ลำดับตอนที่ #2
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : กาลาลิออน
Chapter 2
กาลาลิออน
เช้าที่วุ่นวายเริ่มขึ้นตอน ตีห้ากว่าๆ ลูน่ายกกระเป๋าเดินทางที่เธอจัดไว้โดยมีแม่คอยช่วยเมื่อคืนอย่างงัวเงีย เพราะเธอยังไม่ได้นอนเลยอีกทั้งงานเลี้ยงเมื่อตอนเย็นวาน เพื่อนที่น่ารักทั้งหลายของเธอขอให้เธอเล่นสเก๊ตลีลาบนลานซะสามรอบแบบนั้น พ่อกับแม่ก็ดูจะไม่ได้นอนเหมือนกัน ทุกคนดูจะตื่นเต้นกับการเดินทางครั้งนี้ พ่อยังคงรื้อค้นห้องนั่งเล่นอุตลุด
“เอกสารขึ้นยานไปอยู่ไหนละแม่” เอกชัย เชฟฟอร์ด ท่าทางเริ่มหงุดหงิดเต็มที่ “แม่เอามันทิ้งไปกับขยะอย่างอื่นเมื่อเช้าหรือเปล่า”
“ฉันจะไปรู้ได้ไงก็คุณ ยังเอามาโบกเล่นอยู่เลยเมื่อคืน”
“อย่ารีบไปเลยน่าพ่อเพิ่งตีห้าเอง กว่าเราจะต้องออกตั้งเกือบเก้าโมง”
แม้ลูน่าจะทำท่าช่วยพ่อหาเอกสาร แต่ใจเธอไม่อยู่ในห้องนั่งเล่นแล้ว เธอกำลังคิดถึงเรืองวุ่นวายที่สวนสาธารณะวันก่อน หลังจากที่พวกเขาหายไป ไม่มีภาพในกล่องวงจรปิดหรือหลักฐานอื่นในสิ่งที่พวกเขาทำ นอกจาก รอยแตกบนพื้นกับเศษน้ำแข็งที่สรุปกันว่าเป็นความผิดพลาดของเครื่องควบคุมสภาพอากาศ สิ่งที่ลูน่าสงสัยยิ่งกว่าตัวจริงของเด็กหนุ่มคือเรืองที่เจ้าสัตว์ประหลาดพูดเกี่ยวกับพลังเวทย์ ไม่ต้องสงสัยนักว่าคนที่มาช่วยเธอตอนนั้นเป็นพ่อมดหรืออะไรเถือกนั้น แต่เธอเองก็ดูเหมือนจะมีพลังเวทย์ด้วย
“เจอแล้วจ้า” เสียงตะโกนของพ่อพา ลูน่ากลับมายังห้องนั่งเล่น “พอดีผมกลัวลืมเลยใส่รวมไว้กับเอกสารของที่ทำงาน” ทุกคนรู้สึกโล่งอก เอ่ออย่างน้อยก็ลูน่ากับพ่อละนะ ล่อล่า เชฟฟอร์ดเดินกระแทกเท้าเข้าครัวไป เสียกระทะหมอไหกระแทกกัน นั้นทำให้สามีของเธอหน้าซีดได้ที่เดียว ลูน่าพอจะเดาได้ว่าอาหารเช้ามือสุดท้ายบนดาวอังคารคงจะไม่ค่อยโสภาชักเท่าไหร่
“ทุกคนประจำที่แล้วนะ” พ่อว่าพลางมองไปรอบๆ “จะมีใครเข้าห้องน้ำอะไรไหม”
“พ่อถามคำถามนี้ซ้ำรอบสองแล้วนะ” ลูน่าเอ่ยหน่ายๆ
“พวกคุณคงตื่นเต้น กับการเดินทางมากซินะครับ” คนขับรถที่ทางบริษัทส่งมาหัวเราะ “ผมนึกว่าผู้บริหารระดับสูงอย่างคุณต้องรักษามาดซะอีก”
“คนอดนอนคงมีมาดนักไม่ได้หรอกครับ” คนไม่มีมาดนักตอบ “อีกอย่างอยู่กับครอบครัวของอย่างนั้นไม่จำเป็นหรอกครับ” ผู้เป็นพ่อว่าพลางมองเบาะหลัง
“อ้อผมชื่อเกรนนะครับ เกรน พาร์เวล ผมจะอำนวยความสะดวกให้จนขึ้นเครื่องนะครับ”
เกรนนั้นเป็นคนช่างพูด ดูเหมือนพี่แกจะรู้จักทุกซอกทุกมุมบนดาวอังคาร “ผมเป็นขับเท็กซี่มาก่อน ต้องรู้จักที่เทียวทุกที่แหละครับ” พี่แกบรรยายสรรพคุณตัวเอง รถเล่นออกจากบ้านผ่านตัวเมืองที่ลูน่าคุ้นตา ไม่รู้เพราะอะไรลูน่ารู้สึกราวกับจะไม่ได้เห็นเมืองนี้อีก วิวทิวทัศข้างทางผ่านตาเธอไปเรื่อยๆ เหมือนหนังฉายซ้ำ สิ่งสุดท้ายที่รอลูน่าอยู่ตรงหน้าคือ ห้างสรรพสินค้าที่ใหญ่ที่สุดของดาวอังคารมาร์สเซ็นทรัน สิ่งที่ร้านรวงรอมรอบอยู่คือท่าอากาศยาน ที่จอดรถที่เกือบว่างเปล่า มีรถจอดอยู่ไม่กี่คันเท่านั้นผลจากการพัฒนาของระบบขนส่งมวนชลของดาวอังคาร คนส่วนมากจึงไม่ได้ใช้รถส่วนตัวนัก
ท่าอากาศยานภาคพื้นหรือสถานีขนส่งภาคพื้นนั้นใช้พื้นที่ไม่มากนักถ้าเทียบกับห้างสรรพสินค้าที่เป็นอาคารเดียวกัน ที่หน้าประตูทางเข้ามายุ มาอิ กับ เพื่อนอีก 2-3 คนยืนรอเธออยู่ เกรนนำพ่อกับแม่เข้าไปด้านในก่อนชะโงกหน้าออกมา “พวกเราจะรออยู่อยู่ข้างใน เดียวผมออกมารับคุณลูน่านะครับ” ทุกคนดูเหมือนจะมารอพวกเธออยู่นานแล้ว คำทักทายและคำล่ำลาถูกกล่าวขึ้นในเวลาเดียวกัน ลูน่าจับมือล่ำลาเพื่อนๆ ก่อนจะผ่านเข้าประตูก็มีเสียงมายุตะโกนไล่หลังมา “ไปโลกแล้วหาแฟนมาให้ได้นะ” ลูน่าได้แต่หันไปยิ้มให้เพื่อนรัก “ไว้ถ้าเจอฉันจะไม่บอกเธอแน่” เธอตะโกนกลับไปเสียงสั่น
หน้าทางผ่านขึ้นเครื่องมีเพียงพนักงานตรวจเอกสาร กับหมอเรียงกันอยู่เหมือนเคาร์เตอร์เก็บเงินประมาณ 20 ช่อง แต่วันนี้มีเพียงสามช่องที่เปิดใช้
“ลูกเรือของกาลาริออนหรือครับ” นายตรวจหัวล้านถามเสียงห้วน
“เปล่าครับผู้โดยสาร หนะครับ” นายเอกชัยตอบกลับ พลางควานหยิมเอกสารเดินทาง
“งานหรือท่องเทียวครับ” คำถามซ้ำถูกยิงออกมา ก่อนที่คนถูกถามจะตอบเขาก็หยุดอยู่ที่เอกสารใบหนึ่ง
“เด็กเกิดบนดาวอังคารหรือ” ว่าพลางจ่องหน้าลูน่าเป๋ง
“เอ่อหนูเกิดบนดวงจันทร์ ระหว่างที่พ่อกับแม่มาที่ดาวอังคารหนะคะ” เด็กสาวตอบกลับ
“ก็ยังถือว่าเป็นคนดาวอังคารแท้” เขาพูดพลางยิ้มจนริ้วรอยบนใบหน้าร่นขึ้น “ไปโลกครั้งแรกซินะ”
ลูน่าพยักหน้า
“ขอใช้โชคดีเดินทางโดยสวัสดิภาพ” ลูน่าขอบคุณเขาพลางก่อนจะเดินไปที่เทอร์มินอน
หลังจากผ่านการตรวจเลือดขั้นสุดท้ายเธอก็สังเกตเห็น ชายตาสีม่วงประหลาดนั้นที่เคยช่วยเธอไว้จากนักรบทมิฬคราวก่อน เขาหันมายิ้มให้เธอแวบหนึ่งก่อนหายไปในฝูงชน เธอพยายามแทรกผ่านบรรดาลูกเรือเพื่อตามเขาไป แล้วลูน่าสังเกตเห็นว่าชุดที่เขาใส่ว่าเป็นชุดลูกเรือกาลาริออน คงต้องได้เจอเขาอีกบนเครื่องไว้ค่อยหาเขาทีหลังก็ได้ ระหว่างที่เธอกำลังคิดแบบนั้นพ่อก็คว้าตัวเธอไว้ก่อน “เราต้องขึ้นเครื่องแล้วไปกันเถอะลูก” ว่าพลางดันตัวลูน่าไปที่ประตูกระสวย
ลูน่ามองไปรอบๆ กระสวย 12 ที่นั่ง เพื่อจะเจอเขา แต่ไม่พบจึงได้แต่นั่งลงข้างพ่อ แล้วเธอก็เพิ่งสังเกตว่าแม่ก็ไม่ได้อยู่ในกระสวยลำนี้ด้วย
“แม่ไปไหนแล้วละพ่อ” ลูน่าถามพลางหันซ้ายหันขวา
“อยู่กระสวยอีกลำ” พ่อว่าพลางเหลือบตามองหน้าลูกสาว
“ลูกเหมอมาแต่เมื่อกี้แล้วมีอะไรหรือเปล่า”
“เปล่าค่ะหนูแค่คิดเรื่องที่เพื่อนๆ มาส่งหนูเมื่อกี้” ลูน่าปด
“ลูกมีเพื่อนที่ดีรักษามันไว้นะ”
เด็กสาวนั่งเกร็งบนเก้าอี้ก่อนเครืองออก ลูน่าไม่ชอบนั่งกระสวยนี้เลยแม้เธอจะเคยขึ้นไปเพื่อตรวจยานลำเลียงกับพ่อหลายครั้งแต่แรงกดที่แม้ผ่านเครื่องปรับแรงดึงดูดมาแล้วทำให้เธอหายใจลำบากและรู้สึกไม่สบาย เป็นสิบนาทีที่ยาวนานก่อนจะหลุดจากชั้นบรรยากาศและขึ้นไปถึงสถานีอวกาศด้านบน ภาพเรือเดินอวกาศ ขนาดยักษ์ อย่างกาลาริออนประทับใจลูน่าเสมอ ยานเป็นทรงมนยาวดูคล้าย รถไฟสีขาวออกเทาเพียงแต่ตู่รถติดกันเป็นชิ้นเดียว หัวยานมนคล้ายหัวกระสุน ถ้าให้เทียบกับอะไรในยุคของเราคงเหมือนใครเอารถไฟฟ้าความเร็วสูงไปลอยไว้บนอวกาศ สมเป็นหนึ่งในสามความภาคภูมิใจของ M.I.N.E (บริษัทย์ที่พ่อลูน่าทำงานอยู่)
ลูน่าเดินผ่านทางสั้นๆ ของสถานีอวกาศผ่านห้องปรับความดันเข้าไปในยาน สู่โซนอยู่อาศัยซึ่งมีสภาพเหมือนเมืองย่อมๆ ส่วนอยู่อาศัยของยานลำนี้มีพื้นที่ประมาณ 2 ไร่ มีส่วนห้องพักสามชั้นซึ่งส่วนมากเป็นตู้นอน ไม่ใหญ่นัก ถัดห้องนั่งเล่นไปเป็นห้องน้ำรวม ห้องสรรทนาการ(จะว่าไปแล้วเหมือนเอาเกมเซ็นเตอร์กับฟิตเนสมารวมกัน นอกจากส่วนอยู่อาศัยแล้วก็ยังมีส่วนควบคุมยาน และส่วนที่เข้าไปไม่ได้คือส่วนคาร์โก้สินค้าที่ปกติไม่ได้มีการปรับความดันและเติมอากาศไว้
ปกติพ่อของลูน่าจะต้องไปตรวจสินค้าบริเวณคาร์โก้ แต่หนนี้พวกเขามาในฐานะผู้โดยสาร ลูกเรือคนหนึ่งนำนายเอกชัยและลูน่าไปยังส่วนที่พักรับรอง เป็นห้องที่หรู่หราทีเดียวสำหรับยานส่งสินค้าแบบกาลาริออน แม่รอลูน่าอยู่ในห้องก่อนแล้ว ดูเหมือนจะมีเตียงเสริมอีกหนึ่งเตียงสำหรับเธอในห้อง
“เดียวเขาจะเตรียมที่ห้องพักให้ลูกทีหลัง คืนนี้เราคงต้องอยู่รวมกันไปก่อน” ล่อล่าว่า ลูน่าพยักหน้ารับพลางกูลีกูจอช่วยผู้เป็นแม่เก็บของ พอทุกอย่างดูจะเข้าที่ดีแล้ว “เดียวหนูไปเดินดูรอบๆ ก่อนนะ” ว่าแล้วก็วางกระเป๋าลงบนเตียงแล้วก็ออกจากห้องไป ลูน่าเดินออกมายังไม่ทันพ้นประตูห้องดี ก็มีเสียงหนึ่งทักมา
“เป็นอย่างไรบ้าง ลูน่า เชฟฟอร์ด” ชายในชุดเสื้อนอกและกางเกงขายาวสีขาว
“สวัสดีคะกับตันเกรฮาว” เธอทักทายตอบกลับ
เชคสเปีย เกรฮาว กับตันยานกาลาริออนยังคงไว้เคราครึ้มเหมือนเมื่อ 2 ปีก่อนที่ลูน่าได้เจอ ต่างไปเพียงผมและเคลาสีเงินที่มากขึ้นเท่านั้น
“ชั้นคงรู้สึกแย่ถ้ายังหาห้องส่วนตัวให้เธอไม่ได้เร็วๆ นี้ แต่ฉันว่าเราน่าจะเตรียมได้ใน 2 วัน” กับตันว่า “ฉันไม่ได้รับแจ้งว่าพ่อกับแม่จะพาเธอมาด้วยจนเมื่อเช้า” เสียงกับตันแหบลงไปกว่าเดิมเล็กน้อย
ลูน่าไหวไหล่ “หนูไม่ถือหรอกคะกับตันก็รู้ แต่พ่อกับแม่หนูคงจะถือนิดหน่อย” เธอยิ้มกว้างให้กับตัน
“ฉันกำลังไปที่สะพานถ้าเธอไม่รังเกียจจะไปด้วยกันไหม”
ลูกเรือทุกคนจะยืนตรงเหมือนทำความเคารพทุกครั้งที่กับตัวเกรฮาวเดินผ่านไม่ว่าเขาจะทำงานอะไรอยู่ก็ตามแม้ที่สะพานทุกคนก็ยังยืนตรงเมื่อกับตันเข้าไป “วันนี้เรามีแขกมาทัศนะศึกษา แสดงงานของมืออาชีพให้หนูน้อยของเราดูหน่อย” เกรฮาวพูดเสียงดังอย่างวางอำนาจ ก่อนก้มลงมายิ้มให้ลูน่า เธอยืนดูการทำงานอยู่ข้างกับตันซึ่ง คอยถามพิกัดต้นหนครั้งสุดท้ายก่อนยานออก เสียงเตือนการออกยานดังไปทั่วให้ทุกคนประจำที่ จนเสียงเตือนหมดไป ลูน่าจึงลุกออกจากที่นั่งสำรอง การทำงานในสะพานนั้นเรียบง่าย กับตันจะคอยถามและออกคำสั่งในช่วงแรก แต่เมื่อยานออกมาพ้นสถานีทุกอย่างก็ดูจะกลายเป็นปกติ
“ลูน่า เชฟฟอร์ดใช้ไหมครับ” เสียงที่ฟังดูเด็ก และสดใสดังมาจากด้านข้าง ลูน่าหันไปมองพบเด็กชาย อายุ ประมาณ 13-14 เตี้ยกว่าลูน่าเล็กน้อย ผมสีเขียวสดในและตาสีเดียวกัน แปลกที่เขามีผ้าปิดตาข้างขวาเอาไว้ เธอทำเพียงพยักหน้าตอบ “ผม ริน ลีโอนาด เป็นเด็กทำงานจิปาถะบนสะพานนี้”
“ยินดีที่รู้จักลูน่าตอบ ไม่ยักรู้ว่าเขารับลูกเรือตัวเท่านี้ด้วย” ลูน่าตอบกลับ
“ผมกับในตาสีฟ้าสดใสและผีปากอันกล้าแข็ง ลูน่า เชฟฟอร์ด ที่กับตันเล่าให้ฟังแน่นอนไม่ต้องสงสัย” แม้จะยิ้มแต่แววตามีความขุ่นเคืองฉายอยู่ “ถึงผมจะไม่สูงนักแต่ผมก็แก่กว่าคุณหลา....” ก่อนจะพูดจบกับตันก็ตะโกนออกมา “เจ้าลิงทโมน ไปชงกาแฟมาให้ฉันหน่อย” ว่าแล้วเจ้าจ๋อก็ต้องกูลีกูจอไปทำตามคำสั่งก่อนที่จะได้ต่อล้อต่อเถียงกับลูน่า
นอกจากตอนนอนแล้วลูน่าไม่ค่อยได้อยู่ในห้องพัก ยานขนาดใหญ่กาลาลิออนมีที่ให้เดินสำรวจมากมาย เธอจึงหมดเวลาใน 2-3 วันแรกสำรวจดูโนนนี้ในยาน แต่สิ่งที่ลูน่าต้องการหาจริงๆ กลับหายหัวไปอยู่ไหนก็ไม่รู้ เธอชักไม่มั้นใจว่าผู้ชายที่เคยช่วยชีวิตเธอไว้อยู่บนยานลำนี้ แต่ถ้าอยู่ก็คงมีที่เดียวคือในห้องเครื่องที่เธอไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าไป
“อรุณสวัสดิ์” เจ้าลิงกล่าวทักทายเสียงใส “สวัสดี” ลูน่ากล่าวทักทายตอบ ถ้าไม่นับการแนะนำตัวที่ไม่ดีนักของทั้งคู่ การที่มีรินอยู่ที่นี้ก็ช่วยแก่เบื่อให้ลูน่าไม่น้อย ทุกครั้งที่ว่างรินจะมาหาเธอเสมอ เล่าเรื่องความเป็นไปในยานวันนี้ให้ลูน่าฟัง แทบจะทุกครั้งที่ลูน่าอยู่ในโรงอาหารต้องมีรินนั่งอยู่ข้างๆ เสมอ จนบางทีลูน่าเองก็แอบรำคาญนิดๆ ด้วยซ้ำ
ลูน่ามองดูสภาพมอมเหมือนลูกหมาของหนุ่มน้อยที่อยู่ตรงหน้า ลูกหมาเป็นคำที่เหมาะมากสำหรับนาย ริน ลีโอนาร์ท คนนี้เพราะพี่แกหน้าตาน่ารักจนน่าเอามากอดเล่น ผมสีเขียวกับตาเป็นประกาย สีเดียวกัน ใครจะเชื่อว่าชายที่ดูเหมือนเด็กน้อยคนนี้อายุมากกว่าลูน่าถึงหกปี
“อือหือ มอมขนาดนี้ไปทำอะไรมาละเนี่ย”
“ไปช่วยงานเขาในห้องเครืองนิดหน่อย” รินว่าพลางสำรวจดูสภาพตัวเอง “สงสัยต้องไปอาบน้ำก่อนละมั้ง”
ห้องเครื่องลูน่าคิดถึงเรืองชายหนุ่มที่เธอตามหาอยู่ เธอคว้าคอรินเข้าใกล้ แก้มเกือบจะชนกันแบบนี้ ทำให้หน้ารินร้อนผ่าว “มีอะไรเล่า” เจ้าคนตัวเล็กกว่าร้องเสียงหลง
“นี้ริน ที่ห้องเครืองมีผู้ชายอายุประมาณ 18-19 สูงกว่าฉันนิดหน่อย ผมสีน้ำตาลตาสีฟ้าไหม” คำถามที่เบาแทบเป็นเสียงกระซิบ
หลังจากที่เสือกเอาตัวออกมาจากวงแขนนั้นได้ รินก็ทำท่าเหมือนครุ่นคิดไปพักนึง ก่อนที่จะหันมามองลูน่าด้วยท่าทางจริงจังไม่เหมือนรินตามปกติ
“ฮาบิน เจสเตอร์” รินกล่าวออกมาเหมือนพูดลอยๆ พร้อมถอนใจน้อยๆ ที่ลูน่าสังเกตเห็น
“เธอรู้จัก” รินพยักหน้ารับ
“หมอนั้นเป็นเพื่อนของฉันเอง” รินพูดด้วยท่าทางเซ็งสุดๆ “อยากเจอหมอนั่นหรือ”
ลูน่าตื่นขึ้นมาเกือบสิบโมง ปกติเธอไม่เคยนอนตื่นสายแบบนี้แต่เพราะเมื่อคืนเธอนอนไม่ค่อยหลับ ครั้งสุดท้ายที่เธอดูนาฬิกาก็เกือบตีสองเข้าไปแล้ว เธอรู้สึกตื่นเต้นเล็กน้อยกับการที่จะได้เจอ ฮาบินเจสเตอร์ผู้ที่เคยช่วยชีวิตเธอไว้ ครั้งก่อนที่เจอกันเธอยังแทบไม่ได้พูดกับเขาเลย “เขาจะเป็นคนยังไงก็ยังไม่รู้เลย” เธอพูดกับตัวเองเพื่อจะได้สงบอารมห์ลงบ้าง
หลังจากล้างหน้าแปลงฟันแล้วลูน่าก็ตรงไปที่โรงอาหาร “เช้านี้เป็นอย่างไรบ้างสาวน้อย” หญิงอ้วนที่อยู่หลังเคาร์เตอร์ถาม “ก็ดีคะมาธา” ลูน่ายิ้มให้ มาธาเป็นหัวหน้าแม่ครัวประจำยานทำอาหารเลียงคนเกือบ 300 คนบนยานนี้ “ไอ้ที่อยู่นั้นหนะยกมาเร็วหน่อยไม่ได้หรือ จะรอให้ยานถึงโลกก่อนค่อยทำให้เสร็จหรือไง” มาธาตะโกนสั่งลูกมือของเธอ แม้ฝีมือทำกับข้าวจะยอดเยียมแต่ปากของมาธานั้นทำงานเร็วกว่าสมองเสมอ
“จะรับอะไรดีเจ้าหญิง” แม่ครัวหันมาถามพร้อมรอยยิ้ม
“เอ่อเอาเป็นไข่ลวกละกันคะกับ....”
“กับขนมปังปิ้งแล้วก็กาแฟ เธอกับพ่อนี้กินเหมือนกันเปี๊ยบ” มาธาต่อให้เสร็จ “ตั้งแต่เธอกับรินมาอยู่บนยาน ที่นี้ก็ดูสดใสขึ้นเยอะเลย ปกติมีแต่พวกถึกเถื่อนเป็นโคแนน” มาธาว่าต่อก่อนจะชะเงอมองข้ามหลังลูน่าไป “พวกเธอคงอายุยืนแน่ ว่ายังไม่ทันขาดคำอีกคนก็มาพอดี”
รินเข้ามายืนข้างทันที หัวยุ่งเหยิงเป็นหลักฐานว่าเพิ่งลุกมาจากที่นอน “บะหมี่ เย็น” รินพูดด้วยเสียงสะลึมสะลือ
“เมื่อคืนนอนดึกหรือไง” ลูน่าว่าพลางถองคนที่ยังไม่ตื่นดี
“ช่วยกับตันจัดเอกสาร จนดึกเลย” หนุ่มน้อยว่าพลางฮาววอดใหญ่
ลูน่ายังคงมองรินไม่วางตา
“เธอได้เจอเขาแน่น่า” คนถูกจ่องกล่าวก่อนจะยกถาดอาหารออกไป
ลูน่ายกถาดใส่ไข่ลวกตามรินไปติดก่อนที่จะนั่งลงข้างๆ ริน “แปลกแหะ” เจ้าตัวดีว่าพลางมองด้วยสายตาเจ้าเล่ห์ “ปกติฉันต้องเป็นคนค่อยเข้าไปหาเธอ จนเธอเดินหนีด้วยซ้ำ” ลูน่าเกือบจะแสดงท่าทางไม่พอใจในสิ่งที่เจ้าลิงพูดออกมา เสียแต่ว่าเธอไม่ควรทำอะไรให้เขาไม่พอใจตอนนี้
“คุณเจสเตอร์ เป็นคนยังไงหรือริน” ลูน่าถามลอยๆ
“เจสหนะหรือ” รินกอดอกอย่างครุ่นคิด “เป็นคนไม่ค่อยพูด คบยาก ไม่ค่อยมีมนุษย์สัมพันธ์ แท่งไอติมเดินได้ดีๆ เลยหละ” รินหยุดไปพักหนึ่งก่อนว่าต่อ “แต่ก็เป็นคนเก่งและพึ่งพาได้เสมอยามลำบาก ไม่ยอมแพ้อะไร และถึงจะไม่แสดงออกก็นับว่าเป็นคนมีน้ำใจคนหนึ่ง” ระหว่างที่รินพูดลูน่าสังเกตุ ได้ถึงสีหน้าที่ผ่อนคลายร่าวกับรินกำลังพูดถึงคนในครอบครัว
รินพูดยังไม่ทันขาดคำมือข้างหนึ่งก็ขยี่ลงมาบนหัว ลูน่าหันไปมองผู้กระทำทันที ภาพที่อยู่ตรงหน้าคือคนที่เธออยากเจอมาตลอดสองสัปดาห์ที่ผ่านมา ฮาบิน เจสเตอร์ มองหน้าลูน่าด้วยรอยยิ้ม แต่เป็นรอยยิ้มที่ดูแห้งแล้งจนหน้าหนาวใจ
“ยินดีที่ได้พบกันอีกเจ้าหญิง” ฮาบิน เจสเตอร์ทักทาย “ผมชื่อ...”
“ฮาบิน เจสเตอร์ ฉันทราบแล้วคะ ลูน่า เชพฟอร์ด ยินดีที่รู้จักคะ”
“กรุณาเรียกผมว่า เจส ดีกว่าครับ” ชายหนุมกล่าวตอบ
ลูน่าไม่เข้าใจตนเองนักว่าทำไมต้องสุภาพขนาดนั้น ทั้งๆ เขาก็เป็นเพื่อนรินไม่ใช้หรือไง แต่คงเป็นเพราะบรรยากาศหนักๆที่ล้อมรอบชายคนนี้ที่ทำให้เธอพูดไปแบบนั้นก็ได้
“เอกสารขึ้นยานไปอยู่ไหนละแม่” เอกชัย เชฟฟอร์ด ท่าทางเริ่มหงุดหงิดเต็มที่ “แม่เอามันทิ้งไปกับขยะอย่างอื่นเมื่อเช้าหรือเปล่า”
“ฉันจะไปรู้ได้ไงก็คุณ ยังเอามาโบกเล่นอยู่เลยเมื่อคืน”
“อย่ารีบไปเลยน่าพ่อเพิ่งตีห้าเอง กว่าเราจะต้องออกตั้งเกือบเก้าโมง”
แม้ลูน่าจะทำท่าช่วยพ่อหาเอกสาร แต่ใจเธอไม่อยู่ในห้องนั่งเล่นแล้ว เธอกำลังคิดถึงเรืองวุ่นวายที่สวนสาธารณะวันก่อน หลังจากที่พวกเขาหายไป ไม่มีภาพในกล่องวงจรปิดหรือหลักฐานอื่นในสิ่งที่พวกเขาทำ นอกจาก รอยแตกบนพื้นกับเศษน้ำแข็งที่สรุปกันว่าเป็นความผิดพลาดของเครื่องควบคุมสภาพอากาศ สิ่งที่ลูน่าสงสัยยิ่งกว่าตัวจริงของเด็กหนุ่มคือเรืองที่เจ้าสัตว์ประหลาดพูดเกี่ยวกับพลังเวทย์ ไม่ต้องสงสัยนักว่าคนที่มาช่วยเธอตอนนั้นเป็นพ่อมดหรืออะไรเถือกนั้น แต่เธอเองก็ดูเหมือนจะมีพลังเวทย์ด้วย
“เจอแล้วจ้า” เสียงตะโกนของพ่อพา ลูน่ากลับมายังห้องนั่งเล่น “พอดีผมกลัวลืมเลยใส่รวมไว้กับเอกสารของที่ทำงาน” ทุกคนรู้สึกโล่งอก เอ่ออย่างน้อยก็ลูน่ากับพ่อละนะ ล่อล่า เชฟฟอร์ดเดินกระแทกเท้าเข้าครัวไป เสียกระทะหมอไหกระแทกกัน นั้นทำให้สามีของเธอหน้าซีดได้ที่เดียว ลูน่าพอจะเดาได้ว่าอาหารเช้ามือสุดท้ายบนดาวอังคารคงจะไม่ค่อยโสภาชักเท่าไหร่
“ทุกคนประจำที่แล้วนะ” พ่อว่าพลางมองไปรอบๆ “จะมีใครเข้าห้องน้ำอะไรไหม”
“พ่อถามคำถามนี้ซ้ำรอบสองแล้วนะ” ลูน่าเอ่ยหน่ายๆ
“พวกคุณคงตื่นเต้น กับการเดินทางมากซินะครับ” คนขับรถที่ทางบริษัทส่งมาหัวเราะ “ผมนึกว่าผู้บริหารระดับสูงอย่างคุณต้องรักษามาดซะอีก”
“คนอดนอนคงมีมาดนักไม่ได้หรอกครับ” คนไม่มีมาดนักตอบ “อีกอย่างอยู่กับครอบครัวของอย่างนั้นไม่จำเป็นหรอกครับ” ผู้เป็นพ่อว่าพลางมองเบาะหลัง
“อ้อผมชื่อเกรนนะครับ เกรน พาร์เวล ผมจะอำนวยความสะดวกให้จนขึ้นเครื่องนะครับ”
เกรนนั้นเป็นคนช่างพูด ดูเหมือนพี่แกจะรู้จักทุกซอกทุกมุมบนดาวอังคาร “ผมเป็นขับเท็กซี่มาก่อน ต้องรู้จักที่เทียวทุกที่แหละครับ” พี่แกบรรยายสรรพคุณตัวเอง รถเล่นออกจากบ้านผ่านตัวเมืองที่ลูน่าคุ้นตา ไม่รู้เพราะอะไรลูน่ารู้สึกราวกับจะไม่ได้เห็นเมืองนี้อีก วิวทิวทัศข้างทางผ่านตาเธอไปเรื่อยๆ เหมือนหนังฉายซ้ำ สิ่งสุดท้ายที่รอลูน่าอยู่ตรงหน้าคือ ห้างสรรพสินค้าที่ใหญ่ที่สุดของดาวอังคารมาร์สเซ็นทรัน สิ่งที่ร้านรวงรอมรอบอยู่คือท่าอากาศยาน ที่จอดรถที่เกือบว่างเปล่า มีรถจอดอยู่ไม่กี่คันเท่านั้นผลจากการพัฒนาของระบบขนส่งมวนชลของดาวอังคาร คนส่วนมากจึงไม่ได้ใช้รถส่วนตัวนัก
ท่าอากาศยานภาคพื้นหรือสถานีขนส่งภาคพื้นนั้นใช้พื้นที่ไม่มากนักถ้าเทียบกับห้างสรรพสินค้าที่เป็นอาคารเดียวกัน ที่หน้าประตูทางเข้ามายุ มาอิ กับ เพื่อนอีก 2-3 คนยืนรอเธออยู่ เกรนนำพ่อกับแม่เข้าไปด้านในก่อนชะโงกหน้าออกมา “พวกเราจะรออยู่อยู่ข้างใน เดียวผมออกมารับคุณลูน่านะครับ” ทุกคนดูเหมือนจะมารอพวกเธออยู่นานแล้ว คำทักทายและคำล่ำลาถูกกล่าวขึ้นในเวลาเดียวกัน ลูน่าจับมือล่ำลาเพื่อนๆ ก่อนจะผ่านเข้าประตูก็มีเสียงมายุตะโกนไล่หลังมา “ไปโลกแล้วหาแฟนมาให้ได้นะ” ลูน่าได้แต่หันไปยิ้มให้เพื่อนรัก “ไว้ถ้าเจอฉันจะไม่บอกเธอแน่” เธอตะโกนกลับไปเสียงสั่น
หน้าทางผ่านขึ้นเครื่องมีเพียงพนักงานตรวจเอกสาร กับหมอเรียงกันอยู่เหมือนเคาร์เตอร์เก็บเงินประมาณ 20 ช่อง แต่วันนี้มีเพียงสามช่องที่เปิดใช้
“ลูกเรือของกาลาริออนหรือครับ” นายตรวจหัวล้านถามเสียงห้วน
“เปล่าครับผู้โดยสาร หนะครับ” นายเอกชัยตอบกลับ พลางควานหยิมเอกสารเดินทาง
“งานหรือท่องเทียวครับ” คำถามซ้ำถูกยิงออกมา ก่อนที่คนถูกถามจะตอบเขาก็หยุดอยู่ที่เอกสารใบหนึ่ง
“เด็กเกิดบนดาวอังคารหรือ” ว่าพลางจ่องหน้าลูน่าเป๋ง
“เอ่อหนูเกิดบนดวงจันทร์ ระหว่างที่พ่อกับแม่มาที่ดาวอังคารหนะคะ” เด็กสาวตอบกลับ
“ก็ยังถือว่าเป็นคนดาวอังคารแท้” เขาพูดพลางยิ้มจนริ้วรอยบนใบหน้าร่นขึ้น “ไปโลกครั้งแรกซินะ”
ลูน่าพยักหน้า
“ขอใช้โชคดีเดินทางโดยสวัสดิภาพ” ลูน่าขอบคุณเขาพลางก่อนจะเดินไปที่เทอร์มินอน
หลังจากผ่านการตรวจเลือดขั้นสุดท้ายเธอก็สังเกตเห็น ชายตาสีม่วงประหลาดนั้นที่เคยช่วยเธอไว้จากนักรบทมิฬคราวก่อน เขาหันมายิ้มให้เธอแวบหนึ่งก่อนหายไปในฝูงชน เธอพยายามแทรกผ่านบรรดาลูกเรือเพื่อตามเขาไป แล้วลูน่าสังเกตเห็นว่าชุดที่เขาใส่ว่าเป็นชุดลูกเรือกาลาริออน คงต้องได้เจอเขาอีกบนเครื่องไว้ค่อยหาเขาทีหลังก็ได้ ระหว่างที่เธอกำลังคิดแบบนั้นพ่อก็คว้าตัวเธอไว้ก่อน “เราต้องขึ้นเครื่องแล้วไปกันเถอะลูก” ว่าพลางดันตัวลูน่าไปที่ประตูกระสวย
ลูน่ามองไปรอบๆ กระสวย 12 ที่นั่ง เพื่อจะเจอเขา แต่ไม่พบจึงได้แต่นั่งลงข้างพ่อ แล้วเธอก็เพิ่งสังเกตว่าแม่ก็ไม่ได้อยู่ในกระสวยลำนี้ด้วย
“แม่ไปไหนแล้วละพ่อ” ลูน่าถามพลางหันซ้ายหันขวา
“อยู่กระสวยอีกลำ” พ่อว่าพลางเหลือบตามองหน้าลูกสาว
“ลูกเหมอมาแต่เมื่อกี้แล้วมีอะไรหรือเปล่า”
“เปล่าค่ะหนูแค่คิดเรื่องที่เพื่อนๆ มาส่งหนูเมื่อกี้” ลูน่าปด
“ลูกมีเพื่อนที่ดีรักษามันไว้นะ”
เด็กสาวนั่งเกร็งบนเก้าอี้ก่อนเครืองออก ลูน่าไม่ชอบนั่งกระสวยนี้เลยแม้เธอจะเคยขึ้นไปเพื่อตรวจยานลำเลียงกับพ่อหลายครั้งแต่แรงกดที่แม้ผ่านเครื่องปรับแรงดึงดูดมาแล้วทำให้เธอหายใจลำบากและรู้สึกไม่สบาย เป็นสิบนาทีที่ยาวนานก่อนจะหลุดจากชั้นบรรยากาศและขึ้นไปถึงสถานีอวกาศด้านบน ภาพเรือเดินอวกาศ ขนาดยักษ์ อย่างกาลาริออนประทับใจลูน่าเสมอ ยานเป็นทรงมนยาวดูคล้าย รถไฟสีขาวออกเทาเพียงแต่ตู่รถติดกันเป็นชิ้นเดียว หัวยานมนคล้ายหัวกระสุน ถ้าให้เทียบกับอะไรในยุคของเราคงเหมือนใครเอารถไฟฟ้าความเร็วสูงไปลอยไว้บนอวกาศ สมเป็นหนึ่งในสามความภาคภูมิใจของ M.I.N.E (บริษัทย์ที่พ่อลูน่าทำงานอยู่)
ลูน่าเดินผ่านทางสั้นๆ ของสถานีอวกาศผ่านห้องปรับความดันเข้าไปในยาน สู่โซนอยู่อาศัยซึ่งมีสภาพเหมือนเมืองย่อมๆ ส่วนอยู่อาศัยของยานลำนี้มีพื้นที่ประมาณ 2 ไร่ มีส่วนห้องพักสามชั้นซึ่งส่วนมากเป็นตู้นอน ไม่ใหญ่นัก ถัดห้องนั่งเล่นไปเป็นห้องน้ำรวม ห้องสรรทนาการ(จะว่าไปแล้วเหมือนเอาเกมเซ็นเตอร์กับฟิตเนสมารวมกัน นอกจากส่วนอยู่อาศัยแล้วก็ยังมีส่วนควบคุมยาน และส่วนที่เข้าไปไม่ได้คือส่วนคาร์โก้สินค้าที่ปกติไม่ได้มีการปรับความดันและเติมอากาศไว้
ปกติพ่อของลูน่าจะต้องไปตรวจสินค้าบริเวณคาร์โก้ แต่หนนี้พวกเขามาในฐานะผู้โดยสาร ลูกเรือคนหนึ่งนำนายเอกชัยและลูน่าไปยังส่วนที่พักรับรอง เป็นห้องที่หรู่หราทีเดียวสำหรับยานส่งสินค้าแบบกาลาริออน แม่รอลูน่าอยู่ในห้องก่อนแล้ว ดูเหมือนจะมีเตียงเสริมอีกหนึ่งเตียงสำหรับเธอในห้อง
“เดียวเขาจะเตรียมที่ห้องพักให้ลูกทีหลัง คืนนี้เราคงต้องอยู่รวมกันไปก่อน” ล่อล่าว่า ลูน่าพยักหน้ารับพลางกูลีกูจอช่วยผู้เป็นแม่เก็บของ พอทุกอย่างดูจะเข้าที่ดีแล้ว “เดียวหนูไปเดินดูรอบๆ ก่อนนะ” ว่าแล้วก็วางกระเป๋าลงบนเตียงแล้วก็ออกจากห้องไป ลูน่าเดินออกมายังไม่ทันพ้นประตูห้องดี ก็มีเสียงหนึ่งทักมา
“เป็นอย่างไรบ้าง ลูน่า เชฟฟอร์ด” ชายในชุดเสื้อนอกและกางเกงขายาวสีขาว
“สวัสดีคะกับตันเกรฮาว” เธอทักทายตอบกลับ
เชคสเปีย เกรฮาว กับตันยานกาลาริออนยังคงไว้เคราครึ้มเหมือนเมื่อ 2 ปีก่อนที่ลูน่าได้เจอ ต่างไปเพียงผมและเคลาสีเงินที่มากขึ้นเท่านั้น
“ชั้นคงรู้สึกแย่ถ้ายังหาห้องส่วนตัวให้เธอไม่ได้เร็วๆ นี้ แต่ฉันว่าเราน่าจะเตรียมได้ใน 2 วัน” กับตันว่า “ฉันไม่ได้รับแจ้งว่าพ่อกับแม่จะพาเธอมาด้วยจนเมื่อเช้า” เสียงกับตันแหบลงไปกว่าเดิมเล็กน้อย
ลูน่าไหวไหล่ “หนูไม่ถือหรอกคะกับตันก็รู้ แต่พ่อกับแม่หนูคงจะถือนิดหน่อย” เธอยิ้มกว้างให้กับตัน
“ฉันกำลังไปที่สะพานถ้าเธอไม่รังเกียจจะไปด้วยกันไหม”
ลูกเรือทุกคนจะยืนตรงเหมือนทำความเคารพทุกครั้งที่กับตัวเกรฮาวเดินผ่านไม่ว่าเขาจะทำงานอะไรอยู่ก็ตามแม้ที่สะพานทุกคนก็ยังยืนตรงเมื่อกับตันเข้าไป “วันนี้เรามีแขกมาทัศนะศึกษา แสดงงานของมืออาชีพให้หนูน้อยของเราดูหน่อย” เกรฮาวพูดเสียงดังอย่างวางอำนาจ ก่อนก้มลงมายิ้มให้ลูน่า เธอยืนดูการทำงานอยู่ข้างกับตันซึ่ง คอยถามพิกัดต้นหนครั้งสุดท้ายก่อนยานออก เสียงเตือนการออกยานดังไปทั่วให้ทุกคนประจำที่ จนเสียงเตือนหมดไป ลูน่าจึงลุกออกจากที่นั่งสำรอง การทำงานในสะพานนั้นเรียบง่าย กับตันจะคอยถามและออกคำสั่งในช่วงแรก แต่เมื่อยานออกมาพ้นสถานีทุกอย่างก็ดูจะกลายเป็นปกติ
“ลูน่า เชฟฟอร์ดใช้ไหมครับ” เสียงที่ฟังดูเด็ก และสดใสดังมาจากด้านข้าง ลูน่าหันไปมองพบเด็กชาย อายุ ประมาณ 13-14 เตี้ยกว่าลูน่าเล็กน้อย ผมสีเขียวสดในและตาสีเดียวกัน แปลกที่เขามีผ้าปิดตาข้างขวาเอาไว้ เธอทำเพียงพยักหน้าตอบ “ผม ริน ลีโอนาด เป็นเด็กทำงานจิปาถะบนสะพานนี้”
“ยินดีที่รู้จักลูน่าตอบ ไม่ยักรู้ว่าเขารับลูกเรือตัวเท่านี้ด้วย” ลูน่าตอบกลับ
“ผมกับในตาสีฟ้าสดใสและผีปากอันกล้าแข็ง ลูน่า เชฟฟอร์ด ที่กับตันเล่าให้ฟังแน่นอนไม่ต้องสงสัย” แม้จะยิ้มแต่แววตามีความขุ่นเคืองฉายอยู่ “ถึงผมจะไม่สูงนักแต่ผมก็แก่กว่าคุณหลา....” ก่อนจะพูดจบกับตันก็ตะโกนออกมา “เจ้าลิงทโมน ไปชงกาแฟมาให้ฉันหน่อย” ว่าแล้วเจ้าจ๋อก็ต้องกูลีกูจอไปทำตามคำสั่งก่อนที่จะได้ต่อล้อต่อเถียงกับลูน่า
นอกจากตอนนอนแล้วลูน่าไม่ค่อยได้อยู่ในห้องพัก ยานขนาดใหญ่กาลาลิออนมีที่ให้เดินสำรวจมากมาย เธอจึงหมดเวลาใน 2-3 วันแรกสำรวจดูโนนนี้ในยาน แต่สิ่งที่ลูน่าต้องการหาจริงๆ กลับหายหัวไปอยู่ไหนก็ไม่รู้ เธอชักไม่มั้นใจว่าผู้ชายที่เคยช่วยชีวิตเธอไว้อยู่บนยานลำนี้ แต่ถ้าอยู่ก็คงมีที่เดียวคือในห้องเครื่องที่เธอไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าไป
“อรุณสวัสดิ์” เจ้าลิงกล่าวทักทายเสียงใส “สวัสดี” ลูน่ากล่าวทักทายตอบ ถ้าไม่นับการแนะนำตัวที่ไม่ดีนักของทั้งคู่ การที่มีรินอยู่ที่นี้ก็ช่วยแก่เบื่อให้ลูน่าไม่น้อย ทุกครั้งที่ว่างรินจะมาหาเธอเสมอ เล่าเรื่องความเป็นไปในยานวันนี้ให้ลูน่าฟัง แทบจะทุกครั้งที่ลูน่าอยู่ในโรงอาหารต้องมีรินนั่งอยู่ข้างๆ เสมอ จนบางทีลูน่าเองก็แอบรำคาญนิดๆ ด้วยซ้ำ
ลูน่ามองดูสภาพมอมเหมือนลูกหมาของหนุ่มน้อยที่อยู่ตรงหน้า ลูกหมาเป็นคำที่เหมาะมากสำหรับนาย ริน ลีโอนาร์ท คนนี้เพราะพี่แกหน้าตาน่ารักจนน่าเอามากอดเล่น ผมสีเขียวกับตาเป็นประกาย สีเดียวกัน ใครจะเชื่อว่าชายที่ดูเหมือนเด็กน้อยคนนี้อายุมากกว่าลูน่าถึงหกปี
“อือหือ มอมขนาดนี้ไปทำอะไรมาละเนี่ย”
“ไปช่วยงานเขาในห้องเครืองนิดหน่อย” รินว่าพลางสำรวจดูสภาพตัวเอง “สงสัยต้องไปอาบน้ำก่อนละมั้ง”
ห้องเครื่องลูน่าคิดถึงเรืองชายหนุ่มที่เธอตามหาอยู่ เธอคว้าคอรินเข้าใกล้ แก้มเกือบจะชนกันแบบนี้ ทำให้หน้ารินร้อนผ่าว “มีอะไรเล่า” เจ้าคนตัวเล็กกว่าร้องเสียงหลง
“นี้ริน ที่ห้องเครืองมีผู้ชายอายุประมาณ 18-19 สูงกว่าฉันนิดหน่อย ผมสีน้ำตาลตาสีฟ้าไหม” คำถามที่เบาแทบเป็นเสียงกระซิบ
หลังจากที่เสือกเอาตัวออกมาจากวงแขนนั้นได้ รินก็ทำท่าเหมือนครุ่นคิดไปพักนึง ก่อนที่จะหันมามองลูน่าด้วยท่าทางจริงจังไม่เหมือนรินตามปกติ
“ฮาบิน เจสเตอร์” รินกล่าวออกมาเหมือนพูดลอยๆ พร้อมถอนใจน้อยๆ ที่ลูน่าสังเกตเห็น
“เธอรู้จัก” รินพยักหน้ารับ
“หมอนั้นเป็นเพื่อนของฉันเอง” รินพูดด้วยท่าทางเซ็งสุดๆ “อยากเจอหมอนั่นหรือ”
ลูน่าส่งเสียงอืมในลำคอแทนการตอบรับ
“พรุ่งนี้ตอนกลางวันที่โรงอาหารแล้วกัน”
เด็กสาวใจเต้นรั่วแต่ไม่อยากเสียฟอร์มต่อหน้าเจ้าหนูเธอจึงต้องผยายามเก็บอารมห์ไว้ก่อนจะกล่าวขอบคุณแล้วเดินตัวแข็งทือจากไป“พรุ่งนี้ตอนกลางวันที่โรงอาหารแล้วกัน”
ลูน่าตื่นขึ้นมาเกือบสิบโมง ปกติเธอไม่เคยนอนตื่นสายแบบนี้แต่เพราะเมื่อคืนเธอนอนไม่ค่อยหลับ ครั้งสุดท้ายที่เธอดูนาฬิกาก็เกือบตีสองเข้าไปแล้ว เธอรู้สึกตื่นเต้นเล็กน้อยกับการที่จะได้เจอ ฮาบินเจสเตอร์ผู้ที่เคยช่วยชีวิตเธอไว้ ครั้งก่อนที่เจอกันเธอยังแทบไม่ได้พูดกับเขาเลย “เขาจะเป็นคนยังไงก็ยังไม่รู้เลย” เธอพูดกับตัวเองเพื่อจะได้สงบอารมห์ลงบ้าง
หลังจากล้างหน้าแปลงฟันแล้วลูน่าก็ตรงไปที่โรงอาหาร “เช้านี้เป็นอย่างไรบ้างสาวน้อย” หญิงอ้วนที่อยู่หลังเคาร์เตอร์ถาม “ก็ดีคะมาธา” ลูน่ายิ้มให้ มาธาเป็นหัวหน้าแม่ครัวประจำยานทำอาหารเลียงคนเกือบ 300 คนบนยานนี้ “ไอ้ที่อยู่นั้นหนะยกมาเร็วหน่อยไม่ได้หรือ จะรอให้ยานถึงโลกก่อนค่อยทำให้เสร็จหรือไง” มาธาตะโกนสั่งลูกมือของเธอ แม้ฝีมือทำกับข้าวจะยอดเยียมแต่ปากของมาธานั้นทำงานเร็วกว่าสมองเสมอ
“จะรับอะไรดีเจ้าหญิง” แม่ครัวหันมาถามพร้อมรอยยิ้ม
“เอ่อเอาเป็นไข่ลวกละกันคะกับ....”
“กับขนมปังปิ้งแล้วก็กาแฟ เธอกับพ่อนี้กินเหมือนกันเปี๊ยบ” มาธาต่อให้เสร็จ “ตั้งแต่เธอกับรินมาอยู่บนยาน ที่นี้ก็ดูสดใสขึ้นเยอะเลย ปกติมีแต่พวกถึกเถื่อนเป็นโคแนน” มาธาว่าต่อก่อนจะชะเงอมองข้ามหลังลูน่าไป “พวกเธอคงอายุยืนแน่ ว่ายังไม่ทันขาดคำอีกคนก็มาพอดี”
รินเข้ามายืนข้างทันที หัวยุ่งเหยิงเป็นหลักฐานว่าเพิ่งลุกมาจากที่นอน “บะหมี่ เย็น” รินพูดด้วยเสียงสะลึมสะลือ
“เมื่อคืนนอนดึกหรือไง” ลูน่าว่าพลางถองคนที่ยังไม่ตื่นดี
“ช่วยกับตันจัดเอกสาร จนดึกเลย” หนุ่มน้อยว่าพลางฮาววอดใหญ่
ลูน่ายังคงมองรินไม่วางตา
“เธอได้เจอเขาแน่น่า” คนถูกจ่องกล่าวก่อนจะยกถาดอาหารออกไป
ลูน่ายกถาดใส่ไข่ลวกตามรินไปติดก่อนที่จะนั่งลงข้างๆ ริน “แปลกแหะ” เจ้าตัวดีว่าพลางมองด้วยสายตาเจ้าเล่ห์ “ปกติฉันต้องเป็นคนค่อยเข้าไปหาเธอ จนเธอเดินหนีด้วยซ้ำ” ลูน่าเกือบจะแสดงท่าทางไม่พอใจในสิ่งที่เจ้าลิงพูดออกมา เสียแต่ว่าเธอไม่ควรทำอะไรให้เขาไม่พอใจตอนนี้
“คุณเจสเตอร์ เป็นคนยังไงหรือริน” ลูน่าถามลอยๆ
“เจสหนะหรือ” รินกอดอกอย่างครุ่นคิด “เป็นคนไม่ค่อยพูด คบยาก ไม่ค่อยมีมนุษย์สัมพันธ์ แท่งไอติมเดินได้ดีๆ เลยหละ” รินหยุดไปพักหนึ่งก่อนว่าต่อ “แต่ก็เป็นคนเก่งและพึ่งพาได้เสมอยามลำบาก ไม่ยอมแพ้อะไร และถึงจะไม่แสดงออกก็นับว่าเป็นคนมีน้ำใจคนหนึ่ง” ระหว่างที่รินพูดลูน่าสังเกตุ ได้ถึงสีหน้าที่ผ่อนคลายร่าวกับรินกำลังพูดถึงคนในครอบครัว
รินพูดยังไม่ทันขาดคำมือข้างหนึ่งก็ขยี่ลงมาบนหัว ลูน่าหันไปมองผู้กระทำทันที ภาพที่อยู่ตรงหน้าคือคนที่เธออยากเจอมาตลอดสองสัปดาห์ที่ผ่านมา ฮาบิน เจสเตอร์ มองหน้าลูน่าด้วยรอยยิ้ม แต่เป็นรอยยิ้มที่ดูแห้งแล้งจนหน้าหนาวใจ
“ยินดีที่ได้พบกันอีกเจ้าหญิง” ฮาบิน เจสเตอร์ทักทาย “ผมชื่อ...”
“ฮาบิน เจสเตอร์ ฉันทราบแล้วคะ ลูน่า เชพฟอร์ด ยินดีที่รู้จักคะ”
“กรุณาเรียกผมว่า เจส ดีกว่าครับ” ชายหนุมกล่าวตอบ
ลูน่าไม่เข้าใจตนเองนักว่าทำไมต้องสุภาพขนาดนั้น ทั้งๆ เขาก็เป็นเพื่อนรินไม่ใช้หรือไง แต่คงเป็นเพราะบรรยากาศหนักๆที่ล้อมรอบชายคนนี้ที่ทำให้เธอพูดไปแบบนั้นก็ได้
เดียวกันนั้นเองที่กาลาลิออนก็สั่นอย่างควบคุมไม่ได้ ชั่วเวลาแป๊บเดียวไม่มีใครทันตั้งตัวหรือกระทั้งรู้ตัวด้วยซ้ำแสงระเบิดก็วาบไปทั่วยาน แล้วยานก็ถูกฉีกออกด้วยพลังบางอย่างที่มองไม่เห็น ลูน่าถูกแรงระเบิดลูกหนึ่งพลักออกไปทางรอยแตกของยาน เธอลอยคว้างในห่วงอวกาศ แรงดันในร่างที่กำลังพยายามหาทางออกแทบจะฉีกร่างของเด็กสาวออกมา ระหว่างที่เธอคิดว่าเธอกำลังจะตาย ภาพสุดท้ายที่ลอยอยู่ตรงหน้าคือ เจสที่กำลังกระโจนมาหาเธอ
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น