ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    สัตว์เทพสายลมกับเจ้าของวารี

    ลำดับตอนที่ #4 : 3

    • อัปเดตล่าสุด 28 ก.ย. 64


    ที่รัก ที่รัก มาดูนี่สิ

    …น่ารักเนอะ ตอนที่ลูกหลับแบบนี้น่ะ

    …คุณ?

    เปล่า…แค่คิดว่าลูก…อืมมมมมมม…

    เอ๋?

    …ชอบไปทางสายข้าราชการมั้ยนะ?

    …เอ่อ…คุณ?

    ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า ว่าไปนั่นเถอะ…ลูกก็ยังเด็กนี่เนอะ

    …บางทีคุณก็ทำฉันกลัวนะ…

     

     

     

     

     

     

     

     

    “…”

    “…”

    “…”

    “…”

    “เหะ…” ผม…มองไอ้เจ้าปีศาจที่ยื่นอะไรสักอย่าง…มาให้กับผม…มัน…

    “…”

    “…”

    “…รับซะ” …จะเป็นสมุดก็ไม่ใช่…แผ่น…ไม้ ?

    “…” …รับ…ไว้ก่อนก็คงไม่เสียหายสินะ? เอาละ…หึ้บ

    “…”

    “…สะ…มุด ? ไม่สิ…หนังสือ” พอลองเอามาดูใกล้ๆแล้วมันก็ดูเหมือนสมุดจริงๆแหละ…แค่ปกมันเหมือนกับปกไม้ แข็งๆ…แถมหยาบๆเหมือนมันผ่านมาหลายปีด้วย…อะไรเนี่ย?

    “…”

    “…ไอ่นี่…” ผม…เงยหน้ามองเขาอย่างไม่เข้าใจ…

    “นิทานที่เจ้าชอบให้ข้าอ่าน…จำไม่ได้รึ ?”

    “…” …นิทาน ? หา ?

    “…อาจจะดูหนัก ๆ หน่อย แต่วัยระดับนี้…เจ้าก็คงจะถือมัน แล้วก็อ่านด้วยตัวเองได้สินะ” …ไม่ ๆ คือ…นิทานที่ฉันเคยอ่านมัน…

    “…” …เห็นฉันยังเด็กรึไง…?

    “…ข้าขอตัวแล้วกัน มีธุระกับเจ้าเพียงเท่านี้” พูดจบ ตัวของเขาก็ค่อยๆเลืองลางจางหายไปจากสายตาของผม…แบบดื้อๆเลยล่ะนะ แต่ผมก็ชินแล้วล่ะ…

    “…นิทาน…เน้…?” …ถึงงั้นก็เถอะ พอผมก้มหน้ามองหนังสือที่ผมถือนี่…ดูยังไงก็ใช่หนังสืออยู่หรอก…แต่มันเหมือนแผ่นไม้มากกว่านะ…หนา ๆ ทุบหัวผีก็คงจะแตกอยู่หรอก…เห้อ…

    “…วันนี้ก็ไม่มีอะไรทำสินะเรา…” ว่าแล้ว ผมก็เดินถอยหลัง ยืนมือข้างหนึ่งบิดลูกประตู เพื่อที่จะปิด… 

    “…แถมยังมีชีวิตอยู่อีกสินะ…” ก่อนที่จะเดินไปที่ชั้นวางหนังสือ…ซึ่งก็อยู่ข้าง ๆ เตียงของผม

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

    “…หือ…เอาไงดีล่ะเรา…” ผมยืนมองกองหนังสือนิยายบนโต๊ะข้างๆเตียง ที่ตัวผมนั้นเคยซื้อมาดองไว้…เพราะการเรียนนี่แหละ เลยทำให้ไม่ได้อ่านหนังสือพวกนี้เลยซักนิด…ครั้งนี้แหละ ถือว่าปลดปล่อยตัวเองแล้วกัน…ไม่อยากให้เป็นเหมือนตอนที่เราหยิบมีดนั้นขึ้นมาด้วย…

    “……คิดอะไรของเราอยู่เนี่ย” …ว่าแล้วผมก็ยื่นมือหยิบหนังสือขึ้นมาสักเล่มสองเล่ม…อืม…เอานี่แล้วกัน ความรักของหล่อนกับควมรู้สึกของผม และก็…นกกระสาแทนคุณสินะ…อ้อ ใช่…หนังสือตอนเด็กๆที่ผมชอบนี่น้า…

    “…” ผมวางหนังสือทั้งสอง พร้อมกับตัวของผมลงบนที่นอนอย่างกับว่าแรงที่มี มันได้หายไปในชั่วพริบตา…

    “……อะไรทำให้คิดอยากจะตายกันนะ…” …จมปักกับเรื่องเดิม ๆ อีกแล้วสินะเรา…แม้จะพยายามไม่ไปคิดถึงมัน แต่ก็หักห้ามมันไม่ให้คิดไม่ได้…

    …อยากจะออกไปจากที่นี่ ไปที่ไหนก็ได้ที่ออกจากบ้านหลังนี้…สักแปปหนึ่งก็ยังดี

    …แต่ไม่ใช่สำหรับการที่ต้องเดินออกไปจากบ้านหลังนี้ด้วยขาที่มี หรือใช้พลังพิเศษที่สามารถล่องลอยกลางอากาศได้…

    ……แค่หายไปจากที่นี่…ก็เพียงพอแล้วล่ะ…

    “…อาาาาา…ให้ตายสิ !” ผมใช้มือทั้งสองบีบหน้าตัวเองแน่น ซะจนรู้สึกถึงความเจ็บปวดที่กลับมา……ก็แค่อารมณ์มัน…พาไปเหอะ

    “…แล้วเรื่องต่าง ๆ ก็ดันมาทับถมซะเยอะเลย” พูดจบก็ละมือออกจากหน้า แล้วเอื้อมมือไปหยิบหนังสือนิทานเล่มใหญ่ขึ้นมาอ่าน…

     

     

     

     

     

    ..กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว...ชายหนุ่มยากจนคนหนึ่งอาศัยอยู่ในกระท่อมกลางป่าแต่เพียงผู้เดียว เขามีอาชีพตัดไม้และหาของป่าที่พอจะประทังชีวิตในแต่ละวันได้...วันหนึ่ง..

    ขณะที่ชายหนุ่มกำลังทำงานในฟาร์มของเขาอย่างขะมักเขม้น มีนกกระเรียนสีขาวตกลงมาแทบเท้า ชายหนุ่มตกใจ แล้วก้มลงมองนกกระเรียนตัวนั้น กลับเห็นว่าที่ปีกของนกกระเรียนมีลูกธนูปักอยู่ ชายหนุ่มจึงช่วยโดยการดึงลูกธนูออกและรักษาบาดแผลให้ ในไม่ช้านกกระเรียนก็สามารถบินได้อีกครั้ง ชายหนุ่มเห็นจึงปล่อยนกกระเรียนไปพร้อมกับพูดว่า

    “รักษาตัวดีๆ ล่ะ ระวังพวกนายพรานเอาไว้ด้วย” นกกระเรียนบินวนรอบอยู่ 3 รอบ แล้วส่งเสียงร้องแทนการขอบคุณ ก่อนที่จะบินจากไป..

    พระอาทิตย์ลับขอบฟ้าความมืดเริ่มเข้าปกคลุม ชายหนุ่มจึงออกเดินทางกลับบ้าน เมื่อชายหนุ่มมาถึงบ้านก็ต้องประหลาดใจ เมื่อพบหญิงสาวหน้าตาดีอย่างที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อนมายืนรอเขาอยู่...

    “ยินดีต้อนรับกลับบ้านค่ะ ฉันคือภรรยาของคุณ” หญิงสาวคนนั้นพูด จึงทำให้ชายหนุ่มเมื่อได้ยินดังนั้นก็ยิ่งประหลาดใจมากขึ้นไปอีก

    “ผมจนมากๆ เลยนะ ผมคงดูแลคุณได้ไม่ดีหรอก” ชายหนุ่มตอบ หญิงสาวชี้มือไปที่ถุงใบเล็กที่เอามาด้วยพร้อมพูดว่า

    “ไม่ต้องกังวลไปหรอกค่ะ ฉันมีข้าวเยอะแยะ” จากนั้นก็เริ่มลงมือทำกับข้าว ชายหนุ่มนั่งมองด้วยความงุนงง แต่ด้วยความที่ว่าเธอเป็นคนใจดี จึงไม่ค่อยเอะใจเท่าไหร่ หลังจากนั้นมาทั้ง 2 ก็ใช้ชีวิตด้วยกันอย่างมีความสุข แต่ก็น่าแปลกที่ถุงข้าวใบนั้นยังคงมีข้าวเต็มถุงอยู่เรื่อยมา

    วันหนึ่งหญิงสาวขอให้สามีของเธอสร้างห้องทอผ้าให้ เมื่อห้องเสร็จ เธอพูดกับชายหนุ่มว่า

    “สัญญานะ ว่าจะไม่เข้ามาในนี้” แล้วเธอก็ขังตัวเองอยู่ในห้องทอผ้าเป็นเวลานานชายหนุ่มก็รอแล้วรอเล่านานเป็นเวลา 7 วัน

    ...จนในที่สุดเสียงของเครื่องทอผ้าก็หยุดลง หญิงสาวก็ออกมาด้วยร่างกายที่ซูบผอมลงอย่างเห็นได้ชัด พร้อมกับในมือถือผ้าผืนงาม..

    “เอาผ้านี้ไปขายที่ตลาดคงได้ราคาดีทีเดียว” หญิงสาวพูด

    พอวันรุ่งขึ้นชายหนุ่มนำผ้าผืนนี้ไปขายที่ตลาด และเป็นไปอย่างที่เธอพูด ผ้าขายได้ราคาสูงมาก เขานำเงินกลับบ้านอย่างมีความสุข

    หญิงสาวยังคงอยู่ในห้องทอผ้าต่อไป เสียงเครื่องทอผ้าดังต่อเนื่องไม่หยุดหย่อน ชายหนุ่มเริ่มเกิดความคลางแคลงสงสัย..

    ‘หญิงสาวจะทอผ้าแสนสวยเช่นนี้ได้อย่างไรกัน...โดยปราศจากไหมนั่น..’ ชายหนุ่มคิด แล้วในที่สุดชายหนุ่มก็อดทนต่อความอยากรู้อยากเห็นของตนเองไม่ไหว จึงแอบมองเข้าไปในห้องทอผ้านั่น...แล้วชายหนุ่มก็ตกใจ เมื่อเขาเห็นภาพที่อยู่ตรงหน้า

    เพราะภาพที่เห็นคือนกกระเรียนกำลังทอผ้า โดยใช้ขนของตัวเองแทนเส้นไหมและไร้วี่แววว่าภรรยาจะอยู่ในห้องแห่งนั้น

    ...นกกระเรียนรู้ตัวว่าชายหนุ่มกำลังแอบดูอยู่จึงกล่าวว่า

    “...ฉันคือนกกระเรียนที่คุณช่วยไว้ ฉันต้องการตอบแทนบุญคุณ ฉันเลยตัดสินใจมาเป็นภรรยาของคุณ แต่ตอนนี้คุณได้เห็นร่างจริงของฉันแล้ว ฉันก็ไม่สามรถจะอยู่ที่นี่ได้อีกต่อไป” นกกระเรียนยื่นผ้าที่ทอเสร็จแล้วให้ชายหนุ่ม แล้วพูดต่อ..

    “ฉันให้ผ้าผืนนี้กับคุณ เพื่อที่คุณจะได้ไม่ลืมฉัน” เมื่อนกกระเรียนพูดจบก็บินขึ้นฟ้าไป และไม่กลับมาอีก...ตลอดไป

     

     

     

    “…เห็นแก่ตัวจังเลยนะ นกกระเรียนตัวนั้นน่ะ…” …ผมปิดหนังสือเล่มใหญ่ลง เมื่อได้อ่านจนจบแล้ว พร้อมกับบ่นออกมาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้…

    “…นี่คือนิทานสำหรับเด็กจริง ๆ เหรอเนี่ย ? อย่างกับว่ามันไม่ใช่เรื่องของเด็กอย่่างงั้นแหละ…ให้ตายเหอะ” ผมไม่รอช้าที่จะหยิบหนังสือเล่มเล็กข้าง ๆ กาย…เป็นนิยายเปิดขึ้นมาอ่านต่อ…นิทาน ยังก็ยังเป็นนิทานหน้าละสิบสองหน้าเป็นอย่างต่ำ พร้อมกับบทเรียนท้ายบทที่ก็ดูจะไม่มีประโยชน์อะไรเลยสำหรับเด็กวัยนั้น…เรื่องนี้เนี่ยนะที่เราชอบอ่าน

    เอ…ถึงหน้าที่เท่าไหร่แล้วหว่าล่าสุดที่อ่าน…หน้ายี่สิบสาม ? ไม่สิ…ยี่สิบแปดมั้ง ? จำไม่ได้…มันนานมาแล้วจริง ๆ ในตอนล่าสุดที่ได้อ่านเล่มนี่น่ะ…

     

     

     

     

     

     

     

     

    “ยัยหล่อนคนนั้นน่ะ !” ชายคนนั้นชี้นิ้วใส่นางเอกขึ้น พลางตะโกนบอกให้รู้ถึงสิ่งที่ชายคนนั้นต้องการ

    “เสียมารยาทย่ะ ?! วิธีการพูดของนายนี่คือแบบนี้หรือไง ?!" หญิิงสาวคนนั้น หันหน้าขวับพร้อมกับมองค้อนใส่

    "หา ?? ทีเธอปากเสียอย่างกับอะไร ชั้นไม่เห็นจะพูดอะไรเลย !”

    “โอเค พอ” ผมรีบปิดหนังสือนิยายลง เมื่อเพิ่งเริ่มอ่านไปสี่บทสนทนาน่าจะได้…

    “…เราซื้ออะไรมาอ่านเนี่ย ?” …เห็นจำไม่เห็นได้ว่าเราเอานิยายนี่มาอ่านหนิ…ยืมมาจากห้องสมุด ? …ลองพลิกนิยายมาดูหน้าปก ก็ไม่หนิหว่า ? เอ๋ ?

     “โอ้ย…อยู่ ๆ ก็ปวดหัว…บรรยายออกมาไม่ได้…” …เกิดอะไรขึ้น ? …จำไม่เห็นได้ว่าเราอ่านหนังสือเล่มนี้แล้วจะมีอาการปวดหัวแบบนี้น่ะ…มันควรจะเป็นเรื่องตลกที่เราซื้อมาดิ

    “นี่เธอ ๆ รู้อะไรปะ”

    “หือ”

    “ห้องเราเนี่ย มักจะมีแต่คนแปลก ๆ เลยเนอะ ว่ามั้ย ?”

    “ทะ…ทำไมถึง…?”

    “ไม่รู้สิ ? แค่บรรยากาศมันพาไป…แถมก็เกิดเรื่องแปลก ๆ อีก”

    “…”

    “เนี่ย อย่างเด็กคนโน่นมาบอกว่า ตรงนั้นน่ะมีผี  บ้างล่ะ หรืออย่างคนนั้นก็มาบอกว่า ปีศาจต่างหาก บ้างล่ะ…ทั้งที่ที่เห็นอยู่มันมีแค่ต้นไม้กับดอกไม้ก็แค่นั้นเอง เรื่องหยอกล้อกันเนี่ย พวกผู้ชายนี่ชอบเรื่องนี้กันจัง”

    “อะ…อ่า”

    “แล้วตัวนายล่ะ ? เห็นอะไรในสวนนั่นล่ะ ?”

    “…”

     

     

     

     

     

     

     

     

    “…ยักษ์ตัวดำร่างใหญ่ที่คอหัก มันกำลังจ้องมาทางนี้…น่ะ”

    “……….อ่า…ดันมีเรื่องไม่เป็นเรื่องผุดขึ้นมาเฉย…………” ผม…ค่อย ๆ เอามือยันกับเตียง เพื่อให้ตัวเองลุกออกจากเตียง พร้อมกับเอาหนังสือนิยายเล่มเล็กติดมือขึ้นมาด้วย…น่าจะมีอะไรให้อ่านในชั้นหนังสือบ้างแหละนะ…

    “อื่อ…ไหนดู นิยายที่น่าอ่าน…………..รักหวานใจของนายหวานช่ำ…รักนะยัยเด็กดื้อ…กินข้าวแล้วได้พบกับเธอ…เพราะรักถึงได้เลิฟ…แต่ละอันนี่คือเราซื้อมา ?” …อ่านแทนแล้วมันรู้สึกคันตัวจัง…กวาดสายตาดูหลายเล่มแล้วก็มีแต่หนังสือที่ชวนขนลุกเพราะชื่อปกนี่แหละ……….หลาย ๆ เล่มเลย……

    “…ไม่มีอะไรให้อ่านเลย” จ้องอยู่ตรงหน้าหนังสืออยู่นาน ผมก็หันข้างให้ชั้นหนังสือ ก่อนที่จะเดินตรงไปที่เตียง…เดินไปนอนน่ะนะ

    “นอนหลับสักพักก็แล้วกัน……ยังเหมือนเดิมสินะ” พูดจบ ผมก็ฟุบตัวลงบนที่นอนด้วยแรงที่มี…น้ำหนักที่ไม่มากนักของผมก็คงจะมีเสียงตกกระทบจากที่นอน ไม่ดังมากเท่าไหร่…

    “เอาเถอะ…วันทั้งวันหยุดของเราก็เป็นแบบ…นี้นี่” …หรือเรียกว่าทุกวันที่เราถูกจองจำในนี้ ก็คงจะได้ล่ะมั้ง ? 

     

     

     

     

     

     

     

     

     

    ...ฆ่าชั้นสิ

    ...

    ...คุณน่ะ...จะรีบฆ่าฉันก็ฆ่าชั้นสิ !!!

    ...

    ...ฆ่าสิ !!?

     

    “ฮ้า !!! …ฮ้า !! …ฮ้า…” 

    “…ฮ้า…….ฝันระ…ร้าย…” …ร้อน…เสื้อผ้าเรามัน……..ชุ่มไปหมด….

    …หนที่ห้าน่าจะได้ล่ะมั้ง ? ที่ดันมาฝันร้ายกับอะไรประมาณนี้

    อ้า…….เป็นฝันเมื่ออดีตกาลในตอนที่ยังเป็นเด็กน่ะนะ…

    ตาม…หลอกหลอนอยู่ตลอดเลย…อย่างกับโรคร้ายที่มันเกิดมาแต่น้อย

    “………คงเพราะบ้านหลังนี้ทำพิษใส่เราซะเยอะเลยสินะ” พยายามที่จะขยับแขนขึ้นมาดู…แบบว่าเหงื่อออกตรงแขนเยอะเลยแหะ…

    “…..จะนอนก็ฝันร้าย จะหาอะไรทำก็ดันน่าเบื่อไปหมด……” ผม…พยายามที่ลุกออกจากเตียง กะว่าจะไปเอาพัดลมมาเป่าใส่ตัวเองตอนนอนซะหน่อย…ลมที่ผ่านเข้ามาหน้าต่างนี่ก็ดูเหมือนจะช่วยอะไรเราไม่ได้เลยแหะ…

    “ลุยชุบ…….ขอนอนอีกซักงีบ แล้วค่อยลงไปข้างล่าง…หาของกินแล้วกัน…” …ต้องใช้มือทั้งสองยกพัดลมแค่เครื่องเดียวนี่มันก็ไม่ใช่เบา ๆ เลยนะ……..โอเค ตั้งพัดลมเอาไว้ใกล้ ๆ เท้าตรงนี้…..…อืม แล้วก็เอาปลั๊กจากพัดลมไปเสียบ……..ที่เสียบมัน อึ้ก…อยู่ในที่แคบ ๆ ซะได้………อ่า โอเค..เสียบเรียบร้อยแล้ว

    “……จะว่าไปกี่โมงแล้วนะ ลืมดูเวลาไปเลย…” …ทุกครั้งที่ตื่นขึ้นมา ก็มักจะหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูตลอดนี่………เห ?

    “…อะเระ แปลกแหะ…จำได้ว่าวางไว้ตรงนี้นี่” …วางไว้ข้าง ๆ เตียงนี่ผมจำได้แม่นเลยแหะ…

    “…บนโต๊ะ- ไม่…จำได้ดีเลยแหะว่าอยู่แถวนี้นี่ ? …ใต้เตียงมั้ง ?”

    “หรือไม่…ก็อยู่บนเตียงก็ได้มั้ง ?” 

    “…” อย่างกับหัวใจของผมมัน…หยุดเต้นไปชั่วขณะ…

    “…เอ๋…ไม่ดิ คงจะอยู๋ใต้เตียงจริง ๆ สินะ” …แสงที่อยู่ภายในห้องของผมมัน…กลายเป็นสีแดงเต็มห้อง…

    “…” ตัวของผมมันแข็งทื่อไปหมด ไม่พูด…ไม่จากลับไป

    “…ใช่มั้ย…ล่ะ ?”

    แล้วหลังจากนั้น…แสงสีแดงที่ขยาดตาภายในห้องของผม ก็กลายเป็นว่ามืดไปหมดเลย

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×