ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [Astro] That Certain Slytherin [BinHyuk] #HogwartsAU

    ลำดับตอนที่ #3 : Ch.3 Hospital Wing

    • อัปเดตล่าสุด 20 ก.ย. 61


    Ch. 3

    Hospital Wing

     


                    “ดีนะคะเนี่ยที่เธอไม่เป็นอะไรมากน่ะ คุณมินฮยอก” มาดามคังที่ประจำอยู่ห้องพยาบาลว่า ที่เธอบอกว่าไม่เป็นอะไรมากคือการที่มินฮยอกแขนหัก มีแผลที่สะโพกยาวจนถึงเอว หางคิ้วด้านซ้ายแตก และอาการช้ำที่ก้นกบ แถมยังสลบตั้งแต่ตอนเย็นวานนี้ยาวจนถึงก่อนหน้าปัจจุบัน

     


                    “นี่ขนาดไม่เป็นอะไรมากนะฮะเนี่ย” มินฮยอกที่เพิ่งฟื้นว่าอย่างติดตลก เขาขำน้อยๆแต่ก็ต้องหยุดไปเมื่อรู้สึกถึงความเจ็บที่คิ้วของเขา

     


                    “ควิดดิชก็แบบนี้แหละค่ะ มีคนเจ็บกว่าคุณอีกตั้งเยอะ กรณีของคุณถือว่าธรรมดามากเลยนะคะกับการตกจากไม้กวาดน่ะ” มาดามคังพูดต่อระหว่างที่กำลังหยิบสมุนไพรและขวดยาต่างๆ บนชั้นก่อนจะเดินมาที่เตียงของมินฮยอก เธอหยิบไม้กายสิทธิ์ออกมาสะบัดเบาๆ ก็มีผ้าพันแผลวางอยู่บนเตียงข้างๆ

     


                    “ฉันละเบื่อช่วงควิดดิชจริงๆ ไม่มีใครหรอกนะคะที่อยากเห็นนักเรียนเข้าออกห้องพยาบาลบ่อยๆ” ใบหน้าแสนใจดีขมวดคิ้วพลางล้างแผลและเปลี่ยนผ้าพันแผลให้กับมินฮยอกอย่างเบามือ เมื่อเสร็จ เธอก็หยิบชามยาน้ำสีเข้มมาวางไว้ที่โต๊ะข้างเตียง “กรุณาดื่มมันให้หมดแล้วนอนพักด้วยนะคะ ถ้าคุณอยากจะออกไปจากห้องนี้เร็วๆ” เธอว่าก่อนจะเดินออกไปจากห้อง ทิ้งไว้แค่มินฮยอกที่นอนอยู่บนเตียงเพียงลำพัง

     


                    “ขมจนแทบเป็นบ้า แหวะ จะอ้วก” มินฮยอกว่าหลังจากที่ได้จิบยานั้นลงไปเพียงหนึ่งอึกเล็กๆ ก่อนจะวางมันทิ้งไว้อยู่ที่เดิม ใบหน้าของเขาบิดเบี้ยวเพราะรสขม

     


                    “แต่ถ้าไม่กินนายจะไม่หายนะ มินฮยอก” เสียงทุ้มนุ่มดังขึ้นมาจากปลายเตียงของเจ้าของชื่อ มินฮยอกหันไปหาต้นตอของเสียงก่อนจะยิ้มออกมา

     


                    “พี่อึนอู ตื่นเช้าจัง” มินฮยอกเรียกกัปตันทีมควิดดิชของเรเวนคลออย่างสนิทสนม

     


                    “ไม่เอา ไม่เรียกชื่อนี้ ชื่อนี้คนอื่นเรียก” อึนอูว่าก่อนจะลากเก้าอี้เข้ามานั่งข้างๆ เตียงเพื่อนตัวน้อยที่เคยเล่นด้วยกันสมัยเด็กจากความสนิทสนมของพี่สาว มินฮยอกทำหน้าแปลกใจเล็กน้อย

     


                    “มินฮยอกไม่ใช่คนอื่น” อึนอูว่าหลังจากได้ยินสิ่งที่คนตัวเล็กคิด มินฮยอกลืมไปเสียสนิทว่าอึนอูเป็นเลจิลิเมนส์

     


                    “พี่ดงมินอย่าแอบอ่านใจคนอื่นสิ พอติดเป็นนิสัยแล้วมันจะแก้ไม่หายนะรู้ไหม?” ชื่อจริงของชาอึนอูถูกส่งออกมากจากปากสีสวยของมินฮยอก สายตาเง้างอนถูกส่งให้กับคนแก่กว่า

     


                    “พอเป็นเรื่องของมินฮยอกพี่ก็อยากรู้ไปหมดนี่นา พี่ผิดหรอครับ?” สายตาลูกหมาที่ดงมินมักจะใช้กับพี่สาวของเขาบ่อยๆ และกับมินฮยอกในบางครั้ง ถูกนำออกมาใช้ มือของเขาจับไปที่มือของมินฮยอกที่วางอยู่บนเตียงแล้ววนนิ้วโป้งบนหลังมือของซีคเกอร์คนเก่งที่เพิ่งตกจากไม้กวาด

     


                    “มาไม้นี้ตลอดเลย ใครมันจะไปโกรธลงล่ะ” มินฮยอกว่าก่อนจะบีบมือพี่ชายคนสนิทตอบ

     


                    “น่ารักที่สุด” ดงมินว่าก่อนจะยื่นหน้าไปจุ๊บหน้าผากของมินฮยอก

     


                    “พี่ดงมิน! ผมไม่ใช่เด็กๆแล้วนะ!” คนตัวเล็กแหวใส่ ดวงตาแสดงถึงความตกใจ เขาจะยกมืออีกข้างที่ไม่เจ็บมาตีเขาก็ไม่ได้เพราะดงมินจับเอาไว้อยู่

     


                    “แล้วใครกันล่ะที่ยังทำตัวเหมือนเด็กดื้อ ไม่ยอมกินยาเหมือนแต่ก่อนไม่มีผิด” พรีเฟ็คบ้านสีน้ำเงินยกคิ้วก่อนจะชี้ไปที่ชามยาสีเข้มข้างหัวเตียง

     


                    “ก็มันไม่อร่อยนี่นา” คนอายุน้อยพูดเสียงอ้อมแอ้ม

     


                    “อยากให้พี่ป้อนหรือจะกินเอง?” คนตัวสูงว่าก่อนจะหยิบชามยามาถือไว้ มินฮยอกรีบส่ายหน้าพัลวันเสียจนต่างหูยาวที่หูซ้ายของเขาสะบัดไปมาด้วยความรุนแรง

     


                    “ผมกินเองได้ฮะ” มือสีแทนแย่งชามยาจากอีกคน

     


                    “งั้นก็กินเลย ตอนนี้ ไม่ต้องรอให้พี่ออกไป เพราะพี่จะนั่งมองเรากินจนหมด” ดงมินอ่านความคิดของมินฮยอกอีกครั้ง การที่เขารู้ทันคนตัวเล็กทั้งหมดทำให้มินฮยอกขมวดคิ้วใส่เขาเชิงงอน

     


                    “ไม่เห็นต้องดุกันเลย” มินฮยอกว่าเสียงอ้อมแอ้มก่อนจะรู้สึกถึงสัมผัสอุ่นๆบนกลุ่มผมของตน

     


                    “ดุเพราะเป็นห่วง มินฮยอกเข้าใจพี่ใช่ไหมครับ?” ดวงตาคมของคนอายุมากกว่าส่งสายตาอ่อนโยนให้มินฮยอก นั่นทำให้เขาผ่อนลมหายใจออกมาก่อนจะยิ้มให้บางๆ

     


                    “รู้แล้วฮะ จะพยายามไม่ทำให้เป็นห่วง”

     


                    “ทีนี้ก็กินยาได้แล้ว เด็กดื้อ” น้ำเสียงและรอยยิ้มเอ็นดูถูกส่งให้มินฮยอกอีกครั้ง

     


                    มินฮยอกยกชามขึ้นดื่มจนหมด รสชาติอันไม่น่าพิสมัยของมันทำให้เขาสำลัก เจ้าของเข็มกลัดพรีเฟ็คสีน้ำเงินรีบหยิบแก้วน้ำส่งให้คนเป็นน้องด้วยความร้อนรน ปากสีสดของมินฮยอกรีบกระดกน้ำเสียจนน้ำบางส่วนหกจากแก้วสู่ผิวเนียนของเขาและไหลยาวจนไปถึงลำคอ ดงมินจ้องมินฮยอกอย่างไม่วางสายตา

     


                    “เก่งมาก ทีนี้ก็นอนพักซะ มาดามคังบอกฉันว่าหายไวสุดอย่างน้อยก็ประมาณหนึ่งอาทิตย์” อึนอูว่าก่อนจะลุกขึ้น ส่งมือไปยังหัวทุยของอีกฝ่ายแล้วลูบไปมาเบาๆ

     


                    “จะไปแล้วหรอฮะ?” ดวงตาสีน้ำตาลไหม้ถูกช้อนขึ้นมองผู้เป็นพี่ชาย

     


                    “พี่ต้องไปเรียนนะครับ”

     


                    “ก็รู้... แต่พี่เพิ่งมาเองนะฮะ” อึนอูรู้ดีว่ามินฮยอกน่ะขี้เหงาขนาดไหน กว่าจะมาเป็นมินฮยอกที่ร่าเริงแบบทุกวันนี้เขาก็เคยเป็นเด็กเงียบๆ คนนึงมาก่อน ถ้าไม่มีอึนอูคอยดูแลอยู่ข้างๆคงไปไหนไม่รอด คนที่คอยอยู่ข้างๆ เขาก่อนจะเข้ามาทีฮอกวอตส์ก็มีแต่อึนอู

     


                    “งั้นเดี๋ยวพี่มาเยี่ยมอีกทีตอนเย็นๆก็แล้วกันนะครับเด็กดี” คนตัวสูงว่าพลางส่งยิ้มให้มินฮยอก คนที่นอนอยู่บนเตียงพยักหน้าให้เขาเบาๆ ก่อนจะไล่เขาออกไปเพราะสรรพนามน่าอายนั่น ดงมินเดินออกจากห้องพยาบาลอย่างสบายอารมณ์ ทิ้งมินฮยอกไว้ในห้องพยาบาลเพียงลำพังอีกครั้ง

     


                    ด้วยฤทธิ์ยาทำให้เปลือกตาของมินฮยอกหนักอึ้ง เขาพยายามจัดร่างกายตัวเองให้ลงไปนอนราบกับเตียงอย่างระมัดระวังก่อนที่จะปิดตาลงและเข้าสู่การหลับใหล

     



    ___________

     



                    “เปิดหนังสือไปหน้า 846” เสียงของศาสตราจารย์ยงส่งสัญญาณให้มุนบินรีบเปิดหนังสือไปที่หน้าดังกล่าว วิชาปรุงยาเป็นวิชาสุดท้ายของวัน ซึ่งเป็นวิชาที่เลิกช้าที่สุดในความคิดของเขา

     


                    “ไหนดูซิ นี่อะไร” ศาสตราจารย์หนุ่มพูดขึ้นมาอย่างสบายอารมณ์

     


                    “น้ำยาสันติครับศาสตราจารย์” เสียงของนักเรียนฮัฟเฟิลพัฟฟ์สักคนในห้องพูดขึ้นมา

     


                    “ฉันไม่ได้ถามเธอ คุณอี” คนในชุดมักเกิ้ลทันสมัยผิดวิสัยพ่อมดกลอกตา เสียงหัวเราะดังขึ้นจากทั้งสองบ้านดังขึ้นประสานกัน ยงจุนฮยองเป็นศาสตราจารย์ประจำบ้านสลิธีรินและเป็นเลือดบริสุทธิ์ก็จริง แต่เขากลับใจดีกับทุกคน แถมเรื่องแฟชั่นและความทันสมัยล่ะก็เขายอมไม่ได้ นี่มันปีไหนกันแล้วล่ะ

     


                    “นี่คือน้ำยาสันติ มีฤทธิ์คลายความเครียดหลังจากได้ดื่มลงไป มักใช้ได้ดีกับพวกเธอที่กำลังจะได้รับการสอบว.พ.ร.ส.เชียวล่ะ แต่ระวังไว้หน่อยถ้าพวกเธอดื่มมันเกินขนาดล่ะก็ แทนที่จะหายเครียด ก็จะเครียดยิ่งกว่าเดิมเพราะหลับไปโดยไม่ได้อ่านหนังสือเลยยังไงล่ะ” จุนฮยองกล่าวติดตลก “อ้อ เจ้านี่ปรุงค่อนข้างยาก และฉันจะใช้มันเป็นข้อสอบด้วย ฉันหวังว่าพวกเธอจะได้ หรือพอรับได้กันในการสอบ” เขากล่าวอย่างเป็นกันเองกับพวกฮัฟเฟิลพัฟฟ์แล้วหันมาที่โต๊ะของนักเรียนที่อยู่ใต้อาณัติการปกครองของเขาอย่างสลิธีรินก่อนจะพูดเสียงเย็น “ส่วนพวกเธอ... หรือดีเยี่ยมเท่านั้นที่ฉันจะรับได้ ต่ำกว่านั้นถือว่าสอบตก”

     


                    “มุนบิน ฉันว่าฉันต้องพึ่งนายอีกรอบแล้วล่ะ” ซึงกวานบีบขมับตัวเองหลังจากจุนฮยองพูดจบ ในบรรดาวิชาของฮอกวอตส์ทั้งหมดเขาไม่เคยสอบได้คะแนนเกินกว่า หรือเลวในวิชาปรุงยาเลยด้วยซ้ำ ทั้งๆที่วิชาอื่นก็พอดูได้อยู่ก็เถอะ

     


                    “นายก็พูดแบบนี้ทุกปี พอฉันสอนก็หลับ” พรีเฟ็คผมสีเงินทำตาขวางใส่ผู้เป็นเพื่อนก่อนจะถูกขานชื่อให้ตอบคำถามเนื่องจำเขามักจะทำได้คะแนนสูงสุดของชั้นปีในวิชาปรุงยา อีกทั้งยังเป็นพรีเฟ็คคนโปรดของจุนฮยองอีกด้วย

     


                    “คุณมุน ไหนลองตอบซิว่าน้ำยาสันติใช้อะไรเป้นส่วนผสมบ้าง” จุนฮยองว่าก่อนจะสะบัดไม้กายสิทธิ์ หนังสือเล่มหนาบนโต๊ะของทุกคนจากที่กำลังเปิดค้างไว้ก็ปิดสนิทในทันที

     


                    “ผงมูนสโตน น้ำเชื่อมจากดอกเฮเลบอร์ ขนเม่นบด และเขายูนิคอร์นที่บดเป็นผง” มุนบินตอบได้ไม่ยากเย็นนัก เนื่องจากเขาฝึกปรุงมันบ่อยๆในเวลาว่าง กว่าจะสำเร็จเขาก็ได้น้ำยาสีดำขลับมาตั้งหลายขวดเหมือนกัน

     


                    “ยอดเยี่ยม! ให้สลิธีริน 5 คะแนน” ศาสตราจารย์หนุ่มยิ้มอย่างพอใจก่อนจะสะบัดไม้กายสิทธิ์ให้หนังสือเปิดอีกครั้ง “ในหนังสือของเธอมีวิธีทำอยู่ในนั้นหมดแล้ว ส่วนวัตถุดิบก็อยู่บนโต๊ะกลางนี่ ฉันขอให้พวกเธอทำตามวิธีทำอย่าง-เคร่ง-ครัด” เขาเน้นคำก่อนจะพูดต่อ “หากมีข้อผิดพลาดเพียงนิดเดียวก็เท่ากับจบเห่ ทำใหม่ เสียเวลา” ศาสตราจารย์หนุ่มยักไหล่

     


                    “เอาล่ะ มีเวลาหนึ่งชั่วโมงครึ่งสำหรับฮัฟเฟิลพัฟฟ์ ส่วนสลิธีรินฉันให้เวลาพวกเธอแค่หนึ่งชั่วโมงเท่านั้น” นาฬิกาทรายสองเรือนปรากฏขึ้นอยู่บนโต๊ะกลางห้อง เรือนแรกบรรจุทรายสีเหลือง มีขนาดใหญ่กว่าอีกเรือนที่บรรจุทรายสีเขียวเล็กน้อย “เริ่มได้”

     


                    ไม้กายสิทธิ์ไม้เอล์มของมุนบินถูกสะบัดไปมาระหว่างที่เขากำลังตวงส่วนผสม ดวงตาสีรัตติกาลของเขาเพ่งมองไปที่ขีดแสดงค่าเพื่อความแม่นยำของปริมาณ เมื่อได้อย่างที่ต้องการแล้วเขาพาพวกมันกลับมาที่โต๊ะของเขาที่มีหม้อคุณภาพดีตั้งอยู่ นักเรียนคนอื่นมองวิธีการปรุงยาของเขาอย่างสนอกสนใจ ใครจะไม่อยากดูนักเรียนอัจฉริยะของห้องปรุงยากันล่ะ

     


                    หลอดทดลองที่บรรจุผงมูนสโตนถูกเอียงก่อนสิ่งที่อยู่ข้างในจะไหลลงไปในหม้อต้ม ย้อมสีของน้ำยาให้กลายเป็นสีเขียวสด มุนบินคนน้ำยาจนเปลี่ยนสีเป็นสีน้ำเงินก่อนจะเติมผงมูนสโตนอีกครั้งจนน้ำยากลายเป็นสีม่วง ทุกครั้งที่มุนบินขยับ มันดูช่างดูนุ่มนวลและงดงาม ราวกับศิลปินบรรจงแต้มสีลงบนภาพวาด แสงจากน้ำยาที่สะท้อนเขาสู่ใบหน้าขาวของเขาเปลี่ยนไปมาหลายครั้งก่อนจะเป็นแสงสีฟ้าเทอร์ควอยซ์และมีไอน้ำสีเงินลอยออกมาจากหม้อด้านหน้าเขา

     


                    “ดีมากคุณมุน” จุนฮยองเดินมาใกล้ๆเพื่อตรวจสอบผลลัพธ์ และมุนบินก็ไม่เคยทำให้เขาผิดหวัง น้ำยาที่มุนบินปรุงในวิชาเรียนของเขาสามารถเรียกได้ว่าเป็นน้ำยาชั้นเลิศเลยด้วยซ้ำ “ทุกคนกรุณาดูน้ำยาของคุณมุนเป็นตัวอย่าง เมื่อคุณทำสำเร็จก็จะมีผลลัพธ์ออกมาเป็นเช่นนี้ ถ้าของคนไหนมีปฏิกิริยาระเบิด มีแสงวูบวาบ หรือมีไอสีอื่นๆลอยออกมานอกจากสีเงินละก็ ฉันมีของขวัญให้พวกเธอเป็นการบ้านด้วยล่ะ” ศาสตราจารย์หนุ่มคลี่ยิ้มเมื่อเห็นใบหน้าโอดครวญของเด็กนักเรียนที่กำลังอยู่ในขั้นตอนแรกๆเพราะเอาแต่ให้ความสนใจมุนบินจนเขาทำเสร็จคนแรก

     


                    มุนบินยิ้มขอบคุณศาสตราจารย์ประจำบ้านเมื่อเขาประกาศว่าน้ำยาของเขาสามารถได้คะแนนระดับ หรือเกินความคาดหมาย ซึ่งเป็นคะแนนสูงสุดในการสอบว.พ.ร.ส. สร้างความรู้สึกหมั่นไส้และชื่นชมให้กับนักเรียนคนอื่นๆในห้อง อยู่ๆก็เกิดเสียงระเบิดลูกเล็กๆดังขึ้นจากหนึ่งในโต๊ะของฮัฟเฟิลพัฟฟ์ ใบหน้าของเจ้าของเสียงระเบิดดังกล่าวเปลี่ยนเป็นสีชมพูจากน้ำยาที่กระเด็นใส่หน้า ยงจุนฮยองตะโกนขึ้นมาทันทีว่า “’!!! แย่มาก!! ใครสั่งให้เธอหยดน้ำเชื่อม 10 หยด หา!?” ก่อนเขาจะรีบเดินไปหาเด็กคนนั้นแล้วชี้ไม้กายสิทธิ์ไปที่หน้าของเธอ น้ำสีชมพูบนใบหน้าเธอขยับและกระโดดลงไปในหม้ออีกครั้งก่อนที่มันจะหายไปหลังจากจุนฮยองร่ายคาถา “อีวาเนสโค”

     


                    “เหลืออีกครึ่งชั่วโมงนะฮัฟเฟิลพัฟฟ์ ส่วนสลิธีริน ฉันจะตรวจพวกเธอทีละคน” ยงจุนฮยองว่าก่อนจะเดินไล่ไปทีละโต๊ะ ส่วนใหญ่นั้นได้คะแนนพอรับได้ แต่เมื่อมาหยุดที่เพื่อนซี้ของมุนบินแล้วเขาก็กุมขมับในทันที “ฉันว่าเราคงต้องคุยกันหลังเลิกเรียนแล้วล่ะคุณบู น้ำยาสันติของเธอมันแย่มากเสียจนสมารถเรียกว่าขยะ” เขารีบชี้ไม้กายสิทธิ์ไปที่หม้อต้มของซึงกวานเพื่อลบสิ่งน่าเกียดน่ากลัวออกไปจากสายตาเขาในทันที เขาบีบไหล่ซึงกวานเล็กน้อยก่อนจะเดินไปตรวจฝั่งฮัฟเฟิลพัฟฟ์และสั่งเลิกเรียน “อย่าลืมทำการบ้านมาส่งฉันด้วยล่ะ ฉันหวังว่าทุกคนจะตั้งใจทำมาและทำความเข้าใจวิธีการปรุงยาด้วย หากมีข้อสงสัยอะไรสามารถถามฉันได้ตลอดที่เจอกันในฮอกวอตส์เลยนะ เลิกเรียนได้”

     


                    เจ้าของนามสกุลบูทำหน้าหงอยเมื่อโดนกักตัวไว้กับศาสตราจารย์ประจำบ้าน มุนบินตบบ่าเพื่อนเขาเบาๆก่อนจะยิ้มเยาะอีกฝ่าย เขารีบเดินออกมาจากห้องเรียนวิชาปรุงยาหลังจากซึงกวานด่าทอเขาเมื่อเห็นรอยยิ้มของตน แกล้งซึงกวานถือว่าเป็นกิจกรรมแก้เครียดของมุนบินอันดับต้นๆเลยล่ะ

     


                    ขายาวก้าวอย่างเร่งรีบ เขาได้ข่าวเรื่องมินฮยอกตกไม้กวาดตั้งแต่เมื่อวันเกิดเหตุหรือก็คือเมื่อวานแล้ว เขาพยายามที่จะเข้าไปเยี่ยมซีคเกอร์ประจำบ้านกริฟฟินดอร์ตั้งแต่เย็นวานนี้แต่ก็ถูกปฏิเสธจากมาดามคัง เช้านี้เขาก็กำลังจะเปิดประตูเข้าไปในห้องพยาบาลแต่มาดามคังก็เดินออกมาพอดี เธอย้ำนักย้ำหนาว่าให้ไปเยี่ยมตอนเย็นเพราะตอนเช้ามินฮยอกกำลังพักผ่อน ไม่มีใครในฮอกวอตส์รู้ว่าภายใต้ดวงตาอันเย็นชาของมุนบินนั้นซ่อนความร้อนรนไว้ข้างใน

     


                    ตอนนี้เขาหยุดอยู่หน้าประตูห้องพยาบาลที่กำลังปิดสนิท มือขาวผลักประตูไม้ออกแล้วเดินเข้าไปในห้อง นัยน์ตาสีรัตติกาลสอดส่องหาคนตัวเล็กของเขาก่อนจะหยุดที่เตียงด้านในสุด พรีเฟ็คในเสื้อคลุมแถบเขียวรีบเดินไปที่เตียงเป้าหมายก่อนจะพบว่ามินฮยอกกำลังหลับ เขาลากเก้าอี้มาวางไว้ข้างเตียงก่อนจะทรุดตัวลงนั่งมองคนผิวสีแทนหลับ มือขาวยื่นไปลูบกลุ่มผมสีปีกกาของอีกคนที่อยู่บนเตียงแต่ก็ต้องผละออกเมื่อมินฮยอกทำท่าเหมือนจะตื่น

     


                    “อือ..” เสียงงัวเงียลอดออกมาจากลำคอของคนอายุน้อย มือที่ไม่มีเฝือกของเขายกขึ้นมาขยี้ตาเบาๆก่อนจะปรับสภาพสายตามองคนที่อยู่ข้างๆ แสงสีเงินตกกระทบกับดวงตาเขาพอดี ทำให้มินฮยอกรู้ว่าใครมา

     


                    “รุ่นพี่มุนบิน?” น้ำเสียงเพิ่งตื่นนอนของมินฮยอกมักทำให้คนใจอ่อน และนั่นรวมไปถึงมุนบิน

     


                    “ไง” มุนบินยกมือทัก

     


                    “มาทำอะไรหรอฮะ?” คนเด็กกว่าพยายามยันตัวขึ้นมานั่งด้วยแขนข้างเดียว ความปวดร้าวแล่นจากก้นกบและแผลบริเวณเอวไปสู่ทั่วร่างจนต้องร้องโอ๊ยออกมา

     


                    “มาหานายไง การถามสิ่งที่รู้คำตอบอยู่แล้วมันเสียมารยาทนะ” ชายผมสีเงินเข้าไปช่วงประคองพลางพูด

     


                    “เป็นยังไงบ้าง?”

     


                    “ก็อย่างที่เห็นล่ะฮะ มาดามคังบอกว่ากว่าจะหายเป็นปกติก็สองอาทิตย์ได้” มินฮยอกว่าพลางชี้แขนในเฝือกของตน

     


                    “ทำไมถึงตกจากไม้กวาดล่ะ ไหนบอกว่าจะโค่นที่หนึ่งอย่างฉันไง?”

     


                    “ก็เพราะรุ่นพี่นั่นแหละ!” มินฮยอกแยกเขี้ยว

     


                    “โฮ่? เพราะฉัน? ฉันทำไม?” มินฮยอกเงียบไปสักพักก็หันหนีอีกฝ่ายแถมยังหลบตามุนบินอย่างเห็นได้ชัด “เพราะฉันทำแบบนี้หรอ?” เสียงกระซิบดังขึ้นข้างหูคนตัวเล็ก เสียงลมหายใจที่ออกจากปากของอีกคนทำใจมินฮยอกเต้นระส่ำ

     


                    “รุ่นพี่!” มินฮยอกหันไปแหวใส่อีกคนแต่ก็ต้องชะงักเมื่อหน้าของทั้งสองคนใกล้กันเกินคืบ แถมมุนบินก็กำลังยกยิ้มเจ้าเล่ห์อย่างที่ชอบทำอยู่อีก ใบหน้าของซีคเกอร์คนเก่งแห่งกริฟฟินดอร์ขึ้นสีอีกครั้ง

     


                    “แสดงว่าใช่” มุนบินผละออกแล้วกลับมาอยู่ในท่านั่งกอดอก ที่มุมปากยังคงยกยิ้ม “แล้วอีกอย่าง ฉันมีชื่อ เรียกรุ่นพี่ๆแบบนี้มันค่อนข้างน่ารำคาญ”

     


                    “ผมอยากออกจากที่นี่เร็วๆจัง...” มินฮยอกว่าตัดบทเสียดื้อๆ ดวงตาสีน้ำตาลไหม้มองออกไปนอกหน้าต่าง ตอนนี้พวกฮัฟเฟิลพัฟฟ์คงกำลังซ้อมควิดดิชกันอยู่ข้างนอกแน่ๆ

     


                    “ฉันว่าฉันช่วยนายได้นะ ยกเว้นแขนที่หักของนายไว้อย่างนึง” มุนบินหยิบไม้กายสิทธิ์สีหม่นของตนออกมาก่อนจะแตะไปที่หางคิ้วของอีกฝ่ายก่อนจะพูดคาถาสามครั้ง “วัลเนอรา ซาเนนทอร์” เลือดที่ซึมอยู่ที่ผ้าพันแผลถูกดูดกลับเข้าไปในแผลก่อนที่มันจะสมานอย่างรวดเร็ว มือสีแทนรีบแกะผ้าที่แปะบนหางคิ้วของตนออกอย่างประหลาดใจ

     


                    “คาถานี้ไม่มีสอนนี่” มินฮยอกหันไปมองพรีเฟ็คคนเก่งอย่างสงสัย

     


                    “อย่าไปบอกใครล่ะ” มุนบินยักคิ้ว ต้องขอบคุณหนังสือเก่าๆในห้องสมุดของฮอกวอตส์ที่เขาอ่านฆ่าเวลาเสียแล้ว “มีแผลตรงไหนอีกหรือเปล่า?”

     


                    มินฮยอกพยักหน้าอย่างเร่งรีบ การได้ออกไปจากห้องนี้ไวๆแล้วกลับไปอยู่บนไม้กวาดอีกครั้งสำหรับซีคเกอร์อย่างเขาถือว่าเป็นสิ่งที่วิเศษที่สุด เขาเลิกเสื้อเชิ้ตตัวโคร่งของตนขึ้นแล้วถกกางเกงขาสั้นของตนลงเล็กน้อย เผยให้เห็นรอยแผลยาวจากช่วงสะโพกจนถึงเอวที่มีผ้าพันแผลซึมเลือดแปะอยู่ แต่ด้วยเนื้อหนังของเขาที่ถูกเผยให้เห็นมากเกินไป มุนบินก็รู้สึกหน้าร้อนขึ้นมาเสียดื้อๆ

     


                    “แผลใหญ่กว่าที่คิด แต่จะพยายาม” มุนบินกลืนน้ำลายอึกใหญ่ ไม้กายสิทธิ์เอล์มกำลังอยู่เหนือรอยแผลของมินฮยอก เขาร่ายคาถาอีกครั้ง

     


                    “วัลเนอรา ซาเนนทอร์” เสียงนุ่มของพรีเฟ็คผมสีเงินพูดซ้ำอยู่สามครั้ง ไม้กายสิทธิ์ลากไปตามรอยแผลยาวระหว่างร่ายก่อนแผลจะเริ่มสมานตัว ผ้าพันแผลถูกคลายออกก่อนมุนบินจะลุกขึ้นไปที่ตู้เก็บยาและหยิบสารสกัดจากต้นดิททานี่มาทารอยแผล เขาพยายามอย่างมากที่จะข่มความรู้สึกตัวเองเอาไว้ระหว่างลากมือไปบนผิวของอีกฝ่าย

     


                    “ดูเกร็งๆนะฮะ” เสียงของมินฮยอกดึงให้มุนบินเงยไปหา รอยยิ้มและสายตาเจ้าเล่ห์ถูกประดับขึ้นบนใบหน้าของมินฮยอก มันช่างดูเย้ายวนอย่างน่าประหลาด มุนบินเห็นดังนั้นจึงเคาะไม้กายสิทธิ์ไปที่หน้าผากของอีกฝ่าย

     


                    “นี่คืออะไรหรอฮะพี่บิน?” มินฮยอกมองขวดที่มีของเหลวสีน้ำตาลในมือคนอายุมากกว่าอย่างสนอกสนใจ สรรพนามใหม่ที่มินฮยอกใช้เรียกอีกคนช่างลื่นหูสำหรับคนฟัง

     


                    “สารสกัดต้นดิททานี่ เป็นสมุนไพรรักษาแผลที่ค่อนข้างหายากเพราะฤทธิ์ของมันมีพลังการรักษามหาศาล อย่างที่กำลังทำกับนายอยู่ตอนนี้” มุนบินว่าพลางส่งสายตาไปยังเอวของอีกฝ่ายที่แผลกำลังสมานและหายเป็นปกติ ผิวเนียนไร้รอยแผลเป็นกลับมาอีกครั้ง มุนบินกระแอมเบาๆเมื่อมินฮยอกดึงเสื้อขึ้นสูงกว่าเดิม เรียกเสียงหัวเราะขี้เล่นออกมาจากริมฝีปากสีสดของมินฮยอก

     


                    “นึกว่าอยากเห็นเสียอีก” มินฮยอกปล่อยเสื้อลงและดึงกางเกงขึ้นอย่างช้าๆด้วยแขนข้างเดียว ปกปิดผิวสีแทนของเขาอีกครั้ง

     


                    “ยั่วฉันอยู่หรือไง?”

     


                    “แกล้งต่างหาก” พูดไม่ทันจบก็ถูกมือขาวของอีกคนมาหยิกเข้าไปที่แก้ม หนำซ้ำยังบิดไปบิดมาเสียจนขึ้นรอยแดง

     


                    “ทำแบบนี้กับคนอื่นระวังจะไม่ได้ออกจากห้องพยาบาลนะมินฮยอก” มุนบินส่งสายตาดุใส่อีกคนพลางสะบัดไม้กายสิทธิ์เพื่อให้ขวดสารสกัดกลับไปอยู่ในตู้ดังเดิม ให้ตายเถอะ มินฮยอกมีฤทธิ์เหลือร้ายมากกว่าที่เขาคิดเสียอีก

     


                    มาดามคังกลับเขามาในห้องพยาบาลอีกครั้ง ในมือของเธอมีถาดอาหารและชามยาสีเข้มคุ้นตามินฮยอก บรรยากาศรอบๆมินฮยอกห่อเหี่ยวลงภายในทันทีเมื่อเห็นมัน มาดามคังวางชามยาไว้บนโต๊ะข้างเตียงก่อนจะสังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลงของแผลที่คิ้วและเอวของมินฮยอก

     


                    “แผลหายไวผิดปกตินะคะนี่” เธอขมวดคิ้ว

     


                    “อาจเป็นเพราะผมมีเวทมนตร์อยู่ในตัวเยอะก็ได้นะฮะ” มินฮยอกกล่าวติดตลก

     


                    “คุณมินฮยอก...” มาดามคังขมวดคิ้ว ส่งสายตาคาดโทษให้เด็กชาย

     


                    “แต่ก็ดีแล้ว ฉันไม่อยากให้ใครอยู่ที่ห้องพยาบาลนาน” ไม่ใช่ว่าเธอไม่อยากรักษา เพียงแต่เธอไม่อยากเห็นใครเจ็บป่วยต่างหาก “ถ้าแผลหายไวขนาดนี้ ฉันว่าคุณพัคน่าจะออกจากห้องพยาบาลได้ประมาณวันศุกร์นะคะ เรื่องแขนหักไม่น่าเป็นห่วง”

     


                    จบประโยค มินฮยอกก็ยิ้มออกมา เขาคิดถึงไม้กวาดและคนอื่นๆจะแย่ ถึงแม้ว่าเพื่อนทั้งสามคนและคนในทีมจะมาเยี่ยมไปแล้วเมื่อตอนพักเที่ยง แต่มันก็ดีกว่าที่จะได้ออกไปจากห้องนี้สักที แต่ความดีใจก็ต้องหยุดไว้เมื่อมุนบินขัดขึ้น

     


                    “แต่นายก็ยังต้องกินยาอยู่ดี”

     


                    “รู้แล้วฮะ ไม่ต้องย้ำก็ได้” มินฮยอกหันไปทำหน้าบูดใส่อีกคนก่อนจะยกชามยาขึ้นมากระดก มินฮยอกทำหน้าเหมือนอยากจะร้องไห้เมื่อจัดการกับยาเรียบร้อยแล้ว

     


                    “ใจเด็ดดีนี่” มินฮยอกทำตาขวางใส่คนพูดที่กำลังนั่งอยู่ข้างๆ

     


                    “ฉันดีใจนะคะที่คุณกินยาที่ฉันให้อย่างเคร่งครัด คุณพัค” มาดามคังยิ้มแล้วบอกถึงเรื่องสำคัญก่อนจะเดินออกไปจากห้อง “อีกสักพักศาสตราจารย์ประจำบ้านของคุณจะมาเยี่ยมคุณ”

     


                    “ฉันคงต้องไปแล้วล่ะนะ” มุนบินว่าก่อนจะลุกขึ้นเมื่อเห็นว่าอาทิตย์ได้ตกดินไปแล้วและถึงเวลาอาหารเย็น มือใหญ่ขอเขาส่งไปขยี้หัวอีกฝ่ายก่อนเขาจะเดินออกไปจากห้อง เขาเปิดประตูใหญ่ของห้องพยาบาลและสวนทางกับพรีเฟ็คประจำบ้านเรเวนคลอพอดิบพอดี สายตาของอึนอูที่ส่งให้เขาดูไม่เป็นมิตรนัก

     


                    “มินฮยอก” เสียงทุ้มที่ดูอารมณ์ดีของอึนอูดังขึ้นเมื่อเห็นเจ้าของชื่อกำลังจัดผมตัวเองอยู่อย่างน่ารัก

     


                    “พี่ดงมิน กำลังรออยู่เลย” มินฮยอกส่งยิ้มให้พี่ชายคนสนิท อึนอูมองเก้าอี้ว่างที่อยู่ข้างเตียงอีกคนก่อนจะทิ้งตัวลงนั่งบนนั้น

     


                    “มีเก้าอี้มาวางแบบนี้ มีคนมาเยี่ยมมินฮยอกหรอครับ?” เขาได้รับการพยักหน้าเป็นคำตอบ

     


                    “อย่าบอกนะว่าเป็นซีคเกอร์ของสลิธีรินที่เพิ่งเดินสวนพี่ไปคนนั้น” อึนอูว่าพลางขมวดคิ้ว เขารู้สึกไม่ไว้ใจคนๆนั้นขึ้นมาตั้งแต่เขาสังเกตเห็นสายตาของมุนบินที่มองมินฮยอกเมื่อตอนวันเปิดภาคเรียนแล้ว

     


                    “พี่ดงมินหึงหรอฮะ?” มินฮยอกแกล้งแหย่เล่น แต่ก็ได้คำตอบที่ไม่ได้หาวิธีตั้งรับไว้

     


                    “หึงครับ” อึนอูว่าก่อนจะขยับเข้าไปใกล้น้องชาย

     


                    “หึงมากด้วย” ดวงตาคมจ้องเข้าไปในตาสวยของมินฮยอกที่กำลังสั่นไหว

     


                    “หึงอะไรเล่า พี่ดงมินหยุดพูดเดี๋ยวนี้เลย” เป็นมินฮยอกที่เป็นฝ่ายหันหน้าหนี เขาไม่ชินสักทีกับการที่ดงมินทำแบบนี้ ทั้งๆที่ดงมินชอบทำแบบนี้กับเขาบ่อยๆก็เถอะ

     


                    “มินฮยอกเขินได้น่ารักมากเลยนะ รู้ตัวหรือเปล่า?” อึนอูเอื้อมมือไปจับมือของอีกคนขึ้นมาจุมพิตที่หลังมือเบาๆก่อนจะเอามันมาแนบแก้มของตนพลางมองปฏิกิริยาคนตัวเล็ก

     


                    “ฮื่อ...พี่ดงมิน ไม่เอา ไม่แกล้ง” มินฮยอกที่ใบหน้าแดงก่ำครางในลำคออย่างไม่ชอบใจ เขาไม่ชอบตอนที่ดงมินอยู่กับเขาตามลำพังเลย

     


                    “ไม่แกล้งแล้วก็ได้ครับ แต่พี่พูดจริงนะเรื่องหึง” ดงมินว่าพลางปล่อยมือของมินฮยอกและหยิบถาดอาหารที่วางไว้บนโต๊ะข้างเตียงมาวางไว้บนตักของอีกคน มินฮยอกมองหน้าเขาโดยไม่พูดอะไรด้วยสายตาไร้อารมณ์

     


                    “พี่จะป้อนครับ เราแขนเจ็บอยู่นี่” กัปตันทีมควิดดิชว่าก่อนจะหยิบช้อนมาตักซุปในชามแล้วจ่อปากคนที่กำลังนั่งอยู่บนเตียง

     


                    “ผมไม่ใช่เด็กแล้วนะ ไหนบอกว่าจะเลิกแกล้งแล้วไง” มินฮยอกงอแงก่อนจะงับช้อนตรงหน้า

     


                    “แต่ก็ยอมให้พี่ป้อนนี่ครับ” ดงมินยิ้มแล้วยกมือขึ้นลูบหัวทุยของอีกฝ่าย

     


                    “ฉันมาผิดเวลาหรือเปล่านะ?” เสียงแหลมสูงติดแหบเป็นเอกลักษณ์ของศาสตราจารย์ประจำบ้านกริฟฟินดอร์ดังขึ้น เรียกความสนใจของนักเรียนทั้งสองคนที่กำลังทำตัวเหมือนเป็นคู่รักให้หันไปมอง บนใบหน้าของเธอมีรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ประดับอยู่ ดวงตาของเธอมองพวกเขาอย่างแปลกๆ

     


                    “ศาสตราจารย์ฮโยจอง! คือ--!!” มินฮยอกพยายามหาคำอธิบายร้อยพันในหัวของตน

     


                     “ไม่ต้องอธิบายอะไรทั้งนั้นแหละ ฉันว่าฉันรู้” ศาสตราจารย์ประจำวิชาแปลงร่างหัวเราะน้อยๆ ทิ้งให้มินฮยอกนั่งเหวอไปพักหนึ่ง แต่ดงมินกลับไม่รู้สึกทุกข์ร้อนอะไร แถมรู้สึกชอบใจด้วยซ้ำ “ทีนี้ขอความเป็นส่วนตัวระหว่างฉันกับนักเรียนในอาณัติฉันหน่อยนะคะ คุณชา”

     


                    อึนอูพยักหน้าก่อนจะลุกขึ้น ลูบหัวมินฮยอกเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะเดินออกจากห้องไปโดยไม่แคร์ว่าทุกการกระทำของเขามีสายตาของศาสตราจารย์สาวมองอยู่ด้วยความชอบใจ ทิ้งให้มินฮยอกนั่งหน้าแดงก่ำหยิบผ้าห่มขึ้นมาปิดหน้าตัวเองท่ามกลางเสียงหัวเราะและคำแซวของศาสตราจารย์คนสนิท

     


                    “ไม่ใช่อย่างที่ศาสตราจารย์คิดจริงๆนะครับ เชื่อผมเถอะ”

     


                    “ฉันว่าฉันเชื่อสายตาฉันมากกว่านะ คุณมินฮยอก”

     


                    “โถ่...” มินฮยอกหงอยลงอย่างเห็นได้ชัด ศาสตราจารย์ฮโยจองพูดธุระของเธอจนจบก่อนจะเดินออกไป

     


                    เช้าวันรุ่งขึ้น หัวข้อใหญ่ในการพูดคุยของผู้หญิงในฮอกวอตส์รวมไปถึงนักเรียนชายเปลี่ยนเป็น ซีคเกอร์ของกริฟฟินดอร์กับคีปเปอร์ของเรเวนคลอกำลังคบหากัน

     

     


    #สลิธีรินคนนั้น

    B
    E
    R
    L
    I
    N
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×