ลำดับตอนที่ #1
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : พ่อมดกับสัตว์ประหลาด
Chapter 1
พ่อมดกับสัตว์ประหลาด
แสงแดดรำไร ภายในสวนสาธารณะเหนือขึ้นไป เป็นโดมแก้วขนาดใหญ่ที่ถูกสร้างขึ้นเพื่อครอบต้นไม้ใบหญ้าจาก สภาพอากาศที่เลวร้ายของดาวอังคาร แม้ว่ามนุษย์จะมาตั้งรกรากอยู่บนดาวพระเคราะห์แดงนี้กว่า 100 ปีแล้ว แต่ก็ยังไม่สามารถทำให้ดาวที่ตายนี้คืนชีพได้ ทำได้เพียงขยายโดมที่อยู่อาศัยออกไปเรื่อยๆ เท่านั้น ผู้คนที่อาศัยบนดาวอังคารถ้าไม่ใช้พวก คนงานเหมืองก็เป็นพวกที่ทำงานขนส่งแร่หรือมาติดต่อค้าขาย ตัวเมืองเต็มไปด้วยสถานเทียวกลางคืน ที่ๆจะให้เด็กสาวอายุ 16 อย่าง ลูน่า เซฟฟอร์ด ไปเทียวฆ่าเวลาได้นั้น คงมีเพียงแค่ สวนสาธารณะนี้กับห้างสรรพสินค้าข้างสนามบินเท่านั้น
ลูน่า เป็นเด็กสาวอายุ 16 ที่ดูเป็นสาวกว่าเด็กรุ่นเดียวกัน ผมยาวสีฟ้าเป็นประกายสะทอนแสงอาทิตย์เสมอ นอกจากสีผมแล้ว ตาสีฟ้าใสจนแทบส่องสวางในยามค่ำคืนทำให้เธอเป็นที่ดึงดูดสายตาของหนุ่มๆ เสมอแม้ว่าเธอเองไม่ค่อยจะสนใจเพศตรงข้ามมากนักอย่างเด็กสาวรุ่นเดียวกัน เธอคิดว่าเป็นโชคดีของเธอที่อย่างน้อยได้มีบ้านอยู่บนอัพทาว อย่างน้อยเธอก็ได้เดินผ่านสวนสาธารณะนี้กลับบ้านทุกวันอันเป็นที่แห่งเดียวในดาวที่แห้งแล้งดวงนี้ที่มีสีเขียวร่มรื่นถ้าไม่นับส่วนเกษตรกรรม
ลูน่ายกนาฬิกาขึ้นมาดู เธอถอนใจเพราะใกล้จะ 4 โมงเย็นแล้วเธอต้องรีบกลับบ้านเพราะเดี๋ยวก่อนที่จะเย็นเกินไป แต่ระหว่างที่เธอลุกขึ้น เธอก็เหลือบไปเห็นชายคนนั้น ผู้ชายที่ดูแก่กว่าเธอนิดหน่อย ผมสีน้ำตาล ดวงตาสีม่วงจนแทบทอประกายคล้ายกับตาสีฟ้าของเธอ ทันทีที่สบตา เด็กหนุ่มยิ้ม พลางพยักหน้าทักเธอ นี้เป็นครั้งแรกที่เธอหน้ารู้สึกเขินอายจากการจ้องมองของเพศตรงข้าม ชายหนุ่มที่ดูราวกับมีแรงดึงดูด เธอหลบตาด้วยความเขินอายพลางคิดว่า เขาจะเห็นว่าเธอหน้าแดงไหม เธอเงยหน้าขึ้นเพื่อจะเอ่ยทักทาย แต่ชายคนนั้นหายไปแล้ว ลูน่ากำลังงงๆ กับเหตุการณ์การปรากฏตัวของชายหนุ่มเมื่อครู่ก่อนจะตั้งสติได้และเดินกลับบ้าน หวังว่าเธอจะมาเจอเขาที่สวนสาธารณะอีกในวันพรุ่งนี้
เธอเดินฮัมเพลงไปเบาๆ ตามถนน จากสวนสาธารณะ สู่ยานร้านค้าบริเวณอัพทาว ร้าน แบรนเนมแทบทุกร้านที่มีบนโลกแทบจะขนกันมาอยู่ในบริเวณนี้ แสดงให้เห็นว่าฐานะของคนบริเวณนี้ดีกว่า ที่อื่นๆ บนดาวอังคาร ภัตตาคาร มากมายอยู่ 2 ข้างทาง อัพทาว เป็นที่แรกที่คนจะเจอหลังออกมาจากท่าอากาศยาน เป็นโดมที่ 3 ต่อจาก โดมขุดเจาะและที่พักอาศัยคนงานที่ถูกสร้างขึ้นบนดาวดวงนี้ ประชากรในอัพทาวมีประมาณ 15000 คน จากคนทั้งหมดกว่าล้านคนบนดาวที่ตายแล้วดวงนี้ ความพยายามที่ไร้ผลมากมายในช่วงร้อยปีหลังที่จะจุดแกนน้ำแข็งของดาวนี้ขึ้นมาใหม่ ลูน่าเองก็ยังสงสัยว่าแม้งานเหล่านี้จะไม่สำเร็จแต่คนก็ยั่งย้ายมาตั้งรกรากอยู่เรือยๆ
ประตูอัตโนมัติเลื่อนออกไปเบาพร้อมกับเสียงทักทายเป็นภาษาอีเล็กโทรนิค “ยินดีต้อนรับ ลูน่า” เซฟานี่ เป็นคอมพิวเตอร์ประจำบ้านเธอมาตั้งแต่เธอจำความได้ ไม่มีเรื่องประทับใจเรื่องไหนที่เธอไม่เล่าให้หล่อนฟัง เธอรู้สึกราว เซฟานี่เป็นญาติสนิทคนหนึ่ง “ฉันชักเป็นห่วงที่เธอไปนั่งเหมอลอยที่สวนสาธารณะนั้นทุกวันในช่วงปีหลังนี้ มีอะไรในใจหรือเปล่า” คอมพิวเตอร์ถามอย่างเป็นห่วง ลูน่ามองไปยังเซ้นเซอร์รับภาพที่อยู่ตรงหน้า พลางยิ้มอย่างปลงๆ “จำได้ไหมที่บางครั้งฉันเล่าให้ฟังว่าฉันรู้สึกแปลกแยก จากคนอื่น หนะ” เธอถาม แต่ไม่มีคำตอบจากเจาตู้ที่อยู่กลางบ้านนั้น “พักนี้ความรู้สึกนั้นมันรุ่นแรงขึ้นทุกที ฉันนั่งเหมอลอยบ่อย จนเพื่อนๆ ทักเลยละ” ลูน่าทิ้งตัวเธอและกระเป๋าหนังสือลงโซฟาด้วยท่าทางหงุดหงิด ก่อนที่คุณนายเซฟฟอร์ดจะเดินเข้ามาในห้อง “กุลสตรีไม่ควร โยนตัวเองไปมาแบบนั้นนะลูก” คุณนายกล่าว แม้น ลูน่าจะไม่ใช้ลูกแท้ๆ ของลอล่า เซฟฟอร์ด แต่เธอก็ค่อยดูแล เด็กสาวอย่างไม่บกพร่อง เธอเป็นคนตั้งชื่อให้ ลูน่า เพราะเธอพบลูน่าที่สถานพักเด็กอ่อนไร้ญาติบนดวงจันทร์ระหว่างที่เดินทางมาดาวอังคารนี้กับสามี เอกชัย เชฟฟอร์ด ลูกครึ่งไทย อังกฤษ เด็กสาวตรงเข้ากอดแม่ พลางเล่าเรื่องชายหนุ่มที่เธอเจอให้ฟัง ลอล่ายิ้มให้ลูกสาวอย่างกึ่งเอ็นดูกึ่งเป็นห่วง “พึ่งเคยได้ยินลูกมองหนุ่มปกติ เห็นบ่นแต่เรืองรำคาญหนุ่มมาจีบ แต่ก็นะรักแรกพบนะโดยมากมักจะไม่สมหวังนะลูก ดังนั้นอย่าไปหวังอะไรกับมันมากดีกว่า” เธอยิ้มให้ลูกสาว แต่ลูน่าทำหน้านิ้ว “หนูยังไม่ได้บอกซักหน่อยว่าหนูปิ๊งเขา หนูแค่คิดว่าเขาหล่อดี” ว่าพลางคว้ากระเป๋าเดินขึ้นห้องนอนไป
“....น่า ลูน่า” เสียงเซฟานี่เรียกเสียงค่อนข้างดังแต่นุ่มนวล ราวกับว่าเธอไม่อยากให้ลู่น่าสะดุ้งตื่น ลู่น่าปรือตาขึ้นมองไปรอบห้อง เธอ เผลอหลับไปตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ แต่ขณะนี้อาการเวียนหัว หลังตื่น กำลังเล่นงานเธอ
“ต้องลุกเดียวนี้” ลูน่าพูดกับตัวเอง พลางยกตัวขึ้นจากที่นอน
“คุณผู้ชายกลับมาแล้ว” คอมพิวเตอร์แม่บ้านกล่าว “แต่คุณควรจะหวีผมซักหน่อยก่อนลงไปนะ”
พ่อมดกับสัตว์ประหลาด
แสงแดดรำไร ภายในสวนสาธารณะเหนือขึ้นไป เป็นโดมแก้วขนาดใหญ่ที่ถูกสร้างขึ้นเพื่อครอบต้นไม้ใบหญ้าจาก สภาพอากาศที่เลวร้ายของดาวอังคาร แม้ว่ามนุษย์จะมาตั้งรกรากอยู่บนดาวพระเคราะห์แดงนี้กว่า 100 ปีแล้ว แต่ก็ยังไม่สามารถทำให้ดาวที่ตายนี้คืนชีพได้ ทำได้เพียงขยายโดมที่อยู่อาศัยออกไปเรื่อยๆ เท่านั้น ผู้คนที่อาศัยบนดาวอังคารถ้าไม่ใช้พวก คนงานเหมืองก็เป็นพวกที่ทำงานขนส่งแร่หรือมาติดต่อค้าขาย ตัวเมืองเต็มไปด้วยสถานเทียวกลางคืน ที่ๆจะให้เด็กสาวอายุ 16 อย่าง ลูน่า เซฟฟอร์ด ไปเทียวฆ่าเวลาได้นั้น คงมีเพียงแค่ สวนสาธารณะนี้กับห้างสรรพสินค้าข้างสนามบินเท่านั้น
ลูน่า เป็นเด็กสาวอายุ 16 ที่ดูเป็นสาวกว่าเด็กรุ่นเดียวกัน ผมยาวสีฟ้าเป็นประกายสะทอนแสงอาทิตย์เสมอ นอกจากสีผมแล้ว ตาสีฟ้าใสจนแทบส่องสวางในยามค่ำคืนทำให้เธอเป็นที่ดึงดูดสายตาของหนุ่มๆ เสมอแม้ว่าเธอเองไม่ค่อยจะสนใจเพศตรงข้ามมากนักอย่างเด็กสาวรุ่นเดียวกัน เธอคิดว่าเป็นโชคดีของเธอที่อย่างน้อยได้มีบ้านอยู่บนอัพทาว อย่างน้อยเธอก็ได้เดินผ่านสวนสาธารณะนี้กลับบ้านทุกวันอันเป็นที่แห่งเดียวในดาวที่แห้งแล้งดวงนี้ที่มีสีเขียวร่มรื่นถ้าไม่นับส่วนเกษตรกรรม
ลูน่ายกนาฬิกาขึ้นมาดู เธอถอนใจเพราะใกล้จะ 4 โมงเย็นแล้วเธอต้องรีบกลับบ้านเพราะเดี๋ยวก่อนที่จะเย็นเกินไป แต่ระหว่างที่เธอลุกขึ้น เธอก็เหลือบไปเห็นชายคนนั้น ผู้ชายที่ดูแก่กว่าเธอนิดหน่อย ผมสีน้ำตาล ดวงตาสีม่วงจนแทบทอประกายคล้ายกับตาสีฟ้าของเธอ ทันทีที่สบตา เด็กหนุ่มยิ้ม พลางพยักหน้าทักเธอ นี้เป็นครั้งแรกที่เธอหน้ารู้สึกเขินอายจากการจ้องมองของเพศตรงข้าม ชายหนุ่มที่ดูราวกับมีแรงดึงดูด เธอหลบตาด้วยความเขินอายพลางคิดว่า เขาจะเห็นว่าเธอหน้าแดงไหม เธอเงยหน้าขึ้นเพื่อจะเอ่ยทักทาย แต่ชายคนนั้นหายไปแล้ว ลูน่ากำลังงงๆ กับเหตุการณ์การปรากฏตัวของชายหนุ่มเมื่อครู่ก่อนจะตั้งสติได้และเดินกลับบ้าน หวังว่าเธอจะมาเจอเขาที่สวนสาธารณะอีกในวันพรุ่งนี้
เธอเดินฮัมเพลงไปเบาๆ ตามถนน จากสวนสาธารณะ สู่ยานร้านค้าบริเวณอัพทาว ร้าน แบรนเนมแทบทุกร้านที่มีบนโลกแทบจะขนกันมาอยู่ในบริเวณนี้ แสดงให้เห็นว่าฐานะของคนบริเวณนี้ดีกว่า ที่อื่นๆ บนดาวอังคาร ภัตตาคาร มากมายอยู่ 2 ข้างทาง อัพทาว เป็นที่แรกที่คนจะเจอหลังออกมาจากท่าอากาศยาน เป็นโดมที่ 3 ต่อจาก โดมขุดเจาะและที่พักอาศัยคนงานที่ถูกสร้างขึ้นบนดาวดวงนี้ ประชากรในอัพทาวมีประมาณ 15000 คน จากคนทั้งหมดกว่าล้านคนบนดาวที่ตายแล้วดวงนี้ ความพยายามที่ไร้ผลมากมายในช่วงร้อยปีหลังที่จะจุดแกนน้ำแข็งของดาวนี้ขึ้นมาใหม่ ลูน่าเองก็ยังสงสัยว่าแม้งานเหล่านี้จะไม่สำเร็จแต่คนก็ยั่งย้ายมาตั้งรกรากอยู่เรือยๆ
ประตูอัตโนมัติเลื่อนออกไปเบาพร้อมกับเสียงทักทายเป็นภาษาอีเล็กโทรนิค “ยินดีต้อนรับ ลูน่า” เซฟานี่ เป็นคอมพิวเตอร์ประจำบ้านเธอมาตั้งแต่เธอจำความได้ ไม่มีเรื่องประทับใจเรื่องไหนที่เธอไม่เล่าให้หล่อนฟัง เธอรู้สึกราว เซฟานี่เป็นญาติสนิทคนหนึ่ง “ฉันชักเป็นห่วงที่เธอไปนั่งเหมอลอยที่สวนสาธารณะนั้นทุกวันในช่วงปีหลังนี้ มีอะไรในใจหรือเปล่า” คอมพิวเตอร์ถามอย่างเป็นห่วง ลูน่ามองไปยังเซ้นเซอร์รับภาพที่อยู่ตรงหน้า พลางยิ้มอย่างปลงๆ “จำได้ไหมที่บางครั้งฉันเล่าให้ฟังว่าฉันรู้สึกแปลกแยก จากคนอื่น หนะ” เธอถาม แต่ไม่มีคำตอบจากเจาตู้ที่อยู่กลางบ้านนั้น “พักนี้ความรู้สึกนั้นมันรุ่นแรงขึ้นทุกที ฉันนั่งเหมอลอยบ่อย จนเพื่อนๆ ทักเลยละ” ลูน่าทิ้งตัวเธอและกระเป๋าหนังสือลงโซฟาด้วยท่าทางหงุดหงิด ก่อนที่คุณนายเซฟฟอร์ดจะเดินเข้ามาในห้อง “กุลสตรีไม่ควร โยนตัวเองไปมาแบบนั้นนะลูก” คุณนายกล่าว แม้น ลูน่าจะไม่ใช้ลูกแท้ๆ ของลอล่า เซฟฟอร์ด แต่เธอก็ค่อยดูแล เด็กสาวอย่างไม่บกพร่อง เธอเป็นคนตั้งชื่อให้ ลูน่า เพราะเธอพบลูน่าที่สถานพักเด็กอ่อนไร้ญาติบนดวงจันทร์ระหว่างที่เดินทางมาดาวอังคารนี้กับสามี เอกชัย เชฟฟอร์ด ลูกครึ่งไทย อังกฤษ เด็กสาวตรงเข้ากอดแม่ พลางเล่าเรื่องชายหนุ่มที่เธอเจอให้ฟัง ลอล่ายิ้มให้ลูกสาวอย่างกึ่งเอ็นดูกึ่งเป็นห่วง “พึ่งเคยได้ยินลูกมองหนุ่มปกติ เห็นบ่นแต่เรืองรำคาญหนุ่มมาจีบ แต่ก็นะรักแรกพบนะโดยมากมักจะไม่สมหวังนะลูก ดังนั้นอย่าไปหวังอะไรกับมันมากดีกว่า” เธอยิ้มให้ลูกสาว แต่ลูน่าทำหน้านิ้ว “หนูยังไม่ได้บอกซักหน่อยว่าหนูปิ๊งเขา หนูแค่คิดว่าเขาหล่อดี” ว่าพลางคว้ากระเป๋าเดินขึ้นห้องนอนไป
“....น่า ลูน่า” เสียงเซฟานี่เรียกเสียงค่อนข้างดังแต่นุ่มนวล ราวกับว่าเธอไม่อยากให้ลู่น่าสะดุ้งตื่น ลู่น่าปรือตาขึ้นมองไปรอบห้อง เธอ เผลอหลับไปตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ แต่ขณะนี้อาการเวียนหัว หลังตื่น กำลังเล่นงานเธอ
“ต้องลุกเดียวนี้” ลูน่าพูดกับตัวเอง พลางยกตัวขึ้นจากที่นอน
“คุณผู้ชายกลับมาแล้ว” คอมพิวเตอร์แม่บ้านกล่าว “แต่คุณควรจะหวีผมซักหน่อยก่อนลงไปนะ”
ลูน่าดูภาพตัวเองที่กำลังหัวชี่โด่เด่ได้ที่ในกระจก เธอคว้าหวี่มาหวี่ผมลวกๆ 2 -3 ที ข้างล่างสำรับกับข้าวเตรียมไว้ อย่างดีราวกับมีงานฉลอง ลูน่ามองไปที่โต๊ะ อาหารอย่าง งงๆ พ่อนั่งอยู่ที่หัวโต๊ะยิ้มให้เธอ “ฉลองเรื่องอะไรหรือคะพ่อ” เธอถามพลางกวาดตามองอาหารบนโต๊ะ ครั้งสุดท้ายที่เธอเห็นอาหารแบบนี้คือวันที่พ่อได้เลื่อนตำแหน่งเมื่อปีกลาย “ยังไม่ถึงปีเขาเลื่อนตำแหน่งให้พ่ออีกแล้วหรือ”นายเชฟฟอร์ดหัวเราะกับปฏิกิริยาของลูกสาว
“พ่อฉลองเรืองที่เรากำลังจะไปเที่ยวกัน” ผู้เป็นพ่อพูด
“ไปเที่ยว?? นี่เราจะไปไหนกัน” เธอมองพ่อด้วยสายตางงๆ
“โลกไง”
“โลก! แต่นี้ยังไม่ถึงปีที่มีเรือโดยสารนี้คะพ่อ”
ลูน่ารู้ดีว่าช่วงเดือนนี้ของปีนี้เป็นช่วงที่มีการขนส่งสินค้าไปยังโลก แต่เรือที่บรรทุกผู้โดยสารเที่ยวต่อไปยังต้องรออีก 2 ปีกว่า
“ที่บริษัทเขาสงพ่อไปเป็นตัวแทนติดต่องานที่โลก เขาให้เราไปกับเรือขนส่งแร่ของทางบริษัท” พ่อวางหนังสือพิมพ์ไว้บนโต๊ะ “เป็นโอกาสดีที่ลูกจะได้ไปเจอญาติของพ่อกับแม่ที่โลก” คนแรกที่ลูน่าคิดถึงคือคุณยายของเธอที่เธอเคยเห็นผ่านทางจดหมายเท่านั้น
ลูน่าไม่เคยน้อยใจเรื๋องที่ตัวเองเป็นลูกบุญธรรมแต่อย่างไร พ่อและแม่ของเธอทั้ง 2 คน ดูแลเธอมาอย่างดีพวกเขาไม่เคยพูดแม้เวลาโกรธว่าเธอไม่ใช้เลือดเนื้อพวกเขา พวกเขาเล่าเรื่องวันที่เจอเธอที่สถานเลี้ยงเด็กราวกับเป็นวันที่ลอล่าให้กำเนิดเธอด้วยตัวเอง นั้นทำให้เธอไม่เคยคิดอยากจะเจอพ่อแม่ที่แท้จริงเลยซักครั้ง
“เด็กคนนั้นต้องใช้แน่”แม่บอก “เห็นปั๊บแม่ก็รู้เลยว่าต้องรับลูกมาอยู่กับเราให้ได้” อีกครั้งที่เรื๋องนี้ถูกเล่าระหว่างที่ พวกเขากำลังคุยเกี่ยวกับการไปเจอคุณยายที่โลก แล้วก็วกมาเรื่องที่ยากแค่ไหนที่จะอธิบายให้คุณยายฟังผ่านทางโทรศัพท์ แล้วก็วกมาเรืองวันที่เจอเธอที่สถานเลี้ยงเด็กในวันที่ 13 มิถุนายน 16 ปีก่อน ตอนกลางดึก “แม่ไม่เคยเห็นเด็กทารกที่ไหนสวย เท่าลูก มีตาสีฟ้าเป็นประกายสดใส ขนาดนั้น” แม่ยิ้ม “อีก 2 เดือนก็จะวันเกิดลูกแล้ว เราคงได้ฉลองกับคุณยายบนโลก ท่านอยากคุยกับลูกโดยตรงมานานแล้วนะ” แม่ว่าทำเสียงเหมือนจะร้องไห้ การวางแผนไปโลกอย่างเร่งด่วนใน 1 อาทิตย์ดูท่าจะวุ่นวายน่าดู อาหารหมดลงอย่างรวดเร็ว ก่อนที่ใครจะทันสังเกตเสียอีก และตามด้วย พุดดิงทาร์ต ฝีมือคุณแม่ อาหารมื้อนี้คงเป็นความทรงจำที่ดีอีกอย่างก่อนจากดาวดวงนี้ไปถึงหนึ่งปี
ลู่น่าคงต้องลดความอ้วนไปอีกหลายวัน หลังอาหารมื้อนี้ ตาสีฟ้าส่องประกายในความมืด นอกเหนือจากไฟ LCD ที่เซ็นเซอร์ของเซฟานี่ การไปโลกคงเป็นมากกว่าการไปเที่ยวแต่คงเป็นการพักอาศัยชั่วคราวเลยทีเดียว เธอคิดถึงชายตาสีม่วงที่เธอเจฮวันนี้ เราคงได้ทำความรู้จักกับเขาก่อนจะไปเธอคิด เขาให้ความรู้สึกคุ้นเคยกับเธออย่างประหลาดเหมือนเพื่อนที่ไม่เจอกันนาน แต่เธอนึกไม่ออกว่าเธอเคยรู้จักกับใครที่สีตาและผมแบบนั้น ห่วงความคิดเปลี่ยนเป็นความฝันโดยที่ลูน่าไม่รู้ตัว
“สวัสดี เจ้าหญิง” เสียงหนึ่งกระซิบเข้ามาในฝัน ราวกับเป็นเสียงที่คุ้นเคยมานาน
“เธอได้ยิงพวกเราไหม เจ้าหญิง” เสียงนั้นกระซิบอีกครั้ง ลูน่ายังคงลังเลที่จะตอบในความมืด
“พวกเรารู้ว่าคุณได้ยินพวกเรา เจ้าหญิง”
แสงสวางปรากฏ เสื้อคลุมสีขาวสว่างตา สองแสงจนเธอไม่เห็นใบหน้าของผู้ที่สวมใส่มันอยู่
“คุณเป็นใคร” ลูน่าถามอย่างหวาดกลัว
“อืมเราเป็นใคร น่าเศร้าเรากับท่านก็เป็นเหมือนญาติสนิท
“พวกเราคือเป็นเสียงแห่งแผ่นดินของ Ayotia ดินแดน แห่งดินแดน Ifaria” เขาพูดมีเสียงแห่งความภาคภูมิใจอยู่เต็มแต่ละคนด้วยความเศร้าด้วย
“ดินแดนของเรากำลังจะตาย ประตูทั้งห้าเสียสมดุลแล้ว และท่านเท่านั้นที่จะนำกุญแจไป ไขประตูทั้งห้านั้นเพื่อนำสมดุลกลับมาได้”
ลูน่าส่ายหน้า “ฉันไม่เคยไป อโยเทีย และ ดินแดนอิฟาเรียฉันก็ไม่รู้จัก ฉันจะช่วยท่านได้อย่างไร” เธอเริ่มเห็นหน้านั้นบ้างแล้วเพราะตาเธอดูเหมือนเริ่มชินกับแสง เธอมั่นใจว่าใบหน้านั้นมีรอยยิ้มวาดขึ้นมา
“ประตูจะเปิดให้เธอเร็วๆ นี้ และเธอจะได้เดินทางเจ้าหญิง เร็วๆนี้เจ้าหญิง เร็วๆนี้”
ลูน่าสดุ้งตื่นเวลาประมาณตี 5 ครึ่งแล้วตอนนั้น “ฝันร้ายหรือ” เซฟานี่ถามอย่างเป็นห่วง “แต่ตื่นแล้วก็ดีได้เวลาแต่งตัวอาบน้ำไปโรงเรียนแล้วละ”
Lucia of Mar โรงเรียนคุณหนูแห่งดาวอังคาร ที่ลูน่ามาเรียนตั้งแต่ประถม แม้ว่าลูน่าจะเก่งในกีฬาฟันดาบ และเป็นยิมนาสติกเหรียญทองแดงของการแข่งขัน มาร์ส์เกม 2 ปีก่อน แต่เธอมักไม่เป็นที่ต้องตาของบรรดาอาจารย์ เพราะ กริยาห้าวหาญ อันออกจะกระโดกกระเดกของเธอไม่สมเป็นกุลสตรีของลูเซีย แต่เพราะอย่างนี้แหละที่ทำให้เธอเป็นที่ชื่นชมของรุ่นน้อง และเป็นหัวโจกในกลุ่มเพื่อนฝูง “ลูน่า” เสียงเรียกใสๆ ของมายุ เพื่อนชาวญี่ปุ่นตั้งแต่เด็กของเธอ “นี้ไปงานนัดบอร์ดกับฉันเสาร์นี้ไหม” ลูน่าเอามือเขกหัวมายุที่สูงแค่ไหล่เธอเท่านั้น
“เขกหัวฉันทำไม เจ็บ” มายุประท้วงพลางคลำหัวปอยๆ
“ข้อแรกเธอรู้ว่าฉันไม่ชอบไปเที่ยวกับผู้ชาย ข้อที่สอง เธอได้แฟนจากการนัดบ้านั้นมาสามหนแล้ว แล้วก็มาร้องห่มร้องไห้ตอนที่เลิกกับพวกนั้น” มายุแลบลิ้นหลอก ลูน่า
“ก็ยังดีที่ฉันยังเคยมีความรักกับเขามั่ง ดีกว่าสาวทึนทึกอย่างเธอเยอะแหละ” และก็ทำท่าเจ้าเล่ ชำเลืองตามอง ลูน่า
“เอหรือว่าเธอจะอยากเข้าชมรมตีฉิ่งละเนี่ย” ลูน่าโกรธหน้าแดงแป้ดสบทใส่เพื่อนแทบไม่เป็นภาษาคน
“ไปตีคนเดียวเถอะ ฉันไม่ใช่พวกลักเพศนะ” พวกเพื่อนๆ หัวเราะกับท่าทางของลูน่าที่ยั๊วะเรื่องอะไรแบบนี้เสมอ
“อีกอย่างฉันจะเดินทางไปโลกวันอาทิตย์นี้แล้ว คงไม่ได้ไปไหนกับเธออีกยาวเลย” คราวนี้เพื่อนทั้งห้องแทบอุทานออกมาพร้อมๆ กัน
หลังคาบเรียนอันน่าเบื่อและพักเที่ยงที่เหล่าเพื่อนๆในห้องร่วมกันตัดสินใจว่าจะพาลูน่าไปเลี้ยงที่ไหน วัน ศุกร์นี้ ซึ่งก็ปรากฏว่า เป็นร้านสเก็ตเตอร์ ที่มีลานสเก็ตน้ำแข็งให้เล่นในร้านอาหารด้วย คาบเรียนตอนบ่ายผ่านไปอย่างเหนื่อยหน่ายอีกครั้งหนึ่งจนถึงเวลาเลิกเรียน ก่อนจะออกไปจากหน้าประตูโรงเรียนมายุกับฝาแฝดมาอิ ตรงเข้าเกาะแขนลูน่าทั้ง 2 ข้าง “เธอสัญญานี้ว่าเมื่อวานจะไปซื้อของด้วยกัน” มายุว่าพลางลากลูน่าไปโดยไม่มองหน้า “ใช้ๆ วันนี้ไม่ให้หนีหรอก” มาอิว่าต่อ เมื่อวานเธอลืมที่นัดกับ 2 แฝดไปสนิท เธอจำต้องปล่อยให้ 2 พี่น้องลากเธอถูลู่ถูกังไป
ระหว่าง ที่พวกเธอเดินมาถึงสวนสาธารณะ ลู่น่าก็เริ่มหันซ้ายขาวด้วยหวังว่าจะเจอชายตาสีม่วงคนนั้นอีก “เมื่อวานทำอะไรหายแถวนี้หรือไงลูน่า” มาอิถาม “เปล่านี้ ไม่มีอะไร” ลูน่ารู้ดีว่าถ้าบอกอะไร 2 คนนี้คงเป็นข่าวให้อาทิตย์สุดท้ายบนดาวอังคารของเธอไม่เป็นสุขแน่ “ไม่มีอะไรแน่นะ-*- ลูน่า” มายุถามซ้ำ ลูน่าตอบเพียงเสียงอืมในลำคอ ที่สองคนนี้เป็นเพื่อนสนิทของเธอคงเป็นเพราะเธอไม่ค่อยคุยกับเพื่อนมากนักเลยดูเป็นคนมีความลับเยอะ และสองคนนี้ก็เป็นคนสอดรู้สอดเห็นซะด้วย แต่ลูน่าไม่สนิทกับเพื่อนคนอื่นเป็นพิเศษเหมือนสองคนนี้ เธอจึงรักเพื่อนทั้งสองของเธอมาก “ลูน่าเธอได้ยินข่าวคนหายไปจากเมืองช่วงหลังๆ นี้ไหม” มายุเอ่ยขึ้น มันเป็นข่าวเมื่อซักอาทิตย์ก่อนที่มี คนสองสามคนหายไปและคนที่อยู่ดีๆๆ ก็ตายไปกลางฝูงชนอีกสองคน “น่ากลัวนะ เห็นว่าหายไปตอนกลางวันแสกๆ ต่อหน้าผู้คนเลย” ลูน่าใช้ความคิดครูหนึ่ง “อาจเป็นโรคติดต่อที่ตรวจสอบไม่ได้ก็ได้” มายุและมาอิทำท่าสยองที่ดูก็รู้ว่าแกล้งทำขึ้นมาทันที พวกเธอหัวเราะ ในที่ที่มีคนอยู่เป็นล้านคนจะหายหรือตายไปย่อมไม่แปลกอะไรอยู่แล้วตราบใดที่คนเหล่านั้นไม่ใช่คนที่มีสายสัมพันธ์กับเรา
สาวๆ ทั้งสามเดินไปจะเกือบจะถึงทางออกจากสวนสาธารณะ ตอนนั้นเองที่หมอกประหลาดได้เข้าปกคลุม ลูน่าสังเกตหมอกที่ลงหนาได้เกือบทันทีพลางมองไปรอบๆ ตัวหมอกหนาจนเธอแทบรู้สึกอึดอัด ทันใดนั้นเองที่สัญชาติญาณ สั่งให้เธอกระโดดออกจากตรงนั้นโดยเร็ว เสียงกระทบกันอย่างแรงของโลหะกับพื้นจากจุดที่ลูน่าเพิ่มหลบออกมา ตามด้วยเสียงระเบิดย่อมๆ เธอหันกลับไปมอง เห็นชุดเกราะสีดำทะมึน ตาแดงราวปีศาจเขาโงงยาวบนศีรษะขนาดใหญ่ ทั้งหมดบ่งบอกว่านี้ไม่ใช่มนุษย์ “อาหาร” เจ้าสัตว์ประหลาดพูดด้วยภาษาอื่นที่ลูน่าไม่เคยได้ยินแต่แปลกที่เธอกลับฟังออก “กลิ่นไอเวทย์มนต์ของเจ้าช่างหอมหวนและมนุษย์ที่ไร้พลังเวทย์ช่างจืดชืดสิ้นดี” ดาบใหญ่โตในมือขวาเงื้อขึ้นอีกเตรียมจะฝาดลงมา ลูน่าตอนนี้ยังนั่งพับเพียบอยู่กับพื้นไม่มีทางที่เธอจะหลบไปไหนได้เลย
ก่อนที่ดาบจะฝาดลงมานั้นเองกลุ่มก้อนน้ำแข็งก็จับขึ้นรอบดาบและแขนใส่เกราะของสัตว์ร้ายนั้น มันสายหัวใหญ่ยักษ์มองหาต้นตอของน้ำแข็งอย่างหงุดหงิด “ชั้นให้แกกินเธอไม่ได้หรอกนักรบทมิฬ” เสียงหนึ่งกล่าวขึ้น ชายที่ลูน่าเจอเมื่อวานปรากฏตัวขึ้นในมือถือคทา ด้ามสีดำสนิทเพชรสีฟ้าปลายคทาส่องแสงตอบรับกับพายุหิมะรอบตัว “พ่อมด ดูท่าข้าจะเจออาหารมื้อใหญ่ในโลกที่จืดชืดนี้ถึงสองมื้อ” เจ้ายักษ์กล่าวพลางสลัดน้ำแข็งออกจากแขนพริบตานั้นเอง เลือดไหลออกมาจากแขนชายหนุ่ม “ลืมไปว่าถ้าใช้เวทย์มนต์กับพวกแกมันจะย้อนมาทำร้ายผู้ใช้ด้วย” พ่อมดกล่าวอยางหงุดหงิด
การเผชิญหน้าอันเหลือเชื่อสะกดสายตาของลูน่าได้พักหนึ่งก่อนที่เธอจะตั้งสติได้ เธอรีบควานหาตัวเพื่อนทามกลางหมอกควัน เธอพบทั้งสองใสที่สุดแต่พวกเขาไม่ขยับราวกับถูกหยุดเวลาไว้ “ผู้ที่ไร้พลังเวทย์ จะสูญเสียกาลเวลาของตนไปภายใต้หมอกเวทย์มนต์นี้” ชายตาม่วงเอ่ยระหว่างที่กำลังโดดหลบดาบอุตลุด “เดียวพวกเขาก็เป็นเหมือนเดิม” แสงที่คทาเรืองรองอีกครั้ง ปากชายหนุ่มร่ายเวทย์มนต์ “เวทย์มนกิ๊กก๊อกทำอะไรข้าไม่ได้ ในโลกที่ไร้ซึ่งอิลีเม็นนี้ เจ้าไม่มีทางใช้เวทย์ที่รุนแรงพอจะฆ่าข้าได้หรอก” นักรบทมิฬ กล่าวพลางเหวียงดาบรุกไล่ รอยยิ้มฉายบนใบหน้าเด็กหนุ่ม “แหกตาดูบนหัวตัวเองซะบ้าง” ก้อนน้ำแข็งขนาดยักษ์ลอยอยู่เหนือหัวทั้งคู่ พ่อมดโดดหลบออกมาทันควัน เจ้าสัตว์ประหลาดที่เชื่องช้ากว่าโดนน้ำแข็งทับเข้าเต็มๆ “หึ หึ หึ” เจ้าสัตว์ร้ายหัวเราะ “ข้าไม่ตายด้วยของพันธุ์นี้หรอก” แม้มันจะบาดเจ็บจากการโดนเศษน้ำแข็งบาด และเกราะที่หลังก็ยุบลงไปเป็นรอยใหญ่จากการกระแทก แต่มันก็ไม่ตาย และกำลังเดินตรงมาหาชายหนุ่มแล้ว “งี่เง่าสมเป็นชาวทมิฬ เพราะแบบนี้ถึงได้แพ้แก่อโยเทียทุกคราไป” เจ้าสัตว์ประหลาดเพิ่งสังเกตว่าเศษน้ำแข็งที่แตกกลับมารวมกันใหม่ล๊อกขามันไว้อย่างแน่นหนา ชายหนุ่มเอามือไว้ที่หน้าอก “อีกอย่างชั้นก็ไม่ใช้พ่อมดด้วย” แสงสีเหลืองเรืองรอง เจ้าสัตว์ประหลาดเปิงตากวาง “นี้เจ้าเป็นโซว์มาสเตอร์หรอกหรือ” นักรบทมิฬร้องลั่น สัตว์ประหลาดอีกตัวหน้าตาคล้ายค้างคาวขนาดใหญ่ออกมาจากหน้าอกโซว์มาสเตอร์นั้น ค้างคาวตัวนี้ไม่มีขา แต่มีหางยาวเหมือนหางปีศาจและ เขี้ยวขนาดใหญ่เต็มปาก “ไนท์วิงแบท ฆ่ามันซะ” ชายหนุมบอก ไนท์วิงแบททำตามที่นายมันสั่งทันที เขี้ยวที่แหลมคมตรงเข้ากระชากนักรบทมิฬเป็นชิ้นๆ พลันเกิดแสงพร่าตาลูน่าไว้ จากนั้นทั้งเด็กหนุ่มและ สัตว์ประหลาดก็หายไป
ลูน่ารู้ดีว่าช่วงเดือนนี้ของปีนี้เป็นช่วงที่มีการขนส่งสินค้าไปยังโลก แต่เรือที่บรรทุกผู้โดยสารเที่ยวต่อไปยังต้องรออีก 2 ปีกว่า
“ที่บริษัทเขาสงพ่อไปเป็นตัวแทนติดต่องานที่โลก เขาให้เราไปกับเรือขนส่งแร่ของทางบริษัท” พ่อวางหนังสือพิมพ์ไว้บนโต๊ะ “เป็นโอกาสดีที่ลูกจะได้ไปเจอญาติของพ่อกับแม่ที่โลก” คนแรกที่ลูน่าคิดถึงคือคุณยายของเธอที่เธอเคยเห็นผ่านทางจดหมายเท่านั้น
ลูน่าไม่เคยน้อยใจเรื๋องที่ตัวเองเป็นลูกบุญธรรมแต่อย่างไร พ่อและแม่ของเธอทั้ง 2 คน ดูแลเธอมาอย่างดีพวกเขาไม่เคยพูดแม้เวลาโกรธว่าเธอไม่ใช้เลือดเนื้อพวกเขา พวกเขาเล่าเรื่องวันที่เจอเธอที่สถานเลี้ยงเด็กราวกับเป็นวันที่ลอล่าให้กำเนิดเธอด้วยตัวเอง นั้นทำให้เธอไม่เคยคิดอยากจะเจอพ่อแม่ที่แท้จริงเลยซักครั้ง
“เด็กคนนั้นต้องใช้แน่”แม่บอก “เห็นปั๊บแม่ก็รู้เลยว่าต้องรับลูกมาอยู่กับเราให้ได้” อีกครั้งที่เรื๋องนี้ถูกเล่าระหว่างที่ พวกเขากำลังคุยเกี่ยวกับการไปเจอคุณยายที่โลก แล้วก็วกมาเรื่องที่ยากแค่ไหนที่จะอธิบายให้คุณยายฟังผ่านทางโทรศัพท์ แล้วก็วกมาเรืองวันที่เจอเธอที่สถานเลี้ยงเด็กในวันที่ 13 มิถุนายน 16 ปีก่อน ตอนกลางดึก “แม่ไม่เคยเห็นเด็กทารกที่ไหนสวย เท่าลูก มีตาสีฟ้าเป็นประกายสดใส ขนาดนั้น” แม่ยิ้ม “อีก 2 เดือนก็จะวันเกิดลูกแล้ว เราคงได้ฉลองกับคุณยายบนโลก ท่านอยากคุยกับลูกโดยตรงมานานแล้วนะ” แม่ว่าทำเสียงเหมือนจะร้องไห้ การวางแผนไปโลกอย่างเร่งด่วนใน 1 อาทิตย์ดูท่าจะวุ่นวายน่าดู อาหารหมดลงอย่างรวดเร็ว ก่อนที่ใครจะทันสังเกตเสียอีก และตามด้วย พุดดิงทาร์ต ฝีมือคุณแม่ อาหารมื้อนี้คงเป็นความทรงจำที่ดีอีกอย่างก่อนจากดาวดวงนี้ไปถึงหนึ่งปี
ลู่น่าคงต้องลดความอ้วนไปอีกหลายวัน หลังอาหารมื้อนี้ ตาสีฟ้าส่องประกายในความมืด นอกเหนือจากไฟ LCD ที่เซ็นเซอร์ของเซฟานี่ การไปโลกคงเป็นมากกว่าการไปเที่ยวแต่คงเป็นการพักอาศัยชั่วคราวเลยทีเดียว เธอคิดถึงชายตาสีม่วงที่เธอเจฮวันนี้ เราคงได้ทำความรู้จักกับเขาก่อนจะไปเธอคิด เขาให้ความรู้สึกคุ้นเคยกับเธออย่างประหลาดเหมือนเพื่อนที่ไม่เจอกันนาน แต่เธอนึกไม่ออกว่าเธอเคยรู้จักกับใครที่สีตาและผมแบบนั้น ห่วงความคิดเปลี่ยนเป็นความฝันโดยที่ลูน่าไม่รู้ตัว
“สวัสดี เจ้าหญิง” เสียงหนึ่งกระซิบเข้ามาในฝัน ราวกับเป็นเสียงที่คุ้นเคยมานาน
“เธอได้ยิงพวกเราไหม เจ้าหญิง” เสียงนั้นกระซิบอีกครั้ง ลูน่ายังคงลังเลที่จะตอบในความมืด
“พวกเรารู้ว่าคุณได้ยินพวกเรา เจ้าหญิง”
แสงสวางปรากฏ เสื้อคลุมสีขาวสว่างตา สองแสงจนเธอไม่เห็นใบหน้าของผู้ที่สวมใส่มันอยู่
“คุณเป็นใคร” ลูน่าถามอย่างหวาดกลัว
“อืมเราเป็นใคร น่าเศร้าเรากับท่านก็เป็นเหมือนญาติสนิท
“พวกเราคือเป็นเสียงแห่งแผ่นดินของ Ayotia ดินแดน แห่งดินแดน Ifaria” เขาพูดมีเสียงแห่งความภาคภูมิใจอยู่เต็มแต่ละคนด้วยความเศร้าด้วย
“ดินแดนของเรากำลังจะตาย ประตูทั้งห้าเสียสมดุลแล้ว และท่านเท่านั้นที่จะนำกุญแจไป ไขประตูทั้งห้านั้นเพื่อนำสมดุลกลับมาได้”
ลูน่าส่ายหน้า “ฉันไม่เคยไป อโยเทีย และ ดินแดนอิฟาเรียฉันก็ไม่รู้จัก ฉันจะช่วยท่านได้อย่างไร” เธอเริ่มเห็นหน้านั้นบ้างแล้วเพราะตาเธอดูเหมือนเริ่มชินกับแสง เธอมั่นใจว่าใบหน้านั้นมีรอยยิ้มวาดขึ้นมา
“ประตูจะเปิดให้เธอเร็วๆ นี้ และเธอจะได้เดินทางเจ้าหญิง เร็วๆนี้เจ้าหญิง เร็วๆนี้”
ลูน่าสดุ้งตื่นเวลาประมาณตี 5 ครึ่งแล้วตอนนั้น “ฝันร้ายหรือ” เซฟานี่ถามอย่างเป็นห่วง “แต่ตื่นแล้วก็ดีได้เวลาแต่งตัวอาบน้ำไปโรงเรียนแล้วละ”
Lucia of Mar โรงเรียนคุณหนูแห่งดาวอังคาร ที่ลูน่ามาเรียนตั้งแต่ประถม แม้ว่าลูน่าจะเก่งในกีฬาฟันดาบ และเป็นยิมนาสติกเหรียญทองแดงของการแข่งขัน มาร์ส์เกม 2 ปีก่อน แต่เธอมักไม่เป็นที่ต้องตาของบรรดาอาจารย์ เพราะ กริยาห้าวหาญ อันออกจะกระโดกกระเดกของเธอไม่สมเป็นกุลสตรีของลูเซีย แต่เพราะอย่างนี้แหละที่ทำให้เธอเป็นที่ชื่นชมของรุ่นน้อง และเป็นหัวโจกในกลุ่มเพื่อนฝูง “ลูน่า” เสียงเรียกใสๆ ของมายุ เพื่อนชาวญี่ปุ่นตั้งแต่เด็กของเธอ “นี้ไปงานนัดบอร์ดกับฉันเสาร์นี้ไหม” ลูน่าเอามือเขกหัวมายุที่สูงแค่ไหล่เธอเท่านั้น
“เขกหัวฉันทำไม เจ็บ” มายุประท้วงพลางคลำหัวปอยๆ
“ข้อแรกเธอรู้ว่าฉันไม่ชอบไปเที่ยวกับผู้ชาย ข้อที่สอง เธอได้แฟนจากการนัดบ้านั้นมาสามหนแล้ว แล้วก็มาร้องห่มร้องไห้ตอนที่เลิกกับพวกนั้น” มายุแลบลิ้นหลอก ลูน่า
“ก็ยังดีที่ฉันยังเคยมีความรักกับเขามั่ง ดีกว่าสาวทึนทึกอย่างเธอเยอะแหละ” และก็ทำท่าเจ้าเล่ ชำเลืองตามอง ลูน่า
“เอหรือว่าเธอจะอยากเข้าชมรมตีฉิ่งละเนี่ย” ลูน่าโกรธหน้าแดงแป้ดสบทใส่เพื่อนแทบไม่เป็นภาษาคน
“ไปตีคนเดียวเถอะ ฉันไม่ใช่พวกลักเพศนะ” พวกเพื่อนๆ หัวเราะกับท่าทางของลูน่าที่ยั๊วะเรื่องอะไรแบบนี้เสมอ
“อีกอย่างฉันจะเดินทางไปโลกวันอาทิตย์นี้แล้ว คงไม่ได้ไปไหนกับเธออีกยาวเลย” คราวนี้เพื่อนทั้งห้องแทบอุทานออกมาพร้อมๆ กัน
หลังคาบเรียนอันน่าเบื่อและพักเที่ยงที่เหล่าเพื่อนๆในห้องร่วมกันตัดสินใจว่าจะพาลูน่าไปเลี้ยงที่ไหน วัน ศุกร์นี้ ซึ่งก็ปรากฏว่า เป็นร้านสเก็ตเตอร์ ที่มีลานสเก็ตน้ำแข็งให้เล่นในร้านอาหารด้วย คาบเรียนตอนบ่ายผ่านไปอย่างเหนื่อยหน่ายอีกครั้งหนึ่งจนถึงเวลาเลิกเรียน ก่อนจะออกไปจากหน้าประตูโรงเรียนมายุกับฝาแฝดมาอิ ตรงเข้าเกาะแขนลูน่าทั้ง 2 ข้าง “เธอสัญญานี้ว่าเมื่อวานจะไปซื้อของด้วยกัน” มายุว่าพลางลากลูน่าไปโดยไม่มองหน้า “ใช้ๆ วันนี้ไม่ให้หนีหรอก” มาอิว่าต่อ เมื่อวานเธอลืมที่นัดกับ 2 แฝดไปสนิท เธอจำต้องปล่อยให้ 2 พี่น้องลากเธอถูลู่ถูกังไป
ระหว่าง ที่พวกเธอเดินมาถึงสวนสาธารณะ ลู่น่าก็เริ่มหันซ้ายขาวด้วยหวังว่าจะเจอชายตาสีม่วงคนนั้นอีก “เมื่อวานทำอะไรหายแถวนี้หรือไงลูน่า” มาอิถาม “เปล่านี้ ไม่มีอะไร” ลูน่ารู้ดีว่าถ้าบอกอะไร 2 คนนี้คงเป็นข่าวให้อาทิตย์สุดท้ายบนดาวอังคารของเธอไม่เป็นสุขแน่ “ไม่มีอะไรแน่นะ-*- ลูน่า” มายุถามซ้ำ ลูน่าตอบเพียงเสียงอืมในลำคอ ที่สองคนนี้เป็นเพื่อนสนิทของเธอคงเป็นเพราะเธอไม่ค่อยคุยกับเพื่อนมากนักเลยดูเป็นคนมีความลับเยอะ และสองคนนี้ก็เป็นคนสอดรู้สอดเห็นซะด้วย แต่ลูน่าไม่สนิทกับเพื่อนคนอื่นเป็นพิเศษเหมือนสองคนนี้ เธอจึงรักเพื่อนทั้งสองของเธอมาก “ลูน่าเธอได้ยินข่าวคนหายไปจากเมืองช่วงหลังๆ นี้ไหม” มายุเอ่ยขึ้น มันเป็นข่าวเมื่อซักอาทิตย์ก่อนที่มี คนสองสามคนหายไปและคนที่อยู่ดีๆๆ ก็ตายไปกลางฝูงชนอีกสองคน “น่ากลัวนะ เห็นว่าหายไปตอนกลางวันแสกๆ ต่อหน้าผู้คนเลย” ลูน่าใช้ความคิดครูหนึ่ง “อาจเป็นโรคติดต่อที่ตรวจสอบไม่ได้ก็ได้” มายุและมาอิทำท่าสยองที่ดูก็รู้ว่าแกล้งทำขึ้นมาทันที พวกเธอหัวเราะ ในที่ที่มีคนอยู่เป็นล้านคนจะหายหรือตายไปย่อมไม่แปลกอะไรอยู่แล้วตราบใดที่คนเหล่านั้นไม่ใช่คนที่มีสายสัมพันธ์กับเรา
สาวๆ ทั้งสามเดินไปจะเกือบจะถึงทางออกจากสวนสาธารณะ ตอนนั้นเองที่หมอกประหลาดได้เข้าปกคลุม ลูน่าสังเกตหมอกที่ลงหนาได้เกือบทันทีพลางมองไปรอบๆ ตัวหมอกหนาจนเธอแทบรู้สึกอึดอัด ทันใดนั้นเองที่สัญชาติญาณ สั่งให้เธอกระโดดออกจากตรงนั้นโดยเร็ว เสียงกระทบกันอย่างแรงของโลหะกับพื้นจากจุดที่ลูน่าเพิ่มหลบออกมา ตามด้วยเสียงระเบิดย่อมๆ เธอหันกลับไปมอง เห็นชุดเกราะสีดำทะมึน ตาแดงราวปีศาจเขาโงงยาวบนศีรษะขนาดใหญ่ ทั้งหมดบ่งบอกว่านี้ไม่ใช่มนุษย์ “อาหาร” เจ้าสัตว์ประหลาดพูดด้วยภาษาอื่นที่ลูน่าไม่เคยได้ยินแต่แปลกที่เธอกลับฟังออก “กลิ่นไอเวทย์มนต์ของเจ้าช่างหอมหวนและมนุษย์ที่ไร้พลังเวทย์ช่างจืดชืดสิ้นดี” ดาบใหญ่โตในมือขวาเงื้อขึ้นอีกเตรียมจะฝาดลงมา ลูน่าตอนนี้ยังนั่งพับเพียบอยู่กับพื้นไม่มีทางที่เธอจะหลบไปไหนได้เลย
ก่อนที่ดาบจะฝาดลงมานั้นเองกลุ่มก้อนน้ำแข็งก็จับขึ้นรอบดาบและแขนใส่เกราะของสัตว์ร้ายนั้น มันสายหัวใหญ่ยักษ์มองหาต้นตอของน้ำแข็งอย่างหงุดหงิด “ชั้นให้แกกินเธอไม่ได้หรอกนักรบทมิฬ” เสียงหนึ่งกล่าวขึ้น ชายที่ลูน่าเจอเมื่อวานปรากฏตัวขึ้นในมือถือคทา ด้ามสีดำสนิทเพชรสีฟ้าปลายคทาส่องแสงตอบรับกับพายุหิมะรอบตัว “พ่อมด ดูท่าข้าจะเจออาหารมื้อใหญ่ในโลกที่จืดชืดนี้ถึงสองมื้อ” เจ้ายักษ์กล่าวพลางสลัดน้ำแข็งออกจากแขนพริบตานั้นเอง เลือดไหลออกมาจากแขนชายหนุ่ม “ลืมไปว่าถ้าใช้เวทย์มนต์กับพวกแกมันจะย้อนมาทำร้ายผู้ใช้ด้วย” พ่อมดกล่าวอยางหงุดหงิด
การเผชิญหน้าอันเหลือเชื่อสะกดสายตาของลูน่าได้พักหนึ่งก่อนที่เธอจะตั้งสติได้ เธอรีบควานหาตัวเพื่อนทามกลางหมอกควัน เธอพบทั้งสองใสที่สุดแต่พวกเขาไม่ขยับราวกับถูกหยุดเวลาไว้ “ผู้ที่ไร้พลังเวทย์ จะสูญเสียกาลเวลาของตนไปภายใต้หมอกเวทย์มนต์นี้” ชายตาม่วงเอ่ยระหว่างที่กำลังโดดหลบดาบอุตลุด “เดียวพวกเขาก็เป็นเหมือนเดิม” แสงที่คทาเรืองรองอีกครั้ง ปากชายหนุ่มร่ายเวทย์มนต์ “เวทย์มนกิ๊กก๊อกทำอะไรข้าไม่ได้ ในโลกที่ไร้ซึ่งอิลีเม็นนี้ เจ้าไม่มีทางใช้เวทย์ที่รุนแรงพอจะฆ่าข้าได้หรอก” นักรบทมิฬ กล่าวพลางเหวียงดาบรุกไล่ รอยยิ้มฉายบนใบหน้าเด็กหนุ่ม “แหกตาดูบนหัวตัวเองซะบ้าง” ก้อนน้ำแข็งขนาดยักษ์ลอยอยู่เหนือหัวทั้งคู่ พ่อมดโดดหลบออกมาทันควัน เจ้าสัตว์ประหลาดที่เชื่องช้ากว่าโดนน้ำแข็งทับเข้าเต็มๆ “หึ หึ หึ” เจ้าสัตว์ร้ายหัวเราะ “ข้าไม่ตายด้วยของพันธุ์นี้หรอก” แม้มันจะบาดเจ็บจากการโดนเศษน้ำแข็งบาด และเกราะที่หลังก็ยุบลงไปเป็นรอยใหญ่จากการกระแทก แต่มันก็ไม่ตาย และกำลังเดินตรงมาหาชายหนุ่มแล้ว “งี่เง่าสมเป็นชาวทมิฬ เพราะแบบนี้ถึงได้แพ้แก่อโยเทียทุกคราไป” เจ้าสัตว์ประหลาดเพิ่งสังเกตว่าเศษน้ำแข็งที่แตกกลับมารวมกันใหม่ล๊อกขามันไว้อย่างแน่นหนา ชายหนุ่มเอามือไว้ที่หน้าอก “อีกอย่างชั้นก็ไม่ใช้พ่อมดด้วย” แสงสีเหลืองเรืองรอง เจ้าสัตว์ประหลาดเปิงตากวาง “นี้เจ้าเป็นโซว์มาสเตอร์หรอกหรือ” นักรบทมิฬร้องลั่น สัตว์ประหลาดอีกตัวหน้าตาคล้ายค้างคาวขนาดใหญ่ออกมาจากหน้าอกโซว์มาสเตอร์นั้น ค้างคาวตัวนี้ไม่มีขา แต่มีหางยาวเหมือนหางปีศาจและ เขี้ยวขนาดใหญ่เต็มปาก “ไนท์วิงแบท ฆ่ามันซะ” ชายหนุมบอก ไนท์วิงแบททำตามที่นายมันสั่งทันที เขี้ยวที่แหลมคมตรงเข้ากระชากนักรบทมิฬเป็นชิ้นๆ พลันเกิดแสงพร่าตาลูน่าไว้ จากนั้นทั้งเด็กหนุ่มและ สัตว์ประหลาดก็หายไป
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น