ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    HELP ME ช่วยลบมันทีได้ไหม

    ลำดับตอนที่ #2 : CHAPTER 1 - ไม่มีเธอก็ยังมีฉัน (100%)

    • อัปเดตล่าสุด 23 มี.ค. 58


    CHAPTER 1

    -          ไม่มีเธอก็ยังมีฉัน      - 



     

    วันนี้ฉันตื่นเช้าเป็นพิเศษ ตื่นมาพร้อมใบหน้าหม่นๆเหมือนทุกวันตั้งแต่วันที่ผู้ชายคนนั้นจากฉันไป ที่วันนี้ฉันตื่นเพราะมีกิจกรรมรับน้องก่อนวันที่จะเปิดทำการเรียนการสอนอย่างจริงจัง และแน่นอนฉันก็ต้องเดินไป ถ้าไม่ใช่เพราะว่า

     

            “อ้าวกันย์ จะไปมหาลัยหรอ?” เจ้ฟางเดินผ่านมาพอดี

     

    “ใช่เจ้ วันนี้มีรับน้องก่อนเปิดเทอมนะ” ฉันหันไปตอบแบบตื่นเต้น หยิบหน้ากากที่ถอดไว้มาใส่ทับใบหน้าหม่นนั้นทันที

     

    “พอดีเลย งั้นไปพร้อมเจ้ป่ะ เจ้ว่าจะเข้าไปมหาลัยพอดี”

     

    “ก็ดีนะเจ้ ไม่อยากเดินเดี๋ยวกล้ามขาขึ้น”

     

    ฉันเดินตามหลังเจ้ นั้นทำให้ฉันไม่จำเป็นต้องทำหน้าตาโลกสดใสอีก ฉันจมอยู่กับความรู้สึกตัวเอง ฉันอยู่กับมันทุกครั้งที่ฉันไม่จำเป็นต้องสนทนากับใคร จมอยู่กับมันทุกครั้งที่บรรยากาศรอบตัวเหมือนทีแค่ฉันคนเดียว

     

    “...กันย์”

     

    “กันย์!” เจ้ฟางตะโกนเรียกมันทำให้ฉันกลับมาอยู่ในโลกแห่งความจริง

     

    “ห้ะ?” เสียงหนึ่งออกจากริมฝีปากฉันไป

     

    “เป็นอะไร เหม่อเชียว?” เจ้ฟางพูดอย่างเป็นห่วง

     

    “เปล่าคะ แค่กังวลเรื่องรับน้องวันนี้นิดหน่อย” ฉันอ้างไปแบบนั้น ก่อนจะยิ้มให้เจ้ให้อีกฝ่ายหายกังวล

     

    “อ๋อ เจ้ว่ามันก็ไม่น่ากังวลอะไรน่ะ” เจ้ฟางพูดก่อนจะหยุดตรงรถ BMW สีดำเงาวับ และมันทำให้ฉันสงสัยว่าเจ้หยุดที่รถคันนี้ทำไม เพราะรถที่ฉันขับของเจ้เมื่อวานนั้นเป็นออดี้สีขาว

     

    “เจ้หยุดทำไมอ่ะ นี้ไม่ใช่รถเจ้นะ” ฉันถามก่อนมองหน้าเจ้สลับกับรถคันนั้น

     

    “ไม่ใช่รถเจ้ รถเพื่อนนะ” เจ้พูดก่อนหากุญแจรถในกระเป๋า

     

    “แล้ว...” ก่อนฉันจะได้ถามอะไรมากไปกว่านี้ เจ้ก็พูดไขข้อสงสัยทันที

     

    “มันขอแลกรถไปใช้นะ ไม่รู้ทำไมเหมือนกัน” เจ้ฟางบอกก่อนเดินไปเปิดประตูและนั่งลงบนเบาะหลังพวงมาลัย

     

    “เพื่อนหรือแฟนขอแลกไปใช้กันแน่” ฉันพูดแซวหลังจากขึ้นมานั่งตรงเบาะข้างคนขับและปิดประตูเรียบร้อยแล้ว

    เจ้ฟางที่กำลังรัดเข็มขัดนิรภัยถึงกับชะงัก และมันปฏิกิริยาที่ค่อนข้างแปลก

     

    “...” เจ้เงียบไปเหมือนคิดอะไรสักอย่าง

     

    “เจ้เป็นไรป่าว” ฉันถามร่างเล็กตรงหน้า

     

    “...นี้รถเพื่อนนะ หมายถึงเพื่อนจริงๆ” เจ้พูดก่อนจะสตาร์ทรถและขับออกไปทันที

     

    ฉันเลือกที่จะเงียบ เจ้พูดแบบนี้หมายถึงรถเพื่อนจริงๆหรือรถแฟนแล้วกำลังผิดใจกับแฟนอยู่กันนะ ฉันนั่งสงสัยอยู่ครู่นึงก่อนจะตัดสินใจมองออกไปนอกรถแทน ถ้าเจ้อยากเล่าก็คงเล่าเมื่อถึงเวลานั้นล่ะนะ

    .

    .

    .

    “ขอบคุณนะเจ้” ฉันพูดขึ้น แล้วเอื้อมมือไปเปิดประตูรถ

     

    “เออกันย์ คืนนี้ว่างไหม” เจ้ถามก่อนที่ฉันจะลงจากรถ ทำให้ฉันหยุดคิด

     

    “ว่างนะ ทำไมอ่ะ” ฉันหันมาถามอย่างสนใจ

     

    “ว่าจะชวนไปกินเหล้าน่ะ” เจ้ตอบแล้วหันมักยักคิ้วให้หนึ่งที และมันเข้าทางฉันอยู่เหมือนกัน ก็ไม่เคยเข้าใจหรอกนะว่าทำไมอกหักแล้วต้องดื่มเหล้า แต่ได้ดื่มเข้าไปก็คงดีกว่า

     

    “โห น้องมาไม่ถึงสองวันนี้ชวนกินเหล้าเลยหรอเจ้” ฉันบ่น

     

    “ไม่ไป?” เจ้เลิกคิ้วขึ้นข้างหนึ่ง

     

    “ไปดิ” ฉันว่าก่อนจะเปิดประตูแล้วลงจากรถ แต่เจ้ก็ลดกระจกด้านที่ฉันนั่งเพื่อพูดกับฉัน

     

    “แกไปรอเจ้ที่หอพักนั้นล่ะ เดี๋ยวจะไปแล้วเจ้ไปเคาะประตูเรียก” เจ้พูดแล้วปิดกระจกก่อนจะขับ BMW สีดำเงาวับคันนั้นออกไปทันที

     

    หลังจากเจ้ไปแล้วฉันจึงตัดสินใจเดินเข้าไปยังสถานที่รับน้องทันที มันยังเช้าอยู่เลยยังไม่มีคนมากนัก ฉันเลือกที่จะนั่งแถวนั้น ก่อนจะหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเพื่อจะฟังเพลงและจมอยู่กับความคิดของตัวเองอีกครั้ง

    .

    .

    .

    ฉันรู้สึกเหมือนมีใครสักคนนั่งลงตรงเก้าอี้ฝั่งตรงข้าม ทำให้ฉันเงยหน้าขึ้นมามองและพบกับร่างสูง เจ้าของเรือนผมสีน้ำตาลเข้มนั้น ผิวสีแทนยิ่งทำให้ใบหน้านั้นดูคมยิ่งขึ้น ฉันมองใบหน้าร่างสูงก่อนจะขมวดคิ้ว เขาคงเข้าใจว่าฉันงง เขาเลยเอามือของเขาเคาะตรงบริเวณหูของเขาเอง แล้วชี้มาที่ฉันเป็นเชิงให้ถอดหูฟังออก ฉันถอดหูฟัง แล้วเงยหน้ามองอีกฝ่าย แต่ก็ยังขมวดคิ้วให้เหมือนเดิม

     

    “จำเราได้ป่ะ?” ร่างสูงยิงคำถามให้ฉันทันที และมันทำให้ฉันต้องจ้องหน้าร่างสูงแล้วครุ่นคิด หน้าตาเขาดูคุ้นเคยแต่ฉันก็นึกไม่ออกว่าเขาเป็นใคร ฉันเลยสายหน้าเพื่อให้อีกฝ่ายรับรู้ว่าฉันจำไม่ได้

     

    “เซ็งเลย เราชื่อ ติณจำเราได้ยัง?” คนตรงหน้าดูผิดหวังเล็กน้อย ก่อนจะบอกชื่อของเขากับฉัน และนั้นทำให้ฉันนึกออกทันทีว่าเขาคือใคร

     

    “จำไม่ได้” ฉันพูดสั้นๆ ก็แค่อยากแกล้งอีกฝ่ายเท่านั้น ติณเป็นเพื่อนของฉันสมัยประถม แต่เขาย้ายโรงเรียนไปนั้นทำให้เราไม่ได้พบกันอีกเลย

     

    “เอ่อ...เอาไงดีว่ะ” ติณขยี้หัวเขาจนยุ่งไปหมดก่อนจะมองซ้ายมองขวาเหมือนกำลังคิดว่าจะอธิบายยังไงให้ฉันจำได้ดี

    “ฉันเป็นไอ่ขี้ก้างสมัยประถมที่พวกผู้ชายตัวใหญ่ชอบแกล้งไง” เขาอธิบาย และนั้นทำให้ฉันหลุดขำออกมาทันที ติณดูเปลี่ยนไปมากในสายตาของฉัน อย่างที่เขาพูดเมื่อก่อนเขาเป็นไอ่ขี้กางที่พวกผู้ชายตัวใหญ่ชอบรังแกต่างจากตอนนี้เขาดูเพอร์เฟค หุ่นแบบคนที่เล่นกีฬาเป็นประจำ ผิวสีแทน ใบหน้าหล่อคม สันจมูกโด่ง เขาคงป๊อบในหมู่สาวๆพอสมควร

     

    “ขำอะไรของเธอ” เขางุนงง

     

    “เปล่า แค่ไม่คิดว่านายจะอธิบายปมของตัวเองสมัยเด็กๆเพื่อให้ฉันจำนายได้นะ” ฉันว่าปนเสียงหัวเราะ

     

    “แสดงว่าจำเราได้แล้วดิ” ร่างสูงทำท่าดีอกดีใจ

     

    “จำได้ตั้งแต่บอกว่าชื่ออะไรแล้วล่ะ”

     

    “ก็ยังขี้แกล้งเหมือนเดิม” ติณพูด นั้นทำให้ฉันชะงักไปนิด

     

    “จำได้ด้วยหรอว่าเรานิสัยยังไง” ฉันว่าและจ้องตาเขาตรงๆ นั้นทำให้ติณหลุดขำและมันทำให้ฉันงุนงง

     

    “คิดว่าเธอเป็นรักแรกที่ฉันไม่มีวันลืมอยู่หรือไงกัน?” เขาพูดยิ้มๆ และดูเหมือนอีกฝ่ายจะมองออกว่าฉันคิดอะไร

     

    “ก็เปล่า ไม่คิดว่านายจะจำได้ต่างหาก” ฉันยักไหล่ขึ้นเล็กน้อย

     

    “ก็นั้นสิน่ะ ใครจะไปลืมผู้หญิงตัวเท่ามดที่มักจะเข้ามาช่วยเวลาฉันโดนแกล้งกัน” คนตรงหน้าพูด

     

    “แล้วใครจะไปลืมไอ่ผู้ชายงอแงคนนั้นได้ลงกัน” ฉันว่า ก่อนเราจะสบตากัน แล้วก็หลุดหัวเราะออกมาพร้อมกัน แต่มีความสุขอยู่ได้ไม่นาน ก็มีผู้หญิงอีกคนเดินเข้ามาทันที

     

    “ติณ ทำไมไม่รับโทรศัพท์เราอ่ะ แล้วนี้ใคร?” ผู้หญิงคนนั้นทำท่าทางไม่พอใจ ก่อนจะหันมามองหน้าฉันอย่างเอาเรื่อง

     

    “เอ่อ...นี้กันย์ เพื่อนสมัยประถมเรานะ” ติณพูดก่อนจะขยับให้สาวเจ้านั่งลง

     

    “แน่ใจนะว่าเพื่อน” เธอจงใจเน้นคำว่าเพื่อนใส่หน้าฉัน และมันทำให้ฉันรู้ทันทีว่าเธอกำลังหึงติณ

     

    “แฟนนายหรอติณ” ฉันหันไปถาม

     

    “ใช่ ฉันเป็นแฟนติณ อย่ามาคิดจะแย่งไปให้ยาก” เธอว่า เธอเป็นผู้หญิงน่ารัก ผมยาวดำสนิทดัดลอนตรงปลายถูดมัดรวบขึ้นไปเป็นหางม้า ทำให้ใบหน้าเรียวแบบวีเซฟของเธอดูโดดเด่นขึ้น

     

    “เธอไม่ต้องห่วง ฉันไม่คิดจะเอาผู้ชายขี้แยมาเป็นแฟนหรอก” ฉันพูดยิ้มๆ และทำให้อีกฝ่ายหันหน้ามามองอย่างไม่อยากเชื่อสายตา

     

    “แน่ใจนะว่าไม่ได้จะงับหมอนี้” เธอถาม

     

    “ใช่” ฉันตอบสั้นๆแต่หนักแน่น

     

    “ฉันชื่อพิ้งค์ เป็นเพื่อนสนิทติณ ยินดีที่ได้รู้จักนะ” เธอพูดและมันทำให้ฉันสงสัย เธอแนะนำตัวว่าเป็นเพื่อนของติณ แล้วทำไมก่อนหน้านี้บอกว่าเป็นแฟน

     

    “เพื่อนสนิท?”

     

    “ฮ่าๆๆๆ ดูเธอทำหน้า พิ้งค์เป็นเพื่อนสนิทฉันนะ เรียกง่ายๆว่าเป็นไม้กัดหมาชั้นดี” ติณอธิบายและทำให้ฉันถึงบางอ้อทันที

     

    “ว่าไงนะ?” พิ้งค์หันไปทำหน้าเหี้ยมใส่ติณ

     

    “ล้อเล่น ฉันไม่ชอบให้สาวๆเข้ามาป่วนเปี้ยนในชีวิตนะ และเธอเป็นตัวไล่สาวๆได้ดีเลยนะครับคุณพิ้งค์” ติณกระพริบตาถี่ๆส่งไปให้พิ้งค์ ไม่ผิดใช่ไหมถ้าฉันจะคิดว่าสองคนนี้เหมาะสมกัน

     

    “ฮ่าๆๆๆ พวกเธอสองคนน่ารักจัง” ฉันพูดขึ้น

     

    “ห้ะ!!/ว่าไงนะ!” ทั้งสองคนพูดออกมาพร้อมกัน

     

    “ฉันพูดว่าพวกเธอสองคนน่ารักจัง” ฉันย้ำให้ฟังอีกรอบ

     

    “ไม่ใช่แล้ว” พิ้งค์พูดพร้อมสายหน้าแรงๆ ฉันแอบเห็นว่าใบหน้าเธอขึ้นสีแดงระเรื่อด้วยล่ะ

     

    “...” ติณเงียบไป ไม่ได้พูดอะไรอีก

     

    หลังจากนั้นเราก็คุยกันสักพัก แล้วรุ่นพี้ก็เรียกรวม วันนี้ไม่มีกิจกรรมอะไรมากนัก เพราะรุ่นพี่ได้บอกจุดประสงค์ไว้แล้วว่าแค่อยากให้เรารู้จักกันก่อนที่จะเปิดเทอม และได้ทำกิจกรรมร่วมกันเล็กน้อยเพื่อสานสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน

    .

    .

    .

    .

    หลังกิจกรรมวันนี้จบลง ฉันกับพิ้งค์ก็สนิทกันพอสมควรแล้ว ส่วนติณเราสนิทกันตั้งแต่สมัยประถม

     

    เพื่อน ต่อให้เวลาผ่านไปแค่ไหน แต่ถ้าโคจรมาพบกันเมื่อไหร่ความบรรลัยก็เกิดขึ้นเมื่อนั้น

     

    “ฉันไปก่อนนะ” พิ้งค์หันมาโบกมือให้เมื่อเธอขอแยกตัวไปพร้อมติณ

     

    “กลับดีๆนะ” ฉันยิ้มให้เธอพร้อมโบกมือกลับ

     

    “เธอก็เหมือนกัน” ติณหันมาบอกแล้วกอดคอพิ้งค์เดินไปอีกทาง

     

    เหมือนจะไม่ใช่แค่ไม้กัดสาวอย่างที่พูดนะติณ

     

    ฉันมองทั้งคู่อยู่พักหนึ่ง ก่อนจะเดินกลับหอพักไปอาบน้ำ หลับไปซักพักแล้ว เจ้ฟางถึงมาเคาะประตูห้อง

     

    “ไปกันได้แล้ว เพื่อนเจ้มารอรับด้านล่างแล้ว” เจ้ฟางพูดก่อนจะเดินนำไป

     

    “เจ้ว่าอะไรนะ” ฉันถาม

     

    “หืม?” เจ้ทำหน้าสงสัย

     

    “เจ้บอกว่าเพื่อนมารับ อย่าบอกนะว่า...”

     

    “อ๋อ เจ้ไม่ได้บอกหรือ เจ้นัดเพื่อนไว้ด้วยประมาณสามสี่คนนะ จะได้รู้จักกันไว้” เจ้ว่าแล้วเดินตรงไปยังเบนซ์คันงามที่จอดรออยู่ พร้อมเจ้าของร่างสูงยืนสูบบุหรี่พิงรถอยู่

     

    “สูบอยู่นั้นล่ะ กลัวไม่ตายหรือยังไง” เจ้พูดกับร่างสูงตรงหน้า

     

    “แช่งกูหรือยังไงกันแน่ว่ะ” ร่างสูงว่า ก่อนทิ้งบุหรี่ลงพื้นแล้วขยี้ด้วยเท้า

     

    “ไม่เลิกก็ลดลงบ้างเถอะ กูขอ” เจ้ว่าเสียงอ่อนลง

     

    หรือคนนี้จะเป็นแฟนเจ้ฟาง

     

    “ขอรับคุณฟาง บ่าวจะพยาม”

     

                    “อืม ไปได้ยัง?” เจ้ฟางว่า

     

                    “ไปๆ แล้วนั้น...” ร่างสูงชี้มาที่ฉัน

     

                    “น้องกูไง ชื่อกันย์ กันย์นี้ไอ่เตเพื่อนเจ้เอง” ประโยคแรกพูดกับพี่เต ส่วนประโยคที่สองหันมาบอกฉัน

     

                    “ยินดีที่ได้รู้จักคะ” ฉันยกมือไหว้

     

                    “อ่าครับ” พี่เตรีบคำสั้นๆ แล้วมองฉันก่อนจะสลับไปมองเจ้ฟาง แล้วก็หันกลับมามองฉันแล้วสลับไปมองเจ้ฟาง ทำแบบนั้นอยู่พักใหญ่

     

                    “เหมือนว่ะ เหมือนโคตรๆเลย นี้ถ้าบอกว่าแฝดกูก็เชื่อนะ ถ้าน้องกันย์ทำผมสีส้มแล้วทำทรงเดียวกับไอ่ฟางนี้แทบแยกไม่ออกเลยนะ” พี่เตว่า และมันไม่ใช่เรื่องแปลกฉันถูกทักว่าเป็นแฝดเจ้มาตั้งแต่เด็กๆ

     

                    “ไปได้ยัง ไม่ต้องมาชมว่ากันย์สวยเหมือนกูหรอก ให้ตายยังไงกูก็ไม่ให้มึงจีบน้องกู” เจ้ฟางว่าแล้วขึ้นไปนั่งที่ประจำข้างคนขับทันที

     

                    “หลงตัวเองไม่มีใครเกิน ฮ่าๆๆ ไปกันย์ขึ้นรถเลย ไม่ต้องเกร็ง พี่กันเองๆนะ” พี่เตว่าก่อนขึ้นไปนั่งประจำที่คนขับทันที

     

                    หลังจากฉันขึ้นรถแล้ว พี่เตก็ขับรถออกไปทันที บรรยากาศของเมืองในยามราตรีทำให้ฉันเผลอปล่อยความคิดให้จมไปกับอดีตอีกครั้ง

                    .

                    .

                    .

                    “ชอบไหม?” เสียงของร่างสูงที่ยืนอยู่ใกล้กันดังขึ้น

     

                “ชอบ ไม่อยากเชื่อว่าวิวของเมืองใหญ่จะสวยแบบนี้นะ” ฉันว่า แต่ก็ไม่ได้ละสายตาไปจากวิวของตึกสูงที่มองอยู่

     

                “ฮ่าๆๆ เธอนี้มัน...” ร่างสูงหัวเราะก่อนจะเอามือขยี้ศรีษะฉัน

     

                “มันอะไร?” ฉันหันมาถามเขา

               

                “น่าหมั่นเขี้ยวซะจริง” แล้วร่างสูงตรงหน้าก็ก้มลงจูบริมฝีปากของฉันอย่างอ่อนโยน จูบแบบเด็กๆแค่ปสกแตะปากแต่มันกลับเด่นชัดในทุกสัมผัสนั้น

     

                    “มันจบไปแล้ว” ฉันพึมพำเบาๆกับตัวเอง ก่อนจะมองพี่เตที่คุยกับเจ้ฟางอย่างออกรสออกชาติ

     

                    หรือเขาจะเป็นแฟนกันจริงๆนะ

     

                    ฉันได้แต่เก็บความสงสัยไว้ในใจ แล้วนั่งเงียบๆไปจนถึงผับกึ่งบาร์ในย่านนี้

     


     


     








     

    แหมม ตัดตอนไม่ถูกอ่ะ เอาเป็นว่าขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านนะคะ

    ขอบคุณทุกๆกำลังใจค่ะ รู้ว่าตัวเองก็ไม่ได้แต่งดีอะไรมากมาย

    ก็จะพยามให้มากกว่านี้เนอะ บางทีมันก็ตันจริงๆล่ะ ฮ่าๆๆ

    แอบใบ้นิดว่าคู่รองก็เจ้ฟางของน้องกันย์นี้ล่ะคะ

    แต่พระคู่รองเป้นใครนี้ไม่บอกก่อนนะเออ

    ก็ฝากติดตามผลงานของเซย์ด้วยนะคะ ขอบคุณค่ะ >..<

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×