คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #90 : บทเรียนที่ 84 Rush
บทเรียนที่ 84 Rush
คริสตัลสีน้ำเงินส่องประกายระยิบระยับ และค่อยๆเปิดแยกออก ภายในซ่อนไว้ด้วยอาวุธสามชนิดหนึ่งคือ ขวานขนาดกลางธรรมดา ด้ามจับทำด้วยพลาสติกสีไม้น้ำตาล ส่วนคมขวานสีดำตัดขอบเทานั่นก็น่าจะเป็นพลาสติกเช่นกัน ถัดมาคือ กางเขนสีขาว รอบกางเขนลงลวดลายสวยงามสะท้อนประกายแวววาวขนาดประมาณสามสิบถึงห้าสิบเซนติเมตรได้ และสุดท้ายคือ ค้อนขนาดเล็กและหมุดไม้ที่ดูเก่าแก่ราวกับเคยผ่านการใช้งานมาแล้วร่วมศตวรรษ
ทั้งหมดยืนกวาดสายตาผ่านอาวุธสามชนิดที่มีจำนวนซ้ำกันประมาณอย่างละสิบชิ้น ราวกับต้องการจะหาคำตอบว่าแล้วอันไหนคือ อาวุธศักดิ์สิทธิ์ที่แท้จริงกันแน่ ซึ่งคำตอบก็ได้มาโดยไม่ต้องใช้เวลานานนักเมื่อวีวี่ชี้ไปยังกระดาษเก่าสีน้ำตาลที่ติดไว้ด้านข้างคริสตัลที่เปิดออก
‘ อาวุธศักดิ์สิทธิ์ของปราการร้าง ครั้งหนึ่งเคยใช้ต่อสู้กับเหล่าแวมไพร์ แบ่งเป็นสามประเภท สามารถเลือกใช้ได้ตามความถนัด
1. ขวานลงอาคม สำหรับนักรบผู้มีความกล้าหาญ เหมาะสำหรับใช้ต่อสู้ระยะประชิดตัวกับเหล่าผีดิบ
2. กางเขนอาคม สำหรับนักบวชผู้เมตตา ใช้สำหรับช่วยรักษาอาการบาดเจ็บได้
3. ค้อนและหมุดไม้ลงอาคม สำหรับพ่อมดจอมอาคม ใช้สำหรับปลิดชีพท่านเค้าท์ ! ’
นอกจากอาวุธทั้งสามชนิดนี้แล้ว ยังมีถุงมือประจำของแต่ละอาชีพด้วย คือ ถุงมือสีน้ำตาล สำหรับนักรบ ถุงมือสีขาวสำหรับนักบวช และถุงมือสีดำสำหรับพ่อมด ซึ่งในคำบอกเล่าเขียนไว้ว่า ใส่เพื่อสามารถแบ่งแยกหน้าที่ได้ชัดเจนยิ่งขึ้น แต่จะไม่ใส่ก็ไม่มีผลอันใด
วารู้สึกว่า อาวุธของด่านปราการร้างค่อยน่าสนใจ และคู่ควรกับความเหนื่อยที่ลงแรงไปหน่อย ไม่เหมือนกับด่านเขาวงกตที่ได้มาเพียงแค่แผนที่ชิ้นหนึ่ง แถมยังถูกโพไล่ล่าจนเกือบไม่รอดอีก แต่ขณะนี้เขากำลังคิดอยู่ว่าควรจะเลือกอาวุธชิ้นไหนดี ความจริงแล้วกางเขนลงอาคมก็น่าจะมีประโยชน์ไม่น้อย เพราะช่วยรักษาอาการบาดเจ็บได้ แต่ก็ยังไม่รู้ว่าจะใช้ได้ดีขนาดไหน ซึ่งดูจากคุณสมบัติแล้วขวานน่าจะดูเหมาะกับเขาที่สุด เพียงแต่มีสิ่งหนึ่งที่สะดุดความสนใจของเขานั่นก็คือ ค้อนและหมุดไม้ที่บอกไว้ว่า ‘ ใช้สำหรับปลิดชีพท่านเค้าท์ ’ ซึ่งถ้าเป็นอย่างนั้นจริงหรือว่าอาวุธชิ้นอื่นจะไม่สามารถใช้เอาชนะท่านเค้าท์ได้
“ กรุณารีบตัดสินใจเลือกอาวุธภายในห้านาทีด้วยนะครับ ขอบคุณครับ ”
เสียงจากเด็กชายนักประกาศไม่ได้ช่วยให้การตัดสินใจดีขึ้นแม้แต่น้อย
ในขณะที่ทุกคนต่างคิดอยู่ว่าจะเลือกอะไรดีนั้นมิวก็ชิงเป็นฝ่ายเลือกอาวุธก่อน โดยเดินเข้าไปคว้าขวานธรรมดามา
“ โอ้ เบากว่าที่คิดไว้นะเนี่ย แบบนี้น่าสนุกหน่อย อย่างเรามันก็ต้องนักรบผู้กล้าหาญอยู่แล้วจริงไหม ”
“ นักรบผู้กล้าหาญอะไรวิ่งคนแรก เราเป็นนักรบน่าจะดีกว่านะ ” วีวี่ส่ายหน้าแขวะแล้วเดินไปหยิบขวานมาทำท่าใส่ แต่มิวทำเป็นไม่สนหยิบถุงมือน้ำตาลมาใส่ ดูได้อารมณ์นักล่าผีดิบสมัยโบราณชอบกล ถ้าไม่ติดว่าเสื้อเกราะที่ใส่อยู่ดูทันสมัยเกินไป
ซอนมีเป็นคนต่อไป เธอก้าวเข้าไปหยิบกางเขนอาคม และหันไปบอกมิสเตอร์พัมพ์กิ้น
“ ชั้นขอเป็นนักบวชก็แล้วกัน เผื่อจะได้ช่วยคุณได้บ้าง ”
“ ไม่ต้องทำถึงขนาดนั้นหรอกครับ เพราะยังไงผมก็คืนชีพได้ ” มิสเตอร์พัมพ์กิ้นโบกมือเลิกลัก
โซเฟียหันไปปรึกษาวา แต่วาก็รู้ได้ทันทีว่าเธอควรจะเลือกอะไร
“ เธอรีบเอาขวานเลยสิ ถ้าได้ใช้มันแทนปืนสงสัยงานนี้ท่านเค้าท์ก็ท่านเค้าท์เถอะ ”
“ แหะๆ คุณเด๋อไม่ต้องทำเป็นตื่นเต้นขนาดนั้นก็ได้ แต่ก็เห็นด้วย อนุมัติ ! ”
เหลือแค่วากับมิสเตอร์พัมพ์กิ้น ซึ่งดูท่าคงจะต้องมีใครสักคนที่เลือกค้อนและหมุดไม้ไปบ้าง เผื่อว่าในกรณีฉุกเฉินที่จำเป็นต้องใช้ปลิดชีพท่านเค้าท์ขึ้นมาจริงๆ
ในที่สุดวาก็เดินเข้าไปหยิบค้อนและหมุดไม้มา ซึ่งถ้าพูดกันตรงๆมันผิดกับที่เขาคิดไว้พอสมควร แต่ก็ผิดคาดเมื่อมิสเตอร์พัมพ์กิ้นก็เลือกมันเหมือนกัน เขารู้สึกอยากรู้จักคนๆนี้ขึ้นมาชอบกล ตั้งแต่โผล่มาเมื่อสักครู่ก็เพิ่งจะนึกขึ้นมาได้ว่ายังไม่ได้ถามไถ่ความเป็นมาเลย แต่มิสเตอร์พัมพ์กิ้นหลังจากหยิบอาวุธเสร็จก็ผละออกไปจากกลุ่มคล้ายไม่ต้องการสุงสิงกับคนอื่น
“ เอาละพวกเราไปด่านต่อไปกันเถอะ ” วากล่าวเมื่อทุกคนพร้อม ความหวังที่จะเอาชนะท่านเค้าท์ดูมีมากขึ้น หลังจากผ่านการทำงานเป็นทีมและมีอาวุธศักดิ์สิทธิ์ชิ้นที่สองในครอบครอง เขาเพียงสงสัยว่าแล้วอาวุธอีกสิงชิ้นที่เหลือจะหน้าตาเป็นยังไงกัน
เพียงเดินตามทางในแผนที่ศักดิ์สิทธิ์ได้ไม่นานทั้งหมดก็เข้าใกล้ด่านทดสอบต่อไป เนื่องจากทางในโรงเรียนเป็นที่ๆทุกคนคุ้นเคยอยู่แล้ว ถึงแม้จะมีการปิดกั้น และตกแต่งทางรอบๆให้ดูน่ากลัวชวนหลงไปบ้าง แต่ก็ไม่ใช่ปัญหา ส่วนพวกผีดิบที่โผล่มาระหว่างทาง รวมถึงพวกค้างคาวยิ่งไม่ต้องพูดถึงเมื่อขวานลงอาคมอยู่ในมือโซเฟียมันก็ง่ายขึ้นเยอะ จนซอนมียังอดชื่นชมพอๆกับย่ำเกรงไม่ได้ว่า โชคดีที่เธอเปลี่ยนใจมาเป็นพวกวา
เมื่อมาถึงบริเวณด่านที่สาม ซึ่งทุกคนตกลงเลือกก็คือ ‘ด่านทดสอบความกล้า คุกปิดตาย ! ’ ที่เพียงได้ยินชื่อก็ชวนขนหัวลุกแล้ว แต่ปรากฏว่าหน้าด่านกลับเป็นถนนกว้างที่ปกติจะเป็นทางเดินระหว่างหอพักไปถึงหลังอาคารเรียน ไม่ว่ายังไงก็มองไม่เห็นวี่แววของคุกแม้แต่น้อย
ที่เห็นคือ ถนนที่เคยเปิดกว้างบัดนี้ถูกโซ่เหล็กขึ้นสนิมขึงกั้นยาว โดยมีไม้หนาสูงเป็นตัวผูกไว้เท่านั้น ส่วนรายละเอียดนั้นถึงจะไม่สังเกตก็ต้องทราบว่าเป็นด่านทดสอบความกล้าเมื่อเงาร่างของอะไรบางอย่างค่อยๆแง้มตัวออกจากตาแกรงเหล็ก
มิวสะดุ้งโหยงถือขวานเตรียมจามใส่อะไรบางอย่างนั่น แต่ก็ต้องหยุดชะงัก
“ ยินดีต้อนรับเหล่าผู้กล้าทั้งหลาย สู่ด่านทดสอบความกล้า ฮิๆๆๆ ” เงาลึกลับเยื้อย่างเข้ามาเห็นเป็นร่างหญิงสาวผอมซูบ ผมขาวโพลน ชุดที่ใส่อยู่แม้จะสกปรกเต็มไปด้วยคราบเลือดและซอมซอแต่ก็สามารถบ่งบอกได้ว่าต้องเป็นขุนนาง หรือผู้ดีเก่าอย่างแน่นอน ในมือของหล่อนถือตะเกียงไฟเก่าที่ดูเหมือนจะดับแหลไม่ดับแหลส่องมายังพวกวา
มิสเตอร์พัมพ์กิ้นหรือเบต้าทราบว่า หญิงลึกลับนี้คือใคร ใช่แล้วตามตำนานสยองเธอคือ หนึ่งในความสยองที่ไม่ว่าใครก็ต้องรู้จักดี ‘มาดามพุซ’ ผู้ถูกฆ่าตายอย่างโหดเหี้ยมในคดีฆ่าหั่นศพที่กรุงลอนดอนโดยฝีมือแจ๊ค เดอะ ริปเปอร์ ว่ากันว่าวิญญาณของเธอจะตามหลอกหลอนผู้คนไปทั่ว เพราะไม่ทราบว่าใครเป็นคนสังหารเธอ
“ ก่อนอื่นต้องขอแสดงความเสียใจด้วยที่ด่านนี้จะไม่มีการใช้ความรุนแรง เพราะฉะนั้นโปรดลดอาวุธของพวกท่านลงด้วย และเราจะใช้เพียงสิ่งนี้เท่านั้น ” มาดามพุซหยิบกุญแจมือเก่าเคอะออกมาโชว์ มิวอดคิดไม่ได้ว่ายัยนี่น่าจะเป็นพวกซาดิสด์ แต่เหมือนหญิงลึกลับจะรู้ทันความคิดมิวจึงหรี่ตาด้วยสายตารังเกียจแล้วกล่าวต่อ
“ นี่คือ กุญแจมือแห่งความกล้า มีเพียงผู้ที่มีศรัทธาแรงกล้าเท่านั้นถึงจะผ่านด่านทดสอบนี้ไปได้ กติกาก็คือ พวกเจ้าทุกคนต้องสวมกุญแจมือนี้ไว้ และเดินไปให้ถึงทางออกคุกเท่านั้นก็เป็นอันเสร็จสิ้น ”
“ ง่ายอย่างงี้เชียว ” มิวยิ้มอย่างโล่งอก แต่ก็ต้องทำหน้าผิดหวังเหมือนเด็กสิบขวบที่โดนแย่งขนม
“ ฮิๆๆ แต่มีข้อแม้ ” มาดามพุซชี้นิ้ว ราวกับตัวละครเจ้าเล่ห์ในเรื่องตลกร้ายทั่วๆไป และหลังจากคำว่ามีข้อแม้มักจะเป็นเรื่องที่ไม่ง่ายเลย “ คือชีพจรของพวกเจ้าห้ามเต้นเกินอัตราที่กำหนดสามครั้ง และห้ามใช้อาวุธกับพวกผีดิบหรืออะไรก็ตามที่โผล่ออกมา ไม่เช่นนั้นจะถูกปรับแพ้ทันที ”
วาเข้าใจขึ้นมาทันที ที่แท้กุญแจข้อมือนั่นน่าจะเป็นเครื่องตรวจวัดชีพจรนั่นเอง
“ ถ้าไม่ใช่อาวุธแล้วพวกเราจะป้องกันตัวเองได้ยังไง ” วาชิงถาม
“ โอ้ เป็นคำถามที่ฉลาดมาก แต่พวกมันจะไม่ทำร้ายเจ้าหรอก แค่จะทำให้พวกเจ้าตกใจนิดๆหน่อยๆเท่านั้น ” มาดามพุซฉีกยิ้มงาม ซึ่งไม่น่าไว้ใจเป็นอย่างยิ่ง
วาคิดหากเป็นเช่นนั้นก็คงจะไม่เป็นไร ด่านนี้อาจจะง่ายกว่าที่คิดไว้ เขาพยักหน้าตกลงเก็บปืน และยื่นมือให้มาดามพุซ แต่มาดามพุซชี้ไปที่ด้านหลังเขา
“ ดูเหมือนว่าพวกเจ้าจะมีแขกนะ ”
สิ่งประโยคเสียงปืนเลเซอร์ก็ดังขึ้นจากด้านหลัง
“ ระวัง ” ซอนมีตะโกน ทุกคนรีบหันหลังขวับไปดูเหตุการณ์ พบเห็นเงาของเด็กชายในชุดคลุมสีขาว ถือปืนคู่สองกระบอกเข้ามาหาพวกเขา ที่ใบหน้าสวดใส่แว่นฉีกยิ้มอย่างยินดี
‘ โพ ผู้สุภาพนั่นเอง ! ’
“ เจ้านั่นอีกแล้ว ” ซอนมีอุทาน
มิว และวีวี่ก็ตกใจเช่นกัน ถ้าหากโพมาปรากฏตัวที่นี่ได้ นั่นก็แสดงว่าเขาสามารถผ่านซิลเวียร์ไปได้อย่างงั้นรึ เรื่องนี้แทบจะเป็นไปไม่ได้ด้วยซ้ำ เพราะต่อให้โพเก่งยังไงแต่ซิลเวียร์ก็เป็นถึงหนึ่งในขุนพลของไกเซอร์ด้อมที่ไล่ต้อนโซเฟียจนเกือบจะจนมุมได้ ยิ่งในการต่อสู้ในพื้นที่จำกัดแบบนั้นโพไม่น่าจะหลบการโจมตีของซิลเวียร์ได้
‘ มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ’ โซเฟียขมวดคิ้ว
“ ฮ่าๆ มาได้ไกลกว่าที่คิดนะครับ ” โพเอ่ยทักทาย ปืนคู่ยังคงถือห้อยอยู่ “ ดูเหมือนว่าจะมีสมาชิกใหม่เพิ่มมาด้วย แบบนี้ยิ่งน่าสนุกนะครับ ”
“ เจ้านี่เป็นใคร ” มิสเตอร์พัมพ์กิ้นถาม
“ จัดการมันโดยไม่ต้องปราณี ” ซอนมีกล่าวเบาๆ ซึ่งเป็นอันเข้าใจโดยไม่ต้องอธิบายมากความ
ไม่ว่าเจ้าหมอนี่จะเป็นใครก็ตาม แต่การกล้ามายืนสู้กับคนที่มีอาวุธครบมือแบบหนึ่งต่อหก แถมยังผ่านเจ้าหนูซิลวี่สุดโหดมาได้อีกนี่ถ้าไม่บ้าก็ต้องไม่ธรรมดาแน่ๆ ดังนั้นมิวจึงบอกให้วีวี่ระวังตัวไว้
“ ซิลเวียร์อยู่ที่ไหน ” โซเฟียถามสีหน้าจริงจัง เพราะระหว่างทางเห็นมิวบอกว่า ซิลเวียร์เป็นผู้ที่ช่วยให้พวกเขารอดมาได้
“ หมายถึงเด็กผู้หญิงคนนั้นหรือครับ ” โพมีสีหน้าเสียใจเล็กน้อยที่เห็นโซเฟียโกรธ “ ผมบังเอิญจัดการไปเรียบร้อยแล้วละครับ ต้องขอโทษจริงๆ ”
โซเฟียควงขวานแล้วแทงออกไปด้านหน้าแบบอัศวินยุคโบราณแสดงให้เห็นว่าเธอตัดสินใจสู้แบบจริงจังด้วยขวานแทนปืน และนั่นทำให้วารู้สึกกลัวโซเฟียขึ้นมาจริงๆเป็นครั้งแรก โชคดีที่เขายังไม่เคยทำให้เจ้าหล่อนโกรธขนาดนี้
“ ในฐานะรองกรรมการนักเรียน ขอสั่งลงโทษเธอ ณ บัดนี้ ” โซเฟียว่าจบก็พุ่งควงขวานไปมาเข้าใส่โพทันที ทุกคนไม่ทันคิดจะทำอะไรดีก็ได้ยินซอนมีสั่งขึ้นอย่างไม่ลังเล
“ ยิงเลย จัดการมันซะ ”
โพทำท่าตกใจนิดหน่อย แต่ก็ยิ้มอย่างใจเย็นแล้วประสานปืนเป็นรูปกางเขน
“ ต้องขอโทษด้วยนะครับคุณโซเฟีย คุณมีหน้าที่ของคุณ ผมเองก็มีหน้าที่ของผมเช่นกัน เพราะผมคือกฎยังไงละ ”
พริบตานั้นปืนคู่ในมือโพก็กระหน่ำยิงใส่โซเฟีย แต่กลับไม่เป็นผล เพราะขวานที่ควงไปมาช่วยสกัดลำแสงกระสุนไปหมดสิ้น นับว่าฝีมือในการใช้ขวานของโซเฟียก็ไม่ด้อยไปกว่าดาบเลยทีเดียว
โพวิ่งหลบกระสุนจากพวกวาที่เริ่มเปิดฉากยิงไปได้ แต่พอรู้ตัวอีกทีขวานของโซเฟียก็มาอยู่ตรงหน้าของเขาแล้ว
‘ ฉึก ! ’
โซเฟียกว่าจะรู้ตัวว่าพลาดเป้าร่างของโพก็ถลันมาอยู่ด้านหลังแล้ว ความเร็วนะดับนี้ไม่ใช่ความเร็วที่คนทั่วไปจะมีได้ หากไม่ใช่ผู้ที่ฝึกฝนการต่อสู้มาอย่างโชกโชน
ดูเหมือนว่าเธอกำลังจะถูกจ่อยิงในระยะประชิด ซึ่งอันตรายมากทีเดียว หากตอนนี้สิ่งที่เธอถืออยู่คือ ดาบเพลิงอัคคีอาจสามารถใช้ท่าโจมตีวกกลับหลังได้ แต่ขวานมีขนาดใหญ่เทอะทะด้วยสภาวะเช่นนี้ย่อมไม่สามารถทำได้
“ ลาก่อนครับ ” โพยิงปืนใส่หลังโซเฟีย
โซเฟียไม่ยอมแพ้เหวี่ยงขวานในมือขวาควงกลับหลังใส่โพ คิดแลกชีวิตตกตายร่วมกัน แต่โพไม่ยอมจึงถอยหลังหลบไปได้อย่างหวุดหวิด ถึงกระนั้นก็ไม่อาจหลบพ้นกระสุนปืนจากด้านหลังที่ยิงโดยวา และมิสเตอร์พัมพ์กิ้นได้หลังชีวิตลดลงไปเหลือเจ็บสิบเอ็ดหน่วย
ส่วนโซเฟียพลังชีวิตลดลงไปเหลือห้าสิบหน่วยเพราะถูกกระสุนยิงเข้าอย่างจังหนึ่งนัด
“ ถอยมาให้เรารักษาก่อน ” ซอนมีร้องบอก แต่โซเฟียไม่ยอมกลับถลันตัวเข้าหาโพอย่างไม่ลดละ
โซเฟียเร่งฝีเท้าใช้ออกด้วยกระบวนท่า ‘ช่วงเวลาแห่งรุ่งอรุณ’ ซึ่งเป็นหนึ่งในสุดยอดกระบวนท่ารุกของอัศวินที่เน้นการโจมตีแบบต่อเนื่องในระยะประชิด แต่โพกลับสามารถถอยร่นหลบพร้อมยิงตอบโต้ได้อีกด้วย
เนื่องจากระยะห่างของทั้งคู่ไม่มากนักพวกวาจึงไม่กล้ายิงเพราะเกรงว่าจะถูกโซเฟียไปด้วย ทางซอนมีตระเตรียมลองใช้กางเขนเพื่อช่วยเพิ่มพลังให้กับโซเฟีย
ทันใดนั้นวาก็คิดขึ้นได้ เขารีบวิ่งเข้าไปหาโพพร้อมใช้ปืนยิงใส่ในระยะประชิด ความจริงถ้าเลือกได้เขาก็อยากจะดวลแบบตรงๆกับโพไม่อยากลอบยิงเช่นนี้ แต่ด้วยเหตุการณ์ที่บังคับเขาจะยอมให้โพเอาชนะโซเฟียไม่ได้
ผลปรากฏว่าได้ผล โพก็ใช้สมาธิกับการตั้งรับของโซเฟียต้องตกใจที่วาจู่ๆก็วิ่งเข้ามาจ่อยิงในระยะประชิดทำให้เริ่มเกิดเสียหลัก และในขณะที่จะหันหลังกลับมายิงใส่วา โซเฟียก็ชูขวานด้วยมือทั้งสองและฟันลงเต็มแรง
‘ ฉึก ! ’
แม้นี่จะเป็นขวานที่ทำจากพลาสติกแบบอ่อนแต่ด้วยแรงที่โซเฟียใช้ออกมาก็พอจะทำให้โพเซจนเกือบล้มลงได้
“ ร้ายกาจ ” โพครางร่างรู้สึกหนักขึ้นเรื่อยๆ การโจมตีเมื่อครู่ทำให้พลังชีวิตของเขาหมดลง เขากำลังจะเกมโอเวอร์ในไม่ช้า
“ ซิลเวียร์เป็นยังไงบ้าง ” โซเฟียยืนถามโพ
“ ไม่รู้สิ ก็คงจะเกมโอเวอร์เหมือนที่ผมกำลังจะเป็นมั้งครับ ” โพค่อยๆล้มลงแต่ใบหน้ายังคงแฝงไปด้วยรอยยิ้ม
“ เธอทำแบบนี้ไปเพื่ออะไรกัน ”
“ มันเป็นหน้าที่ครับ ” โพเพียงตอบแค่นั้นก่อนที่จะปิดปากเงียบไม่พูดอะไรอีก
ซอนมีเข้ามาใช้กางเขนช่วยรักษาอาการบาดเจ็บของโซเฟีย โดยใช้มันจ่อเข้าใกล้ๆที่ชุดเกราะก็ช่วยเพิ่มพลังชีวิตได้ยี่สิบหน่วยก่อนที่กางเขนจะมีแสงกระพริบเตือนว่าต้องชาร์จพลังเพิ่มอีกถึงจะใช้ได้ แต่นั่นก็ถือว่าช่วยได้พอสมควร
วาเห็นโซเฟียมีทีท่าลังเล คงเป็นเพราะกังวลว่าซิลเวียร์จะเป็นอย่างไรบ้างแน่นอน ยิ่งเธอมาจากต่างโรงเรียนในเวลาวิกาลเช่นนี้แล้วด้วย สำหรับโซเฟียแล้วมันคงจะเป็นมากกว่าหน้าที่ๆจะต้องดูแลแขก แต่ซิลเวียร์น่าจะเหมือนน้องสาวคนนึงเลยทีเดียว
“ เป็นห่วงซิลเวียร์หรอ ”
โซเฟียหันมาพยักหน้า
“ บางทีเราอาจจะลองแวะไปดูหน่อยว่าเธอเป็นยังไงบ้าง นายไปก่อนเลยก็ได้นะ ”
วามองดูนาฬิกาข้อมือ เหลือเวลาอีกพอสมควรก่อนที่จะเที่ยงคืน แต่นั่นอาจไม่มากพอสำหรับการย้อนกลับไปตามหาซิลเวียร์ ซึ่งจากข้อมูลของมิวการปะทะกันครั้งสุดท้ายเกิดขึ้นที่ห้องประตูทางออก
ใจหนึ่งวาก็อยากจะชนะเกมนี้ให้ได้ แต่อีกใจหนึ่งก็ไม่อาจปล่อยให้โซเฟียย้อนกลับไปคนเดียวเช่นกัน ดังเช่นคำกล่าวของนักเขียนท่านหนึ่งว่าไว้ ‘ในชีวิตลูกผู้ชายมีบ้างสมควรกระทำ ไม่สมควรกระทำ และไม่อาจไม่กระทำ’
“ ถ้าอย่างนั้นก็รีบไปกันเถอะ แล้วพวกเราค่อยตามไปเจอกันที่ด่านต่อไปก็ได้ ”
โซเฟียตากว้าง ไม่คิดว่าจู่ๆวาจะตัดสินใจย้อนกลับไปช่วยหาซิลเวียร์ด้วย หลังจากนั้นทั้งคู่ก็เข้าไปบอกกับพวกมิวว่าจะขอแยกกลับไปดูซิลเวียร์หน่อยแล้วค่อยตามไปเจอกันที่ด่านสุดท้ายเลย โดยคิดว่าพวกมิวน่าจะสามารถรอดไปจากด่านนี้ได้
ก่อนจะกลับไปทางเก่าโซเฟียไม่เหลียวดูร่างของโพที่นอนนิ่งเลยแม้แต่น้อย และนั่นเป็นครั้งแรกที่วาสัมผัสได้ถึงตัวตนที่เย็นชาของโซเฟีย
ทางด้านพวกมิว แม้จะไม่อยากแยกกับโซเฟียและวา แต่ด้วยการตัดสินใจของวีวี่ร่วมกับซอนมี ซึ่งไม่รู้ว่าวีวี่ไปเอาความกล้ามาจากไหน แต่มิวคาดว่านั่นน่าจะเป็นเพราะอะไรบางอย่างที่เกี่ยวกับโซเฟียมากกว่าซิลเวียร์ เธอจึงตัดสินใจให้ทั้งคู่แยกไป
มาดามพุซหลังจากที่เหตุการณ์สงบก็ออกมาป้องปากหัวเราะหลังประตูเหล็ก
“ เอาละใครจะเป็นคนแรกที่เข้าไป ” หล่อนกอลอกตาไปมา แล้วชี้ไปที่มิว “ เจ้าก่อนเป็นไง ”
มิวชี้หน้าตัวเอง “ เราเนี่ยนะ หึหึ ไม่ละพวกเราทั้งสี่จะลุยไปด้วยกัน ”
แต่มาดามพุซส่ายหน้า
“ นี่ก็บอกอยู่ว่าเป็นด่านทดสอบความกล้า แล้วก็หัดอ่านกติกาหน่อยสิ ด่านนี้เขาให้เดินเข้าไปทีละคน แต่เห็นแก่ความสามัคคีกันดี ข้าจะอนุญาตให้เดินเข้าไปเป็นคู่ก็แล้วกัน ”
หากเป็นสถานการณ์อื่นมิวคงจะไม่มีทางจับคู่กับวีวี่แน่ แต่ผู้ร่วมเดินทางกลับเป็นปีศาจฝักทอง และยัยนักร้องนำจิตป่วน มิวจึงทำเป็นตีเนียนพูดเสียงค่อยกับวีวี่
“ งั้นเราไปกันเถอะ ”
วีวี่หันขวับยังไม่ทันจะทักท้วงมิวก็เอากุญแจมือล๊อคใส่ข้อมือหล่อนเรียบร้อย
“ ตาบ้า ชั้นยังไม่ได้บอกเลยนะว่าจะไปกะเธอ ”
“ หึหึ เรื่องนั้นเราอยู่แล้วละ ไม่ต้องทำเขินหรอก ” มิวทำหน้าหล่อแล้วดึงกุญแจมือของวีวี่เข้าไปด้านใน ทิ้งให้มิสเตอร์พัมพ์กิ้นกับซอนมียืนมองด้วยความละเหี่ยใจ
“ พวกเราก็ไปด้วยกันไหมคะ ” ซอนมีหันมาถามมิสเตอร์พัมพ์กิ้นท่าทางเขินๆ เล่นเอาเบต้าหน้าแดงโชคดีที่ใส่หน้ากากนี่ไว้ หากไม่เช่นนั้นเขาอาจโดนตำรวจจับข้อหาดื่มแอลกอฮอล์ก่อนอายุแน่
“ ได้ครับ ” เบต้าใต้หน้ากากตอบแบบขวยเขิน แต่มองจากมุมของซอนมีนั่นเป็นเพียงการตอบแบบนิ่งๆเหมือนไม่ใส่ใจ ยิ่งทำให้ตาของเธอเป็นประกาย คนอะไรช่างเท่ขนาดนี้
“ ฮิๆๆๆ ขอให้โชคดีนะพวกเจ้าทั้งหลาย ” มาดามพุซหัวเราะคิกๆเมื่อทุกคนเข้าไปในด่านคุกปิดตาย แล้วปิดลูกกรงล๊อคดังกริ๊ก
ภายในคุกปิดตายก็ยังคงเป็นเพียงแค่ถนนที่ว่างโล่ง เพียงแต่สองข้างทางเต็มไปด้วยซากรถจำลองที่ล้มระเนระนาด ปนกับมอเตอร์ไซค์พังปะปราย บรรยากาศเริ่มจะหลอนขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งมิวได้ยินเสียงปิ๊ปๆที่ข้อมือ
กุญแจมือของมิวที่ใส่ไว้แค่ข้างเดียว ส่วนอีกข้างปล่อยทิ้งไว้อยู่เกิดเสียงดังขึ้น เมื่อยกดูก็เห็นจอมอนิเตอร์ดันเล็กที่จอปรากฏเป็นรูปหัวใจเล็กๆดวงหนึ่งที่เหมือนจะขยายขึ้นนิดนึง
“ นี่มันอะไรกัน ใช่ไอ้ที่เขาบอกว่าเป็นเครื่องวัดชีพจรป่ะ ” มิวหันไปถามวีวี่ เธอจึงยกแขนขึ้นมาดูเมื่อเทียบกันแล้วของวีวี่ดูจะใหญ่กว่าของมิวเสียอีก เธอจึงรีบเก็บข้อมือลง
“ ก็คงทำนองนั้นมั้ง นี่แสดงว่านายกำลังกลัวอยู่ไงละ ”
“ โธ่ แบบนี้เขาเรียกว่าอาการตื่นตัวด้วยอะดรีนาลีนต่างหาก จำไว้หน่อยก็ดีนะเพราะข้อสอบวิทยาศาสตร์น่าจะออก แต่ว่าแต่ของเธอละเป็นยังไงบ้าง ”
มิวยื่นหน้าไปดู แต่ถูกวีวี่ปิดไว้
“ ตั้งใจนำทางหน่อย เดี๋ยวก็เดินชนหรอก ”
ยังไม่ทันขาดคำมิวก็เหยียบเข้ากับอะไรบางอย่างที่นอนอยู่ใต้ซากรถ เมื่อก้มลงไปมองก็พบว่าเป็นแขนของศพพร้อมกับเสียงร้องที่ดังขึ้น
“ เจ็บนะว้อยยยยย ” เจ้าของแขน หรือศพพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่น่าจะเดาได้ว่ากำลังมีน้ำโห จากนั้นร่างใต้ซากรถก็พุ่งขึ้นกระโจนอ้าปากใส่มิว และวีวี่
ศพนั้นหน้าตาอัปลักษณ์ ผิวหน้าถูกเผาไหม้จนแทบไม่เป็นหน้าคน ดวงตาจองเขม็งด้วยความโกรธแค้น มือข้างหนึ่งชูขึ้นหมายจะบีบคอทั้งคู่ นิ้วของมันกระตุกอย่างน่ากลัว
‘ ว้าย ! ’
วีวี่ร้องลั่นตัวเด้งถอยหลัง ทันใดนั้นสัญญาณที่ข้อมือดังแอ๊ด หัวใจดวงแรกแตก แต่เธอไม่สนใจอะไรนอกจากดึงมือมิวแล้วพาวิ่งหนีสุดชีวิต
เจ้าศพเท้าสะเอวอย่างหงุดหงิด
“ กลับมาก่อนสิ นี่แกจงใจเหยียบนิ้วชั้นใช่ไหม ไม่รู้กฎหรือยังไงว่าเขาห้ามทำร้ายร่างกายพวกผีน่ะ ” ปากว่าพวกมิวไปพลางเอาปากเบานิ้วที่กระตุกเพราะถูกมิวเหยียบเข้าเต็มเปาไปพลาง ก่อนจะกลับไปนอนหลบอยู่ใต้รถต่อพร้อมยิ้มสะใจเล็กน้อยที่ทำให้พวกมิวเสียแต้มไปได้
มิวที่ถูกวีวี่ลากไปอย่างไม่ทันตั้งตัวไม่นานข้อมือก็ส่งเสียงดังแอ๊ด นั่นไม่ใช่เพราะเขาตกใจเจ้าซากศพเท่าไหร่ แต่เป็นเพราะวีวี่ที่วิ่งลากเขาอย่างไม่คิดชีวิต และที่สำคัญกว่านั้นคือ มือนุ่มลื่นของเจ้าหล่อนก็กุมมือเขาไว้แน่นอย่างที่ไม่เคยมาก่อน
“ เฮ้ยๆ หยุดก่อนๆ เดี๋ยวก็แพ้เพราะวิ่งหนีกันพอดี ” มิวรั้งมือเธอไว้ ซึ่งแม้เธอจะได้สติแล้วแต่ก็ยังไม่ยอมปล่อยกลับมาเกาะแขนเขาเสียอีก
“ ก็มันตกใจนี่นา นายนั่นละเดินไม่ดูตาม้าตาเรือ เลยเสียหัวใจไปกันคนละดวงเลยเป็นไงบอกละ บอกแล้วให้ดูทางๆ ”
“ โอ๊ย เจ็บๆ โอเค ยอมแล้วๆ ” มิวร้องเมื่อถูกวีวี่หยิกใส่ต้นแขน แต่ในใจรู้สึกจั๊กจี้ชอบกล นี่ขืนยังไม่หยุดเห็นทีหัวใจของเขาคงได้แตกไปอีกดวงแน่ๆ
‘ เออออ ’
เสียงครวญต่ำดังขึ้นรอบมิวและวีวี่ เป็นเสียงที่คุ้นหูพอสมควร ถ้าจำไม่ผิดคงจะเพิ่งได้ยินมาจากด่านปราการร้างมาหมาดๆ แต่คราวนี้มันดังและดูใกล้ตัวกว่ามาก ก่อนจะทันได้ตั้งตัวพวกซากศพเดินได้สภาพไม่เต็มสิบ พากันวิ่งกรุมาจากด้านหลังซึ่งก็คือ ซากรถที่พวกมิวเพิ่งเดินผ่านมา วิ่งเข้ามาอย่างรวดเร็ว
สถานการณ์ในตอนนี้ไม่ต่างกับหนังซอมบี้เกรดบีในตอนที่เหยื่อเคราะห์ร้ายกำลังจะถูกรุมฉีกกระชากเลย
วีวี่ทำท่าจะแล่นพลุดอีกรอบ แต่มิวรั้งตัวไว้แล้วบอก
“ อย่าวิ่ง ให้เดินเร็วๆ ! ”
แล้วทั้งคู่ก็พากันเดินเร็วด้วยท่าคล้ายเป็ดเพิ่งหัดเดิน ซึ่งแม้กระทั่งพวกซากศพที่ไล่ตามมาบางตัวยังอดหัวเราะลั่นไม่ได้
ที่เบื้องหน้าไม่ไกลนักมีจักรยานบ้านธรรมดาสีเทาดำจอดเรียงแถวกันอยู่สองข้างทางประมาณสิบคัน และสิ่งแรกที่มิวและวีวี่คิดขึ้นได้ก็คือ ขึ้นปั่นมันซะ จะมีเรื่องเดียวที่วีวี่คิดตามไม่ทันก็คือ ตอนนี้ขาเธอแข็งเกินกว่าจะปั่นได้ และสองก็คือเธอปั่นจักรยานยังไม่คล่อง จึงตะโกนเรียกมิวที่เตรียมออกตัว
“ ไปด้วย ไปด้วย ”
“ มาสิ ” มิวกวักมือเรียก โชคดีที่จักรยานมีที่ซ้อนท้ายราวกับจงใจให้ด่านนี้ไปเป็นคู่
“ ก็มารับสิ เร็ว ” วีวี่โบกมือสีหน้าโกรธปนกลัวอย่างจริงจัง เมื่อเห็นพวกซากศพเข้ามาใกล้ทุกที ตอนนี้เธอกลัวจนขาแข็งก้าวไม่ออกแล้ว หากเป็นปกติมิวจะต้องหัวเราะจนท้องแข็งไปแล้ว แต่เขากลับถอยจักรยานไปรับวีวี่ แล้วออกตัวอย่างรวดเร็วไม่ให้พวกซากศพไล่ตามทัน
“ เกาะแน่นๆละ ”
วากับโซเฟียใช้เวลาไม่นานนักก็เดินย้อนกลับมาที่ด่านเขาวงกตได้ แม้ระหว่างทางจำนวนค้างคาวและผีดิบจะโผล่มามากขึ้น แต่ด้วยการปัดควงขวานไม่กี่ทีของโซเฟียก็ทำให้พวกมันไม่เป็นปัญหาเท่าไหร่นัก แต่ปัญหาในตอนนี้ก็คือ ทางเข้าที่ด้านหลังเขาวงกตถูกปิดไม่สามารถเปิดได้ คาดว่าคงเป็นการป้องกันไม่ให้คนที่ยังไม่ผ่านด่านลอบเข้าไปเอาสมบัติได้แบบง่ายๆ ดังนั้นวาและโซเฟียจึงต้องย้อนกลับเข้าไปที่ทางเข้าใหม่ แต่ในครั้งนี้ไม่พบวี่แววของเขาเจ้าอีกอเหมือนครั้งแรก
โซเฟียเป็นคนเดินนำวาเข้าทางเดินเดิมอย่างคล่องแคล่ว ไม่น่าเชื่อว่าเธอจะสามารถจำทางเข้าได้แบบเปะๆทุกบาน แถมบางครั้งยังใช้ประตูลัดในห้องกระจกเพื่อย่นระยะทางอีกด้วย นับว่าความจำเป็นเลิศจริงๆ แต่ในคราวนี้สิ่งที่วารู้สึกว่าไม่เหมือนเดิมก็คือ นักเรียนที่เกมโอเวอร์ทั้งหลาย บัดนี้หายไปหมดแล้วรวมถึงโกจิที่บริเวณใต้ต้นไม้ตรงทางเข้าด่านแรกด้วยเพราะฉะนั้นหากซิลเวียร์พลาดท่าให้แก่โพจริงก็มีความเป็นไปได้ที่เธอจะถูกเก็บไปแล้ว ซึ่งเก็บในที่นี้หมายถึงอยู่ในความดูแลของพวกกรรมการนักเรียน หรือผู้จัดงานแล้ว
แต่ที่น่าสังเกตกว่านั้นคือ จำนวนหีบสมบัติในบางห้องที่โซเฟียใช้เป็นทางลัดระหว่างที่หลบหนีโพนั้นถูกเปิดออกจนหมด เป็นไปได้ว่าอาจมีนักเรียนหลายคนผ่านด่านนี้จนหมดแล้วก็ได้
เมื่อมาถึงประตูทางออก ซึ่งฟังจากคำบอกเล่าของมิว และวีวี่นั้นเป็นห้องสุดท้ายที่พวกเขาเห็นซิลเวียร์และโพต่อสู้กัน พอเดินเข้ามาในห้องทั้งคู่ก็ต้องพบกับความผิดหวัง เพราะที่เห็นเป็นเพียงแค่ห้องเปล่า ไม่มีวี่แววของซิลเวียร์แม้แต่น้อย แต่ก่อนที่โซเฟียจะทันได้ถอนหายใจ วาก็พบกับเบาะแสอะไรบางอย่าง ถ้าสิ่งนั้นจะเรียกเป็นเช่นนั้นได้
ชิ้นส่วนแผ่นที่แผ่นหนึ่งที่พลิกกลับด้าน ปักไว้อยู่ข้างประตูทางออกด้วยมีดพกสีเงิน มีลายมือผู้หญิงเขียนไว้ และถ้าไม่คิดให้มากความนั่นน่าจะเป็นลายมือของซิลเวียร์
‘ ถึงพี่โซ
หนูเจอคนที่อันตรายมากๆเข้าเลยไม่สามารถออกไปได้ เกือบไม่รอดแล้ว โชคดีที่ได้เพื่อนพี่ช่วยไว้
ถ้าบังเอิญพี่เกิดกลับมาช่วยหนูแล้วเห็นโน้ตนี่ก็แสดงว่า พี่โซน่ารักที่สุด !
แต่….สิ่งที่หนูจะบอกก็คือ รอหนูก่อนและระวังตัวด้วยนะคะ หนูกำลังจะรีบไปช่วย
แต่….ถ้าพี่โซเห็นโน้ตนี่จริงๆ แล้วเราหากันไม่เจอขอให้รู้ไว้ว่า หนูจะไปรอพี่ที่หน้าด่านสุดท้ายนะคะ
รัก
ซิลวี่
ปล. ใครที่ไม่เกี่ยวข้อง และคิดจะเก็บแผ่นที่นี้รู้ไว้เลยว่า จะไม่ได้ตายดีแน่ ! ’
วาหัวเราะแห้งๆ ส่วนโซเฟียกำมือสองข้างยิ้มแก้มปริ
“ ค่อยยังชั่วหน่อย แบบนี้เราก็รีบกลับไปหาพวกเบต้ากันเถอะ ”
“ เบต้าหรอ ที่ไหนละ ”
โซเฟียปิดปาก “ โอ๊ย พูดผิด หมายถึงพวกมิวน่ะ แหะๆ ” พลางคิดเกือบไปแล้วเรา แล้วทั้งคู่ก็เดินทางกลับไปยังด่านทดสอบความกล้า
สองข้างทางที่ทิวกำลังปั่นจักรยานอยู่เต็มไปด้วยหัวฝักทองสีส้มส่องประกายที่แขวนอยู่ตามต้นไม้ รอยยิ้มบนใบหน้าคล้ายกำลังหัวเราะเยาะมิวกับวีวี่ที่กำลังกล้าๆกลัวๆ แต่หากมองให้ดีนอกจากหัวฟักทองแล้วยังมีเถาวัลย์สีเขียวเรืองแสงสวยงามจนแทบจะเรียกได้ว่าเป็นภาพที่สวยงามมากกว่าน่ากลัวเสียด้วยซ้ำ
ลมหนาวพัดมาวูบหนึ่ง ทำให้วีวี่โน้มตัวเข้าใกล้หลังของมิวมากขึ้น หัวใจของเขาเต้นตึกๆไม่ใช่เพราะความกลัว แต่อยากจะให้เวลาหยุดอยู่แค่นี้
แต่สิ่งที่มิวปรารถนาก็ต้องจบลงเมื่อเห็นป้ายไม้ที่ด้านหน้าเขียนไว้ว่า ‘ สุดทางหนี กรุณาจอดจักรยานเข้าที่ มิเช่นนั้นจะถูกตามล่า ! ’
เพียงแค่เห็นคำเตือนทั้งคู่ก็กลืนน้ำลายเอือก วีวี่ลงจากจักรยานแต่ยังคงจับชายเสื้อยืดมิวไว้ แล้วเดินตามต๊อกแต๊กไปยังที่เก็บจักรยานบริเวณใต้ต้นไม้
มิวเข็นจักรยานเข้าล็อกที่ยังว่างอยู่ แสดงว่าพวกเขาไม่ใช่พวกแรกที่มาถึงที่นี่ แล้วก็ต้องเหลือบไปเห็นป้ายไม้ที่เขียนไว้บนพื้น ‘ ห้ามมองขึ้นด้านบน !’
เพียงแค่นั้นเขาก็รู้สึกว่านี่จะต้องมีอะไรไม่ชอบมาพากลอีกแน่ ดังนั้นจึงสะกิดวีวี่ให้มองตาม พอเธอเห็นก็แสดงปฏิกิริยาไม่ต่างจากเขา ทั้งคู่ค่อยๆย่องออกจากใต้ต้นไม้ เพียงแต่ช่างเป็นการย่องที่แสนทรมาน เพราะเพียงก้าวแรกเสียงครืดๆก็ดังขึ้นที่ด้านบนหัว
ทั้งคู่หันมองหน้ากันอีกครั้ง เพื่อจะยืนยันอีกฝ่ายว่า ห้ามมองขึ้นไปขางบนเด็ดขาดนะ แต่แม้ว่าจะเข้าใจตรงกันแค่ไหนก็ตาม เจ้าเสียงครืดๆด้านบนก็ยังไม่ยอมหยุดส่งเสียงสักที หนำซ้ำยังมีเมือกเหนียวๆหยดลงมาอีก
“ ช่วยด้วย ช่วยด้วย ” เสียงหญิงชราครวญคราง ซึ่งไม่ต้องบอกก็รู้ว่าดังมาจากด้านบน ถึงกระนั้นทั้งคู่ก็ทำเป็นไม่ได้ยิน และทันทีที่เหมือนจะพ้นจากรัศมีต้นไม้แล้วเสียงด้านบนก็เค้นดังขึ้นราวกับออกคำสั่ง แต่ช่างโหยหวนจนไม่อาจกลั้นใจได้
“ ช่วยด้วย ! บอกให้ช่วยด้วยไง !!! ”
สิ้นเสียงตวาด แม้จะกลั้นใจไม่เงยหน้า แต่สิ่งที่เหนือความคาดหมายก็เกิดขึ้น เมื่อเงาร่างคนถลันผลุบตกลงมาจากต้นไม้ สิ่งแรกที่ทั้งคู่เห็นก็คือ ขาเน่าเฟะทั้งสองข้างห้อยติ่งลงมา
“ กรี๊ด ! ”
วีวี่น้ำตาไหลขาแข็งวิ่งไม่ออก ส่วนมิวหายใจเข้าลึกๆพยายามระงับสติกับภาพที่เห็นตรงหน้า ที่ห่างจากหน้าเขาไปเพียงไม่กี่เมตร
หญิงชราผมเผ้ารุงรังคอตกลิ้นห้อย เพราะเชือกที่มัดคออยู่ยื่นมาเน่าเละมายังพวกเขา ตาจ้องเขม็งราวกับกำลังสาปแช่งด้วยความเคียดแค้น
“ ทำไมไม่ยอมช่วยละ ทำไม ไม !!! ”
แล้วมิวก็กลั้นใจดึงมือวีวี่ให้วิ่งออกไปจากตรงนั้น ทิ้งวิญญาณหญิงชราให้ร้องร่ำอยู่ตรงนั้น โดยที่หัวใจบนข้อมือของทั้งคู่เหลือเพียงแค่ดวงเดียวแล้ว
วาเป่าลมหายใจอย่างโล่งอก กว่าที่เขาจะพาร่างออกมาจากด่านคุกนรกได้ก็ต้องยอมรับว่าต้องใช้สติและสมาธิพอสมควร ไม่ว่าจะเป็นหลังจากทางปั่นจักรยานซึ่งเขายอมรับว่าการโผล่มาจากต้นไม้ของศพหญิงชราแม้จะเดาทางเอาไว้แล้วแต่ก็ทำให้ตกใจได้พอสมควร ซ้ำหลังจากเดินทัวร์ห้องนักโทษในคุกร้างที่มีผู้คุมคุกหน้าโหดซึ่งแสดงโดยกัปตันดุสยามเฝ้าประตูที่เพียงเปลี่ยนชุดแต่งกาย และพูดด้วยประโยคตามสคิปสีหน้าเหนื่อยหน่ายก็ยังทำให้ตกใจได้เมื่อถูกศพนักโทษเขย่ากรงตีโซ่ในจังหวะที่ไม่ตั้งตัว
ถึงกระนั้นวาก็ยังรู้สึกว่าโชคดีที่เขาเสียหัวใจแห่งความกล้าไปเพียงดวงเดียวเท่านั้น แต่เมื่อคิดถึงมิสเตอร์พัมพ์กิ้นที่เขาพบระหว่างทางก็อดนับถือไม่ได้ ชายคนนี้ไม่มีท่าทีตกใจแม้แต่น้อยผิดกับซอนมีและโซเฟียที่ปกติจะดูเป็นหญิงแกร่งกลับต้องหลบอยู่หลังพวกเขาแบบไม่น่าเชื่อ ซึ่งความจริงที่มิสเตอร์พัมพ์กิ้นไม่มีท่าทีเกรงกลัวเลยนั้นเป็นเพราะขณะที่เดินอยู่เบต้าที่อยู่หลังหน้ากากแอบหลับตาตลอด อาศัยจังหวะหรี่ตามองบ้างเลยไม่ตกใจเท่าที่ควร อย่างไรก็ตามทั้งหมดก็ผ่านออกมาได้
ที่ประตูทางออกพวกวาต้องยื่นมือเข้าไปในโพรงต้นไม้ที่เป็นที่คืนกุญแจซึ่งจะประเมินผลว่า ผู้เข้าเล่นผ่านการทดสอบหรือไม่ เมื่อประมวลผลว่าผ่านด่านแน่นอนจะมีอาวุธศักดิ์กลิ้งออกมาที่ช่องทางล่างของโพรงไม้
วาก้มไปเก็บอาวุธศักดิ์สิทธิ์ขึ้นมาเป็นคนแรกด้วยใจระทึก คิดว่ามันจะเป็นอะไรกันนะ แต่สัมผัสแรกที่รู้สึกก็คือ วัตถุทรงกลมน่าจะเป็นพลาสติกแข็งชิ้นพอดีมือ พอชูขึ้นมาก็พบว่าเป็นหัวใจสีแดง ที่ด้านหลังของหัวใจพลาสติกเขียนไว้ว่า
‘ หัวใจแห่งผู้กล้า นำไปที่ติดที่อกข้างซ้ายเพื่อเพิ่มพลังศรัทธา ช่วยให้เผชิญหน้าท่านเค้าท์ได้นานขึ้น ’
วามองดูปุ่มกลมๆที่ด้านหลังหัวใจ และช่องขนาดพอดีกันบนชุดการเล่นก็พบว่าน่าจะเป็นช่องพอดีกัน พอลองนำไปแตะตามคำบอกก็พอว่าลงล็อคพอดี ทันใดนั้นหัวใจสีแดงสว่างขึ้นและเพิ่มพลังชีวิตให้กับเขาเป็นหนึ่งพันหน่วย ที่แท้อาวุธอันที่สามก็คือ พลังชีวิตที่มากกว่าคนปกติถึงสิบเท่านั่นเอง เขารู้สึกว่าหากได้อาวุธชิ้นนี้มาก่อนที่จะเข้าด่านปราการร้างคงจะไม่ต้องลำบากขนาดนี้
“ แบบนี้ค่อยมีกำลังใจสู้หน่อย ” โซเฟียทำท่าดีใจกับตัวเอง ส่วนซอนมีเพียงถอนหายใจด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ แต่ก็ดูรู้ว่าเหนื่อยจากที่ต้องตกใจไปหลายครั้งพอสมควร
ขณะที่วากำลังมองหาลาดเลาของมิวกับวีวี่ ไม่รู้ว่าพวกนั้นจะรอดจากด่านนี้ได้ไหม แต่ข้อดีของด่านนี้ก็คือ ไม่มีการเกมโอเวอร์แต่จะไม่มีโอกาสเล่นอีกครั้ง พอคิดคำตอบก็อยู่ต่อหน้า เมื่อเดินออกมาจากที่เก็บอาวุธศักดิสิทธิ์นิดนึง แต่ภาพที่เห็นทำให้เขาต้องชะงักเล็กน้อย ทุกคนหยุดกึกตาม
มิวกับวีวี่กำลังจับมือกันอยู่หันหลังให้พวกเขา ท่าทางยังไม่รู้ว่ามีใครมาถึงแล้ว แต่ไม่นานนักมิวก็เหมือนจะรู้ตัวหันหลังกลับไป พอเห็นว่าเป็นพวกวาก็ตกใจรีบปล่อยมือทันที โดยไม่ได้ทันสังเกตสีหน้าวีวี่
“ อะ อ้าว มากันแล้วหรอ พวกเราก็เพิ่งจะออกมาได้ ”
“ อืม ใช่พอดีพวกเราเจอกันในนั้น แล้วนายกับวีวี่ผ่านด่านไหม ” วาตอบนิ่งๆทำเป็นไม่สนใจ
“ อ่า ก็ผ่านนะ ” มิวกล่าวแล้วชูหัวใจสีแดงที่ยังอยู่ในมืออีกข้างขึ้นมา แสดงว่าตั้งแต่ได้มายังไม่ได้สนใจจะนำขึ้นมาใช้แม้แต่น้อย
โซเฟียหรี่ตาแล้วลูบคางมอบใส่มิว แล้วยิ้มแต่ไม่พูดอะไร พอเห็นสีหน้าวีวี่เลยรีบส่งสัญญาณให้ ซึ่งมิวก็คล้ายยังไม่ค่อยเข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น
“ งั้นก็ไปต่อกันเถอะ ” วีวี่เชิดหน้าพูดลอยๆแล้วเดินนำหน้าทุกคนไปแบบผิดวิสัย
ระหว่างทางไปคฤหาสน์อีกอ หรือด่านทดสอบความไว วาสังเกตว่าพวกปีศาจเริ่มโผล่มาเยอะขึ้นๆ และที่น่าหวั่นใจกว่านั้นก็คือ ระฆังครั้งที่สามได้ดังขึ้นแล้วด้วย เหลือเวลาอีกแค่หนึ่งชั่วโมงเท่านั้นก็จะเป็นเวลาเที่ยงคืน ซึ่งหากพวกเขายังไม่สามารถเก็บอาวุธศักดิ์สิทธิ์ชิ้นสุดท้าย และปราบท่านเค้าท์ได้ทันทุกอย่างที่พยายามมาก็จะหมดสิ้น
วากับโซเฟียเริ่มตั้งข้อสังเกตเรื่องวิธีการเอาชนะเกมนี้มากขึ้นว่า พวกเขาแทบไม่ได้เสียเวลาในการผ่านด่านไปสักเท่าไหร่เลย แต่ถึงอย่างนั้นเวลาก็ดูเหมือนแทบจะไม่พอ หรือจะเป็นเพราะพวกเขาใช้เวลาในด่านเขาวงกต และด่านทดสอบความกล้าไปมากกว่าที่ควรกัน ถ้าเป็นอย่างนั้นก็น่าจะมีคนที่เก็บอาวุธได้ครบก่อนพวกเขาแล้วสิ แต่ทำไมถึงยังไม่เห็นวี่แววของนักเรียนคนอื่นๆเลยรวมถึงนีโอ เสือใบ้นิคและซิลเวียร์ด้วย และอีกสิ่งหนึ่งที่วายังไม่ได้สังเกตก็คือ วีวี่ที่ดูอารมณ์ไม่ดีผิดปกติ โดยเฉพาะเวลาที่มิวพยายามจะเข้าไปช่วยกันพวกผีดิบให้
‘ ฟึ่บๆ ’
เงาตะคุ่มๆของร่างที่เหมือนมนุษย์ออกันอยู่เบื้องหน้าทางเข้าคฤหาสน์อีกอ ซึ่งความจริงแล้วสถานที่นี้เคยเป็นตึกเรียนเก่ามาก่อนที่จะเปลี่ยนเป็นห้องสมุดที่ใหญ่ที่สุดเท่าที่โรงเรียนๆหนึ่งเคยมีมา เนื่องด้วยตัวตึกสร้างด้วยสถาปัตยกรรมแบบยุคเรอเนอซองทำให้ดูมีเสน่ห์ขลังจนน่าหลงใหล ที่ด้านหน้ามีรั้วสีทองโออ่ากั้นอยู่ก่อนจะถึงทางเข้า ซึ่งเท่าที่วาจำได้เขาเคยแวะเข้ามาเพียงแค่ครั้งสองครั้งเท่านั้น เนื่องจากไม่มีเวลาจะให้ปลีกตัวมาอ่านหนังสือ ซึ่งตัวของเขาเองก็ไม่ใช่คอหนังสือเรียนอยู่แล้ว แต่ที่เขาสนใจก็คือ พวกหนังสืออ่านนอกเวลาที่มีอยู่มากมายจนเลือกไม่ถูก เสียแค่ว่าหนังสือพวกนั้นที่เขานำติดตัวมาอยู่ยังอ่านไม่จบ จึงไม่มีโอกาสเข้ามายืม
อย่างไรก็ตามห้องสมุดที่โออ่าบัดนี้ถูกตกแต่งให้กลายเป็นคฤหาสน์ทมิฬดูน่ากลัว ถ้วยทองคำตัดน้ำตาลที่ตั้งอยู่เบื้องประตูทางเข้าทั้งสองบัดนี้ถูกเปลี่ยนเป็นรูปปั้นหินเกรมรินดูเคร่งขรึมน่ากลัว แต่ที่ไม่เข้าใจก็คือ ทีมผู้จัดงานเกลี้ยกล่อมพวกอาจารย์หรือบรรณารักษ์ในห้องสมุดที่แสนจะหวงสถานที่ให้กลายสภาพเป็นแบบนี้ได้อย่างไร
พวกวาชะลอฝีเท้าเมื่อเห็นว่า เงาที่เบื้องหน้าที่แท้ก็คือ เหล่าพวกผีดิบที่ยืนขวางทางอยู่เกือบสามสิบตัว
“ พวกเราจะฝ่าเข้าไป หรือถอยก่อนดี ” วาพยายามมองหาทางเข้า แต่ฝูงผีดิบหนาแน่นเกินไป และพวกมันก็ไม่รีรอจะเปิดโอกาสให้พวกเขาได้หาทางเข้าเจอ พากันกรูเข้ามาหาเมื่อเห็นว่ามีมนุษย์โผล่เข้ามาในบริเวณ
“ แย่ละสิ ” มิวหันไปมองวีวี่ แต่ถูกเมิน
“ เอาไงดี ” โซเฟียควงขวาน พยายามมองหาทางเข้า ซึ่งปกติจะอยู่ที่ประตูด้านขวา เพียงแต่นั่นหมายถึงในเวลาทำการเท่านั้น
พวกผีดิบพอเริ่มเคลื่อนไหวก็โถมเข้าใส่พวกวา แถมพวกมันยังฉลาดแบ่งกันโจมตีอีกด้วย ขณะที่พวกตัวแรกๆเข้ามาแบบตรงๆ ตัวที่เหลือกลับค่อยๆโอบล้อมเป็นวงกลมไม่ยอมให้พวกเขาได้หนี ซึ่งกว่าที่พวกวาจะรู้ตัวก็ถูกล้อมจนหมดเสียแล้ว
ทุกคนพยายามใช้อาวุธที่ตัวเองได้รับมา แต่พวกมันมีจำนวนมากเกินไป แถมระยะก็ประชิดจนน่ากลัว แม้จะมีหัวใจแห่งศรัทธาที่เพิ่มพลังชีวิตให้เยอะถึงพันหน่วยแต่หากถูกจู่โจมออกันเข้ามาทีเดียวแบบนี้ก็ไม่แน่ว่าอาจจะต้องแพ้เอาได้ง่ายๆ
มิสเตอร์พัมพ์กิ้น วา ซอนมีใช้ปืนยิงใส่พวกผีดิบที่ระยะกลาง ขณะที่โซเฟียควงขวานวิ่งฟันป้องกันพวกผีดิบที่เข้ามาในระยะประชิด ส่วนมิวกับวีวี่คอยช่วยเสริมโซเฟียอีกที
แต่สถานการณ์ก็ไม่ได้ดีขึ้น เมื่อกระสุนเริ่มน้อยลงๆ จริงอยู่ว่าพวกเขาอาจพอจะกำจัดผีดิบพวกนี้หมดได้ แต่ก็ไม่น่าจะเหลือพอที่จะใช้สู้กับท่านเค้าท์หรือแม้แต่ด่านคฤหาสน์อีกอ
“ ฮ่าๆๆ จบสิ้นกันแค่นี้ละนะ Strangers ! ” เสียงคุ้นหูของเจ้าอีกอที่ด่านเขาวงกตดังขึ้นจากรูปปั้นหินเกรมลิน
ที่แท้มันก็คือ เจ้าผู้ครองคฤหาสน์นี้นั่นเอง
“ แต่ก็นับว่าไม่เลวที่อุตส่าห์ท้าทายมาจนถึงด่านนี้ได้ แถมยังได้อาวุธมาครบมือแบบนี้ ท่านเค้าท์คงงจะปรบรางวัลให้แก่ข้าอย่างงามเลยละ ” เสียงหัวเราะแหบแสดงความสะใจดังก้อง แต่พวกวาไม่มีเวลาโต้เถียงหรือแม้จะสนใจคำพูดของมัน เพราะฝูงผีดิบยิงมายิ่งกระชับถี่ขึ้นเรื่อยๆ
“ พยายามฝ่าออกไปให้ได้ ” วาบอกทุกคน เมื่อเห็นว่ากระสุนใกล้หมดจนลองเปลี่ยนอาวุธหยิบค้อนไม้และตะปูขึ้นมา เขากะจังหวะที่เจ้าผีดิบตัวที่โถมเข้ามาหาวิ่งหลบแล้วลองใช้ตะปูตอกเข้าที่หลังมัน
เจ้าผีดิบชะงัก
วายิ้มอย่างมีความหวังก่อนจะพบว่ามันหันหลังกลับมาอ้าปากยื่นมือจับเขาไว้ โชคดีที่โซเฟียเข้ามาช่วยไว้ได้ทัน แต่นั่นก็ทำให้เธอเสียท่าผีดิบที่โผล่มาจากด้านหลังเซชนวาจนเกือบล้มทั้งคู่
วงล้อมผีดิบหนาขึ้นจนเบื้องหน้าของทุกคนเห็นเพียงแค่เงาตะคุ่ม ความตาย และความสิ้นหวัง
“ The Game is Over ! Goodbye Strangers ! ”
ขณะที่ทุกอย่างกำลังตกอยู่ในความสิ้นหวัง เสียงร้องโอดครวญของเหล่าผีดิบที่วงนอกก็ดังขึ้นทีละตัวสองตัวอย่างรวดเร็ว
“ อย่าเพิ่งสิ้นหวังสิเจ้าพวกลูกแกะที่หลงทางเอ๋ย ข้าจะเป็นคนเปิดทางแห่งพระเจ้าให้พวกเจ้าเอง ! ”
__________________________________________
ความคิดเห็น