หมู่บ้านสารขัณฑ์
นิทานตื่นนอน เป็นเรื่องสมมติในจินตนาการเสียดสีการเมือง ใช้อารมณ์ขันผสมกับความเศร้า เป็นเรื่องของกลุ่มเด็กที่ตั้งการปกครองตนเองขึ้นมาในหมู่บ้านสารขัณฑ์
ผู้เข้าชมรวม
527
ผู้เข้าชมเดือนนี้
25
ผู้เข้าชมรวม
ข้อมูลเบื้องต้น
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
“เรื่องราวมันเริ่มต้นขึ้นในเช้ามืดวันหนึ่ง” เสียงของขวัญใจ เด็กสาววัยเก้าขวบเกริ่น
เช้าวันเสาร์ ช่วงเวลาก่อนหกโมงเช้า ยูวดี เด็กผู้หญิงวัย 9 ขวบ ผมยาว ในชุดนอน สะดุ้งตื่น เพราะได้ยินเสียงร้องตะโกนอันน่าสะพรึงกลัวที่ดังลั่นมาจากนอกบ้าน เธอตกใจรีบวิ่งออกมาก็เจอกับ ไอรินทร์ เด็กชายตัวสูง รูปร่างผอมแห้ง ท่าทางอ้อนแอ้นคล้ายผู้หญิง ทั้งคู่จึงเป็นเพื่อนสนิทกัน ด้วยความที่บ้านของทั้งไอรินทร์และยูวดีนั้นติดกันและยังเรียนอยู่ชั้นเดียวกันด้วย ในเวลาต่อมาไล่เลี่ยกันนั้น เด็กคนอื่น ๆ ที่อายุรุ่นราวคราวเดียวกันในหมู่บ้าน ไม่ว่าจะเป็น ประภาส ชาณัฐ ชนฐิดา วิชา ขวัญใจ พีรพล ยิบซี โทน สุดาและปูริดล ก็ค่อย ๆ ทยอยออกมาที่ถนน จากที่ตอนแรกทุกคนยังดูงัวเงียเหมือนยังไม่ตื่นนอน แต่เมื่อเด็ก ๆ ได้เห็นว่าอะไรเกิดขึ้นนั้น สีหน้าของทุกคน ก็เต็มไปด้วยความรู้สึกที่แตกต่างกัน ประภาส ชาณัฐ วิชาดูเต็มไปด้วยความหวาดกลัว ชนธิดาร้องไห้ ส่วนพีรพล ยิบซี โทนและสุดา กลับยืนสงบนิ่งเฉย ๆ ไร้ความรู้สึกใด ๆ มีเพียงแค่ปูริดล เด็กชายที่เป็นโรค Down syndrome ที่นุ่งกางเกงขาสั้นตัวเดียวลายรูปตัวด้วงสีดำ ที่ยังคงยิ้มเหมือนไม่รู้สึกรู้สาอะไรกับสิ่งที่เกิดขึ้น ส่วนขวัญใจ เด็กสาวผิวสีแทนกลับมีท่าทางที่ตื่นเต้น ดีใจ ขวัญใจกำลังถือไมค์โครโฟนเก่า ๆ ตัวหนึ่ง ทำท่าเหมือนกำลังรายงานข่าวหน้ากล้องโทรทัศน์ที่ไม่มีอยู่จริง
“คุณผู้ชมคะ ภาพที่เราเห็นอยู่นี้ มันช่างเหลือเชื่อมากคะ ทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่นอกรั้วของหมู่บ้านหายสาบสูญไปหมด เหลือแต่หลุมสีดำทะมึน ที่กว้างและยาวไกลแบบสุดสายตา ไม่มีเสียงของคนหรือท่าทีของสิ่งมีชีิวิตใด ๆ ที่อยู่นอกเหนือไปจากรั้วของหมู่บ้าน ราวกับว่าประเทศไทย ทั้งประเทศได้สูญหายไปแล้วจากแผนที่โลก จะเหลือก็เพียงแค่หมู่บ้านจัดสรรเล็ก ๆ แห่งนี้ที่ยังคงอยู่เท่านั้น หมู่บ้านนี้มีชื่อว่า หมู่บ้านสารขัณฑ์คะ” ขวัญใจรายงานข่าวแบบยาวเหยียด
“นี่มันเกิดอะไรขึ้น” ประภาส เด็กชายอายุ 8 ขวบ ผอมกร่อง ตัวเล็ก กำลังตื่นตระหนก ถามเสียงสั่นเครือ
“ใครรู้ ช่วยบอกเราที นี่มันอะไร ทำไมทุกอย่างหายไปหมด” ชาณัฐ เด็กชายอีกคน ที่ตัวสูงใหญ่เกินอายุ เพื่อนสนิทของประภาส ถามเสียงเลิ่กลั่ก
“ทำไมแผ่นดินถึงหายไปหมด แล้วพ่อแม่หายไปไหน ทำไมไม่เหลือใครอยู่อีกเลย” ชนฐิดาพูด เธอเป็นเด็กผู้หญิงตัวเล็ก ชอบผูกผมแกละสองจุก ทั้งสามคน ประภาส ชาณัฐและชนฐิดา มักจะเล่นพ่อแม่ลูกกันเสมอ ๆ แต่คำถามของเธอก็เหมือนของประภาสและชาณัฐ ที่ไม่มีใครให้คำตอบอะไรได้
“เฮ้ ๆ ๆ ช่วยด้วยครับ/ค่า” เสียงของเด็ก ๆ ที่พยายามตะโกนออกไปนอกหมู่บ้าน เพื่อขอความช่วยเหลือ แต่ภายนอกหมู่บ้านอันเวิ้งว้่าง ไร้ซึ่งสิ่งมีชีวิต จะมีใครตอบกลับมาได้ล่ะ
“หายไปทั้งประเทศแบบนี้ มองไปสุดลูกหูลูกตา ก็ไม่เห็นอะไรสักอย่าง” ยูวดีบอก พลางปาก้อนหินออกไปนอกหมู่บ้าน เพื่อระบายความหดหู่ใจ ผ่านไปนานหลายสิบวินาทีกว่าที่จะมีเสียงหินกระทบก้นเหวข้างล่างดังขึ้นมา เด็กทุกคนยืนอึ้ง แล้วก็มีเสียงอธิบายดังแว่วขึ้นมาทางด้านหลัง
“17.7 วินาที กว่าที่เสียงหินกระทบพื้นข้างล่างจะกลับมาหาเรา” เด็ก ๆ หันไปมองทางด้านหลัง พลางเปิดทางให้กับวิชา เด็กเนิร์ดผอมกร่อง ใส่แว่นหนาเตอะที่เดินออกมาทางข้างหน้าฝูงชน
“ตอนนี้เรามีสองอย่างที่ต้องคิด หนึ่งคือ เวลาที่ใช้ทั้งหมดกว่าที่หินจะตกลงไปจนถึงก้นของหลุม และสอง คือ เวลาที่เสียงของหินกระทบใช้ในการสะท้อนกลับมาหาเรา” วิชาพูด ทุกคนหันไปมองเป็นทางเดียว วิชาเริ่มอธิบายต่อ
“เรารู้ว่า ค่าเฉลี่ยของความเร็ว เท่ากับ ระยะทางหารด้วยเวลา สมการก็คือ d = 1/2gt2/11 และเรารู้ว่าความเร็วในการเดินทางของเสียงนั้นคือ 343 เมตรต่อวินาที ฉะนั้น...d = 343 xt2... และต่อมา...” วิชาพูดพลางใช้ชอล์กขีด เขียนตัวเลขลงบนถนน ครู่เดียวตารางยึกยัก ๆ ดูวุ่นวาย ร่ายยาวถึงกฏของฟิสิกซ์ที่ฟังดูน่าเบื่อ เด็ก ๆ ในหมู่บ้านฟังแล้วก็หาวและเริ่มไม่สนใจสิ่งที่วิชากำลังคำนวณอยู่ สุดท้ายทุกคนเดินจากไป ปล่อยให้วิชานั่งคำนวณอยู่คนเดียวต่อไป
“แล้วพวกเราจะทำยังไงกันดีล่ะ?” ไอรินทร์ถามขึ้นมา เด็ก ๆ ต่างก็หันไปมองหน้ากันและกัน มีแต่เสียงซุบซิบ จอแจ แต่ไม่มีคำตอบอะไรหลุดออกมา จนกระทั่ง
“เอาล่ะ! พวกเราต้องตั้งระบบการปกครองขึ้นมาก่อน เพื่อให้ทุกคนในหมู่บ้านปฏิบัติตาม เพื่อความสงบสุขและเรียบร้อย” โทนพูดขึ้นมา พร้อมกับหันไปมองหน้าสุดา
ภายในห้องประชุมที่บ้านของโทน เด็กหนุ่มหน้าเหลี่ยม วัย 9 ขวบ กับผมสั้นรองทรงสูง แต่งตัวใส่สูท เหมือนนักธุรกิจ เดินวนอยู่ที่กลางห้อง สุดา สาวน้อยวัย 9 ขวบเช่นกัน กับแว่นกรอบสี่เหลี่ยมสีดำ ผมยาวสีดำของสุดาถูกรวบมัดแบบครึ่งหัว ที่เหลือรวบไว้ด้านหลังแบบเรียบร้อย เธอเปรียบเสมือนเงาของโทน มีโทนที่ไหน มีสุดาที่นั่น
“บ้านเมืองระส่ำระสาย ไร้ขื่อแปแบบนี้ เราต้องร่วมมือกันตั้งระบบการปกครองขึ้นมาดูแลหมู่บ้านแห่งนี้ เราควรเรียกว่าอะไรดีนะ โทนถาม สุดาคิดครู่หนึ่งก่อนตอบออกมาว่า
“ทำนาซี” สุดาพูด พลางชี้นิ้วขึ้นฟ้า
“ไม่เอา ไม่ทำนาแล้ว” โทนตอบ
“เผ็ดจัดการ” สุดาพูด พลางทำท่าเหมือนกินของเผ็ด
“ไม่เอา เผ็ดไปกินลำบาก” โทนตอบ
“คุณประชานิยม” สุดาพูดพลางกอดอก
“แล้วคนอื่นนอกจากประชาล่ะ จะนิยมไหม” โทนไม่ชอบอีก สุดาฟังแล้วก็เหี่ยว ก่อนจะโพล่งคำใหม่ออกมา
“ประชาโดนถีบตาย” สุดาพูดพลางทำท่ากระทีบเหมือนนักเลงหัวไม้
“ไม่โดน ฟังดูเหมือนเป็นเรื่องผีเลย มีคนตายอ่ะ” โทนตอบ
“อืม...งั้นประชา...ธิป...ปา....ตาย....ไอย, ประชาธิปไตย!” สุดาคิดพลางลากเสียงเอื้อนยาว พลางมองหน้าโทนว่า โอเคไหม
“โอ้ว ใช่เลย ประชาธิปไตย!” โทนดีดนิ้วดังเปร๊าะ
“เรื่องวาทกรรมขอให้บอก!” สุดายิ้มดีใจ
“งั้นเมื่อเรามีประชาธิปไตยแล้ว ต่อไปต้องทำอะไรล่ะ?” โทนถาม สุดาทำหน้าคิดครู่หนึ่งก่อนจะชี้นิ้วไปตรงข้างหน้า ทำท่าเหมือนคิดอะไรออกมาสักอย่างนึง
บริเวณหน้าตึกกิจกรรมกลางของหมู่บ้าน เด็ก ๆ ต่างพากันเดินเข้าไปข้างในตึก ที่บริเวณหน้าห้องโถงใหญ่ บนหน้าห้องโถงนั้นมีแผ่นป้ายประกาศเขียนด้วยลายมือแบบบ้าน ๆ ไว้ว่า ‘การประชุมใหญ่ของหมู่บ้านสารขัณฑ์ครั้งที่ 1 สนับสนุนโดย โทน’ พร้อมรูปของโทนที่ทำท่าชี้นิ้วไปข้างหน้าเหมือนคนมีวิสัยทัศน์ก้าวไกล ปูริดลยังคงกระโดดโลดเต้น พยายามแตะจับแผ่นป้ายอยู่ ส่วนบริเวณมุมหนึ่งของห้องประชุมทางด้านหลังมี พีรพล ยิปซียืนมองพิธีการประชุมอยู่อย่างเงียบ ๆ ส่วนบริเวณมุมห้องอีกฝั่งที่มีแสงสลัว ๆ นั้น เห็นเงาร่างมืดของเด็กคนหนึ่งที่นั่งอยู่บนรถเข็น
“การเลือกตั้ง?” ยูวดี ไอรินทร์ ประภาส ชาณัฐ ชนฐิดา อุทานออกมาพร้อม ๆ กัน
“ใช่ เราต้องมีการเลือกตั้ง เพื่อให้ได้คนที่ทุจริตที่สุด!” โทนบอก เด็ก ๆ ทุกคนทำท่าตกกระใจ เสียงคำว่า ‘ทุจริต’ ถูกกระซิบ ซุบซิบกันต่อ ๆ กันไป จากประภาสไปที่ชาณัฐ ชาณัฐไปที่ชนธิดา ชนธิดาไปที่ปูริดล ซึ่งทำหน้ายิ้มแย้ม ผงกหัว ก่อนจะพูดออกมา
“ทุจริต คืออะไรเหรอ?!” ปูริดลถามกลับชนธิดา
“ไม่รู้อ่ะ” ชนธิดาตอบ เสียงกระซิบ ซุบซิบกันต่อ ๆ ไปกลับมา ชนธิดาหันไปที่ชาณัฐ ชาณัฐก็ไม่รู้หันกลับไปถามประภาส ประภาสก็ไม่รู้หันกลับไปก็ไม่เจอใครให้ถามต่อ
“ทุจริต คือ... ไม่รู้อ่ะ?” ประภาสตอบ
“ง่า...สุจริตค่ะ” สุดากระซิบบอกโทน
“อ่ะแฮ่ม เพื่อให้ได้คนทำงานที่สุจริตที่สุด! และเราจะเปิดโอกาสให้ทุกคนอย่างเสมอภาค เท่าเทียมกัน ใคร ๆ ก็สามารถสมัครเลือกตั้งได้” โทนกระแอมแก้ตัว ก่อนจะส่งคิวให้ขวัญใจมาพูดต่อ
“แต่เพื่อที่จะสกรีนคนที่มีคุณสมบัติไม่พอไม่ให้เข้ามาสมัครได้ตั้งแต่แรก คนที่จะรับสมัครเลือกตั้งได้นั้น ควรผ่านกฏเกณฑ์ที่กำหนดไว้ให้ได้เสียก่อน เห็นด้วยหรือไม่?” ขวัญใจพูดต่อ
“เห็นด้วย เห็นด้วย เห็นด้วย!” ประภาส ชาณัฐ ชนฐิดา ตะโกนออกมา ยูวดีกับไอรินทร์ได้ยินแล้วก็มองหน้ากัน
“และนี่คือ กฏเกณฑ์ของผู้สมัครเลิอกตั้ง” ขวัญใจพูด สุดาก้าวออกมาพร้อมสะบัดม้วนกระดาษที่มีรูปร่างเหมือนพวกพระราชโองการสมัยโบราณออก เรียกเสียงฮือฮาได้เต็มห้องประชุม เด็ก ๆ ต่างก็พากันกรูเข้ามาอ่านที่ม้วนกระดาษมีข้อบังคับต่าง ๆ มากมาย
“1 นับถือศาสนา” ประภาสอ่าน
“2 รักษาธรรมเนียมมั่น” ชาณัฐอ่าน
“3 เชื่อพ่อแม่ครูอาจารย์” ชนฐิดาอ่าน
“4 วาจาต้องสุภาพอ่อนหวาน” วิชาอ่าน
“5 ยึด...มั่น...อกตัญญู” ปูริดลอ่านตะกุกตะกัก แถมผิดอีกต่างหาก
“กตัญญูจ่ะ” สุดากระซิบ
“6 เป็นผู้รู้รักการงาน” โทนอ่าน
“7 ต้องศีกษาใหเ้ชี่ยวชาญ” พีรพลอ่าน
“7.1 ต้องมานะบากบั่น ไม่เกียจไม่คร้าน” ยิบซีอ่าน
“8 รู้จักออมประหยัด” ไอรินทร์อ่าน
“9 ต้องซื่อสัตย์ ตลอดกาล” ยูวดีอ่าน
“9.1 น้ำใจนักกีฬากล้าหาญ ให้เหมาะกับกาลสมัยชาติพัฒนา” ขวัญใจอ่าน
“10 ทำตนให้เป็นประโยชน์” เงามืดที่อยู่ที่มุมอ่านออกมา ทุกคนหันไปมองกันเป็นทางเดียว พลางทำหน้าซุบซิบ ๆ
“10.1 รู้บาปบุญคุณโทษ” เงามืดอีกคนหนึ่งที่ยืนอยู่อ่าน ทุกคนหันไปมองกันเป็นทางเดียว พลางทำหน้าซุบซิบ ๆ อีกหนหนึ่ง
“10.2 สมบัติชาติต้องรักษา” เงามืดอีกคนหนึ่งที่ยืนอยู่อ่านต่อ ทุกคนหันไปมองกันเป็นทางเดียว พลางทำหน้าซุบซิบ ๆ อีกหนหนึ่ง
“และข้อสุดท้าย 10.3 ต้องเคยเป็นผู้สนับสนุนกิจกรรมของหมู่บ้านสารขัณฑ์อย่างเป็นทางการ” โทนอ่านข้อสุดท้ายจบ ก็มีเสียงโห่ร้อง อืออา ออกมาเต็มห้องประชุมไปหมด
“โห เยอะขนาดนี้ใครจะไปทำได้ล่ะ” ไอรินทร์บ่น
“ที่มีกฎเกณฑ์มากมายแบบนี้ ก็เพื่อคุณภาพของผู้สมัครเลือกตั้ง” ขวัญใจพูดเสียงดัง มั่นใจว่าไม่มีเด็กคนไหนที่มีคุณสมบัติครบทุกข้อแน่ ๆ โทนกับสุดาหันมองหน้ากันพลางยิ้มอย่างผู้ชนะ
“ชั้นทำได้นะ” ชาณัฐโพล่งออกมา
“จริงเหรอ?” โทนและสุดาหันขวั่บ ถามเสียงสูง
“ข้อ 1 ถึง 10.2 ชั้นมีหมดนะ” ชาณัฐบอก
“แล้วเธอมีข้อ 10.3 หรือเปล่า?” สุดาถาม
“อุ่ย ลืมไป ไม่มีอ่ะ” ชาณัฐตอบยิ้มแหย ๆ
“งั้นเธอก็ไม่มีสิทธิลงรับสมัครเลือกตั้งนะ หลบไป ๆ” สุดาทำมือไล่ชาณัฐให้ไปไกล ๆ
“แต่แม้คุณสมบัติของผู้สมัครเลือกตั้งนั้นจะมากมายเพียงใด แต่เรามีผู้สมัครอยู่ท่านหนึ่ง ที่ผ่านกฎเกณฑ์ทุกข้อ ไม่มีตกหล่น นั่นคือ โทน ๆ ๆ ๆ” ขวัญใจทำเสียงกังวานด้วยตัวของเธอเอง ก่อนจะผายมือปูทางให้กับโทน ที่เดินขยับออกมาทางด้านหน้าของเวที สุดาตบมือ ก่อนจะเรียกให้เด็กคนอื่น ๆ ในหมู่บ้านตบมือตามเช่นกัน แปะ ๆ ๆ ๆ ๆ
“มันเป็นวันที่พวกเราได้มีการเลือกตั้ง” เสียงของขวัญใจ พร้อมกับภาพของเด็ก ๆ ทุกคน ที่เขียนกากบาทลงในช่องสี่เหลี่ยมของกระดาษแผ่นเล็ก ๆ จากนั้นประภาส ชาณัฐ ชนฐิดา ไอรินทร์ ยูวดี วิชา พีรพล ยิบซีและเงาของเด็กคนนึงที่นั่งรถเข็นอยู่ในเงามืด ต่างก็ทยอยออกมาหย่อนกระดาษเลือกตั้งลงในกล่องนับคะแนนเสียง ที่ทำจากกล่องพลาสติกสีขาวขุ่น ๆ ด้านล่างของกล่องมีรอยแตกใหญ่อยู่
“มันเป็นวันที่พวกเราได้มีประชาธิปไตย” เสียงของขวัญใจที่ดังขึ้นพร้อม ๆ กับสภาพเวทีนับคะแนนการเลือกตั้ง ประภาสคลี่กระดาษ เผยให้เห็นชื่อ ‘โทน’ ที่ถูกเขียนอยู่ข้างใน ก่อนจะโชว์ให้เด็ก ๆ คนอื่นดู ชาณัฐประกาศเสียงดังว่า ‘โทน’ ชนฐิดาที่ยืนอยู่ข้างหลัง ขีดเส้นหนึ่งเส้น รวมเป็น 5 คะแนน ลงบนกระดาน Whiteboard ที่มีชื่อผู้สมัคร โทนอยู่คนเดียว ข้างใต้โทนมีเขียนว่า ‘งดออกเสียง’ พร้อมเส้นขีดคะแนนขีดอยู่ 2 คะแนน ประภาสคลี่กระดาษต่อไป พร้อมกับเสียงของชาณัฐที่ตะโกนออกมาว่า ‘โทน’ ชนฐิดาขีดอีกหนึ่งเส้นคะแนนให้กับโทน
“มันเป็นวันที่เราได้มีผู้นำ” เสียงของขวัญใจกับภาพที่ตัดกลับมาที่ภายในห้องโถงใหญ่ ประจำศูนย์ออกกำลังกายของหมู่บ้าน โทนและสุดา ยืนอยู่ที่ด้านหน้าของห้องโถง โทนชูมืออย่างผู้ชนะ สุดาตบมือรัว ๆ พร้อมเชียร์ให้เด็ก ๆ คนอื่น ๆ ตบมือตาม ข้างหลังโทนมีแผ่นป้ายประกาศว่า นายกรัฐมนตวย คนแรกของหมู่บ้านสารขัณฑ์ สนับสนุนโดย โทน นายกรัฐมนตวย คนแรกของหมู่บ้านสารขัณฑ์ ปูริดลขโมยซีนด้วยการเดินไปมา ๆ
ภาพตัดมาที่ห้องประชุมที่บ้านของโทน โทนกำลังยืนมองสุดา ที่นั่งอยู่พร้อมถือแผ่นป้าย Whiteboard ที่เขียนว่า ‘นายกรัฐมนโท’ โทนส่ายหัว สุดาจึงขีดฆ่าคำว่า ‘โท’ ทิ้ง บน Whiteboard คำว่า ‘นายกรัฐมนเอก’ ถูกขีดฆ่าทิ้งไปแล้ว
ต่อมาสุดาเขียนคำใหม่ออกมา ก่อนกลับป้ายให้โทนดู เห็นเป็นคำว่า ‘นายกรัฐมนตรี’ โทนเห็นแล้วก็ส่ายหัวอีกครั้ง สุดาขีดฆ่าพลางถอนหายใจเฮือกใหญ่ ๆ ครุ่นคิดสักครู่ก่อนจะนึกคำหนึ่งออก รีบเขียนลงไปที่กระดาน Whiteboard แล้วหันมาโชว์ให้โทนดู เห็นเป็นคำว่า ‘นายกรัฐมนตวย’ โทนยิ้ม ผงกหัวพลางยกนิ้วหัวแม่โป้งให้ สุดาผงกหัวรัว ๆ พร้อมยิ้มอย่างดีใจ
“เป็นวันที่เราได้มีผู้สื่อข่าว” เสียงของขวัญใจรายงาน ซ้อนกับภาพของเธอที่มือกำลังถือไมค์ ยืนรายงานข่าวกับทีวีลม ด้านหลังเป็นโทน สุดาและประชาชนของหมู่บ้านสารขัณฑ์ ที่กำลังตบมือให้กับโทน ผู้นำคนแรกของหมู่บ้าน
“เป็นวันที่เราได้มีชนชั้นกลาง” เสียงของขวัญใจรายงาน ซ้อนกับภาพของ ประภาส ชาณัฐ ชนธิดา ที่วิ่งเล่นกันอย่างสนุกสนาน ส่วนวิชานั่งอ่านหนังสืออยู่ใต้ต้นไม้คนเดียว
“เป็นวันที่เราได้เริ่มมีงานทำ” เสียงของขวัญใจรายงาน กับภาพของการตัดริบบิ้นเปิดกิจการของร้านสะดวกซื้อ ชื่อ 24-365 ที่มีขอนไม้วางขาย พร้อมกับแผ่นป้าย ‘0 Day without DEATH’ โดยที่พีรพลและยิบซีเป็นคนตัดริบบิ้นเปิดงาน โดยโทนและสุดายืนข้าง ๆ พร้อมเงาดำทะมึนของเด็กคนนึงที่นั่งรถเข็นอยู่ในเงามืด พร้อมด้วยเงาตะคุ่ม ๆ อีกสองเงาที่ยืนอยู่ข้าง ๆ กัน ส่วนปูริดลยังคงเดินเล่น ตัดหลังขโมยซีน ในกางเกงขาสั้นสีฟ้าพร้อมโลโก้รูปเรือใบตัวเดิม
“ต่อไปไม้จะเป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยนสินค้า” โทนบอก
“ทุกคนมีอิสระและความสามารถที่จะหาไม้ได้ จากสวนสาธารณะ” ยิบซีพูด
“หรือหาซื้อได้ที่ร้านสะดวกซื้อ 24-365” พีรพลพูด
“อยากได้ไม้เมื่อไหร่ก็แวะมา” พีรพลและยิบซีพูดพร้อม ๆ กัน พร้อมเสียงดังตื๊อ-ตื่อ ที่เอาไว้บอกว่ามีคนเดินเข้าร้านมา
“ไม้เป็นของสาธารณะ ฉะนั้นขอเพียงแค่ขยันทำงาน หาไม้ คนนั้นก็จะรวย พวกเราทุกคนเสมอภาคเท่าเทียม” โทนบอกต่อ ชาวสารขัณฑ์ทุกคนตบมือยินดีเต็มไปหมด
เด็ก ๆ ทุกคนในหมู่บ้านสารขัณฑ์ต่างก็ออกมายืนอยู่ที่หน้าห้องโถงใหญ่ ประจำศูนย์ออกกำลังกายของหมู่บ้าน ยูวดีและไอรินทร์คุยกันสนุกสนาน ประภาส ชาณัฐและชนธิดา เล่นเป็นพ่อแม่ลูกอยู่ด้านหลัง วิชายังคงก้มหน้าอ่านหนังสืออยู่ที่หน้าประตู ปูริดล ยังคงวิ่งเล่นในกางเกงขาสั้นสีฟ้าพร้อมโลโก้รูปเรือใบตัวเดิม พีรพลและยิบซียืนถือท่อนไม้ โทนและสุดายืนข้าง ๆ พร้อมเงามืด ๆ ของเด็กคนนึงที่นั่งรถเข็นอยู่ในเงามืด กับเงามืดอีกสองร่างที่ยืนอยู่ข้่าง ๆ กัน ทุกคนดูยิ้มแย้มมีความสุข
“มันเป็นวันที่พวกเรา ได้มีประชาธิปไตย มีผู้นำ มีทุกอย่างเป็นครั้งแรก มันเป็นวันที่ถูกจารึกลงไปในหน้าประวัติศาสตร์ของหมู่บ้านสารขัณฑ์แห่งนี้” ขวัญใจถือไมค์รายงานข่าวกับทีวีลมเช่นเคย ภาพค่อย ๆ ลอยสูงขึ้นไปจากบริเวณหน้าห้องโถงใหญ่ ศูนย์ออกกำลังกายของหมู่บ้าน ผ่านเมฆก้อนเล็กน้อยใหญ่ ผ่านไปเรื่อย ๆ จนเห็นเป็นสภาพพื้นที่ของประเทศไทย ที่กลายเป็นสีดำ ไม่มีอะไรหลงเหลืออยู่แล้วอีกต่อไป
#หมู่บ้านสารขัณฑ์ #sarakantown #นิ้วโยก
ผลงานอื่นๆ ของ นิ้วโยก ดูทั้งหมด
ผลงานอื่นๆ ของ นิ้วโยก
ความคิดเห็น