ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    บันทึกการเดินทางระทึกทีลอซู

    ลำดับตอนที่ #2 : บันทึกการเดินทางระทึกทีลอซู – วันเกิดเหตุภาคแรก

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 168
      4
      8 ส.ค. 55


     

     

    บันทึกการเดินทางระทึกทีลอซู – วันเกิดเหตุภาคแรก

     



     

    ปล. เพื่อความกระชับผมขอตัดบันทึกการเดินทางวันอื่นๆออกเพื่อให้ทุกคนทราบเรื่องกันก่อน เนื้อหาอาจมีขาดตกไปบ้างเพราะเป็นการบันทึกจากมุมมองของผมเพียงคนเดียว หากเนื้อหาบรรยายได้ไม่ดีนักผมต้องขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยเนื่องจากต้องรีบไปกินข้าวเย็นจึงไม่มีเวลาขัดเกลาสำนวนนัก แต่หากกลับมาแล้วผมจะทำการแก้ไขอีกครั้ง ขอบคุณครับ


     

    คืนก่อนวันเดินทางที่ระทึกที่สุด ฟุ้งซ่านหรือพรานประจำกลุ่มเข้ามานั่งร่วมวงสนทนากับพวกเราที่รีสอทขณะกำลังรับประทานอาหารมื้อค่ำอย่างเอร็ดอร่อยหลังจากผ่านฝน การล่องแม่น้ำและการเดินป่าเพื่อชมความสวยงามของน้ำตกทีลอซูอย่างเหน็ดเหนื่อย

    “ พี่มีเหล้าขาวไหมครับ ” พี่กันถาม

    “ มี ” ฟุ้งซ่านยิ้มแบบกวนๆแล้วหยิบเหล้าขาวซึ่งหมักเองแบบพิเศษโดยใช้ข้าวหมักให้พี่กัน สีหน้าพี่กันดูพอใจอย่างยิ่งก่อนจะเสนอไวน์ให้ฟุ้งซ่านเป็นการแลกเปลี่ยน

    “ พรุ่งนี้ผมไม่ไปด้วยนะเหนื่อยแล้ว ” ฟุ้งซ่านที่นั่งข้างผมเอ่ยขึ้น ไม่ทราบว่าในใจทุกคนตอนนั้นรู้สึกเช่นไร แต่ผมรู้สึกว่ามันมีอะไรแปลกๆชอบกลแม้สีหน้าของเขาจะยิ้มอยู่ก็ตาม

    “ ทำไมละครับ ” ผมถาม

    “ ผมต้องไปคุมทีมล่องแก่งที่แม่กรอง แต่ไม่เป็นไรนะไม่ต้องคิดถึงหรอก เดี๋ยวพรุ่งนี้เย็นก็เจอกันแล้ว ” เขาบอกเช่นนั้น แต่รอยยิ้มดูไม่มั่นใจนัก เป็นที่ทราบดีว่าที่แม่กรองกระแสน้ำไหลเชี่ยวกว่าที่อุ้มผางซึ่งพวกผมกำลังจะไปมาก ถ้าพลาดนั่นหมายถึงชีวิต

     ผมเองก็รู้สึกไม่มั่นใจเช่นกันเพราะตลอดสองวันที่ผ่านมาแม้ฟุ้งซ่านจะยียวนกวนประสาทพวกเราตลอด แต่พวกเราก็รู้สึกอุ่นใจทุกครั้งที่เขาอยู่ด้วย ในขณะนั้นผมคิดในใจลึกๆว่าผมคงไม่ได้เจอเขาอีกแน่ๆไม่ทราบว่าเพราะอะไรแต่มันก็เป็นเรื่องจริง

    คืนนั้นพวกเราปาร์ตี้กันอย่างสนุกสนาน เหล้าขาวที่ฟุ้งซ่านให้พวกเราไว้ช่วยสร้างความครื้นเครงให้พวกเราพอสมควรก่อนจะเล่นเกมคิลเลอร์ปิดท้ายก่อนนอน ซึ่งผู้ที่ถูกจัดว่าน่ากลัวที่สุดคือ แม็กและผู้ที่เป็นแม่ค้าพาซวยคือพี่กัน

    ก่อนเข้านอนคืนนั้นจิตใจของผมรู้สึกไม่ดีอย่างยิ่งแต่ก็ไม่ได้บอกใครไป เพียงเอ่ยขึ้นว่าหลังล่องแก่งเสร็จแล้วอยากไปไหว้พระมาก น้องโบ๊ทแอบแซวผมในตอนนั้นด้วยความแปลกใจว่าคนอย่างพี่เนี่ยนะจะชวนไปไหว้พระ แต่ผมก็ไม่ได้ว่าอะไรเพียงหัวเราะแล้วนอนต่อ

    เช้าของวันเกิดเหตุฝนตกลงมาตามปกติ ทุกคนเอาของติดตัวไปน้อยที่สุดเท่าที่จะทำได้ ผมเองเอาไปเพียงแค่ปืนเก๊ซึ่งพวกคุณคงได้เห็นในคลิปกันไปแล้ว กับเสื้อกันหนาวที่เผื่อเอาไว้กันฝนเท่านั้น

    ทุกคนสวมรองเท้าเดินป่าที่ซื้อกันมาจากในหมู่บ้านราคาหกสิบบาท มีเพียงผมกับพี่มาชเท่านั้นที่แตกต่าง โดยของผมนั้นรองเท้าที่ซื้อมาดันคับเกินไปใส่ไม่ได้ จึงต้องเปลี่ยนเป็นนันยางสีขาวแทนซึ่งสร้างความลำบากให้แก่ผมภายหลังพอสมควร

    เมื่อทุกอย่างพร้อมพวกเราก็ขึ้นรถกระบะสองแถวซึ่งนำเราไปยังเขาโดยครั้งนี้มีเพื่อนร่วมเดินทางเพิ่มมาอีกสี่คนเป็นคู่พี่ๆผู้ชายผู้หญิงสองคู่อายุราวๆสามสิบสี่สิบได้มากับเราด้วย  ระหว่างทางพื้นค่อนข้างจะขรุขระหากไม่อาศัยการขับที่เชี่ยวชาญพออาจทำให้ติดหล่มหรือพลิกคว่ำเอาได้ ลมเย็นๆพัดตีเข้าหน้าของผมและเพื่อนๆตลอดทาง

    ใช้เวลาประมาณหนึ่งชั่วโมงเราก็มาถึงหมู่บ้านพื้นเมืองซึ่งจากนี้จำเป็นต้องเดินเท้าข้ามเขาไปจึงจะถึงจุดล่องแก่ง

    ระหว่างนั้นควานช้างซึ่งเป็นกะเหรี่ยงก็ขี่ช้างผ่านเรามา พวกเราตื่นเต้นที่ได้เห็นช้าง พี่มาชกับพี่กันรีบถ่ายรูปคู่กับช้างในระยะไกล ก่อนที่ไกด์สามคนจะเรียกให้พวกเราเดินทางขึ้นเขา

    ไม้ขนาดใหญ่ถูกวางกั้นเป็นประตูขวางทางพวกเราไว้ที่หน้าทางเข้าโรงเรียน โดยมีพระพุทธรูปปางยืนอยู่ข้างๆ พวกเราที่เห็นต่างพากันยกมือไหว้เพื่อเป็นสิริมงคลก่อนจะเลื่อนไม้หลายท่อนเปิดประตูแล้วข้ามเข้าไปในเขตโรงเรียน

    “ บอย อา ยูว์ โอเค หน้าตาดูไม่สดใสเลย ” พี่กันถามผม พี่มาชก็สงสัยเหมือนกัน แต่ผมก็ไม่ได้บอกอะไรเรื่องลางสังหรณ์ของผม พยักหน้าตอบแบบปกติ

     ระหว่างนั้นจู่ๆไกด์สามคนก็บอกให้พวกเรารอแล้วหายไปสักพักซึ่งตอนนั้นผมไม่รู้ว่าเขาหายไปทำอะไร รู้เพียงแค่เขาบอกว่าจะไปเรียกไกด์ชำนาญทางล่องแก่งอีกสามคนมา ใช้เวลาประมาณสามสิบนาทีไกด์สามคนก็กลับเข้ามา

     “ มีใครคิดว่าตัวเองพายเรือเป็นมั่ง ” หัวหน้าไกด์ใส่หมวกถาม ซึ่งทำให้พวกเรารู้สึกแปลกใจพอสมควร

    ผู้ชายส่วนใหญ่ยกมือขึ้น

    “ แล้วไกด์อีกสามคนละครับ ” ผมถาม แต่หัวหน้าไกด์ส่ายหน้าแล้วบอกว่าไม่รู้พวกนั้นไปอยู่ไหน คงต้องให้พวกเราพายกันเองก่อนจะนำหน้าเดินพาเราเข้าป่าไป เพื่อนๆหลายคนเริ่มเกิดสังหรณ์ที่ไม่ดีขึ้น แต่โดยส่วนตัวของผมนั้นมีสังหรณ์แรงอยู่แล้วว่าอะไรจะเกิดขึ้นตั้งแต่ก่อนจะออกเดินทางขึ้นรถตู้ แต่ก็เงียบไม่อยากทำให้เพื่อนๆไม่สบายใจแล้วก้าวต่อไป

    พื้นบริเวณไร่ข้าวโพดซึ่งสูงเหนือหัวพวกเราเปียกแฉะและลื่นพอสมควร ทำให้รองเท้านันยางสีขาวของผมเปลี่ยนสีไปทีละนิดๆ จนกระทั่งเข้ามาถึงในป่าซึ่งเดินมาได้สักพักก็เจอทางน้ำและน้ำตกขนาดย่อม

    หินและเถาวัลย์ตามทางเป็นอุปสรรคต่อการเดินเท้าสมควร พวกเราเดินไปถ่ายรูปไปอย่างสนุก แต่มีกระเป๋าที่เดินนำลิ่วซึ่งรู้สึกหงุดหงิดต่อความเชื่องช้าของพวกเราตะโกนเรียกเป็นระยะๆ ในที่สุดก่อนจะถึงเขื่อนขนาดย่อมเหตุการณ์ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้นเมื่อพี่มาชเกิดเสียการทรงตัวระหว่างเดินอยู่ในทางน้ำ พยายามรีบคว้าจับหินข้างทางไว้ แต่หินนั้นแหลมเกินไปบาดลึกเข้าที่มือขวาของพี่มาช

    “ พี่โดนบาดวะ ” พี่มาชหันมาบอกผมซึ่งอยู่ด้านหลังกับไกด์ ผมรีบเข้าไปดูแผล เลือดสดๆที่อุ้งมือไหลออกมามากพอสมควรซึ่งไขมันบนอุ้งมือเริ่มไหลออกมาตาม ผมรีบแกะเป้ขนาดเล็กของพี่มาชออกมา โชคที่ดีมีโซฟีที่กระเป๋าซื้อติดตัวไว้ใส่กันรองเท้ากัดอยู่

    ไกด์ใช้ยาเส้นผอกใส่บาดแผล ส่วนผมรีบใช้โซฟีปิดเข้าอีกที เสื้อของพี่มาชมีรอยเลือดสดๆติดพอสมควร พวกเราทุกคนเข้ามาดูอาการพร้อมกับพี่มาชที่ยืนยันว่าจะเดินทางต่อซึ่งที่สุดทางล่องแก่งจะมีโรงพยาบาลอยู่ ดังนั้นพวกเราจึงเร่งฝีเท้าขึ้นเพื่อไปให้ถึงแก่ง แต่ก็ทำไม่ได้มากนักเพราะทางที่ลื่นและชันซึ่งหากก้าวพลาดตกลงไปอาจหมายถึงชีวิต และที่สำคัญไกด์ที่นำทางเรามาดูไม่ค่อยใส่ใจอะไรกับพวกเรานักผิดกับฟุ้งซ่านที่คอยดูแลเราตลอดสองวันลิบลับ

    ผ่านทางป่า ทุ่งนาในหุบเขาจนในที่สุดเราก็พบกับจุดล่องแก่งซึ่งมีทีมที่เตรียมมาล่องแก่งก่อนเราอยู่แล้ว สอบถามได้ความว่ามาจากอีกทัวร์หนึ่งซึ่งดูมีความพร้อมอย่างมาก มีการแจกหมวกกันน๊อคและอาหารอย่างรวดเร็ว ผิดกับทัวร์ของเราอย่างสิ้นเชิง

    พวกเรานั่งรออยู่ข้างลำน้ำด้วยความเหน็ดเหนื่อย สีหน้าของพี่มาชดูอิดโรยอย่างเห็นได้ คาดว่าหากปล่อยให้รอนานกว่านี้อาการอาจจะไม่ดีแน่เพราะเสียเลือดไปพอสมควรอีกทั้งอาหารเที่ยงก็ยังไม่มา กระเป๋าจึงเดินไปเจรจาเพื่อขอถุงพลาสิกและเงาะมาให้พวกเรากินรองท้อง ส่วนพี่กันไปเจรจาเพื่อขอให้พี่มาชติดแพอีกกรุ๊ปไปด้วยเพราะดูท่าว่าคงจะอีกนานกว่าทีมไกด์ของพวกเราจะทำแพเสร็จแต่ก็ไม่สำเร็จ ดังนั้นจึงได้แต่รอไกด์สูบแพยางซึ่งไม่มีวี่แววว่าจะเสร็จเมื่อไหร่

    เป็นเวลาประมาณบ่ายโมงได้ ข้าวเที่ยงของพวกเราอยู่อีกฝั่งของลำน้ำโดยต้องอาศัยช้างข้ามน้ำนำมาให้ กระเป๋าและพี่กันเร่งไกด์อยู่พักหนึ่งเขาค่อยตัดสินใจตะโกนเรียกช้างให้ข้ามมา

    “ พี่ช่วยพาเพื่อนผมไปโรงพยาบาลก่อนได้ไหม ” พี่กันเร่งไกด์ซึ่งดูไม่ทุกข์ไม่ร้อนเท่าไหร่นัก เขาพยักหน้าแล้วตะโกนเรียกควาญช้างกะเหรี่ยงที่อยู่ฝั่งตรงข้ามให้มารับพี่มาชไปส่งโรงพยาบาลก่อน ซึ่งหากไม่เป็นเช่นนั้นผลที่ตามมาไม่อาจคาดคำนวณได้

    ในใจผมอยากจะตามเป็นเพื่อนไปส่งพี่มาชด้วยเหตุผลสองประการ หนึ่งคือพี่มาชสภาพไม่ดีนักและไม่อาจทราบได้เลยว่าโรงพยาบาลอยู่ที่ไหน ควาญช้างพูดไทยไม่ได้จะส่งพี่มาชที่ไหนยังไง และเหตุผลอีกประหารหนึ่งคือ ผมมีความรู้สึกว่าตัวเองอาจจะต้องจบชีวิตตอนล่องแก่ง แต่สุดท้ายผมเพียงทิ้งเงินที่พกมาจำนวนร้อยห้าสิบบาทให้พี่มาชติดตัวไว้เท่านั้น

    พี่มาชปีนขึ้นช้างแล้วนั่งไปกับควาญช้างโดยที่พวกเราไม่รู้เลยว่าจะติดต่อพี่มาชได้ยังไง ได้แต่ทิ้งเบอร์ของโบ๊ทซึ่งมือถือถูกเก็บไว้ยังที่พัก แล้วภาวนาให้พี่เขาถึงโรงพยาบาลโดยปลอดภัยและเร็วที่สุด

     

     

     

    “ไปช่วยพวกนั้นสูบเถอะพี่ ไม่งั้นไม่รู้เมื่อไหร่ถึงจะเสร็จ” ไจ๋เอ่ยชวนพี่กันและกระเป๋าไปช่วยสูบลมให้กับแพยางสามลำซึ่งไกด์ทั้งสามสูบอยู่พักหนึ่งแล้วไม่มีทีท่าว่าจะเสร็จสักที หลังจากผมกินข้าวเสร็จก็พบว่าเข่าขวาของตัวเองปวดและอาการไม่ดีเอามากๆคงเป็นเพราะเมื่อวานเดินหรือกระโดดลงผิดท่า แต่ก็เข้าไปช่วยสูบลมยางด้วยโดยมีโบ๊ทและแม็กตามมา

    “ เก็บแรงไว้พายเรือด้วยนะ ” พวกเราพยายามเตือนๆกันไว้โดยผลัดกันสูบลมคนละหกสิบครั้ง เพราะตระหนักดีว่าการพายเรือในแก่งยากเพียงไหน แม้จะพายเรือกันเป็นแต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะพายในแก่งได้ง่ายๆ ซึ่งภายหลังเราเพิ่งทราบว่าในไกด์สามคนนี้มีเพียงแค่คนเดียวเท่านั้นที่เคยล่องแก่งส่วนอีกสองคนไม่เคยและไม่เป็นเสียด้วย

    แพยางถูกสูบจนเสร็จ ผมรู้สึกกดดันอย่างมากเพราะเรากำลังจะทำการล่องแก่งกันโดยที่ไม่มีหมวกกันน๊อคหรือไกด์ที่พายเรือเป็น แม้แต่ทางของแก่งก็ยังไม่รู้ด้วยซ้ำ ซึ่งปกติควรต้องมีไกด์ที่ชำนาญคุมหน้าและหลังอย่างละลำ แต่ด้วยความไม่พร้อมของทัวร์และการตัดสินใจที่ผิดพลาดของไกด์ทำให้ต้องแบ่งไกด์ประจำเรือลำละคนเท่านั้น โดยให้พวกเราช่วยกันพายเอง

    ผมและกระเป๋าก้าวขึ้นเรือด้านขวามือ ส่วนคนอื่นๆทยอยกันขึ้นทีละลำ

    “ จิ๋วมา แม็ก มาจะได้เสร็จๆสักที” กระเป๋ากวักมือเรียก ผมมองหน้าแม็กคล้ายจะสื่อว่าช่วยมาที่ลำนี้เถอะเพราะรู้สึกว่าเรือลำนี้ต้องมีแม็ก

    หลังจากจัดแจงสมาชิกแต่ละลำกันเสร็จสิ้นพวกเราก็เริ่มออกเรือ โดยลำของผมมีแม็กนั่งหน้าถัดจากไกด์ ผมกับจิ๋วนั่งกลางโดยผมมีไม้พายและกระเป๋าเป็นคนคุมท้ายเรือ ลำของผมเป็นลำที่สองที่ออกตัว พริบตาที่เรืออกผมสัมผัสได้ถึงแรงของกระแสน้ำที่เชี่ยวกราด แต่ด้วยความที่เป็นคนพายกลางลำจึงไม่สามารถช่วยอะไรได้มากนัก เรือเอียงไปมาอย่างไร้ทิศทางตั้งแต่เริ่มออกเนื่องจากไกด์ไม่สามารถควบคุมทิศทางได้ ส่วนกระเป๋าก็ยังไม่รู้เทคนิคการควบคุมหางเรือในตอนนั้นซึ่งไม่มีใครบอกมาก่อนว่าต้องทำยังไง

    เรือแพไหลอย่างรวดเร็วไปตามกระแสน้ำ เบื้องหน้าก่อนทางลงแก่งแรกมีดงไม้หนาขนาดใหญ่กั้นอยู่ ผมและแม็กตะโกนบอกให้กระเป๋าและจิ๋วก้มหัวหลบลง ดงกิ่งไม้วิ่งผ่านหัวพวกเราไปอย่างฉิวเฉียดโชคดีที่ไม่มีใครบาดเจ็บ แต่ทันใดนั้นเหตุการณ์ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น

    ‘ ซ่าส์ ! ’

     แก่งแรกผ่านไปพร้อมกับไกด์ที่ตกจากเรือไปเป็นคนแรกทำให้เรือของพวกเราเสียการควบคุมโดยสิ้นเชิง ผมพยายามใช้ไม้พายรั้งกระแสน้ำเอาไว้ พร้อมคิดในใจถ้าหากว่าเราไม่สามารถเข้าประชิดหรือเกาะติดฝั่งได้เราอาจจะต้องพายกันเองซึ่งผมไม่คิดว่าจะสามารถควบคุมเรือไปถึงแก่งสุดท้ายได้อย่างแน่นอน

    แม็กพยายามจะใช้ไม้พายของผมไปเกี่ยวต้นไม้ข้างขวา แต่ผมไม่คิดเช่นนั้นพร้อมตะโกน

    “ ไม่ต้อง พยายามจับต้นไม้ให้ได้ เดี๋ยวเราจะช่วยรั้งเรือไว้ให้ ”

    เหตุการณ์ในตอนนั้นเกิดขึ้นรวดเร็วมาก เรือยางของพวกเราหมุนคว้างไปอีกด้านหนึ่งหลังจากชนกับดงไม้อีกดวงหนึ่ง กระเป๋าพยายามคุมหางเรือแต่พุ่มไม้ต่อไปกำลังใกล้เข้ามาแล้ว ผมรีบบอกให้ทุกคนระวัง

    กิ่งไม้ขนาดใหญ่วิ่งเข้ามาตรงหน้าของผมและจิ๋ว เห็นจิ๋วพยายามจะใช้เท้ายันเพื่อถีบกิ่งไม้ขนาดใหญ่นั้นซึ่งอันตรายอย่างมาก หากปะทะเข้าอาจทำให้ขาหักหรือบาดเจ็บได้ผมจึงรีบตะโกนห้ามให้เก็บขา โชคดีที่จิ๋วเก็บขาทัน

    กระเป๋าไม่สามารถคว้ากิ่งไม้พวกนั้นไว้ได้ ส่วนจิ๋วกำลังก้มหลบอยู่ โชคดีที่แม็กคว้ากิ่งไม้นั้นไว้ได้ทัน ส่วนผมคว้าตรงส่วนปลายไว้ได้ จากนั้นเมื่อเรือนิ่งแล้วไกด์ที่ตกน้ำก็ว่ายน้ำมาหาเรา ผมไม่ทราบว่าเขารอดมาได้อย่างไรแต่โชคดีมากที่เรือของพวกเราลอยเข้าไปถูกดงไม้ทางขวาซึ่งใกล้กับฝั่ง ไม่เช่นนั้นคงไม่สามารถหาที่ยึดเรือได้และถูกกระแสน้ำพัดลอยไปไกลแล้ว

    หลังจากไกด์ขึ้นเรืออีกครั้งพวกเราก็ตั้งสติและล่องเรือต่อแต่ก็ยังไม่สามารถควบคุมทิศทางเรือได้อีกจนกระทั่งด้านหน้าเห็นเรือของกลุ่มแรกที่นำเราไปก่อนจอดรออยู่ พวกเราจึงพยายามนำเรือขึ้นไปเทียบฝั่ง

    สภาพของลูกเรือกลุ่มแรกดูตื่นกลัวเพราะมีคนตกน้ำไปแล้ว โดยไกด์นำเรือแรกยังเป็นเด็กอยู่บอกว่าเขาไม่มั่นที่จะนำเรือต่อ หลังจากเรือลำหลังตามมาเทียบฝั่งพวกเราก็หารือกันว่าจะทำอย่างไรเพราะทางกลับมีเพียงทางเดียวคือต้องล่องแก่งเท่านั้น ไม่ก็ปีนเขากลับซึ่งเป็นไปได้ยาก

    หลังจากหารือกันอยู่พักหนึ่งก็ได้ข้อสรุปว่าพวกเราจะรวมเรือจากสามให้เหลือสอง ซึ่งตามความเห็นของหลายๆคนรู้ดีว่ามันอันตรายมาก ยิ่งเรือมีคนเยอะมากเท่าไหร่ก็ยิ่งหมายความว่ามีโอกาสเสี่ยงที่จะล่มสูงเพราะน้ำหนักเยอะ

    เรือลำหลักสองลำคือ เรือของผมและเรือของพวกพี่กันซึ่งเดิมทีมีหัวหน้าไกด์ซึ่งเป็นคนพายเป็นกับไจ๋ที่ได้รับการชมจากหัวหน้าไกด์ว่าพายใช้ได้อยู่ด้วย แต่ถึงกระนั้นการตกลงว่าใครจะไปกับใครก็เป็นไปได้ยาก เพราะปัจจัยหลายๆอย่าง ความจริงผมอยากจะอยู่เรือลำเดิม แต่พี่กันเรียกให้ผมกับลำเขาผมจึงตัดสินใจเปลี่ยนลำเรือ ความรู้สึกในตอนนั้นมันไม่ใช่ความสนุกของการล่องแก่งแล้ว แต่เป็นการเอาชีวิตรอดเสียมากกว่า

    ในที่สุดเราก็ตกลงแบ่งสมาชิกกันเสร็จโดยเรือลำผมมีหัวหน้าไกด์พายอยู่หน้าสุดถัดมาคือ พี่ผู้หญิงที่ด้านซ้ายหน้า จิ๋วและโบ๊ทตามลำดับ ชั้นถัดมาซ้ายคือพี่ผู้ชายอีกคน พี่นก และผมที่อยู่ขวาสุดคอยขนาบข้างไว้เพราะตอนนั้นพี่แกดูเสียขวัญพอควร และด้านหลังสุดคือ พี่กันที่ถือพายอยู่ซ้ายมือ และไจ๋ที่คุมพายขวา ส่วนสมาชิกอีกลำได้แก่ พี่โทนี่ที่มากับเรา กระเป๋าคุมท้าย แม็ก และไกด์อีกสองคน

    “ เฮ้ ” พี่กันกับไจ๋ส่งเสียงร้องดีใจเมื่อเราออกเรืออีกครั้ง โดยหารู้ไม่ว่าอะไรกำลังจะเกิดขึ้น

    เรือไหลสู่แก่งที่สองได้อย่างไม่โครงเครงนัก แต่ด้วยน้ำหนักของสมาชิกที่มากขึ้นทำให้เรือติดกับแก่งหิน ทันใดนั้นเรือยางเทลงในลักษณะถอยหลัง ทุกคนตั้งสติและพยายามช่วยดันเอียงตัวถอยหลังเพื่อให้เรือหลุดจากแก่งหิน

    ‘โครม ! ’

    เรือหลุดจากแก่งหินพร้อมพี่ผู้หญิงที่นั่งข้างจิ๋วกระเด็นตกน้ำไป แต่โชคดีที่ไกด์กับพี่ผู้ชายที่ซ้ายมือผมช่วยไว้ได้ทัน

    “ พี่ช่วยดูพี่ผู้หญิงเถอะครับ ” ผมบอกพี่ข้างๆหลังจากเหตุการณ์นั้นเกิดขึ้น พร้อมขอไม้พายพี่เขามาช่วยประคองเรือ จากนั้นเรือก็ลอยต่อตามกระแสน้ำไปอย่างรวดเร็วแบบไม่มีเวลาให้หยุดหายใจ พร้อมกับแก่งต่อไปที่รอเราอยู่

    คราวนี้เรือไหลตามกระแสน้ำไปเร็วกว่าเดิม พี่กันที่คุมพายด้านหลังซ้ายเริ่มตื่นไม่ค่อยได้ใช้ไม้พายไหร่ แถมดวงไม้ด้านหลังที่เห็นอยู่รำไรเริ่มใกล้เข้ามาทุกที

    “ พี่กันระวังเก็บไม้พายด้วย ” ผมร้องเตือนพร้อมไจ๋ที่อยู่ด้านขวาก็บอกเช่นกัน พี่กันรีบเก็บพายพร้อมก้มหลบดงไม้ที่ด้านซ้ายก่อนที่เรือจะปะทะกับแก่งอีกครั้งแล้วเสียหลักพลิกเทไปด้านซ้าย

    ‘ ฟุ่บ ! ’

    ร่างของพี่กันหลุดลอยออกจากเรือไปต่อหน้าต่อตา พร้อมกับพี่ผู้ชายและพี่ผู้หญิงที่ซ้ายมือผม และจิ๋วที่กระเด็นไปตามๆกัน

    วินาทีชีวิตได้เริ่มต้นขึ้น

    ไจ๋รีบยื่นมือคว้าจับพี่ผู้หญิงเอาไว้ ส่วนโบ๊ทโผเข้าจับจิ๋วจนตัวเองเกือบตกไปด้วย เรือเอียงเกือบจะหกสิบองศาแล้ว

    ในขณะนั้นผมที่อยู่ด้านขวาสุดไม่สามารถยื่นมือเข้าช่วยเหลือใครได้ หรือจะบอกให้ถูกก็คือต่อให้ผมช่วยดึงก็คงไม่มีแรงพอจะดึงใครขึ้นมาได้ และที่สำคัญตอนนั้นผมคิดว่าหากเรือพลิกคว่ำขึ้นมาพวกเราทั้งหมดไม่น่าจะมีใครรอดได้ ผมจึงตัดสินใจรีบเอียงตัวไปด้านขวาเพื่อบาลานซ์เรือให้พร้อมตะโกนบอกทุกคนซึ่งตอนนั้นเชื่อว่าคงแทบจะไม่ได้ยินเสียงอะไรทั้งนั้นแน่ๆ เพราะเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมันกะทันหันและน่ากลัวเกินไป

    “ ค่อยๆดึงขึ้นมานะครับ ไม่งั้นเดี๋ยวเรือล่ม ”

     ผมออกแรงเอียงตัวภาวนาให้เรือไม่ล่มจนกระทั่งไจ๋เริ่มทรงตัวจากการคว้าพี่ผู้หญิงขึ้นมาได้ช่วยผมบาลานซ์เรือจากนั้นคนอื่นๆก็ค่อยๆทยอยกันช่วยคนที่เหลือขึ้นมา แต่เรือก็ยังคงไม่หยุดแล่น

    ขณะนั้นไม้พายของไจ๋หลุดลอยไปอยู่ด้านหลังไกลแล้ว หมวกของพี่กันและรองเท้าของพี่ผู้หญิงลอยตามน้ำไปเช่นนั้น

    ภาพเหตุการณ์ทุกอย่างเกิดในเวลาเพียงเสี้ยววินาทีแต่สำหรับผมคล้ายกับภาพช้าก็ไม่ปาน

    ไม้พายอยู่เบื้อหลังไกลพอสมควร ผมซึ่งยังมีไม้พายอยู่พยายามรั้งกระแสน้ำควบคุมเรือไว้แต่ก็ไม่สามารถช่วยอะไรได้ ความจริงผมควรจะยื่นไม้พายให้ไจ๋ใช้แต่ด้วยความกังวลว่าไจ๋จะไม่มีมือคว้าไม้พายไว้ได้หากกำลังคุมเรืออยู่จึงพยายามประคองเรือให้เพราะตำแหน่งที่ไม้พายอยู่นั้นเป็นบริเวณด้านหลังของไจ๋พอดี จนกระทั่งโบ๊ทสามารถเก็บไม้พายที่ลอยตามกระแสน้ำอีกอันหนึ่งมาได้

    “ โบ๊ทเอาไม้พายมาให้พี่ไจ๋ แล้วดูจิ๋วไว้ดีกว่า ” ผมบอกโบ๊ทให้รีบยื่นไม้พายมาเพราะส่วนท้ายเรือสำคัญที่สุด

    “ ครับ ” โบ๊ทรับคำรีบยื่นไม้พายที่เก็บได้มาข้างหลัง

    ตำแหน่งนั่งในเรือขณะนี้เริ่มสับสนพอสมควรแต่พอไจ๋ได้ไม้พายเรือก็ค่อยสามารถทรงตัวได้  พวกเรารวมทั้งไกด์เรือพยายามนำเรือเทียบฝั่งให้ได้

    ทันใดนั้นผมเห็นขอนไม้แหลมก่อนที่เรือจะเทียบฝั่ง จึงรีบใช้มือยื่นไปบังพร้อมบอกกับไจ๋

    “ ระวังไม้ๆๆ ”

    ไจ๋ที่ได้ยินรีบหันข้างมาดู เพราะตอนนั้นมัวแต่คุมเรืออยู่ โชคดีที่เอี้ยวตัวหลบได้ทันไม่อย่างนั้นท่อนไม้แหลมอาจเสียเข้ากับสีข้างของไจ๋ไปแล้ว ถึงไม่แทงเข้าไปก็คงทำให้จุกเสียดพอสมควรเพราะแรงดันน้ำส่งเรือมาแรงพอควร

    พอเรือนิ่งหัวหน้าไกด์ก็ลงจากเรือไปลากเรือให้ติดฝั่ง ทุกคนดูขวัญเสียอย่างมาก โดยเฉพาะคนที่ตกลงน้ำ แค่คิดว่าหากไม่สามารถคว้าเรือหรือมีคนช่วยคว้าไว้ได้ทันขึ้นมาก็แทบไม่อยากจะคิดแล้วว่าอะไรจะเกิดขึ้น ส่วนตัวผมนั้นมีสังหรณ์แต่แรกแล้วว่าจะเกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้นจึงไม่ตื่นเต้นมากนักแต่ก็ดีใจที่เรารอดมาได้อย่างหวุดหวิด

    จากนั้นเรือที่ตามเรามาซึ่งเห็นเหตุการณ์และนำเราไปก่อนก็ตามมาสมทบหลังจากลอยข้ามเราไปแล้วสมควร พี่ๆและหลายๆคนเสนอว่าเราควรจะหยุดการล่องแก่งแต่เพียงเท่านี้ ส่วนกระเป๋า แม็ก ไจ๋และผมยังอยากจะล่องต่อ แต่ในใจผมจู่ๆก็คิดขึ้นมาได้ว่า ในเมื่อเรารอดมาขนาดนี้แล้วจะหาเรื่องเสี่ยงชีวิตให้ไปตายอีกทำไมจึงหันไปมองหน้ากับแม็กพร้อมตัดสินใจหยุดล่องแก่ง ต่อจากนั้นไจ๋และกระเป๋าจึงตัดสินใจหยุดแล้วเดินเท้ากลับกันหมดทุกคน

    ปัญหาไม่ได้จบลงแต่เพียงเท่านั้น  เนื่องจากไกด์นำทางไม่รู้ทางกลับจากฝั่งนี้ดังนั้นเราจึงจำเป็นต้องข้ามน้ำกลับไปยังอีกฝั่ง แต่กระแสน้ำเชี่ยวเกินไปต่อให้มีเชือกขึงยังเสี่ยงต่อการถูกนำพัดซึ่งผมเคยคิดเล่นๆว่าหากต้องทำอย่างนั้นจริงคงจะอันตรายมากๆ

     แต่พวกเราไม่มีทางเลือกนอกจากข้ามมันไปให้ได้เท่านั้น นอกจากนี้ตอนนั้นเหลือเวลาเพียงแค่สองชั่วโมงครึ่งเท่านั้นก่อนที่จะหกโมงเย็น ซึ่งหากไม่สามารถออกจากป่าได้ก่อนที่ฟ้าจะมืดแล้วละก็จะลำบากและอันตรายมากด้วยจำนวนคนที่เยอะและไม่พร้อมขนาดนี้ ดังนั้นทุกคนจึงรีบตั้งสติเพื่อหาทางข้ามกลับไปยังอีกฝั่งให้ได้

     

     

    To be continue……

     

     

     

    _______________________________________________________

     

     

     

     

     

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×