมแค่รู้สึกว่ามันยากขึ้นทุกวัน”
    “ถ้าคุณรู้สึกว่าฉันทำให้คุณลำบาก ฉันยอมออกไปจากชีวิตคุณได้นะคะ”
    คำพูดนั้นเหมือนมีดที่แทงลึกลงในหัวใจของเดชน์ดนัย เขาลุกขึ้นจับไหล่ของเธอแน่น “อย่าพูดแบบนั้นอีก ผมเลือกคุณแล้ว และผมจะไม่เปลี่ยนใจ”
    “แต่คุณแม่ของคุณ...”
    “แม่จะต้องเข้าใจในสักวัน และถ้าไม่ ผมก็พร้อมจะยืนหยัดเพื่อคุณกับลูก”
    ไม่กี่วันต่อมา คุณหญิงดารินทร์เชิญเดชน์ดนัยไปพบที่บ้าน โดยอ้างว่ามีเรื่องสำคัญต้องพูดคุย
    “แม่อยากให้ลูกคิดทบทวนอีกครั้งเกี่ยวกับลิลลี่” คุณหญิงพูดเปิดประเด็น
    “แม่ครับ ผมบอกแม่ไปแล้วว่าผมเลือกสาริณี”
    “แต่ลิลลี่คือคนที่เหมาะสมที่สุดสำหรับลูก” คุณหญิงยืนยัน
    “ความเหมาะสมที่แม่พูดถึงไม่ได้ทำให้ผมมีความสุข” เดชน์ดนัยพูดเสียงแข็ง “และแม่ควรหยุดพยายามดึงผมออกจากคนที่ผมรัก”
    “แล้วถ้าแม่บอกว่า ถ้าลูกไม่ทำตามที่แม่ขอ แม่จะตัดลูกออกจากตระกูลล่ะ?”
    คำพูดของคุณหญิงทำให้บรรยากาศในห้องเงียบงัน เดชน์ดนัยมองแม่ของเขาด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความผิดหวัง
    “แม่ครับ ผมรักแม่ แต่ผมไม่อาจแลกความรักที่แท้จริงกับชื่อเสียงและเงินทองได้”
    ในขณะเดียวกัน สาริณีก็เผชิญแรงกดดันจากลิลลี่ที่เข้ามาใกล้ชิดเธอ
    “เธอไม่ควรอยู่ในชีวิตของเดชน์ดนัยอีกต่อไป” ลิลลี่พูดตรงๆ
    สาริณีมองลิลลี่ด้วยแววตาที่อ่อนล้า “ฉันรักเขา และฉันไม่ได้ต้องการแย่งอะไรจากคุณ”
    “แต่เธอไม่มีสิทธิ์! เดชน์ดนัยเป็นของฉัน!” ลิลลี่พูดด้วยน้ำเสียงเย้ยหยัน
    “ความรักมันไม่ใช่สิ่งที่ใครเป็นเจ้าของได้” สาริณีพูดกลับด้วยน้ำเสียงมั่นคง “ถ้าคุณคิดว่าคุณสามารถทำให้เขามีความสุขได้จริงๆ ฉันพร้อมจะถอยออกมา”
    คำพูดนั้นทำให้ลิลลี่นิ่งไปชั่วขณะ เธอไม่คาดคิดว่าสาริณีจะพูดด้วยความมั่นคงเช่นนี้
    เดชน์ดนัยต้องเผชิญกับทางแยกสำคัญในชีวิต เขาต้องเลือกระหว่างการรักษาครอบครัวและตำแหน่งทางสังคม กับการปกป้องคนที่เขารัก
    สุดท้ายเขาตัดสินใจลาออกจากตำแหน่งซีอีโอชั่วคราว เพื่อย้ายไปเริ่มต้นชีวิตใหม่กับสาริณีในต่างจังหวัด และพิสูจน์ให้แม่ของเขาเห็นว่าเขาสามารถสร้างครอบครัวที่เต็มไปด้วยความรักและความสุขได้ แม้จะไม่มีสิ่งที่คนภายนอกมองว่าคู่ควร
    หลังจากเดชน์ดนัยตัดสินใจครั้งสำคัญในชีวิต เขาลาออกจากตำแหน่งซีอีโอของบริษัทชั่วคราว เพื่อย้ายไปเริ่มต้นชีวิตใหม่กับสาริณีในต่างจังหวัด ความเป็นอยู่ที่เปลี่ยนไปจากชีวิตที่เต็มไปด้วยความหรูหราและตารางเวลาที่แน่นขนัด กลับกลายเป็นชีวิตที่เรียบง่ายแต่เต็มไปด้วยความสงบ
    บ้านหลังใหม่ของทั้งคู่ตั้งอยู่ในชนบทอันเงียบสงบ ล้อมรอบด้วยทุ่งนาและดอกไม้หลากสีที่สาริณีหลงรัก เธอเริ่มปลูกดอกไม้หลากพันธุ์ในสวนเล็กๆ หลังบ้าน ขณะที่เดชน์ดนัยลงมือซ่อมแซมบ้านด้วยตัวเอง เขาอาจจะไม่คุ้นเคยกับการจับค้อนหรือเลื่อยมาก่อน แต่เขากลับสนุกกับมัน
    "คุณอยากปลูกอะไรเพิ่มไหม?" เดชน์ดนัยถาม ขณะช่วยเธอรดน้ำดอกไม้ในเย็นวันหนึ่ง
    "ฉันอยากปลูกทานตะวันค่ะ มันให้ความรู้สึกสดใสและอบอุ่น" เธอยิ้ม
    "งั้นพรุ่งนี้เราจะไปหาซื้อเมล็ดมาเพิ่ม" เขาพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
    ชีวิตในชนบทอาจไม่ได้สะดวกสบายเหมือนในเมือง แต่พวกเขากลับรู้สึกถึงความสุขที่แท้จริง
    คืนหนึ่ง ขณะที่ทั้งคู่กำลังนั่งอยู่ใต้แสงจันทร์ในสวนหลังบ้าน เสียงจิ้งหรีดดังแผ่วเบาเพิ่มบรรยากาศที่เงียบสงบ เดชน์ดนัยโอบไหล่สาริณีไว้ มือของเขาอุ่นและมั่นคง
    "ผมไม่เคยคิดเลยว่าการอยู่แบบนี้จะทำให้ผมมีความสุขได้ขนาดนี้" เขากระซิบ
    "คุณคิดถึงชีวิตเดิมของคุณบ้างไหมคะ?" เธอถามเบาๆ
    เขานิ่งไปครู่หนึ่งก่อนจะตอบ "บางครั้งผมคิดถึง...แต่สิ่งที่ผมมีตอนนี้สำคัญกว่า ทั้งคุณและลูก คุณทำให้ผมรู้ว่าความสุขไม่ได้มาจากสิ่งที่คนอื่นเห็น แต่มาจากสิ่งที่อยู่ในใจเรา"
    สาริณีหลบสายตา รู้สึกอบอุ่นในหัวใจ น้ำตาเอ่อคลอเมื่อเขากระซิบข้างหูเธอ
    "ผมรักคุณนะ สาริณี และผมจะรักคุณไปตลอดชีวิต"
    เธอหันมาหาเขา ก่อนจะตอบด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ "ฉันก็รักคุณค่ะ"
    ในขณะที่พวกเขากำลังสร้างชีวิตใหม่ คุณหญิงดารินทร์ยังคงไม่ยอมรับสิ่งที่ลูกชายเลือก เธอส่งคนมาตามข่าวของเดชน์ดนัยอยู่เสมอ และพยายามหาวิธีดึงเขากลับมาสู่ชีวิตเดิม
    วันหนึ่ง เดชน์ดนัยได้รับจดหมายจากแม่ของเขา ในจดหมายมีข้อความเพียงสั้นๆ
    "แม่ยังไม่เข้าใจการตัดสินใจของลูก แต่แม่อยากเจอลูกอีกครั้ง พร้อมกับเธอ..."
    คำพูดนั้นทำให้เดชน์ดนัยนิ่งไป เขาไม่แน่ใจว่านี่คือความพยายามของแม่ที่จะปรับความเข้าใจ หรือเพียงแค่แผนการที่จะดึงเขากลับไป
    "คุณคิดว่ายังไงคะ?" สาริณีถาม เมื่อเห็นเขาถือจดหมายอยู่นาน
    "ผมคิดว่าเราควรไปพบแม่" เขาตอบในที่สุด
    วันที่ทั้งคู่กลับไปพบคุณหญิงดารินทร์ บ้านหลังใหญ่ที่เคยคุ้นกลับรู้สึกแปลกตา สาริณีจับมือเดชน์ดนัยแน่นเมื่อก้าวเข้าไปในห้องรับรอง
    คุณหญิงดารินทร์นั่งอยู่ที่โซฟา ใบหน้าของเธอแสดงความเย็นชา แต่ดวงตากลับฉายแววบางอย่างที่ยากจะอธิบาย
    "แม่ครับ ผมพาเธอมา" เดชน์ดนัยพูดเสียงนิ่ง
    คุณหญิงมองสาริณีตั้งแต่หัวจรดเท้า ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงเรียบๆ "เธอรู้ไหมว่าฉันไม่เคยคิดว่าเธอเหมาะสมกับลูกชายฉัน?"
    สาริณีนิ่งไป ก่อนจะตอบด้วยน้ำเสียงที่มั่นคง "ค่ะ ดิฉันรู้ แต่ดิฉันรักเขา และดิฉันจะทำทุกอย่างเพื่อดูแลเขาและลูกของเรา"
    คำพูดนั้นทำให้คุณหญิงนิ่งไปชั่วขณะ ก่อนจะถอนหายใจ
    "ถ้าลูกฉันเลือกแล้ว ฉันก็คงห้ามไม่ได้ แต่ฉันจะดูว่าเธอจะรักษาคำพูดของเธอได้ดีแค่ไหน"
    การเผชิญหน้าครั้งนี้ไม่ได้ทำให้ทุกอย่างราบรื่นในทันที แต่เป็นจุดเริ่มต้นของการพยายามสร้างความเข้าใจระหว่างสองครอบครัว
    ในคืนนั้น ขณะที่พวกเขากลับมาที่บ้าน สาริณีถามเดชน์ดนัย "คุณคิดว่าเราจะผ่านเรื่องนี้ไปได้ไหม?"
    เขาดึงเธอเข้ามาใกล้ ก่อนจะตอบด้วยน้ำเสียงมั่นคง "เราจะผ่านมันไปด้วยกัน ไม่ว่าจะต้องใช้เวลานานแค่ไหนก็ตาม"
    หลังจากการเผชิญหน้าครั้งสำคัญที่บ้านของคุณหญิงดารินทร์ แม้ว่าเธอจะไม่ได้แสดงการยอมรับอย่างชัดเจน แต่เดชน์ดนัยก็รับรู้ถึงความเปลี่ยนแปลงเล็กๆ ในท่าทีของแม่เขา สิ่งนี้กลายเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้เขาและสาริณีต้องพยายามพิสูจน์ตัวเอง
    สาริณีรู้ดีว่าตัวเองต้องทำงานหนักเพื่อพิสูจน์ให้คุณหญิงดารินทร์เห็นว่าเธอคู่ควรกับเดชน์ดนัย เธอเริ่มลงมือศึกษาการเข้าสังคมและมารยาทในวงสังคมชั้นสูง เดชน์ดนัยสนับสนุนเธอทุกทาง เขาคอยสอนเธอเกี่ยวกับวัฒนธรรมและการปฏิบัติตัวในงานสังคม
    “คุณต้องมั่นใจในตัวเอง” เขาบอกเธอในคืนหนึ่ง “คุณมีคุณค่าในตัวเองอยู่แล้ว อย่าปล่อยให้ใครมาดูถูก”
    ในขณะเดียวกัน สาริณีก็เริ่มต้นธุรกิจเล็กๆ ที่บ้าน เธอเปิดร้านขายดอกไม้ ซึ่งเป็นสิ่งที่เธอรัก และค่อยๆ สร้างชื่อเสียงในชุมชนเล็กๆ รอบตัว
    วันหนึ่ง คุณหญิงดารินทร์ตัดสินใจเดินทางไปเยี่ยมพวกเขาที่บ้านในชนบทโดยไม่บอกล่วงหน้า
    เมื่อมาถึง เธอเห็นสาริณีกำลังจัดดอกไม้ในร้านเล็กๆ ของเธอ มีลูกค้าหลายคนที่เข้ามาซื้อดอกไม้และพูดคุยกับสาริณีด้วยท่าทีที่กันเอง
    คุณหญิงแอบมองจากรถ ความคิดหลายอย่างวนเวียนอยู่ในหัวของเธอ
    "ผู้หญิงคนนี้ทำตัวได้ดีกว่าที่ฉันคิดไว้" เธอพูดกับตัวเอง
    เมื่อเธอลงจากรถและเดินเข้ามาในร้าน สาริณีเงยหน้าขึ้นและยิ้ม แม้ว่าจะยังมีความประหม่าอยู่ในใจ
    "สวัสดีค่ะคุณแม่" เธอกล่าวด้วยน้ำเสียงสุภาพ
    คุณหญิงกวาดตามองรอบร้าน ก่อนจะพยักหน้าเบาๆ “ร้านนี้ของเธอหรือ?”
    "ค่ะ ดิฉันเริ่มต้นเล็กๆ แต่ลูกค้าก็ดูชอบกันค่ะ"
    คุณหญิงดารินทร์ไม่ตอบอะไร แต่เดินชมร้านอย่างช้าๆ ก่อนจะหันมาพูด "เธอทำได้ดี แต่ฉันอยากเห็นว่าเธอจะดูแลลูกชายของฉันได้ดีแค่ไหน"
    สาริณีมองเธอด้วยความตกใจ แต่รีบตอบ "ดิฉันจะพยายามอย่างที่สุดค่ะ"
    ในคืนนั้น คุณหญิงดารินทร์พักอยู่ที่บ้านของพวกเขาเป็นครั้งแรก เธอนั่งร่วมโต๊ะอาหารกับเดชน์ดนัยและสาริณี
    "แม่ครับ ขอบคุณที่มาที่นี่ ผมรู้ว่ามันไม่ง่ายสำหรับแม่" เดชน์ดนัยพูดด้วยน้ำเสียงจริงใจ
    "แม่ไม่ได้ทำเพื่อลูกอย่างเดียว แม่อยากเห็นว่าผู้หญิงคนนี้จะทำให้ลูกมีความสุขได้จริงหรือเปล่า" คุณหญิงตอบ
    "ดิฉันรู้ค่ะว่าดิฉันอาจไม่ใช่คนที่คุณแม่คาดหวังไว้ แต่ดิฉันรักเขา และดิฉันจะทำทุกอย่างเพื่อให้เขามีความสุข" สาริณีพูดด้วยน้ำเสียงมั่นคง
    คำพูดของเธอทำให้คุณหญิงนิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะถอนหายใจ "ฉันจะให้เวลาเธอพิสูจน์ตัวเอง"
    หลังจากการเยี่ยมครั้งนั้น คุณหญิงดารินทร์เริ่มเปิดใจมากขึ้น เธอเริ่มโทรหาลูกชายบ่อยขึ้น และบางครั้งก็ถามถึงสาริณี
    สาริณีเองก็พยายามเข้าหาคุณหญิงด้วยความจริงใจ เธอส่งดอกไม้ไปให้คุณหญิงทุกเดือน พร้อมกับการ์ดที่เขียนด้วยลายมือของเธอ
    “คุณแม่คะ ขอบคุณสำหรับโอกาสที่คุณแม่ให้ฉัน ฉันหวังว่าคุณแม่จะให้ฉันได้ดูแลเดชน์ดนัยและลูกของเราในแบบที่ดีที่สุดค่ะ”
    ในคืนหนึ่ง หลังจากวันที่เหนื่อยล้า เดชน์ดนัยนั่งอยู่กับสาริณีที่ระเบียงบ้าน เขามองดวงดาวบนฟ้า ก่อนจะพูดขึ้น
    "ผมไม่คิดเลยว่าความรักจะทำให้ผมเปลี่ยนไปได้ขนาดนี้"
    สาริณียิ้ม "เปลี่ยนในทางที่ดีใช่ไหมคะ?"
    "แน่นอนที่สุด ผมไม่เสียใจเลยที่เลือกคุณ และผมจะไม่มีวันเสียใจ"
    เธอเอนศีรษะพิงไหล่เขา "ฉันก็เหมือนกันค่ะ"
    ทั้งสองนั่งมองท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาว พร้อมกับความหวังที่ว่าความรักของพวกเขาจะเอาชนะทุกอุปสรรคได้
    หลังจากที่คุณหญิงดารินทร์เริ่มเปิดใจให้สาริณี ความสัมพันธ์ในครอบครัวค่อยๆ ดีขึ้น เดชน์ดนัยรู้สึกว่าเขาเลือกเส้นทางที่ถูกต้อง อย่างไรก็ตาม ความสงบสุขนี้ไม่ได้ยาวนานนัก เมื่ออุปสรรคใหม่ปรากฏขึ้น
    วันหนึ่ง ข่าวลือเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของเดชน์ดนัยกับสาริณีเริ่มแพร่กระจายในสังคมไฮโซ มันเริ่มจากคำพูดในงานเลี้ยงหนึ่งที่ลิลลี่ไปร่วม เธอไม่ได้พูดตรงๆ แต่คำพูดแฝงความนัยของเธอก็เพียงพอให้คนอื่นขุดคุ้ยเรื่องราว
    “ฉันสงสัยจริงๆ ว่าเขาจะทิ้งทุกอย่างไปเพื่อใครสักคนที่ไม่มีอะไรเลย” ลิลลี่พูดในวงสนทนาอย่างไม่ตั้งใจ
    ข่าวลือเริ่มขยายตัว สื่อบางเจ้าเริ่มตามหาความจริงเกี่ยวกับสาริณี ทั้งเรื่องราวในอดีตของเธอ และชีวิตในปัจจุบัน
    เมื่อข่าวลือมาถึงหูของคุณหญิงดารินทร์ เธอรีบโทรหาเดชน์ดนัยทันที
    “แม่ได้ยินข่าวลือพวกนี้แล้วนะ ลูกคิดจะจัดการยังไง?”
    เดชน์ดนัยตอบกลับด้วยน้ำเสียงมั่นคง “แม่ครับ ผมรู้ว่าข่าวลือพวกนี้ไม่มีมูลความจริง ผมไม่สนใจว่าคนอื่นจะพูดอะไร ผมสนแค่ว่าครอบครัวของผมมีความสุข”
    “แต่ลูกต้องปกป้องชื่อเสียงของตระกูลนะเดชน์ดนัย”
    “แม่ครับ ผมจะดูแลทุกอย่างเอง ขอแค่แม่เชื่อใจผม”
    ขณะเดียวกัน สาริณีก็เริ่มรู้สึกถึงแรงกดดันที่เพิ่มขึ้น เธอสังเกตเห็นผู้คนในหมู่บ้านเริ่มซุบซิบเกี่ยวกับเธอ บางคนมองเธอด้วยสายตาที่เปลี่ยนไป
    วันหนึ่ง ขณะที่เธอกำลังจัดดอกไม้อยู่หน้าร้าน หญิงสาวคนหนึ่งที่เป็นลูกค้าประจำเดินเข้ามา
    “พี่สาริณีคะ มีข่าวลือเกี่ยวกับพี่ในโซเชียล พี่เห็นหรือยังคะ?”
    สาริณีชะงัก เธอเปิดมือถือขึ้นมาดู พบว่าในโซเชียลมีบทความที่พูดถึงเธอในแง่ลบ โดยเฉพาะเรื่องที่เธอเคยทำงานกลางคืนเพื่อส่งตัวเองเรียน
    แม้ว่าข่าวลือเหล่านั้นจะไม่ใช่ความจริงทั้งหมด แต่มันก็เพียงพอที่จะทำให้เธอรู้สึกเสียใจ
    ในคืนนั้น เมื่อเดชน์ดนัยกลับมาบ้าน เขาเห็นสาริณีนั่งเงียบอยู่ที่โต๊ะ น้ำตาคลอเบ้า
    “เกิดอะไรขึ้น?” เขาถามด้วยความกังวล
    เธอยื่นมือถือให้เขาดู เขาอ่านข้อความเหล่านั้นแล้วขมวดคิ้วแน่น
    “ผมจะจัดการเรื่องนี้ให้เอง คุณไม่ต้องกังวล” เขาพูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่น
    “แต่ฉันกลัวว่ามันจะทำให้คุณลำบาก”
    “ไม่มีอะไรสำคัญไปกว่าคุณกับลูก ผมจะไม่ยอมให้ใครมาทำร้ายคุณ”
    เมื่อเดชน์ดนัยสืบรู้ว่าต้นตอของข่าวลือมาจากลิลลี่ เขาตัดสินใจไปพบเธอ
    “ลิลลี่ ผมรู้ว่าคุณเป็นคนปล่อยข่าวพวกนี้” เขาพูดตรงๆ
    ลิลลี่ยิ้มบางๆ “ฉันแค่พูดความจริงที่ทุกคนควรรู้”
    “คุณไม่มีสิทธิ์มายุ่งเกี่ยวกับชีวิตของผมและสาริณีอีกต่อไป” เขาพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ถ้าคุณไม่หยุด ผมจะใช้ทุกวิถีทางเพื่อปกป้องครอบครัวของผม”
    “คุณเปลี่ยนไปมากนะเดชน์ดนัย” ลิลลี่พูดด้วยน้ำเสียงเสียดสี “คุณยอมทิ้งทุกอย่างเพื่อผู้หญิงคนนั้นจริงๆ เหรอ?”
    “ใช่ และผมไม่เสียใจเลย” เขาตอบอย่างหนักแน่น
    เดชน์ดนัยใช้เส้นสายที่เขามีในวงการสื่อเพื่อหยุดข่าวลือทั้งหมด และชี้แจงความจริงเกี่ยวกับสาริณี เขายืนยันกับทุกคนว่าเขารักเธอ และพร้อมจะปกป้องเธอจากทุกสิ่ง
    คุณหญิงดารินทร์ แม้จะไม่พอใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น แต่เมื่อเธอเห็นความมุ่งมั่นของลูกชาย เธอก็เริ่มยอมรับในตัวสาริณีมากขึ้น
    “แม่ยอมรับว่าครั้งแรกแม่มองเธอผิดไป” คุณหญิงพูดกับสาริณีในวันหนึ่ง “เธออาจไม่ใช่คนที่สมบูรณ์แบบ แต่เธอมีหัวใจที่เข้มแข็ง และแม่เชื่อว่าลูกชายของแม่จะมีความสุขที่ได้อยู่กับเธอ”
    สาริณีน้ำตาคลอ เธอโค้งศีรษะให้คุณหญิง “ขอบคุณค่ะคุณแม่ ดิฉันจะไม่ทำให้คุณแม่ผิดหวัง”
    ในที่สุด เดชน์ดนัยและสาริณีก็สามารถก้าวข้ามอุปสรรคนี้ไปได้ ความรักและความเข้มแข็งของพวกเขากลายเป็นบทเรียนที่สำคัญในชีวิต
    ในคืนหนึ่ง ขณะที่ทั้งสองนั่งดูดาวกับลูกชายตัวน้อยที่กำลังหลับในอ้อมกอดของสาริณี เดชน์ดนัยกระซิบเบาๆ
    “คุณรู้ไหม ผมไม่เคยคิดว่าความรักจะเปลี่ยนชีวิตผมได้ขนาดนี้”
    เธอยิ้ม “ฉันก็เหมือนกันค่ะ ความรักของคุณทำให้ฉันเข้มแข็งขึ้น”
    ทั้งสองกอดกันแน่นใต้แสงดาว พร้อมกับความหวังใหม่ที่ว่าพวกเขาจะเผชิญหน้ากับทุกสิ่งไปด้วยกัน
    เวลาผ่านไปหลายปี ความพยายามและความรักของเดชน์ดนัยและสาริณีก็ได้ผลตอบแทนอย่างงดงาม ทั้งสองคนได้สร้างครอบครัวที่สมบูรณ์และอบอุ่น พร้อมกับชื่อเสียงของพวกเขาที่ค่อยๆ ฟื้นตัวขึ้นมาอีกครั้ง แต่สิ่งที่สำคัญที่สุด คือพวกเขาได้พิสูจน์ให้ทุกคนเห็นว่า ความรักแท้สามารถเอาชนะทุกอุปสรรคได้
    ในค่ำคืนหนึ่ง เดชน์ดนัยได้จัดงานเลี้ยงเล็กๆ ที่บ้านชนบทของพวกเขา เพื่อฉลองครบรอบแต่งงานปีที่ 5 และขอบคุณทุกคนที่อยู่เคียงข้างในช่วงเวลาที่ยากลำบาก
    แขกที่มาร่วมงานมีทั้งเพื่อนสนิท คนในชุมชน และที่สำคัญ คุณหญิงดารินทร์ที่ตอนนี้ยอมรับสาริณีเต็มหัวใจ
    “แม่ไม่เคยคิดเลยว่าผู้หญิงที่แม่เคยไม่ยอมรับ จะกลายเป็นคนที่เปลี่ยนลูกชายของแม่ให้เป็นคนที่ดีขึ้น” คุณหญิงพูดกับสาริณี
    สาริณียิ้ม น้ำตาคลอ “ขอบคุณค่ะคุณแม่ ดิฉันทำทุกอย่างเพราะรักเดชน์ดนัย และดิฉันจะไม่หยุดรักเขา”
    “แม่รู้ และแม่ภูมิใจในตัวเธอ”
    ในงานเลี้ยง เดชน์ดนัยลุกขึ้นกล่าวคำขอบคุณต่อหน้าทุกคน เขาถือแก้วไวน์ไว้ในมือ พร้อมกับมองไปยังสาริณีที่นั่งอยู่ข้างๆ
    “ทุกคนครับ ผมอยากจะพูดสั้นๆ ว่า ความสำเร็จทั้งหมดของผมในวันนี้ ไม่ได้มาจากตัวผมคนเดียว มันมาจากผู้หญิงคนหนึ่งที่ยืนหยัดเคียงข้างผมในทุกสถานการณ์”
    สาริณีหลบสายตาเขาเล็กน้อย ใบหน้าเริ่มแดงจากคำพูดของเขา
    “สาริณี คุณคือสิ่งที่ดีที่สุดที่เคยเกิดขึ้นในชีวิตผม และผมอยากบอกคุณตรงนี้อีกครั้งว่า ผมรักคุณ”
    เสียงปรบมือดังขึ้นจากแขกในงาน ขณะที่สาริณีลุกขึ้นเดินไปหาเดชน์ดนัย เธอโอบกอดเขาแน่น น้ำตาแห่งความสุขไหลริน
    “ฉันก็รักคุณค่ะ”
    หลังงานเลี้ยง เดชน์ดนัยและสาริณีพาลูกชายวัย 4 ขวบชื่อ "ดนุ" ที่น่ารักและซุกซนกลับเข้าบ้าน ดนุกำลังหลับในอ้อมกอดของแม่
    “เขาเหมือนคุณนะคะ ทั้งหน้าตาและความดื้อ” สาริณีหัวเราะเบาๆ
    “ก็ต้องเหมือนสิ เพราะเขาเป็นลูกผม” เดชน์ดนัยยิ้ม พลางมองภาพครอบครัวของเขาด้วยความภาคภูมิใจ
    ทั้งสองพาลูกเข้านอน ก่อนจะออกมานั่งที่ระเบียงด้วยกัน สายลมเย็นพัดผ่าน แสงจันทร์สาดส่องให้บรรยากาศโรแมนติกยิ่งขึ้น
    “คุณคิดว่าชีวิตเราจะเป็นยังไงถ้าวันนั้นเราไม่ได้เจอกัน?” สาริณีถามเบาๆ
    “ผมไม่อยากจะคิดเลย” เดชน์ดนัยตอบ “แต่ผมรู้ว่าถ้าชีวิตผมไม่มีคุณ มันคงไม่มีความหมายอะไร”
    เธอยิ้มและเอนหัวพิงไหล่เขา “ฉันก็รู้สึกเหมือนกันค่ะ คุณคือทุกอย่างของฉัน”
    เดชน์ดนัยจับมือเธอไว้แน่น ก่อนจะก้มลงจูบหน้าผากของเธอเบาๆ
    “เราจะอยู่ด้วยกันแบบนี้ตลอดไป”
    ภาพครอบครัวของเดชน์ดนัย สาริณี และลูกชายตัวน้อยกลายเป็นเครื่องพิสูจน์ว่าความรักที่แท้จริงสามารถเอาชนะทุกสิ่งได้ ไม่ว่ามันจะยากลำบากเพียงใด
    ชีวิตในชนบทที่แสนเรียบง่ายกลับเต็มไปด้วยความสุขที่แท้จริง และพวกเขาก็พร้อมจะสร้างอนาคตใหม่ด้วยกัน
    แสงดาวบนท้องฟ้าส่องสว่างเหมือนกับความหวังของพวกเขา และในค่ำคืนนั้น ความสุขของทั้งสองก็กลายเป็นนิรันดร์
    จบบริบูรณ์

     


    "เมื่อความสัมพันธ์ที่ควรเป็นเพียงความลับ กลับนำพาเธอสู่
    "เมื่อความสัมพันธ์ที่ควรเป็นเพียงความลับ กลับนำพาเธอสู่

    สาริณี หญิงสาววัย 23 ปีที่เพิ่งจบการศึกษาจากมหาวิทยาลัยชื่อดังด้วยคะแนนเกียรตินิยมอันดับหนึ่ง เธอเป็นเด็กสาวจากครอบครัวธรรมดา แต่ด้วยความมุ่งมั่นและความอดทน เธอทำงานกลางคืนเพื่อส่งตัวเองเรียนจนสำเร็จ บาร์หรูที่เธอทำงานเป็นที่พบปะของผู้คนหลากหลายฐานะ และที่นั่นเองที่เธอได้พบกับ เดชน์ดนัย แม็คเกรเกอร์ ซีอีโอหนุ่มลูกครึ่งตาน้ำข้าวเจ้าของบริษัทอสังหาริมทรัพย์ระดับโลก ชายผู้เพียบพร้อมไปด้วยอำนาจ เงินตรา และเสน่ห์ที่ดึงดูดทุกสายตา เดชน์ดนัยสนใจสาริณีตั้งแต่แรกพบ เธอแตกต่างจากผู้หญิงในวงสังคมของเขา ทั้งความฉลาด ความสง่างามที่เป็นธรรมชาติ และดวงตาที่มีแววเศร้าซึ่งเขามองแล้วอดสงสารไม่ได้ จากการพบเจอในค่ำคืนหนึ่ง ความสัมพันธ์ที่ควรจะเป็นเพียงความบังเอิญกลับพัฒนาไปเป็นสิ่งที่ทั้งสองไม่อาจหักห้ามใจได้ สาริณีถูกเสนอให้เป็นผู้หญิงลับๆ ของเขา ในสัญญาที่เธอไม่อาจปฏิเสธได้ เดชน์ดนัยยื่นข้อเสนอว่าเขาจะดูแลเธอและครอบครัวของเธอทุกอย่าง แลกกับการที่เธอต้องเก็บความสัมพันธ์นี้ไว้เป็นความลับ และทำตามข้อกำหนดที่เขาตั้งไว้ หนึ่งในนั้นคือ ห้ามเธอตั้งครรภ์โดยเด็ดขาด เพราะเขากำลังจะหมั้นกับผู้หญิงที่ "เหมาะสม" อย่าง ลิลลี่ โรเดอริค ทายาทสาวแห่งตระกูลเศรษฐีที่พ่อแม่ของเขาจัดหาให้ สาริณีพยายามใช้ชีวิตตามเงื่อนไขที่เขากำหนด เธอไม่เคยตั้งคำถามและปฏิบัติตามทุกอย่างเพื่อหลีกเลี่ยงปัญหา แต่ความผูกพันระหว่างเธอกับเดชน์ดนัยกลับลึกซึ้งขึ้นทุกวัน เธอเริ่มรู้สึกถึงความอบอุ่นที่เขาแสดงออกในเวลาที่อยู่ด้วยกัน เธอฝันว่าเขาจะเลือกเธอในสักวัน ทว่าฝันเหล่านั้นต้องหยุดชะงักเมื่อเธอพบว่าตนเองตั้งครรภ์ แม้จะพยายามหลีกเลี่ยงไม่ให้เกิดเรื่องเช่นนี้ แต่โชคชะตากลับเล่นตลก เธอไม่สามารถตัดสินใจทำลายชีวิตน้อยๆ ในครรภ์ได้ สาริณีเลือกที่จะเก็บลูกไว้ โดยปิดบังความลับนี้จากเดชน์ดนัย ในขณะที่เดชน์ดนัยกำลังเตรียมตัวสำหรับงานหมั้นกับลิลลี่ เขาเริ่มสังเกตถึงการเปลี่ยนแปลงในตัวสาริณี เธอดูเหนื่อยล้าและเลี่ยงการพบปะเขา สัญชาตญาณของเขาทำให้สงสัย และเมื่อความจริงปรากฏ เขาโกรธจนแทบคลั่ง “เธอรู้ใช่ไหมว่านี่คือสิ่งที่ฉันบอกว่า 'ห้าม' อย่างเด็ดขาด!” เดชน์ดนัยตะโกนใส่เธอด้วยดวงตาที่เต็มไปด้วยความผิดหวัง สาริณียืนนิ่ง น้ำตาคลอเบ้า “ฉัน... ฉันขอโทษ ฉันไม่ได้ตั้งใจ แต่เด็กคนนี้... เขาคือส่วนหนึ่งของฉัน” คำพูดของเธอทำให้เดชน์ดนัยรู้สึกสับสน เขาไม่เคยวางแผนให้ชีวิตของเขาต้องวุ่นวายแบบนี้ โดยเฉพาะในช่วงที่เขากำลังจะสร้างครอบครัวที่สมบูรณ์แบบตามแผนที่วางไว้ ในขณะที่เดชน์ดนัยพยายามกดดันให้สาริณีทำแท้ง แต่เธอไม่อาจทำได้ เธอเลือกที่จะเดินออกจากชีวิตของเขาเพื่อปกป้องลูกในท้อง สาริณีเริ่มต้นชีวิตใหม่ในต่างจังหวัด ห่างไกลจากแสงสีและความวุ่นวายของกรุงเทพฯ เดชน์ดนัยเองก็รู้สึกถึงความว่างเปล่าในชีวิต แม้ว่าเขาจะพยายามผลักสาริณีออกไป แต่ในส่วนลึกของหัวใจ เขาไม่อาจลืมเธอได้ เขารู้ว่าความสัมพันธ์ระหว่างเขากับลิลลี่เป็นเพียงการสมรสเพื่อธุรกิจ ไม่ใช่ความรัก เมื่อเวลาผ่านไป เดชน์ดนัยได้พบว่าสิ่งที่เขาต้องการไม่ใช่ชีวิตที่สมบูรณ์แบบตามที่คนอื่นคาดหวัง แต่เป็นความรักแท้ที่เขามีกับสาริณี เขาตัดสินใจตามหาเธอ และเมื่อพบเธออีกครั้งพร้อมกับลูกชายตัวน้อยในอ้อมแขน ความรู้สึกผิดหวังและความโกรธที่เขามีต่อเธอได้เปลี่ยนเป็นความรักและความหวัง "ผมขอโอกาสได้ไหม?" เขาถามเธอด้วยน้ำเสียงสั่น "ผมอยากจะดูแลคุณและลูก" สาริณีมองเขาด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความลังเล เธอกลัวที่จะต้องกลับไปสู่โลกที่เธอหนีออกมา แต่หัวใจของเธอกลับเต้นแรงเมื่อได้ยินคำพูดของเขา ได้เลยค่ะ ฉันจะเริ่มแต่งนิยายเรื่อง "เมื่อนางบำเรอตั้งท้อง" ให้เป็นนิยายยาว และค่อยๆ พัฒนาเนื้อหาไปตามพล็อตที่ตั้งใจไว้ เดี๋ยวขอเวลาเรียบเรียงฉากแรกให้อ่านก่อนค่ะ เมื่อนางบำเรอตั้งท้อง เสียงเพลงบรรเลงเบาๆ ในบาร์หรูแห่งหนึ่งย่านใจกลางเมืองกรุงเทพฯ ผู้คนแต่งตัวสวยงามพลุกพล่านในพื้นที่ที่ถูกจัดไว้อย่างเป็นระเบียบ สาริณี เด็กสาววัยเพิ่งจบมหาวิทยาลัย กำลังทำงานเป็นพนักงานเสิร์ฟในบาร์แห่งนี้ เธอไม่ได้ชื่นชอบงานนี้นัก แต่ชีวิตไม่ได้ให้ทางเลือกมากมายแก่เธอ "โต๊ะ 7 สั่งไวน์แดง รีบหน่อยนะ" เสียงพนักงานคนหนึ่งบอกเธอ "ได้ค่ะ" สาริณีตอบรับด้วยน้ำเสียงเรียบ เธอหยิบถาดไวน์ เดินไปยังโต๊ะที่มีชายหนุ่มนั่งอยู่เพียงลำพัง ใบหน้าของเขาดูคมคาย ชวนมองตั้งแต่แรกเห็น "นี่ค่ะ ไวน์ของคุณ" เธอวางแก้วลงด้วยมือที่มั่นคง ทว่าใจกลับเต้นระรัวอย่างไม่รู้ตัว เขาเงยหน้าขึ้นมองเธอ ดวงตาสีฟ้าเจิดจ้าสบกับดวงตาของเธอเพียงชั่วขณะ ก่อนเขาจะพยักหน้ารับ "คุณชื่ออะไร" เขาถามด้วยน้ำเสียงเรียบแต่หนักแน่น สาริณีชะงัก แต่ก็รีบตอบด้วยความสุภาพ "สาริณีค่ะ" ชายหนุ่มยิ้มบางๆ ก่อนพูดขึ้น "ผมชื่อเดชน์ดนัย ยินดีที่ได้รู้จัก" สองสัปดาห์หลังจากวันนั้น เดชน์ดนัยกลับมาที่บาร์แห่งเดิมอีกครั้ง แต่คราวนี้เขาไม่ได้มาเพื่อดื่มไวน์ เขามาหาเธอ "สาริณี ผมมีข้อเสนอให้คุณ" เขาพูดตรงไปตรงมาในครั้งแรกที่พวกเขาได้คุยกัน "ข้อเสนออะไรคะ?" เธอถามด้วยความสงสัย "มาอยู่กับผม ผมจะดูแลคุณทุกอย่าง... เงิน การศึกษา ครอบครัวของคุณ ผมจัดการได้หมด แต่...ความสัมพันธ์ของเราต้องเป็นความลับ" สาริณีรู้สึกช็อก แต่เธอก็เข้าใจว่าเขาไม่ได้ขอความรักจากเธอ เขาต้องการแค่ความสัมพันธ์ที่ปราศจากเงื่อนไขทางอารมณ์ "แต่ฉัน..." "ไม่มีคำตอบตอนนี้ก็ได้ ผมให้เวลาคุณคิด" เดชน์ดนัยพูดพลางหยิบนามบัตรยื่นให้ "ถ้าคุณตกลง โทรมาหาผม" สาริณีลังเล แต่ในใจลึกๆ เธอรู้ว่าข้อเสนอของเขาอาจช่วยชีวิตเธอและครอบครัวได้ หลังจากความกดดันและความจำเป็นที่ครอบครัวต้องการเงิน เธอตัดสินใจโทรหาเขา และชีวิตของสาริณีก็เปลี่ยนไปทันที "ดีใจที่คุณโทรมา ผมจะส่งรถไปรับพรุ่งนี้" เดชน์ดนัยพูดเสียงนิ่ง สาริณีรู้สึกเหมือนกำลังเดินเข้าสู่โลกที่ไม่คุ้นเคย เธอถูกพาไปยังคอนโดหรูในย่านที่คนทั่วไปไม่มีสิทธิ์แม้แต่จะผ่านเข้าไป เดชน์ดนัยให้เธอพักที่นั่น และกำชับว่าเธอไม่ควรออกไปไหนโดยไม่บอกเขา "ฉันแค่คนธรรมดา คุณต้องการอะไรจากฉันจริงๆ?" เธอถามเขาในคืนหนึ่ง "ผมแค่ต้องการใครสักคนที่ไม่วุ่นวายกับชีวิตของผม" เขาตอบสั้นๆ ความสัมพันธ์ของพวกเขาค่อยๆ พัฒนาไป แม้จะถูกจำกัดด้วยเงื่อนไขที่เดชน์ดนัยตั้งไว้ แต่สาริณีกลับรู้สึกผูกพันกับเขามากขึ้นเรื่อยๆ ไม่นานหลังจากนั้น ชีวิตที่เหมือนจะราบรื่นของสาริณีก็เริ่มเปลี่ยนไป เมื่อเธอพบว่าตัวเองตั้งครรภ์ เด็กคนนี้เป็นผลลัพธ์จากคืนที่เขาปล่อยให้ความรู้สึกพาไป สาริณีรู้ดีว่าการบอกเขาจะนำมาซึ่งความโกรธและการปฏิเสธ เธอเลือกเก็บเรื่องนี้ไว้ และวางแผนหนีไปเพื่อเริ่มต้นชีวิตใหม่ สาริณีเริ่มรู้สึกถึงความเปลี่ยนแปลงในร่างกายของตัวเอง ความเหนื่อยล้าที่มาพร้อมกับคลื่นไส้ตอนเช้าทำให้เธอสงสัย เธอรีบไปซื้อชุดตรวจครรภ์มาใช้ในเช้าวันหนึ่ง ขณะที่เดชน์ดนัยไม่อยู่ในคอนโด เมื่อเห็นผลบนแผ่นตรวจครรภ์ที่ขึ้นสองขีดชัดเจน หัวใจของเธอแทบหยุดเต้น มือที่จับแผ่นตรวจสั่นระริก เธอไม่เคยคิดว่าชีวิตจะมาถึงจุดนี้ จุดที่เธอไม่อาจย้อนกลับไปได้ “ฉันจะทำยังไงดี…” เธอพูดกับตัวเอง น้ำตาไหลรินลงมาไม่หยุด คืนนั้น เดชน์ดนัยกลับมาพร้อมความเหนื่อยล้าจากงาน เขาสังเกตเห็นว่าบรรยากาศในห้องดูเงียบผิดปกติ “สาริณี คุณเป็นอะไรหรือเปล่า?” เขาถามด้วยน้ำเสียงเรียบ “เปล่าค่ะ แค่รู้สึกไม่ค่อยสบาย” เธอฝืนยิ้มให้เขา หวังปิดบังความจริงในใจ “ถ้าไม่สบายก็ควรไปหาหมอ” เขาพูดอย่างเป็นห่วง แต่ก็ยังคงมีความเย็นชาในน้ำเสียงที่เขาไม่เคยละเลย สาริณีได้แต่นิ่งเงียบ เธอไม่กล้าพูดออกไปว่าเธอป่วยเพราะอะไร คืนหนึ่ง สาริณีตื่นกลางดึกเพราะอาการคลื่นไส้ เธอวิ่งเข้าห้องน้ำ ทิ้งให้เดชน์ดนัยที่นอนอยู่บนเตียงต้องลุกขึ้นตาม “คุณเป็นอะไร?” เขาถามด้วยความกังวล ขณะที่เห็นเธอนั่งหมดแรงอยู่ข้างชักโครก “แค่อาหารเป็นพิษค่ะ” เธอตอบโดยไม่มองหน้าเขา เดชน์ดนัยขมวดคิ้ว สัญชาตญาณบางอย่างทำให้เขารู้สึกว่าเธอกำลังปิดบังอะไรบางอย่าง “อาหารเป็นพิษบ่อยขนาดนี้?” เขาถาม แต่ก็ไม่ได้คาดคั้น สาริณีพยักหน้ารับ และเดชน์ดนัยก็ไม่ได้พูดอะไรต่อ เขาเพียงแค่เดินกลับไปที่เตียง ทิ้งเธอไว้กับความกดดันที่เพิ่มขึ้นในใจ หลายวันต่อมา สาริณีพยายามหลีกเลี่ยงการพบหน้าเขา เธอรู้ว่าความลับนี้จะไม่สามารถซ่อนอยู่นานได้ เธอเริ่มเก็บเงินที่เดชน์ดนัยให้ไว้สำหรับใช้จ่ายส่วนตัวเพื่อเตรียมหนี เธอรู้ดีว่า หากเดชน์ดนัยรู้ว่าเธอฝ่าฝืนเงื่อนไขที่เขากำหนดไว้ ทุกอย่างจะพังทลาย เขาอาจไล่เธอออกไป หรือที่แย่กว่านั้น เขาอาจบังคับให้เธอทำในสิ่งที่เธอไม่อยากทำ แต่ในใจลึกๆ เธอรู้ว่าต้องปกป้องเด็กในท้องให้ได้ เด็กคนนี้ไม่ใช่แค่ผลพวงจากความสัมพันธ์ลับๆ แต่เป็นสิ่งเดียวที่เธอรู้สึกว่าเป็นของเธอจริงๆ ในเย็นวันหนึ่ง ขณะที่สาริณีกำลังนั่งดูรูปอัลตราซาวด์ที่เพิ่งได้มาจากคลินิก เธอไม่ทันสังเกตว่าเดชน์ดนัยกลับมาถึงบ้านแล้ว “รูปอะไรน่ะ?” เสียงของเขาทำให้เธอสะดุ้ง เธอรีบซ่อนกระดาษในมือ แต่ไม่ทัน เดชน์ดนัยคว้ามันไปก่อน เขาดูภาพนั้น และสีหน้าของเขาเปลี่ยนไปทันที “นี่มันอะไร สาริณี?” เธอนิ่งเงียบ ดวงตาเริ่มมีน้ำตาคลอ “คุณท้องงั้นเหรอ?” เขาถามเสียงดัง ดวงตาสีฟ้าเจิดจ้าของเขาเต็มไปด้วยความโกรธ “ฉันขอโทษค่ะ…” เธอพูดด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา “คุณรู้ใช่ไหมว่าผมบอกว่าอะไร ห้ามตั้งท้อง! แล้วคุณทำแบบนี้ทำไม?” สาริณีร้องไห้ออกมา เธอพยายามจะอธิบาย แต่เดชน์ดนัยไม่ฟัง เขาหยิบเสื้อสูทของตัวเองแล้วเดินออกจากห้องไป ทิ้งเธอไว้ในสภาพที่หัวใจแหลกสลาย คืนหนึ่ง สาริณีที่สวมชุดนอนผ้าซาตินสีอ่อนนั่งอยู่ริมระเบียงของคอนโด ลมเย็นที่พัดมาทำให้เธอรู้สึกอ้างว้าง แม้ว่าจะมีทุกอย่างที่หรูหรารายล้อมอยู่รอบตัว แต่ในใจของเธอกลับว่างเปล่า เสียงเปิดประตูดังขึ้น เดชน์ดนัยเดินเข้ามาในห้อง เขาถอดเนกไทออกด้วยความเหนื่อยล้า และเมื่อเห็นเธอนั่งเหม่อมองออกไปนอกหน้าต่าง ใบหน้าของเขาอ่อนลง “ยังไม่นอนเหรอ?” เขาถาม ขณะเดินเข้ามาใกล้ สาริณีหันกลับมามองเขา ดวงตาคู่นั้นมีความเศร้าซ่อนอยู่ “ฉันแค่นอนไม่หลับค่ะ” เขานั่งลงข้างเธอ มือใหญ่เอื้อมไปแตะที่แก้มของเธอเบาๆ “คุณคิดมากเรื่องอะไรหรือเปล่า?” สาริณีหลบสายตา เธอรู้สึกเหมือนกำลังถูกอ่านใจ แต่ก็ไม่กล้าพูดความจริงออกมา เดชน์ดนัยยิ้มบางๆ ก่อนจะลูบไล้มือผ่านเส้นผมของเธอ เขาเอียงใบหน้าเข้ามาใกล้จนเธอรู้สึกถึงลมหายใจของเขาที่อุ่นร้อน “คุณรู้ไหม ผมคิดถึงคุณทุกครั้งที่ไม่ได้อยู่ด้วย” เสียงของเขานุ่มนวล ทว่ามั่นคง สาริณีหัวใจเต้นรัว เธอไม่สามารถหลบเลี่ยงความรู้สึกของตัวเองได้อีกต่อไป เดชน์ดนัยดึงเธอเข้ามาใกล้ ริมฝีปากของเขาประทับลงบนหน้าผากของเธอเบาๆ ก่อนที่จะค่อยๆ เลื่อนลงมาที่แก้มและริมฝีปาก สัมผัสนั้นอ่อนโยน ทว่าก็เปี่ยมไปด้วยความปรารถนาที่ซ่อนอยู่ เธอหลับตาลง ปล่อยให้ความรู้สึกทั้งหมดนำพาไป เขาอุ้มเธอขึ้นจากเก้าอี้ นำพาเธอไปยังเตียงกว้างที่ตกแต่งด้วยผ้าปูสีขาวสะอาด เขาวางเธอลงอย่างเบามือ ก่อนที่จะตามมาทาบทับ “สาริณี…” เขาเรียกชื่อเธอด้วยเสียงกระซิบ “ผมต้องการคุณ…ไม่ใช่แค่คืนนี้ แต่ตลอดไป” เธอมองลึกเข้าไปในดวงตาของเขา ความรู้สึกอุ่นวาบแผ่ซ่านไปทั่วร่างกาย “ฉันก็ต้องการคุณค่ะ” แสงไฟในห้องค่อยๆ หรี่ลง เหลือเพียงความอบอุ่นจากการโอบกอดที่เต็มไปด้วยความรักและความโหยหา วันหนึ่ง เดชน์ดนัยถูกเรียกตัวไปยังคฤหาสน์ของครอบครัว แม้จะไม่เต็มใจนัก แต่เขาก็ไม่อยากปฏิเสธคำสั่งของ คุณหญิงดารินทร์ ผู้เป็นแม่ หญิงสูงศักดิ์ที่เป็นที่นับถือในแวดวงสังคมชั้นสูง เมื่อเขาเดินเข้าไปในห้องรับรองที่ตกแต่งอย่างวิจิตร คุณหญิงดารินทร์นั่งอยู่พร้อมกับหญิงสาวคนหนึ่งที่แต่งตัวเรียบร้อยและดูภูมิฐาน "นี่ไง เดชน์ดนัย ลูกชายของแม่" คุณหญิงดารินทร์พูดขึ้นด้วยรอยยิ้มขณะยื่นมือไปทางลูกชาย เดชน์ดนัยก้มศีรษะเล็กน้อย “สวัสดีครับแม่” แล้วหันไปมองหญิงสาวที่นั่งอยู่ "นี่ลิลลี่ โรเดอริค ลูกสาวของคุณวิภาดา เธอเรียนจบจากอังกฤษ และตอนนี้ดูแลกิจการของครอบครัวอยู่ ลิลลี่คนนี้แหละที่แม่เห็นว่าเหมาะจะมาเป็นคู่ชีวิตของลูก" ลิลลี่ลุกขึ้นยิ้มอย่างสุภาพและกล่าวทักทาย “ยินดีที่ได้รู้จักค่ะ คุณเดชน์ดนัย” เสียงของเธอหวานและนุ่มนวล เดชน์ดนัยยิ้มเล็กน้อยเพื่อรักษามารยาท แต่ในใจกลับรู้สึกอึดอัด เขารู้ดีว่าแม่ต้องการอะไร "แม่รู้ว่าลูกยุ่งกับงาน แต่เรื่องครอบครัวก็สำคัญไม่แพ้กัน ลิลลี่น่ะทั้งฉลาด มีความสามารถ และเหมาะสมกับตระกูลเรา ลูกจะไม่ผิดหวังเลย" คุณหญิงดารินทร์พูดพลางมองลูกชายด้วยสายตาที่กดดัน เดชน์ดนัยเพียงพยักหน้า แต่ไม่ได้ตอบรับหรือปฏิเสธ ความคิดของเขาวนเวียนอยู่กับสาริณี หญิงสาวที่อยู่ในใจเขามาตลอด ค่ำคืนนั้น หลังจากการพบปะ เดชน์ดนัยกลับมาที่คอนโด เขาเห็นสาริณีกำลังนั่งอ่านหนังสืออยู่ในห้องนั่งเล่น เธอเงยหน้าขึ้นเมื่อเห็นเขา สีหน้าของเธอแสดงความยินดีที่เขากลับมา "คุณกลับมาแล้ว" เธอยิ้มบางๆ แต่เดชน์ดนัยไม่ได้พูดอะไร เขาเดินตรงไปนั่งข้างๆ เธอ สายตาของเขามองเธออย่างลึกซึ้ง "วันนี้ผมไปเจอผู้หญิงคนหนึ่ง" เขาพูดเสียงต่ำ สาริณีชะงัก ความยิ้มแย้มบนใบหน้าค่อยๆ จางลง “ใครคะ?” "แม่ผมอยากให้เธอมาเป็นคู่หมั้นของผม" เดชน์ดนัยพูดตรงไปตรงมา สาริณีรู้สึกเหมือนหัวใจถูกบีบรัด เธอพยายามปั้นหน้าให้เรียบเฉย “แล้วคุณคิดว่าเธอเหมาะสมไหมคะ?” เดชน์ดนัยจับมือของเธอแน่น “ไม่มีใครเหมาะสมกับผมมากไปกว่าคุณ สาริณี” น้ำตาไหลออกมาจากดวงตาของสาริณี เธอรู้ดีว่าตำแหน่งของเธอในชีวิตของเขาไม่ใช่สิ่งที่สังคมยอมรับได้ “แต่คุณเป็นคนของสังคม คุณแม่ของคุณคงไม่เห็นฉันในสายตา” เธอพูดเสียงสั่น เดชน์ดนัยดึงเธอเข้ามาใกล้ “ผมไม่สนใจว่าสังคมจะมองยังไง ผมสนแค่ว่าคุณอยู่กับผม” ได้เลยค่ะ ฉันจะต่อเนื้อหาให้เข้มข้นยิ่งขึ้น เพิ่มทั้งบทสนทนาที่สะท้อนอารมณ์ของตัวละคร และการเผชิญหน้าระหว่างเดชน์ดนัยกับคุณหญิงดารินทร์ รวมถึงความรู้สึกที่ซับซ้อนของสาริณีค่ะ วันรุ่งขึ้น เดชน์ดนัยถูกเรียกตัวไปพบคุณหญิงดารินทร์อีกครั้ง ครั้งนี้บรรยากาศในห้องรับรองไม่ผ่อนคลายเหมือนเมื่อวาน สีหน้าของคุณหญิงดารินทร์ดูจริงจัง "เดชน์ดนัย แม่จะพูดตรงๆ ลูกอายุสามสิบห้าแล้ว ถึงเวลาแล้วที่ลูกจะต้องแต่งงานและสร้างครอบครัว" เดชน์ดนัยนั่งเงียบ ไม่ตอบโต้ทันที เขารู้ว่าการโต้เถียงกับแม่ของเขาไม่ใช่เรื่องง่าย "แม่อยากให้ลูกรู้ว่า การแต่งงานกับลิลลี่ไม่ใช่แค่เรื่องของลูก แต่มันเกี่ยวข้องกับอนาคตของบริษัทและชื่อเสียงของตระกูลเราด้วย" คุณหญิงดารินทร์พูดเสียงหนักแน่น "แม่ครับ..." เดชน์ดนัยถอนหายใจ "ผมเข้าใจว่าลิลลี่เป็นผู้หญิงที่สมบูรณ์แบบในสายตาแม่ แต่..." "ไม่มีแต่!" คุณหญิงดารินทร์ขัด "แม่เลี้ยงลูกมาเพื่อให้เป็นคนที่สมบูรณ์แบบสำหรับสังคม ถ้าลูกยังไม่เห็นความสำคัญของการแต่งงานนี้ ลูกอาจทำลายทุกอย่างที่แม่สร้างมา" คำพูดนั้นเหมือนมีดที่กรีดลึกลงในหัวใจของเดชน์ดนัย เขารู้สึกเหมือนถูกบีบให้เลือกระหว่างหน้าที่กับหัวใจ ขณะเดียวกัน สาริณีเริ่มสังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลงในตัวเดชน์ดนัย เขาดูเคร่งเครียดขึ้น และเธอเองก็ไม่อาจหลีกหนีความคิดถึงคำพูดของเขาในคืนก่อน “คุณคิดจะบอกเขาเรื่องลูกหรือยัง?” เธอถามตัวเองในกระจก เธอลูบท้องที่เริ่มนูนเล็กน้อย ความลับนี้เริ่มหนักอึ้งจนเธอไม่อาจทนเก็บไว้อีกต่อไป เธอต้องการบอกเขา แต่ก็กลัวว่าความจริงจะทำลายทุกสิ่ง ในค่ำคืนหนึ่ง ขณะที่เดชน์ดนัยกลับมาถึงคอนโด เขาพบสาริณีนั่งอยู่บนโซฟา ดวงตาของเธอเต็มไปด้วยความเศร้า "เดชน์ดนัย ฉันมีเรื่องต้องบอกคุณ" เขามองเธอ สีหน้าฉายแววสงสัย "อะไรเหรอ?" เธอสูดลมหายใจลึก ก่อนจะพูดออกไป "ฉัน...ฉันท้อง" คำพูดนั้นทำให้ทั้งห้องตกอยู่ในความเงียบ เดชน์ดนัยจ้องเธอด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความตกใจและสับสน "คุณพูดจริงเหรอ?" เขาถามเสียงต่ำ "ค่ะ ฉันเพิ่งรู้เมื่อไม่นานมานี้" เดชน์ดนัยยืนขึ้น เขาเดินวนไปรอบห้อง ราวกับกำลังพยายามหาคำตอบให้กับสิ่งที่เพิ่งได้ยิน "ทำไมคุณถึงไม่บอกผมตั้งแต่แรก?" "ฉันกลัวค่ะ" เธอพูดทั้งน้ำตา "ฉันกลัวว่าคุณจะไม่ต้องการเด็กคนนี้ เพราะฉันรู้ว่า...คุณกำลังจะหมั้น" คำพูดนั้นทำให้เดชน์ดนัยหยุดนิ่ง เขาหันกลับมามองเธอ ดวงตาสีฟ้าของเขามีประกายแห่งความสับสนและความเจ็บปวด "ผมไม่เคยต้องการให้คุณรู้สึกว่าผมไม่ต้องการคุณ...หรือเด็กคนนี้" เขาพูดเสียงสั่น "แต่คุณรู้ไหมว่านี่มันจะทำให้ทุกอย่างซับซ้อนแค่ไหน?" ในวันต่อมา เดชน์ดนัยเผชิญหน้ากับคุณหญิงดารินทร์อีกครั้ง ครั้งนี้เขาตัดสินใจพูดความจริง "แม่ครับ ผมมีบางอย่างต้องบอก" เขาพูดเสียงหนักแน่น คุณหญิงดารินทร์มองลูกชายด้วยความสงสัย "มีอะไรเหรอ?" "ผมมีคนรักอยู่แล้ว และเธอกำลังจะมีลูกของผม" คำพูดนั้นทำให้คุณหญิงดารินทร์ถึงกับนิ่งไปชั่วขณะ แต่เมื่อเธอรู้สึกตัว เธอกลับระเบิดความโกรธออกมา "ลูกพูดอะไรออกมา! ใครกัน? ผู้หญิงที่ไม่มีหัวนอนปลายเท้าเหรอ?" "เธอชื่อสาริณีครับ เธอเป็นคนดีและเธอรักผม ไม่ใช่เพราะเงินหรือสถานะของผม" "แต่เธอไม่มีอะไรเหมาะสมเลย!" คุณหญิงดารินทร์ตะโกน "ลูกคิดว่าแม่จะยอมรับเธอเหรอ?" เดชน์ดนัยยืนขึ้น เขามองแม่ของเขาด้วยสายตาที่มุ่งมั่น "แม่ครับ ผมรักเธอ และลูกในท้องคือครอบครัวของผม" หลังจากการเผชิญหน้ากับคุณหญิงดารินทร์ เดชน์ดนัยกลับมาที่คอนโดพร้อมกับความรู้สึกหนักอึ้งในหัวใจ แต่เมื่อเขาเห็นสาริณีนั่งรออยู่บนโซฟา ใบหน้าเศร้าหมองของเธอทำให้เขารู้สึกว่าต้องทำอะไรสักอย่าง "สาริณี..." เขาเดินเข้าไปนั่งข้างเธอ เธอหันมามองเขา ดวงตาแดงก่ำราวกับเพิ่งร้องไห้มา "คุณโอเคไหมคะ?" "แม่รู้เรื่องแล้ว" เขาพูดตรงๆ สาริณีชะงัก น้ำตาเริ่มไหลอีกครั้ง "แล้ว...คุณแม่ว่าอะไรบ้างคะ?" "แม่โกรธมาก แต่ผมบอกแม่ไปแล้วว่าไม่ว่าผลจะเป็นยังไง ผมจะไม่ทิ้งคุณและลูก" คำพูดของเขาทำให้หัวใจของสาริณีอบอุ่นขึ้น แม้ว่าความกลัวจะยังคงอยู่ แต่ความมั่นคงในน้ำเสียงของเขาทำให้เธอรู้สึกปลอดภัย "เดชน์ดนัย...ฉันไม่อยากให้คุณต้องลำบากเพราะฉัน" เธอพูดเสียงเบา "ถ้าคุณอยากให้ฉันไป ฉันจะไป" เขาจับมือเธอแน่น "อย่าพูดแบบนั้น ผมต้องการคุณ คุณคือตัวเลือกของผม ไม่ใช่ใครอื่น" สองวันต่อมา คุณหญิงดารินทร์ไม่อาจอดทนอยู่เฉยได้อีก เธอเดินทางมาที่คอนโดของเดชน์ดนัยโดยไม่แจ้งล่วงหน้า เมื่อสาริณีเปิดประตูและเห็นคุณหญิงยืนอยู่ตรงหน้า ใบหน้าของเธอซีดเผือด "คุณสาริณีใช่ไหม?" น้ำเสียงของคุณหญิงดารินทร์เย็นชา "ค่ะ ดิฉัน..." "ฉันไม่อยากเสียเวลา" คุณหญิงพูดขัด "เธอควรออกไปจากชีวิตลูกชายฉัน" สาริณีรู้สึกเหมือนหัวใจหยุดเต้น แต่เธอยังคงยืนนิ่ง แม้ว่ามือจะสั่นเล็กน้อย "ดิฉัน...ดิฉันขอโทษค่ะ แต่ดิฉันรักคุณเดชน์ดนัย และลูกในท้องนี้..." "ลูกของเธอไม่มีทางได้เป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวเรา!" คุณหญิงดารินทร์พูดเสียงแข็ง "เธอไม่คู่ควร ไม่มีอะไรเหมาะสมเลย เธอคิดว่าความรักของเธอจะเปลี่ยนอนาคตของเขาได้เหรอ?" ขณะที่บรรยากาศเต็มไปด้วยความตึงเครียด เดชน์ดนัยกลับมาถึงพอดี เมื่อเขาเห็นทั้งสองเผชิญหน้ากัน เขารีบเข้ามาขวาง "แม่ครับ พอได้แล้ว!" เขาตะโกน "เดชน์ดนัย! แม่ทำเพื่อลูกนะ "อนาคตของผมคือสาริณีและลูกครับ ไม่ใช่สิ่งที่แม่วางไว้!" คุณหญิงดารินทร์นิ่งไป เธอไม่เคยเห็นลูกชายของเธอยืนหยัดแบบนี้มาก่อน น้ำเสียงของเขาเต็มไปด้วยความมุ่งมั่น หลังจากเหตุการณ์นั้น เดชน์ดนัยพยายามแสดงให้คุณแม่เห็นว่าเขาจริงจังกับสาริณี เขาพาเธอไปพบเพื่อนร่วมงานและครอบครัวที่สนิทสนม ในขณะเดียวกัน สาริณีก็เริ่มพยายามพิสูจน์ตัวเอง เธอเรียนรู้การเข้าสังคมและพัฒนาตัวเองเพื่อไม่ให้เป็นจุดอ่อนของเขา แต่ความรักของทั้งคู่ก็ไม่ได้ราบรื่นเสมอไป อุปสรรคจากทั้งครอบครัวของเขา และความรู้สึกด้อยค่าของสาริณียังคงเป็นสิ่งที่ต้องก้าวผ่าน คืนหนึ่ง ขณะที่เดชน์ดนัยกำลังกอดสาริณีไว้ในอ้อมแขน เขากระซิบที่ข้างหูของเธอ "เราจะผ่านมันไปด้วยกัน ผมสัญญา" เธอเงยหน้ามองเขา ดวงตาเต็มไปด้วยน้ำตา แต่ก็มีรอยยิ้มที่อบอุ่น "ฉันเชื่อคุณค่ะ" หลังจากเหตุการณ์ที่คุณหญิงดารินทร์มาเยี่ยมถึงคอนโด เดชน์ดนัยและสาริณีต่างก็รู้ว่าชีวิตของพวกเขาไม่ได้ง่ายดายอีกต่อไป แม้เขาจะยืนยันอย่างหนักแน่นว่าจะอยู่เคียงข้างสาริณีและลูก แต่แรงกดดันจากสังคมและครอบครัวก็ยังถาโถมเข้ามาอย่างไม่หยุดหย่อน คุณหญิงดารินทร์วางแผนตัดสาริณีออกจากชีวิตลูกชาย ในค่ำคืนที่เงียบสงบในคฤหาสน์ของตระกูลแม็คเกรเกอร์ คุณหญิงดารินทร์เรียกพบลิลลี่เป็นการส่วนตัว “ลิลลี่ ลูกยังอยากแต่งงานกับเดชน์ดนัยอยู่ไหม?” คุณหญิงถามด้วยน้ำเสียงที่เจือความอ่อนโยน “แน่นอนค่ะคุณน้า แต่ดูเหมือนเดชน์ดนัยจะ…” ลิลลี่เว้นวรรค น้ำเสียงของเธอเต็มไปด้วยความลังเล “แม่ไม่ยอมให้ผู้หญิงคนนั้นมาแย่งทุกอย่างไปหรอก” คุณหญิงดารินทร์พูดด้วยความมุ่งมั่น “ลิลลี่ แม่จะทำทุกอย่างให้เขากลับมาหาลูก และลูกต้องช่วยแม่” “แล้วคุณน้าจะทำยังไงคะ?” “แม่มีแผน แต่ลูกไม่ต้องกังวล แค่เชื่อฟังแม่ก็พอ เดชน์ดนัยกับสาริณีในวันที่ไม่มั่นคง ขณะเดียวกัน สาริณีเริ่มรู้สึกถึงความห่างเหินของเดชน์ดนัย แม้เขาจะยังคอยอยู่เคียงข้างเธอ แต่แรงกดดันจากคุณแม่ของเขาและการพยายามผลักดันลิลลี่เข้ามาทำให้เขาดูอ่อนล้าลง “คุณโอเคไหมคะ?” เธอถามในคืนหนึ่ง ขณะที่เขานั่งอยู่ริมเตียง มองออกไปนอกหน้าต่าง เขาหันมามองเธอ ดวงตาสีฟ้าที่เคยมั่นคงตอนนี้กลับมีแววเหนื่อยล้า “ผมแค่รู้สึกว่ามันยากขึ้นทุกวัน” “ถ้าคุณรู้สึกว่าฉันทำให้คุณลำบาก ฉันยอมออกไปจากชีวิตคุณได้นะคะ” คำพูดนั้นเหมือนมีดที่แทงลึกลงในหัวใจของเดชน์ดนัย เขาลุกขึ้นจับไหล่ของเธอแน่น “อย่าพูดแบบนั้นอีก ผมเลือกคุณแล้ว และผมจะไม่เปลี่ยนใจ” “แต่คุณแม่ของคุณ...” “แม่จะต้องเข้าใจในสักวัน และถ้าไม่ ผมก็พร้อมจะยืนหยัดเพื่อคุณกับลูก” ไม่กี่วันต่อมา คุณหญิงดารินทร์เชิญเดชน์ดนัยไปพบที่บ้าน โดยอ้างว่ามีเรื่องสำคัญต้องพูดคุย “แม่อยากให้ลูกคิดทบทวนอีกครั้งเกี่ยวกับลิลลี่” คุณหญิงพูดเปิดประเด็น “แม่ครับ ผมบอกแม่ไปแล้วว่าผมเลือกสาริณี” “แต่ลิลลี่คือคนที่เหมาะสมที่สุดสำหรับลูก” คุณหญิงยืนยัน “ความเหมาะสมที่แม่พูดถึงไม่ได้ทำให้ผมมีความสุข” เดชน์ดนัยพูดเสียงแข็ง “และแม่ควรหยุดพยายามดึงผมออกจากคนที่ผมรัก” “แล้วถ้าแม่บอกว่า ถ้าลูกไม่ทำตามที่แม่ขอ แม่จะตัดลูกออกจากตระกูลล่ะ?” คำพูดของคุณหญิงทำให้บรรยากาศในห้องเงียบงัน เดชน์ดนัยมองแม่ของเขาด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความผิดหวัง “แม่ครับ ผมรักแม่ แต่ผมไม่อาจแลกความรักที่แท้จริงกับชื่อเสียงและเงินทองได้” ในขณะเดียวกัน สาริณีก็เผชิญแรงกดดันจากลิลลี่ที่เข้ามาใกล้ชิดเธอ “เธอไม่ควรอยู่ในชีวิตของเดชน์ดนัยอีกต่อไป” ลิลลี่พูดตรงๆ สาริณีมองลิลลี่ด้วยแววตาที่อ่อนล้า “ฉันรักเขา และฉันไม่ได้ต้องการแย่งอะไรจากคุณ” “แต่เธอไม่มีสิทธิ์! เดชน์ดนัยเป็นของฉัน!” ลิลลี่พูดด้วยน้ำเสียงเย้ยหยัน “ความรักมันไม่ใช่สิ่งที่ใครเป็นเจ้าของได้” สาริณีพูดกลับด้วยน้ำเสียงมั่นคง “ถ้าคุณคิดว่าคุณสามารถทำให้เขามีความสุขได้จริงๆ ฉันพร้อมจะถอยออกมา” คำพูดนั้นทำให้ลิลลี่นิ่งไปชั่วขณะ เธอไม่คาดคิดว่าสาริณีจะพูดด้วยความมั่นคงเช่นนี้ เดชน์ดนัยต้องเผชิญกับทางแยกสำคัญในชีวิต เขาต้องเลือกระหว่างการรักษาครอบครัวและตำแหน่งทางสังคม กับการปกป้องคนที่เขารัก สุดท้ายเขาตัดสินใจลาออกจากตำแหน่งซีอีโอชั่วคราว เพื่อย้ายไปเริ่มต้นชีวิตใหม่กับสาริณีในต่างจังหวัด และพิสูจน์ให้แม่ของเขาเห็นว่าเขาสามารถสร้างครอบครัวที่เต็มไปด้วยความรักและความสุขได้ แม้จะไม่มีสิ่งที่คนภายนอกมองว่าคู่ควร หลังจากเดชน์ดนัยตัดสินใจครั้งสำคัญในชีวิต เขาลาออกจากตำแหน่งซีอีโอของบริษัทชั่วคราว เพื่อย้ายไปเริ่มต้นชีวิตใหม่กับสาริณีในต่างจังหวัด ความเป็นอยู่ที่เปลี่ยนไปจากชีวิตที่เต็มไปด้วยความหรูหราและตารางเวลาที่แน่นขนัด กลับกลายเป็นชีวิตที่เรียบง่ายแต่เต็มไปด้วยความสงบ บ้านหลังใหม่ของทั้งคู่ตั้งอยู่ในชนบทอันเงียบสงบ ล้อมรอบด้วยทุ่งนาและดอกไม้หลากสีที่สาริณีหลงรัก เธอเริ่มปลูกดอกไม้หลากพันธุ์ในสวนเล็กๆ หลังบ้าน ขณะที่เดชน์ดนัยลงมือซ่อมแซมบ้านด้วยตัวเอง เขาอาจจะไม่คุ้นเคยกับการจับค้อนหรือเลื่อยมาก่อน แต่เขากลับสนุกกับมัน "คุณอยากปลูกอะไรเพิ่มไหม?" เดชน์ดนัยถาม ขณะช่วยเธอรดน้ำดอกไม้ในเย็นวันหนึ่ง "ฉันอยากปลูกทานตะวันค่ะ มันให้ความรู้สึกสดใสและอบอุ่น" เธอยิ้ม "งั้นพรุ่งนี้เราจะไปหาซื้อเมล็ดมาเพิ่ม" เขาพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน ชีวิตในชนบทอาจไม่ได้สะดวกสบายเหมือนในเมือง แต่พวกเขากลับรู้สึกถึงความสุขที่แท้จริง คืนหนึ่ง ขณะที่ทั้งคู่กำลังนั่งอยู่ใต้แสงจันทร์ในสวนหลังบ้าน เสียงจิ้งหรีดดังแผ่วเบาเพิ่มบรรยากาศที่เงียบสงบ เดชน์ดนัยโอบไหล่สาริณีไว้ มือของเขาอุ่นและมั่นคง "ผมไม่เคยคิดเลยว่าการอยู่แบบนี้จะทำให้ผมมีความสุขได้ขนาดนี้" เขากระซิบ "คุณคิดถึงชีวิตเดิมของคุณบ้างไหมคะ?" เธอถามเบาๆ เขานิ่งไปครู่หนึ่งก่อนจะตอบ "บางครั้งผมคิดถึง...แต่สิ่งที่ผมมีตอนนี้สำคัญกว่า ทั้งคุณและลูก คุณทำให้ผมรู้ว่าความสุขไม่ได้มาจากสิ่งที่คนอื่นเห็น แต่มาจากสิ่งที่อยู่ในใจเรา" สาริณีหลบสายตา รู้สึกอบอุ่นในหัวใจ น้ำตาเอ่อคลอเมื่อเขากระซิบข้างหูเธอ "ผมรักคุณนะ สาริณี และผมจะรักคุณไปตลอดชีวิต" เธอหันมาหาเขา ก่อนจะตอบด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ "ฉันก็รักคุณค่ะ" ในขณะที่พวกเขากำลังสร้างชีวิตใหม่ คุณหญิงดารินทร์ยังคงไม่ยอมรับสิ่งที่ลูกชายเลือก เธอส่งคนมาตามข่าวของเดชน์ดนัยอยู่เสมอ และพยายามหาวิธีดึงเขากลับมาสู่ชีวิตเดิม วันหนึ่ง เดชน์ดนัยได้รับจดหมายจากแม่ของเขา ในจดหมายมีข้อความเพียงสั้นๆ "แม่ยังไม่เข้าใจการตัดสินใจของลูก แต่แม่อยากเจอลูกอีกครั้ง พร้อมกับเธอ..." คำพูดนั้นทำให้เดชน์ดนัยนิ่งไป เขาไม่แน่ใจว่านี่คือความพยายามของแม่ที่จะปรับความเข้าใจ หรือเพียงแค่แผนการที่จะดึงเขากลับไป "คุณคิดว่ายังไงคะ?" สาริณีถาม เมื่อเห็นเขาถือจดหมายอยู่นาน "ผมคิดว่าเราควรไปพบแม่" เขาตอบในที่สุด วันที่ทั้งคู่กลับไปพบคุณหญิงดารินทร์ บ้านหลังใหญ่ที่เคยคุ้นกลับรู้สึกแปลกตา สาริณีจับมือเดชน์ดนัยแน่นเมื่อก้าวเข้าไปในห้องรับรอง คุณหญิงดารินทร์นั่งอยู่ที่โซฟา ใบหน้าของเธอแสดงความเย็นชา แต่ดวงตากลับฉายแววบางอย่างที่ยากจะอธิบาย "แม่ครับ ผมพาเธอมา" เดชน์ดนัยพูดเสียงนิ่ง คุณหญิงมองสาริณีตั้งแต่หัวจรดเท้า ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงเรียบๆ "เธอรู้ไหมว่าฉันไม่เคยคิดว่าเธอเหมาะสมกับลูกชายฉัน?" สาริณีนิ่งไป ก่อนจะตอบด้วยน้ำเสียงที่มั่นคง "ค่ะ ดิฉันรู้ แต่ดิฉันรักเขา และดิฉันจะทำทุกอย่างเพื่อดูแลเขาและลูกของเรา" คำพูดนั้นทำให้คุณหญิงนิ่งไปชั่วขณะ ก่อนจะถอนหายใจ "ถ้าลูกฉันเลือกแล้ว ฉันก็คงห้ามไม่ได้ แต่ฉันจะดูว่าเธอจะรักษาคำพูดของเธอได้ดีแค่ไหน" การเผชิญหน้าครั้งนี้ไม่ได้ทำให้ทุกอย่างราบรื่นในทันที แต่เป็นจุดเริ่มต้นของการพยายามสร้างความเข้าใจระหว่างสองครอบครัว ในคืนนั้น ขณะที่พวกเขากลับมาที่บ้าน สาริณีถามเดชน์ดนัย "คุณคิดว่าเราจะผ่านเรื่องนี้ไปได้ไหม?" เขาดึงเธอเข้ามาใกล้ ก่อนจะตอบด้วยน้ำเสียงมั่นคง "เราจะผ่านมันไปด้วยกัน ไม่ว่าจะต้องใช้เวลานานแค่ไหนก็ตาม" หลังจากการเผชิญหน้าครั้งสำคัญที่บ้านของคุณหญิงดารินทร์ แม้ว่าเธอจะไม่ได้แสดงการยอมรับอย่างชัดเจน แต่เดชน์ดนัยก็รับรู้ถึงความเปลี่ยนแปลงเล็กๆ ในท่าทีของแม่เขา สิ่งนี้กลายเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้เขาและสาริณีต้องพยายามพิสูจน์ตัวเอง สาริณีรู้ดีว่าตัวเองต้องทำงานหนักเพื่อพิสูจน์ให้คุณหญิงดารินทร์เห็นว่าเธอคู่ควรกับเดชน์ดนัย เธอเริ่มลงมือศึกษาการเข้าสังคมและมารยาทในวงสังคมชั้นสูง เดชน์ดนัยสนับสนุนเธอทุกทาง เขาคอยสอนเธอเกี่ยวกับวัฒนธรรมและการปฏิบัติตัวในงานสังคม “คุณต้องมั่นใจในตัวเอง” เขาบอกเธอในคืนหนึ่ง “คุณมีคุณค่าในตัวเองอยู่แล้ว อย่าปล่อยให้ใครมาดูถูก” ในขณะเดียวกัน สาริณีก็เริ่มต้นธุรกิจเล็กๆ ที่บ้าน เธอเปิดร้านขายดอกไม้ ซึ่งเป็นสิ่งที่เธอรัก และค่อยๆ สร้างชื่อเสียงในชุมชนเล็กๆ รอบตัว วันหนึ่ง คุณหญิงดารินทร์ตัดสินใจเดินทางไปเยี่ยมพวกเขาที่บ้านในชนบทโดยไม่บอกล่วงหน้า เมื่อมาถึง เธอเห็นสาริณีกำลังจัดดอกไม้ในร้านเล็กๆ ของเธอ มีลูกค้าหลายคนที่เข้ามาซื้อดอกไม้และพูดคุยกับสาริณีด้วยท่าทีที่กันเอง คุณหญิงแอบมองจากรถ ความคิดหลายอย่างวนเวียนอยู่ในหัวของเธอ "ผู้หญิงคนนี้ทำตัวได้ดีกว่าที่ฉันคิดไว้" เธอพูดกับตัวเอง เมื่อเธอลงจากรถและเดินเข้ามาในร้าน สาริณีเงยหน้าขึ้นและยิ้ม แม้ว่าจะยังมีความประหม่าอยู่ในใจ "สวัสดีค่ะคุณแม่" เธอกล่าวด้วยน้ำเสียงสุภาพ คุณหญิงกวาดตามองรอบร้าน ก่อนจะพยักหน้าเบาๆ “ร้านนี้ของเธอหรือ?” "ค่ะ ดิฉันเริ่มต้นเล็กๆ แต่ลูกค้าก็ดูชอบกันค่ะ" คุณหญิงดารินทร์ไม่ตอบอะไร แต่เดินชมร้านอย่างช้าๆ ก่อนจะหันมาพูด "เธอทำได้ดี แต่ฉันอยากเห็นว่าเธอจะดูแลลูกชายของฉันได้ดีแค่ไหน" สาริณีมองเธอด้วยความตกใจ แต่รีบตอบ "ดิฉันจะพยายามอย่างที่สุดค่ะ" ในคืนนั้น คุณหญิงดารินทร์พักอยู่ที่บ้านของพวกเขาเป็นครั้งแรก เธอนั่งร่วมโต๊ะอาหารกับเดชน์ดนัยและสาริณี "แม่ครับ ขอบคุณที่มาที่นี่ ผมรู้ว่ามันไม่ง่ายสำหรับแม่" เดชน์ดนัยพูดด้วยน้ำเสียงจริงใจ "แม่ไม่ได้ทำเพื่อลูกอย่างเดียว แม่อยากเห็นว่าผู้หญิงคนนี้จะทำให้ลูกมีความสุขได้จริงหรือเปล่า" คุณหญิงตอบ "ดิฉันรู้ค่ะว่าดิฉันอาจไม่ใช่คนที่คุณแม่คาดหวังไว้ แต่ดิฉันรักเขา และดิฉันจะทำทุกอย่างเพื่อให้เขามีความสุข" สาริณีพูดด้วยน้ำเสียงมั่นคง คำพูดของเธอทำให้คุณหญิงนิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะถอนหายใจ "ฉันจะให้เวลาเธอพิสูจน์ตัวเอง" หลังจากการเยี่ยมครั้งนั้น คุณหญิงดารินทร์เริ่มเปิดใจมากขึ้น เธอเริ่มโทรหาลูกชายบ่อยขึ้น และบางครั้งก็ถามถึงสาริณี สาริณีเองก็พยายามเข้าหาคุณหญิงด้วยความจริงใจ เธอส่งดอกไม้ไปให้คุณหญิงทุกเดือน พร้อมกับการ์ดที่เขียนด้วยลายมือของเธอ “คุณแม่คะ ขอบคุณสำหรับโอกาสที่คุณแม่ให้ฉัน ฉันหวังว่าคุณแม่จะให้ฉันได้ดูแลเดชน์ดนัยและลูกของเราในแบบที่ดีที่สุดค่ะ” ในคืนหนึ่ง หลังจากวันที่เหนื่อยล้า เดชน์ดนัยนั่งอยู่กับสาริณีที่ระเบียงบ้าน เขามองดวงดาวบนฟ้า ก่อนจะพูดขึ้น "ผมไม่คิดเลยว่าความรักจะทำให้ผมเปลี่ยนไปได้ขนาดนี้" สาริณียิ้ม "เปลี่ยนในทางที่ดีใช่ไหมคะ?" "แน่นอนที่สุด ผมไม่เสียใจเลยที่เลือกคุณ และผมจะไม่มีวันเสียใจ" เธอเอนศีรษะพิงไหล่เขา "ฉันก็เหมือนกันค่ะ" ทั้งสองนั่งมองท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาว พร้อมกับความหวังที่ว่าความรักของพวกเขาจะเอาชนะทุกอุปสรรคได้ หลังจากที่คุณหญิงดารินทร์เริ่มเปิดใจให้สาริณี ความสัมพันธ์ในครอบครัวค่อยๆ ดีขึ้น เดชน์ดนัยรู้สึกว่าเขาเลือกเส้นทางที่ถูกต้อง อย่างไรก็ตาม ความสงบสุขนี้ไม่ได้ยาวนานนัก เมื่ออุปสรรคใหม่ปรากฏขึ้น วันหนึ่ง ข่าวลือเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของเดชน์ดนัยกับสาริณีเริ่มแพร่กระจายในสังคมไฮโซ มันเริ่มจากคำพูดในงานเลี้ยงหนึ่งที่ลิลลี่ไปร่วม เธอไม่ได้พูดตรงๆ แต่คำพูดแฝงความนัยของเธอก็เพียงพอให้คนอื่นขุดคุ้ยเรื่องราว “ฉันสงสัยจริงๆ ว่าเขาจะทิ้งทุกอย่างไปเพื่อใครสักคนที่ไม่มีอะไรเลย” ลิลลี่พูดในวงสนทนาอย่างไม่ตั้งใจ ข่าวลือเริ่มขยายตัว สื่อบางเจ้าเริ่มตามหาความจริงเกี่ยวกับสาริณี ทั้งเรื่องราวในอดีตของเธอ และชีวิตในปัจจุบัน เมื่อข่าวลือมาถึงหูของคุณหญิงดารินทร์ เธอรีบโทรหาเดชน์ดนัยทันที “แม่ได้ยินข่าวลือพวกนี้แล้วนะ ลูกคิดจะจัดการยังไง?” เดชน์ดนัยตอบกลับด้วยน้ำเสียงมั่นคง “แม่ครับ ผมรู้ว่าข่าวลือพวกนี้ไม่มีมูลความจริง ผมไม่สนใจว่าคนอื่นจะพูดอะไร ผมสนแค่ว่าครอบครัวของผมมีความสุข” “แต่ลูกต้องปกป้องชื่อเสียงของตระกูลนะเดชน์ดนัย” “แม่ครับ ผมจะดูแลทุกอย่างเอง ขอแค่แม่เชื่อใจผม” ขณะเดียวกัน สาริณีก็เริ่มรู้สึกถึงแรงกดดันที่เพิ่มขึ้น เธอสังเกตเห็นผู้คนในหมู่บ้านเริ่มซุบซิบเกี่ยวกับเธอ บางคนมองเธอด้วยสายตาที่เปลี่ยนไป วันหนึ่ง ขณะที่เธอกำลังจัดดอกไม้อยู่หน้าร้าน หญิงสาวคนหนึ่งที่เป็นลูกค้าประจำเดินเข้ามา “พี่สาริณีคะ มีข่าวลือเกี่ยวกับพี่ในโซเชียล พี่เห็นหรือยังคะ?” สาริณีชะงัก เธอเปิดมือถือขึ้นมาดู พบว่าในโซเชียลมีบทความที่พูดถึงเธอในแง่ลบ โดยเฉพาะเรื่องที่เธอเคยทำงานกลางคืนเพื่อส่งตัวเองเรียน แม้ว่าข่าวลือเหล่านั้นจะไม่ใช่ความจริงทั้งหมด แต่มันก็เพียงพอที่จะทำให้เธอรู้สึกเสียใจ ในคืนนั้น เมื่อเดชน์ดนัยกลับมาบ้าน เขาเห็นสาริณีนั่งเงียบอยู่ที่โต๊ะ น้ำตาคลอเบ้า “เกิดอะไรขึ้น?” เขาถามด้วยความกังวล เธอยื่นมือถือให้เขาดู เขาอ่านข้อความเหล่านั้นแล้วขมวดคิ้วแน่น “ผมจะจัดการเรื่องนี้ให้เอง คุณไม่ต้องกังวล” เขาพูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “แต่ฉันกลัวว่ามันจะทำให้คุณลำบาก” “ไม่มีอะไรสำคัญไปกว่าคุณกับลูก ผมจะไม่ยอมให้ใครมาทำร้ายคุณ” เมื่อเดชน์ดนัยสืบรู้ว่าต้นตอของข่าวลือมาจากลิลลี่ เขาตัดสินใจไปพบเธอ “ลิลลี่ ผมรู้ว่าคุณเป็นคนปล่อยข่าวพวกนี้” เขาพูดตรงๆ ลิลลี่ยิ้มบางๆ “ฉันแค่พูดความจริงที่ทุกคนควรรู้” “คุณไม่มีสิทธิ์มายุ่งเกี่ยวกับชีวิตของผมและสาริณีอีกต่อไป” เขาพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ถ้าคุณไม่หยุด ผมจะใช้ทุกวิถีทางเพื่อปกป้องครอบครัวของผม” “คุณเปลี่ยนไปมากนะเดชน์ดนัย” ลิลลี่พูดด้วยน้ำเสียงเสียดสี “คุณยอมทิ้งทุกอย่างเพื่อผู้หญิงคนนั้นจริงๆ เหรอ?” “ใช่ และผมไม่เสียใจเลย” เขาตอบอย่างหนักแน่น เดชน์ดนัยใช้เส้นสายที่เขามีในวงการสื่อเพื่อหยุดข่าวลือทั้งหมด และชี้แจงความจริงเกี่ยวกับสาริณี เขายืนยันกับทุกคนว่าเขารักเธอ และพร้อมจะปกป้องเธอจากทุกสิ่ง คุณหญิงดารินทร์ แม้จะไม่พอใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น แต่เมื่อเธอเห็นความมุ่งมั่นของลูกชาย เธอก็เริ่มยอมรับในตัวสาริณีมากขึ้น “แม่ยอมรับว่าครั้งแรกแม่มองเธอผิดไป” คุณหญิงพูดกับสาริณีในวันหนึ่ง “เธออาจไม่ใช่คนที่สมบูรณ์แบบ แต่เธอมีหัวใจที่เข้มแข็ง และแม่เชื่อว่าลูกชายของแม่จะมีความสุขที่ได้อยู่กับเธอ” สาริณีน้ำตาคลอ เธอโค้งศีรษะให้คุณหญิง “ขอบคุณค่ะคุณแม่ ดิฉันจะไม่ทำให้คุณแม่ผิดหวัง” ในที่สุด เดชน์ดนัยและสาริณีก็สามารถก้าวข้ามอุปสรรคนี้ไปได้ ความรักและความเข้มแข็งของพวกเขากลายเป็นบทเรียนที่สำคัญในชีวิต ในคืนหนึ่ง ขณะที่ทั้งสองนั่งดูดาวกับลูกชายตัวน้อยที่กำลังหลับในอ้อมกอดของสาริณี เดชน์ดนัยกระซิบเบาๆ “คุณรู้ไหม ผมไม่เคยคิดว่าความรักจะเปลี่ยนชีวิตผมได้ขนาดนี้” เธอยิ้ม “ฉันก็เหมือนกันค่ะ ความรักของคุณทำให้ฉันเข้มแข็งขึ้น” ทั้งสองกอดกันแน่นใต้แสงดาว พร้อมกับความหวังใหม่ที่ว่าพวกเขาจะเผชิญหน้ากับทุกสิ่งไปด้วยกัน เวลาผ่านไปหลายปี ความพยายามและความรักของเดชน์ดนัยและสาริณีก็ได้ผลตอบแทนอย่างงดงาม ทั้งสองคนได้สร้างครอบครัวที่สมบูรณ์และอบอุ่น พร้อมกับชื่อเสียงของพวกเขาที่ค่อยๆ ฟื้นตัวขึ้นมาอีกครั้ง แต่สิ่งที่สำคัญที่สุด คือพวกเขาได้พิสูจน์ให้ทุกคนเห็นว่า ความรักแท้สามารถเอาชนะทุกอุปสรรคได้ ในค่ำคืนหนึ่ง เดชน์ดนัยได้จัดงานเลี้ยงเล็กๆ ที่บ้านชนบทของพวกเขา เพื่อฉลองครบรอบแต่งงานปีที่ 5 และขอบคุณทุกคนที่อยู่เคียงข้างในช่วงเวลาที่ยากลำบาก แขกที่มาร่วมงานมีทั้งเพื่อนสนิท คนในชุมชน และที่สำคัญ คุณหญิงดารินทร์ที่ตอนนี้ยอมรับสาริณีเต็มหัวใจ “แม่ไม่เคยคิดเลยว่าผู้หญิงที่แม่เคยไม่ยอมรับ จะกลายเป็นคนที่เปลี่ยนลูกชายของแม่ให้เป็นคนที่ดีขึ้น” คุณหญิงพูดกับสาริณี สาริณียิ้ม น้ำตาคลอ “ขอบคุณค่ะคุณแม่ ดิฉันทำทุกอย่างเพราะรักเดชน์ดนัย และดิฉันจะไม่หยุดรักเขา” “แม่รู้ และแม่ภูมิใจในตัวเธอ” ในงานเลี้ยง เดชน์ดนัยลุกขึ้นกล่าวคำขอบคุณต่อหน้าทุกคน เขาถือแก้วไวน์ไว้ในมือ พร้อมกับมองไปยังสาริณีที่นั่งอยู่ข้างๆ “ทุกคนครับ ผมอยากจะพูดสั้นๆ ว่า ความสำเร็จทั้งหมดของผมในวันนี้ ไม่ได้มาจากตัวผมคนเดียว มันมาจากผู้หญิงคนหนึ่งที่ยืนหยัดเคียงข้างผมในทุกสถานการณ์” สาริณีหลบสายตาเขาเล็กน้อย ใบหน้าเริ่มแดงจากคำพูดของเขา “สาริณี คุณคือสิ่งที่ดีที่สุดที่เคยเกิดขึ้นในชีวิตผม และผมอยากบอกคุณตรงนี้อีกครั้งว่า ผมรักคุณ” เสียงปรบมือดังขึ้นจากแขกในงาน ขณะที่สาริณีลุกขึ้นเดินไปหาเดชน์ดนัย เธอโอบกอดเขาแน่น น้ำตาแห่งความสุขไหลริน “ฉันก็รักคุณค่ะ” หลังงานเลี้ยง เดชน์ดนัยและสาริณีพาลูกชายวัย 4 ขวบชื่อ "ดนุ" ที่น่ารักและซุกซนกลับเข้าบ้าน ดนุกำลังหลับในอ้อมกอดของแม่ “เขาเหมือนคุณนะคะ ทั้งหน้าตาและความดื้อ” สาริณีหัวเราะเบาๆ “ก็ต้องเหมือนสิ เพราะเขาเป็นลูกผม” เดชน์ดนัยยิ้ม พลางมองภาพครอบครัวของเขาด้วยความภาคภูมิใจ ทั้งสองพาลูกเข้านอน ก่อนจะออกมานั่งที่ระเบียงด้วยกัน สายลมเย็นพัดผ่าน แสงจันทร์สาดส่องให้บรรยากาศโรแมนติกยิ่งขึ้น “คุณคิดว่าชีวิตเราจะเป็นยังไงถ้าวันนั้นเราไม่ได้เจอกัน?” สาริณีถามเบาๆ “ผมไม่อยากจะคิดเลย” เดชน์ดนัยตอบ “แต่ผมรู้ว่าถ้าชีวิตผมไม่มีคุณ มันคงไม่มีความหมายอะไร” เธอยิ้มและเอนหัวพิงไหล่เขา “ฉันก็รู้สึกเหมือนกันค่ะ คุณคือทุกอย่างของฉัน” เดชน์ดนัยจับมือเธอไว้แน่น ก่อนจะก้มลงจูบหน้าผากของเธอเบาๆ “เราจะอยู่ด้วยกันแบบนี้ตลอดไป” ภาพครอบครัวของเดชน์ดนัย สาริณี และลูกชายตัวน้อยกลายเป็นเครื่องพิสูจน์ว่าความรักที่แท้จริงสามารถเอาชนะทุกสิ่งได้ ไม่ว่ามันจะยากลำบากเพียงใด ชีวิตในชนบทที่แสนเรียบง่ายกลับเต็มไปด้วยความสุขที่แท้จริง และพวกเขาก็พร้อมจะสร้างอนาคตใหม่ด้วยกัน แสงดาวบนท้องฟ้าส่องสว่างเหมือนกับความหวังของพวกเขา และในค่ำคืนนั้น ความสุขของทั้งสองก็กลายเป็นนิรันดร์ จบบริบูรณ์

    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ

      ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

      loading
      กำลังโหลด...

      ความคิดเห็น

      ×