คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : Ch.2 Duel on the corridor
Ch. 2
Duel on
the corridor
“ทำอะไรน่ะร็อคกี้”
เสียงจินอูดังอยู่ที่เตียงข้างๆมินฮยอก
รุ่นพี่เรียกเขาด้วยฉายาที่เขาได้รับมาเมื่อตอนเด็กๆ
“ยืดเส้นไงฮะ ปกติพี่ไม่ทำทุกเช้าหรอ?”
มินฮยอกหันไปถาม
“ทำ...
แต่ไม่ขนาดนาย” สิ่งที่ปรากฏอยู่ตรงหน้าชายผมเขียวคือมินฮยอกที่กำลังฉีกขาอยู่บนเตียงและเอี้ยวแขนฝั่งซ้ายไปแตะที่ปลายเท้าขวา
“ก็รู้นะว่านายเคยเรียนบัลเล่ต์มา
แต่ทำได้ถึงขนาดนี้เลยหรอ?” จินอูลุกขึ้นยืนก่อนจะเดินไปหยิบแก้วน้ำที่โต๊ะข้างเตียงเขามาจิบ
“ไม่รู้สิฮะ
พอรู้ตัวก็ทำได้แล้ว” เป็นกิจวัตรทุกเช้าเสียแล้วที่มินฮยอกจะต้องลุกขึ้นมานั่งบนเตียง
ยืดขาทั้งสองข้างออกเป็นร้อยแปดสิบองศาและยืดเส้นทั้งตัวอยู่ในท่านั้น
เขาชอบที่เขามีร่างกายที่ยืดหยุ่น เวลาทำอะไรจะได้คล่องแคล่วและไม่อืดอาด
เสียงกลืนน้ำลายดังอึกลอยมาเข้าหูของจินอูเข้า
เสียงนั่นเป็นของเป็นเด็กปีสี่หนึ่งในสมาชิกทีมควิดดิชของเขา
ชเวฮันซลหรือเวอร์น่อน ดวงตาคมของเวอร์น่อนกำลังมองไปที่น้องชายของเขาอยู่
พรีเฟ็คผมเขียวหันกลับมามองที่มินฮยอกที่กำลังยืดเส้นอีกครั้งและพบว่าน้องชายตัวดีกำลังใส่กางเกงขาสั้นอยู่และท่าที่มินฮยอกทำก็ยิ่งทำให้กางเกงรั้งขึ้นเผยให้เห็นต้นขาเนียนของเขายิ่งกว่าเดิม
แถมเสื้อยืดใส่นอนของเขาก็ไม่ค่อยจะปกปิดผิวของมินฮยอกเสียเลย
“”น้อยๆหน่อยเวอร์น่อน”
จินอูเอ็ดรุ่นน้องพร้อมทั้งปากล่องขนมเปล่าใส่ฮันซล
“อะไรกันพี่ อาหารตาประจำหอชายกริฟฟินดอร์อุตส่าห์กลับมาทั้งที”
พูดยังไม่ทันจบประโยคกล่องขนมกล่องที่สองก็ลอยหวือเข้ามาเต็มๆใบหน้าของเวอร์น่อน
“นายจะมองใครก็ได้แต่ไม่ใช่น้องชายฉัน
อยากให้ฉันต่อยตานายจนมองมินฮยอกไม่ได้ไหมล่ะ?”
“ไปก็ได้ครับ”
เวอร์น่อนว่า หน้าของเขาบูดบึ้ง เท้าพาเขาลุกจากเตียงเพื่อไปอาบน้ำและเตรียมไปเรียน
“ไปอาบน้ำเปลี่ยนชุดได้แล้วนะมินฮยอก”
จินอูว่าพลางกำลังจะเดินลงไปที่ห้องนั่งเล่น
ความจริงเขาก็อารมณ์ดีอยู่เหมือนกันที่เห็นเจ้าน้องชายอยู่ในชุดนี้
เขาขาดอาหารตามานานเกินพอแล้ว
แต่เขาไม่อยากให้เด็กคนอื่นๆที่อยู่รอบๆเตียงของมินฮยอกมี Morning Woods กันถ้วนหน้าหรอกนะ
“ครับ” มินฮยอกรับคำอย่างว่าง่าย
มินฮยอกหุบขาและลุกขึ้นยืนก่อนที่จะมุ่งหน้าไปที่ห้องน้ำของหอพัก สายตาหลายคู่จับจ้องไปที่ต้นขาของเขาก่อนที่จะถูกบังคับให้มองไปที่อื่นเมื่อจินอูกระแอมขึ้นมาด้วยเสียงที่ค่อนข้างดัง
___________
“อรุณสวัสดิ์นักเรียนทุกคน
สำหรับวิชาคาถาในปีที่สี่นี้ เราจะเรียนคาถาใหม่ทั้งสิ้น สิบคาถา
และจะทบทวนคาถาที่เราเรียนไปแล้ว สองคาถากันนะจ๊ะ”
ศาสตราจารย์โซลจีเจ้าของผมสีแดงเพลิงกล่าว “โดยคาถาแรกที่ฉันจะสอนพวกเธอทุกคนก็คือ
คาถาเรียกของ” ไม้กายสิทธิ์สีสวยของเธอถูกหยิบออกมาจากภายใต้แขนเสื้อคลุม
ก่อนจะชี้ไปยังแก้วน้ำของเธอบนโต๊ะอีกฟากของห้อง
“แอคคิโอ้!”
แก้วกระเบื้องสีนวลลอยขึ้นและพุ่งมาอยู่ภายในมือของโซลจีที่เธอยื่นออกมารอไว้อย่างรวดเร็ว
ก่อนเธอจะชี้ไม้กายสิทธิ์รินน้ำใส่แก้วแล้วยกขึ้นดื่ม
“คาถานี้ง่ายมากๆและเก่าแก่ที่สุดในโลกเวทมนตร์
ฉันเดาได้ว่าคุณพัคมินฮยอกของเราสามารถใช้มันได้แล้ว ใช่หรือเปล่า?”
เจ้าของชื่อสะดุ้งเล็กน้อยเมื่อชื่อของตัวเองถูกขาน
ทุกสายตาในห้องย้ายมาจับจ้องอยู่ที่เขาเป็นจุดเดียว
โชคไม่ดีนักที่วันนี้เขาเรียนรวมกับพวกสลิธีริน สายตาของคิมเยริมนั้นแทบจะฉีกเขาอยู่เป็นชิ้นๆอยู่แล้ว
ดวงตาสีน้ำตาลไหม้ช้อนขึ้นไปมองที่ศาสตราจารย์สาวผมสีเพลิง มินฮยอกพยักหน้าน้อยๆ
เรียกรอยยิ้มให้ปรากฏอยู่บนหน้าของโซลจีก่อนเธอจะพูดต่อ
“สาธิตได้ไหมจ๊ะ?”
จบประโยคมินฮยอกก็ลุกขึ้นยืนแล้วเดินออกไปที่ทางเดินกลางห้อง
“ลองเรียกปากกาขนนกที่เสียบอยู่ในแก้วนั้นให้ฉันดูหน่อยสิ”
โซลจีว่าพลางหาถุงชาที่พกมาจากโลกมักเกิ้ล มันสะดวกกว่าการกรองชา ชงชาเองนี่นา
เจ้าของผมสีขนนกกาหยิบไม้กายสิทธิ์ออลเดอร์ขนาดสิบสี่นิ้ว
สลักลวดลายและประดับด้วยอัญมณีสีสวยทั่วร่องไม้ แกนกลางเขาฮอร์นเซอร์เพนท์ของเขาออกมา เขาได้รับไม้นี่จากทางพัสดุตั้งแต่เด็กแล้ว
จ่าหน้าซองบอกว่ามาจากญาติที่ห่างไกล
ครั้งแรกที่จับมันมินฮยอกรู้สึกว่าไม้นี่กำลังดีใจด้วยเหตุผลอะไรสักอย่าง
ตั้งแต่นั้นมาเขาก็ดูแลไม้กายสิทธิ์เหมือนกับเพื่อนคนหนึ่งของเขา มือสีงาช้างติดแทนนิดๆของมินฮยอกกระชับไม้กายสิทธิ์ก่อนจะโบกและชี้ไปที่ปากกาขนนกที่อยู่ในแก้ว
“แอคคิโอ้” ปากกาขนนกสีขาวลอยมาอยู่ตรงหน้าเขา
มือใหญ่ผิดขนาดตัวยื่นออกมาคว้าและกุมมันไว้ในมือ เสียง ‘ว้าว’ ทุ้มต่ำของเด็กกริฟฟินดอร์ที่ชื่อลูคัสดังขึ้นมาก่อนจะตามมาด้วยเสียงปรบมือ
“เก่งมากจ้ะ คุณพัคกลับไปนั่งที่ได้แล้วนะจ๊ะ” ฮอโซลจีวางแก้วน้ำชาไว้บนโต๊ะก่อนจะเดินไปที่กระดาษดำ เขียนการออกเสียงและรูปแบบการโบกไม้กายสิทธิ์ลงบนกระดานก่อนจะหันมาอธิบายสรรพคุณของคาถาและเงื่อนไขในการใช้คาถา “หากใครมีข้อสงสัยตรงไหนก็สามารถถามได้เลยนะจ๊ะ”
“เห็นสายตาของยัยเยริมไหม?”
ชเวยูจองกระซิบมินฮยอก เสียงเล็กแหลมของเธอยิ่งแหลมขึ้นอีกเมื่อพูดถึงคิมเยริม
“ยัยนั่นมองนายด้วยสายตาแบบนั้นตั้งแต่ปีหนึ่งแล้ว
โกรธแค้นนายมาจากชาติปางก่อนหรือไงกัน”
“เธอก็เห็นเขามองมินฮยอกแบบนั้นมาตั้งแต่ปีหนึ่งแล้วไม่ใช่รึไง?
ควรจะชินได้แล้วนะ” มาร์คลีที่นั่งอยู่อีกฝั่งของมินฮยอกพูด
จริงๆเขาก็ไม่ชอบใจหรอกที่เยริมมองเพื่อนเขาแบบนั้น
แต่เขาไม่ยักเห็นเธอมาทำอะไรมินฮยอกจึงปล่อยเยริมมองเพื่อนตัวเล็กแบบนั้นต่อไป
“ก็ฉันหมั่นไส้นี่นา
ชอบทำตาแข็งอยู่ตลอดเวลา เหมือนกับโดนคาถาแช่แข็งที่ตายังงั้นแหละ” ยูจองบ่นฟึดฟัดก่อนจะกลับไปฝึกคาถาเรียกของต่อเมื่อเห็นโซลจีกำลังจ้องเธอ
แต่ทำอย่างไรเธอก็เรียกขวดหมึกที่อยู่ตรงโต๊ะเธอมาใกล้ๆไม่ได้เสียที
“ออกเสียงเน้นคำว่า
‘คิ’ สิยูจอง” มินฮยอกที่นั่งมองอยู่นานบอกถึงความผิดพลาดของเพื่อนตัวเอง
ยูจองได้ยินดังนั้นจึงลองทำตามที่มินฮยอกบอก และมันก็ได้ผล
ขวดหมึกสีดำเลื่อนเข้ามาหาเธอแทบจะทันที
“นายนี่มันอัจฉริยะจริงๆมินฮยอก”
ยูจองยิ้มจนตาหยี
“นั่นมันเรื่องเบสิคต่างหาก”
แต่เธอก็ถูกขัดอีกครั้ง คราวนี้เป็นเสียงของคังชานฮี
“ให้ตายเถอะพวกนาย”
ยูจองเริ่มจะอารมณ์เสียกับเพื่อนชายสองคนที่ไม่ค่อยจะถนอมน้ำใจเธอบ้างเลย
“อย่าแกล้งยูจองสิพวกนาย
ดูสิ เธอทำหน้าบ๊องเป็นรอบที่สองของวันแล้วนะ” มินฮยอกว่า
“ถึงเธอจะทำมันทุกวันก็ตามเถอะ”
“มินฮยอก!” ยูจองตะโกนด้วยเสียงที่เบาเหมือนกระซิบ
ใครจะไปกล้าล่ะ โซลจีที่ใจดีคนนั้นให้การบ้านยากจะตาย
ถ้าเธอเสียงดังเธออาจจะได้รับบทลงโทษเป็นการบ้านที่ยากกว่าเดิมก็ได้
มินฮยอกขำจนตัวสั่น ตาที่โตถูกหยีจนเล็กลง
กล้ามเนื้อใบหน้าถูกใช้ในการหัวเราะเพื่อนตัวเล็กข้างๆ
“วันนี้ดูเหมือนว่าเด็กๆกริฟฟินดอร์จะร่าเริงเป็นพิเศษนะคะเนี่ย
โดยเฉพาะคุณยูจอง” ยูจองสะดุ้งก่อนจะหันไปหาโซลจี
เธอกลืนน้ำลายลูกใหญ่ลงคออย่างยากลำบาก พลางคิดในใจ ตายแน่ฉัน มินฮยอกที่นั่งอยู่ข้างๆนั่งนิ่ง
สายตาล่อกแล่กไปมาด้วยความวิตก เยริมหันมามองพวกเขาแล้วยิ้มเยาะอย่างร้ายกาจ
“ซึ่งนั่นเป็นเรื่องดีค่ะ
ฉันไม่อยากให้ชั้นเรียนของฉันน่าเบื่อ” โซลจียิ้มให้ยูจอง
ถึงตาเธอจะดูอบอุ่นแต่ความหมายจริงๆแล้วนั่นคือการเตือน
พวกมินฮยอกพ่นลมหายใจออกมาด้วยความโล่งอก ยูจองยิ้มหวานใส่และตั้งใจจดตามสิ่งที่โซลจีอธิบายในทันที
“อ้อ ก่อนจะจบชั่วโมงเรียน ฉันชอให้ทุกคนไปทบทวนคาถาดึงวัตถุมาด้วยนะจ๊ะ
ฉันหวังว่าพวกเธอจะยังจำสิ่งที่เรียนกันเมื่อตอนปีสามกันได้อยู่นะ”
“เลิกเรียนได้จ้ะ”
สิ้นเสียงของศาสตราจารย์ผมสีแดงทุกคนในห้องก็ลุกขึ้น เดินออกจากห้องเรียนในทันที
“ฉันแทบบ้าเลยรู้ไหมตอนศาสตราจารย์โซลจีมองพวกเราน่ะ”
มินฮยอกบ่น
“ความผิดเธอนะยูจอง”
“ได้ไง!? พวกนายรุมแกล้งฉันก่อนนี่นา!” ยูจองว่าพลางตีไปทีหลังของมินฮยอก
ความแสบแล่นสู่โสตประสาทจนเขาต้องร้องซี้ด
ไม่ทันไรคิมเยริมและพรรคพวกของเธอก็เดินมาหยุดข้างหน้าพวกเขา
สายตาของเธอมองมินฮยอกเป็นแบบเดียวกับที่ใช้มองเขาในชั่วโมงเรียนวิชาคาถา
“ว่าไงเลือดสีโคลน
ประจบสอพลอศาสตราจารย์เก่งจังนะ”
“อย่ามาเรียกฉันแบบนั้น”
“นายปฏิเสธสายเลือดตัวเองไม่ได้หรอกนะพัคมินฮยอก
ถึงพ่อแม่นายจะเป็นผู้วิเศษแต่พวกเขาก็ยังเป็นเลือดสีโคลนอยู่วันยังค่ำ ที่ได้ตำแหน่งสูงๆ ในกระทรวงเวทมนตร์คงได้มาเพราะไปเลียแข้งเลียขาคนอื่นมาล่ะสิ” เยริมยกยิ้มมุมปากเมื่อเห็นปฏิกิริยาของมินฮยอก มือติดสีแทนอ่อนๆกำหมัดแน่นเสียจนสั่น
ในใจเขาอยากจะสาปให้ยัยนี่ฝีหนองขึ้นเต็มตัวแต่ด้วยที่เขาไม่อยากมีปัญหา
จึงได้เพียงแต่ยืนนิ่งอยู่อย่างนั้น
“โกรธหรอ?
ทำไมไม่หยิบไม้กายสิทธิ์สีสวยของนายออกมาล่ะพัคมินฮยอก?” เยริมเชิดหน้า
เหยียดยิ้มเย้ยหยันเจ้าของชื่อที่เธอเพิ่งพูดออกมา
เธอล้วงเข้าไปในแขนเสื้อคลุมกำมะหยี่เพื่อหยิบไม้กายสิทธิ์ของเธอออกมาก่อนจะชี้ไปที่มินฮยอก
“คิมเยริม
ฉันไม่อยากมีปัญห- โพรเทโก!” มินฮยอกหยิบกายสิทธิ์ของเขามาป้องกันคาถาของเยริมที่ร่ายใส่เขาแทบไม่ทัน
เธอร่ายคาถาใส่เขาทั้งๆที่ยังไม่ทันหยิบไม้กายสิทธิ์ด้วยซ้ำ
มินฮยอกเริ่มรู้สึกว่ายัยผู้หญิงข้างหน้านี้น่ารำคาญเสียจนอยากจะสาปให้กลายเป็นตัวตุ่น
“เลวิคอร์ปัส!” เยริมแผดเสียง
แสงสีเขียวพุ่งจากไม้กายสิทธิ์ของเธอไปยังอีกฝ่าย
มินฮยอกปัดมันลงสู่พื้นได้อย่างง่ายดาย ให้ตายเถอะ
เธอไปรู้คาถานี้มาจากสลิธีรินคนอื่นๆ แน่ๆ มันไม่มีสอนในฮอกวอตส์ด้วยซ้ำ
“เอกซ์เปลล์ลิอาร์มัส!”
ประกายวาบสีชาดกระทบไปที่ข้อมือของเยริม ไม้กายสิทธิ์ที่ทำจากไม้แอปเปิ้ลของเธอหลุดออกจากการเกาะกุมและหล่นลงไปที่พื้น
เสียงเฮจากเด็กกริฟฟินดอร์ที่เห็นเหตุการณ์ดังขึ้นเรียกความสนใจจากคนรอบข้างที่อยู่บนระเบียง
“หนอยแก!”
เด็กสาวจากสลิธีรินกรีดร้อง หน้าของเธอบูดเบี้ยวด้วยอารมณ์ที่คุกรุ่น
เด็กสาวผมสีน้ำตาลรีบหยิบไม้กายสิทธิ์ของตนบนพื้นขึ้นมาก่อนจะชี้ไปยังคู่ต่อสู้
การที่โดนคาถาปลดอาวุธจากเด็กกริฟฟินดอร์เป็นสิ่งที่เธอยอมไม่ได้
เธอจะต้องไม่แพ้เลือดสีโคลนอย่างเขา “คอนฟรินโก้!”
เมื่อสิ้นคำ
แสงสีส้มและเปลวเพลิงวิ่งออกจากไม้กายสิทธิ์ของหล่อน คำสาประเบิดถูกร่ายใส่มินฮยอก
เขากระชับไม้กายสิทธิ์ของตนด้วยมือที่สั่นเทา ถ้าเขาป้องกันคำสาปนี้ไม่ได้ล่ะ?
ใบหน้าของเขาจะต้องถูกเผาใช่ไหมนะ? ความร้อนของลูกไฟวิ่งเข้าใกล้มินฮยอกมากขึ้นเรื่อยๆ
มันสัมผัสปลายจมูกของเขาก่อนที่จะเกิดแรงลมตรงหน้าเขา
“อควาอีรัคโต”
เสียงนุ่มที่คุ้นหูมินฮยอกดังขึ้นข้างหลังเขา
ดวงตาสีรัตติกาลไร้อารมณ์จ้องมองไปที่เด็กสาวตรงหน้า
ชายในเรือนผมสีเงินคุ้นตาเดินมาข้างหน้ามินฮยอก ในมือของเขามีไม้กายสิทธิ์ไม้เอล์มที่กำลังพ่นน้ำดับไฟของคำสาประเบิดอยู่
ใบหน้านิ่งเสียจนเดาไม่ได้ว่านึกอะไรอยู่ภายในหัว
“คุณคิมเยริม
คุณใช้คาถาอันตรายใส่นักเรียนคนอื่น หักคะแนนสลิธีริน 10 คะแนน”
มุนบินหันไปมองมินฮยอกเล็กน้อยก่อนจะหันไปที่เยริมอีกครั้ง
“ประลองเวทมนตร์กันบนระเบียง หักคะแนนสลิธีริน 5 คะแนน”
“อะไรกัน! เจ้าเลือดสี-”
เยริมชะงักทันทีที่มุนบินหรี่เปลือกตาลง ถ้าเธอพูดคำนั้นออกไปคะแนนคงโดนหักไม่เหลือแน่
“พัคมินฮยอกก็ร่ายคาถาใส่ฉันเหมือนกันนะ!”
“เขาไม่ทำแน่
ถ้าคุณไม่เริ่มก่อน คุณคิม” เยริมจิ๊ปากอย่างขัดใจเมื่อมุนบินพูดจบ
“เย็นนี้คุณจะต้องถูกกักบริเวณ และกรุณาคัดกฎของฮอกวอตส์มาห้าสิบจบด้วย”
มินฮยอกมองมุนบินอย่างกล้าๆกลัวๆ
ถึงเขาจะเคยได้ยินว่ามุนบินคือพรีเฟ็คที่เข้มงวดที่สุดตั้งแต่เขาได้เป็นพรีเฟ็คมาแต่ก็ไม่คิดว่าจะถึงขนาดหักคะแนนบ้านตัวเองขนาดนี้
เยริมแผดเสียงด้วยความไม่พอใจก่อนจะเดินสะบัดผ้าคลุมออกไปกับพรรคพวก
“ฝากไว้ก่อนเถอะพัคมินฮยอก!!”
ลำคอระหงกลืนน้ำลายอย่างยากลำบากเมื่อเจ้าของผมสีเงินหันกลับมาหามินฮยอกและเดินเข้ามาใกล้เรื่อยๆ
ยูจอง มาร์คและชานฮีที่อยู่ข้างๆ เขากำลังจะขยับเข้ามากันมินฮยอกไว้แต่โดนห้ามไว้ด้วยดวงตาสีน้ำตาลไหม้เสียก่อน
มือขาวของพรีเฟ็คยกขึ้นมาจับที่คางของมินฮยอกก่อนจะบังคับให้เขาหันไปมาราวกับสำรวจใบหน้าของเขาทุกมุม
“จมูกโดนลวกนิดหน่อย...”
เสียงนุ่มของมุนบินดังขึ้นอีกครั้งก่อนเขาจะหยิบไม้กายสิทธิ์สีหม่นของตนขึ้นมาชี้ที่จมูกมินฮยอก
“เอพิสกี้”
เมื่อสิ้นเสียงและไม้กายสิทธิ์ของมุนบินถูกเก็บลงไป มินฮยอกก็รู้สึกร้อนวูบวาบที่จมูกก่อนที่มันจะเย็นจัดและกลับมาเป็นปกติ
แผลไฟลวกบนจมูกมินฮยอกหายไปอย่างสิ้นเชิง
“พี่...ใช้คาถารักษากับผม?”
มินฮยอกจับจมูกของตัวเองอย่างงุนงง มุนบินเป็นสลิธีริน
แต่ใช้คาถารักษากับเด็กกริฟฟินดอร์อย่างมินฮยอกสร้างความแปลกใจกับทุกคนในบริเวณอย่างมาก
แต่โชคดีที่มีเพียงพวกกริฟฟินดอร์อยู่แถวนั้น
ไม่เช่นนั้นล่ะก็มุนบินจะต้องทนฟังคำพูดพล่อยๆจากคนในบ้านตัวเองอย่างแน่แท้
“ฉันเป็นพรีเฟ็คนะ
พรีเฟ็คมีหน้าที่ดูแลนักเรียนทุกคนในฮอกวอตส์ จำไม่ได้หรือไงเด็กโง่” สรรพนามที่มุนบินเรียกอีกฝ่ายช่างชวนให้เขินอาย
ขนาดมุนบินที่เป็นคนพูดมันออกมายังรู้สึกอายกับการกระทำของตัวเองจนหูขาวซีดขึ้นสี
แต่ไม่มีคำไหนที่เหมาะกับมินฮยอกในช่วงเวลานี้อีกแล้ว
“ฉันอบรบดูแลเด็กบ้านฉันไม่ดีพอ
ต้องทำให้นายเจ็บตัวแบบนี้” มุนบินมองไปที่จมูกของอีกฝ่าย ถึงมันจะหายเป็นปกติแล้วเขาก็ยังรู้สึกแย่อยู่ดี
“ไม่หรอกฮะ
ยัยนั่นเสียสติ ไม่ใช่ความผิดพี่สักหน่อย” มินฮยอกว่าพลางทำหน้าขึงขัง
เรียกรอยยิ้มจากอีกฝ่าย กริฟฟินดอร์คนอื่นตกตะลึง
พวกเขาไม่เคยเห็นมุนบินยิ้มสักครั้ง
พวกที่จะทำให้เขายิ้มได้ก็มีแต่เพื่อนเขาเท่านั้น มินฮยอกเป็นคนแรกนอกจากเพื่อนสลิธีรินของมุนบินที่ทำให้เขายิ้มออกมา
“ระวังตัวไว้หน่อยก็แล้วกัน
ยัยนั่นยิ่งบ้าเลือดอยู่ด้วย”
มุนบินว่าก่อนจะยกมือขึ้นขยี้กลุ่มผมสีปีกกาของมินฮยอกเบาๆ แล้วหันหลังกลับ
หน้าของเขากลับมาไร้อารมณ์เช่นเดิม ตาเรียวที่สามารถมองลึกไปถึงขั้วหัวใจและรังสีน่ากลัวของเขากลับมาอีกครั้ง
ขาเรียวยาวของเขาเริ่มออกเดิน พาตัวเขาออกจากระเบียงนี้ไป
___________
“เคราเมอร์ลิน! คุณพรีเฟ็คมุนบิน!
นายช่วยเด็กกริฟฟินดอร์!” เสียงของบูซึงกวานดังขึ้นในห้องนั่งเล่นใต้ทะเลสาบของสลิธีริน
โชคดีที่มีเพียงเขากับมุนบินเท่านั้นในห้อง
มุนบินฟาดเข้าไปที่ต้นแขนของเพื่อนผมบลอนด์เพื่อให้เบาเสียงลง แสงไฟสีเขียวสะท้อนให้เห็นใบหน้าอันเจ็บปวดของซึงกวานจากแรงฟาด
“มันแปลกหรือไง
ไม่ใช่ว่าพรีเฟ็คมีหน้าที่ดูแลเด็กทุกคนในฮอกวอตส์งั้นรึ?” เจ้าของผมสีเงินกล่าวแล้วชี้ไม้กายสิทธิ์ไปยังเตาผิงเพื่อลดความแรงของไฟลง
“มันก็จริง
แต่ปัญหาคือเด็กคนนั้นอยู่บ้านกริฟฟินดอร์นะเจ้าบ้า!” ซึงกวานขยุ้มผมของตัวเอง
“แล้วยังไง?
เขาก็เป็นเด็กในฮอกวอตส์” เขาเข้าใจสิ่งที่ซึงกวานกำลังจะสื่อ ใช่
มินฮยอกอยู่ในบ้านที่เป็นอริของบ้านเขา แต่เขาไม่คิดเช่นนั่นกับมินฮยอกเลย
อีกทั้งเวลาที่คิดถึงเด็กคนนั้นทีไรหัวใจเขาก็เต้นผิดจังหวะทุกที
“ฉันจะบ้าตายกับนายจริงๆนะ
บิน”
ซึงกวานทิ้งตัวลงนั่งข้างๆมุนบินก่อนจะถอนหายใจด้วยความเหนื่อยหน่ายของเพื่อนตัวสูง
เขาคิดมาเสมอว่ามุนบินไม่เคยตัดสินใจอะไรผิด ยกเว้นครั้งนี้ ซึงกวานอยากจะสาปให้เข้าอ้วกออกมาเป็นทากเป็นร้อยเป็นพันตัวซะ
แต่ฝีมือเขาไม่สามารถทัดเทียมมุนบินได้อยู่ดี ความคิดนั้นจึงตกหายไป
“เชื่อฉันเถอะว่ามันไม่มีอะไร
ฉันก็แค่ทำตามหน้าที่” มุนบินไหวไหล่อย่างไม่ใส่ใจก่อนจะลุกขึ้นมุ่งหน้าไปที่ประตูเชื่อมกับด้านนอกที่เป็นคุกใต้ดิน
“ไปซ้อมนะ” ว่าจบก็เปิดประตูเดินออกไปแทบจะในทันที ทิ้งให้บูซึงกวานนั่งหน้าเอ๋อไม่สมกับเป็นสลิธีรินเสียเลย
“อ๊ะ...”
เสียงเล็กของคนที่มุนบินเดินชนดังออกมาจากริมฝีปากสีสดอย่างเผลอตัว มือใหญ่สีซีดจับข้อมือคนตรงหน้าไว้เมื่อเขาเห็นว่าอีกคนเกือบที่จะล้มลงไปกับพื้นปูน
“มินฮยอก?” ขาทั้งสองข้างของเจ้าของชื่อพยุงตัวเองให้ยืนตรงอีกครั้ง
“หวัดดีฮะ”
ตาโตสีน้ำตาลไหม้ช้อนมองมาที่มุนบิน มินฮยอกฉีกยิ้มอย่างน่ารัก ส่งผลให้พรีเฟ็คผมสีเงินกระตุกยิ้มตาม
“มาหาฉัน?” มุนบินเลิกคิ้วขึ้นระหว่างถาม
“จะคิดเข้าข้างตัวเองไปหน่อยหรือเปล่าฮะ?”
มินฮยอกยักคิ้ว
“ฉันเดาผิดงั้นสิ?”
“ไม่ฮะ เดาถูก”
ว่าเสร็จมินฮยอกก็หัวเราะขึ้นมาเอาเสียดื้อๆ
ส่งผลให้พรีเฟ็คผมสีเงินมองเขาอย่างงงวย “ผมมาขอบคุณน่ะ” ว่าเสร็จก็หยิบหลอดน้ำยาสีส้มแก่ให้อีกฝ่าย
“ยาเสริมปัญญา?”
มุนบินรับยาที่มีผลให้ผู้ดื่มมีความรู้สึกนึกคิดมีประสิทธิภาพมากขึ้นเมื่อดื่มลงไป
อีกทั้งยังสามารถกันคาถางุนงงได้
“ผมเห็นว่าสลิธีรินใกล้จะแข่งกับเรเวนคลอ
ก็เลย...” มินฮยอกหลบตาอีกฝ่ายเมื่อรู้สึกถึงสายตาที่จ้องมองมาที่ใบหน้าของเขา
“ไม่เห็นต้องลำบากเลย
หรือว่าเพิ่งเรียนมาแล้วจะใช้ฉันเป็นหนูทดลอง?” มุนบินกล่าวแซว
“ผมลองมาแล้วน่า
ไม่มีอะไรแปลกๆแน่นอน จริงๆนะ”
มินฮยอกกล่าวย้ำเมื่อเห็นอีกคนทำหน้าเหมือนกับไม่เชื่อเขา ส่งผลให้มุนบินยิ้มออกมาอีกครั้ง
“จะยอมเชื่อก็ได้
เพราะนายน่ารักหรอกนะ”
มือขาวจนแทบซีดยกขึ้นไปยีกลุ่มผมสีปีกกาของมินฮยอกเชิงเอ็นดูจนผมเขาเสียทรง
คำว่าน่ารักดังก้องอยู่ในโสตประสาทเขา ริ้วสีแดงอ่อนไล่จากปรางแก้มไปจนถึงใบหู
“พ..พี่รีบไปซ้อมเถอะ
เดี๋ยวคนอื่นจะมาเห็น”
การที่กริฟฟินดอร์อย่างมินฮยอกมายืนทำลับๆล่อๆหน้าห้องนั่งเล่นรวมของสลิธีรินที่เป็นบ้านคู่แข่งนั้นช่างน่าสงสัยเสียเหลือเกิน
ถ้ามีใครมาเห็นก็คงเป็นเรื่องเล่าที่จะกระจายไปทั่วฮอกวอตส์ไวยิ่งกว่าไฟป่าแน่ๆ
แม้แต่ผีในฮอกวอตส์ก็ไม่อยากให้เห็นเขาตอนนี้หรอก
“ขอบใจนะ
มินฮยอก”
มือเรียวของมุนบินเลื่อนจากศีรษะของมินฮยอกมาจับที่ใบหูที่ประดับด้วยต่างหูยาวสีเงินของคนตัวเล็กและขยี้เบาๆ
ด้วยความหมั่นเขี้ยว “ต่างหูสวยดีนี่”
รอยยิ้มที่มุมปากทำให้มินฮยอกเข่าแทบทรุดอยู่เสียตรงนั้น
คนอายุมากกว่าเก็บขวดยาไว้ในเสื้อคลุมก่อนจะเดินขึ้นไปบันไดไปที่สนามหญ้าของปราสาท
ทิ้งให้มินฮยอกยืนหน้าร้อนฉ่าอยู่ตรงนั้น
มินฮยอกรู้ว่าสลิธีรินน่ะ
ชอบฉวยโอกาส และเขามั่นใจเลยว่ามุนบินนั้นเป็นสลิธีรินขนานแท้เลยล่ะ!
___________
“มาช้านะมุนบิน”
อีแทยงว่าเมื่อเห็นพรีเฟ็ครุ่นน้องเข้ามาที่สนามสาย มุนบินไม่ใส่ใจนักและตรงไปที่ไม้กวาดของตนก่อนจะหยิบมันมาไว้ในมือ
ใครๆก็ว่าไม้กวาดธันเดอร์โบลต์ XIV สีดำขลับช่างเหมาะกับมุนบินที่อยู่ในตำแหน่งซีคเกอร์เสียเหลือเกิน
ด้วยการเสียสละความปลอดภัยแลกกับความเร็วของไม้กวาด
นั่นทำให้มุนบินเป็นซีคเกอร์ที่เก่งที่สุดในฮอกวอตส์
ไม้กวาดของเขาเร็วกว่าไฟเออร์โบลต์เสียอีก
“ชาอึนอูตั้งใจจะล้มแชมป์สองสมัยซ้อนของเรา”
อีแทยงพูดถึงพรีเฟ็คบ้านเรเวนคลอที่เป็นทั้งคีพเปอร์และกัปตันของทีม
อึนอูเป็นดาราดังทั้งในและนอกฮอกวอตส์จนไปถึงโลกมักเกิ้ล เขาเคยอยู่ในนิตยสารสเปลล่ารายสัปดาห์จากการทาบทามให้ไปถ่ายแบบ
และเขาก็ไม่ได้มีดีแค่หน้าตา ฝีมือในการเล่นควิดดิชของเขายังสร้างชื่อ ‘ป้อมปราการอินทรีเหล็ก’
ให้แก่อึนอูจากการป้องกันลูกควัฟเฟิลได้แทบทั้งหมดในการแข่งกับฮัฟเฟิลพัฟฟ์
“เขาพูดแบบนั้นมาสองปีแล้ว
แต่ก็ยังแพ้” เสียงของเชสเซอร์หญิงประจำทีมอย่างฮวังอึนบีดังขึ้น
ผมของเธอถูกรวบให้ทะมัดทะแมงเพื่อความสะดวกในการซ้อม “ยังไงพวกเรเวนคลอก็ชนะเราไม่ได้หรอกในเมื่อเรายังมีมุนบินเป็นซีคเกอร์อยู่”
“นั่นมันก็จริง
แต่เราเคยเสียประตูให้กับพวกเรเวนคลอตั้งสองครั้ง จำไม่ได้หรือไง?” กัปตันทีมว่า หน้าของอึนบีจ๋อยไปโดยปริยาย
“ฉันได้ยินมาว่ากริฟฟินดอร์มีซีคเกอร์คนใหม่”
บีตเตอร์ชาวญี่ปุ่น อาดาชิ ยูโตะว่า นั่นทำให้มุนบินนึกถึงมินฮยอกทันที
“พัคมินฮยอก?”
มุนบินที่เงียบอยู่นานพูดขึ้น ยูโตะพยักหน้าก่อนจะพูดต่อ
“เจ้านั่นเป็นเพิ่งขึ้นมาเป็นตัวจริงก็จริง
แต่ฝีมือเรียกได้ว่าถ้ามุนบินเป็นที่หนึ่ง เจ้านั่นก็คือที่สอง
แถมยังใช้ไม้กวาดสตาร์สวีปเปอร์จากอเมริการุ่นล่าสุดอีกต่างหาก”
นั่นคลายความสงสัยของมุนบินในทันทีกับสิ่งที่มินฮยอกพูดกับเขาบนรถไฟ
พักนี้เขามักจะเห็นแสงสีฟ้าระยิบระยับจากสนามควิดดิชของฮอกวอตส์บ่อยๆ
นั่นคงเป็นไม้กวาดของคนตัวเล็กแน่
“ซ้อมปกติไปก่อนก็แล้วกัน
แต่ฉันขอให้คีพเปอร์ตั้งใจหน่อยนะ ฉันไม่อยากขายหน้าให้กับเจ้าอึนอูนั่น”
แทยงมีสีหน้าไม่สบอารมณ์อย่างเห็นได้ชัดหลังจากได้ยินชื่อของมินฮยอก
ทีมควิดดิชของสลิธีรินขึ้นคร่อมไม้กวาดพร้อมกันและลอยขึ้นในทันทีเมื่อได้ยินเสียงนกหวีด
การซ้อมได้เริ่มขึ้นแล้ว
“โรอุน
ตั้งใจหน่อย!!” เสียงตะโกนของแทยงดังขึ้น
เมื่อคีพเปอร์ของเขาเกือบจะปล่อยให้ลูกควัฟเฟิลพุ่งเข้าประตูไปอย่างฉิวเฉียด
พัคมินฮยอกที่แอบเข้ามาดูการซ้อมสะดุ้งเล็กน้อยกับเสียงตะโกนที่ดังก้องไปทั้งสนามของแทยง
ให้ตายสิ สลิธีรินนี่น่ากลัวเสียจริง
มินฮยอกคิดในใจก่อนจะสอดส่องสายตาเพื่อหาคนผมสีเงิน
แล้วเขาก็พบกับมุนบินที่กำลังนั่งอยู่บนไม้กวาดสีดำสนิทที่ถูกขัดเป็นเงา
พุ่งตัวด้วยความเร็วน่ากลัวไปมารอบสนาม
มินฮยอกรู้สึกเกร็งทุกครั้งเมื่อมุนบินเขาบินเข้าใกล้อัฒจันทร์หรือพุ่งใส่กำแพงด้วยความเร็วน่ากลัวนั้น
แต่คนอายุมากกว่าก็หักหลบได้อย่างง่ายดายทุกที
ใบหน้าที่มุ่งมั่นของมุนบินที่เขามั่นใจว่าไม่มีใครมองทันเมื่อเขาอยู่บนไม้กวาดยกเว้นตนที่เป็นซีคเกอร์เช่นเดียวกันนั้นช่างงดงาม
มือที่เต็มไปด้วยเส้นเลือดยื่นออกมาเพื่อจับโกลเด้นสนิช
มุนบินยื่นมือออกมาอย่างยากลำบากเมื่อต้านแรงลมมหาศาลกับความเร็วราวกับสายฟ้าฟาดของไม้กวาดประจำตัว
เป้าหมายของเขาอยู่เพียงแค่เอื้อม
เสียงตะโกนควบคุมทีมของแทยงยังคงดังต่อเนื่อง
ทีมควิดดิชของสลิธีรินบินฉวัดเฉวียนไปมาอย่างเอาเป็นเอาตาย มินฮยอกเพิ่งเคยเห็นการซ้อมของสลิธีรินเป็นครั้งแรก
ซึ่งมันนักหนาเอาการกว่าที่มินฮยอกคิดไว้
แต่แล้วลูกโกลเด้นสนิชก็พุ่งเข้ามาที่ทิศที่มินฮยอกนั่งอยู่
เบื้องหลังของมันมีพรีเฟ็คผมสีเงินพุ่งตามมาติดๆ มินฮยอกหลับตาปี๋
ลมพัดเข้าสู่หน้าของเขาจนทำให้ผมส่วนหน้าเสียทรงเล็กน้อย
“มินฮยอก?”
เสียงนุ่มของมุนบินเอ่ยขึ้น ในมือของเขามีลูกโกลเด้นสนิชที่นิ่งสนิท มินฮยอกลืมตาขึ้นแล้วช้อนตาขึ้นมองคนที่กำลังอยู่กลางอากาศ
มือสีงาช้างติดแทนของมินฮยอกจัดทรงผมเล็กน้อยก่อนจะยิ้มแหยๆ
“สวัสดีอีกรอบฮะ”
“แอบเข้ามา?”
“เปล่า
เดินเข้ามาโต้งๆเลย” มินฮยอกยิ้มกวน
“นายไม่กลัวพวกนั้นหรือไง?”
ซีคเกอร์แห่งสลิธีรินว่าพลางชี้พวกที่บินอยู่บนฟ้า
แต่ก็ได้รับคำตอบเป็นการส่ายหน้าของอีกฝ่าย
“มุนบิน! นายได้ลูกสนิชหรือยัง!!?” มินฮยอกสะดุ้งเมื่อได้ยินเสียงแทยง
สายตาของกัปตันทีมยังคงจดจ่อกับการซ้อม มุนบินไม่ค่อยทำเขากังวลสักเท่าไหร่นัก
จึงไม่ต้องให้ความสนใจมาก คนผมเงินโบกมือไล่อีกฝ่ายให้รีบออกไป แต่มินฮยอกก็ยังนั่งอยู่
แววตาของมุนบินแสดงความกังวลเล็กน้อยก่อนจะบินกลับไปและตะโกนตอบ
“ฉันได้แล้ว!”
“งั้นก็เลิกซ้อมได้!”
สิ้นเสียงของกัปตันทีมและนกหวีด ไม้กวาดทั้งหมดก็ค่อยๆลดระดับลงสู่พื้นสนาม
พวกเขาประชุมถึงข้อบกพร่องและกลยุทธ์กันต่อเล็กน้อยก่อนจะเตรียมตัวออกจากสนาม
แต่อึนบีดันเห็นสิ่งแปลกปลอมที่กำลังนั่งบนอัฒจันทร์เสียก่อน
“นั่นมันพัคมินฮยอกนี่”
เธอว่าพลางจ้องไปที่คนผมสีปีกกาบนนั้น ใบหน้าแสดงความไม่พอใจอย่างมาก
มุนบินกลืนน้ำลายอึกใหญ่ด้วยความกังวล “เขามาทำอะไร?”
“ฉันไปเอง”
อีแทยงแป็นคนเสนอตัวในการคุยกับซีคเกอร์ของกริฟฟินดอร์ ขาเรียวของเขาก้าวฉับไปที่อัฒจันทร์แล้วหยุดอยู่ตรงหน้ารุ่นน้องปีสี่
“มาทำอะไร?”
แทยงว่าพลางกอดอก มองมินฮยอกด้วยใบหน้าไร้อารมณ์
“ทีมผมมีซ้อมต่อ
ก็เลยมานั่งรอ” ดวงตาสีน้ำตาลไหม้จ้องอีกคนกลับ บนใบหน้าไม่แสดงอารมณ์เช่นกัน เขารู้สึกไม่ชอบอาการวางมาดของรุ่นพี่คนนี้เอาเสียเลย
ไม่เหมือนกับมุนบิน
“เข้ามาตั้งแต่เมื่อไหร่?”
“ทำไมผมต้องบอกรุ่นพี่ด้วย?
แต่วางใจเถอะ ผมไม่ได้มาสอดแนมพวกคุณแน่ๆ ล่ะ” มินฮยอกไหวไหล่อย่างไม่ใส่ใจ
ท่าทางอวดดีสมเป็นเด็กกริฟฟินดอร์แบบนี้มุนบินก็เพิ่งเคยเห็น
แทยงหรี่ตาอย่างไม่เชื่ออีกฝ่ายเท่าไรนัก
“งั้นก็ดี
นึกว่าพวกกริฟฟินดอร์จะเล่นสกปรกเสียอีก” แทยงว่าก่อนจะสะบัดผ้าคลุมใส่มินฮยอกและหันหลังกลับ
“พวกผมไม่ลดเกียรติทำอะไรแบบนั้นหรอกนะรุ่นพี่
อย่ามาดูถูกราชสีห์อย่างกริฟฟินดอร์” มินฮยอกไม่ชอบคนที่ดูถูกบ้านอันทรงเกียรติของเขา
สายตาของเขาแสดงความไม่พอใจต่ออีกคน
ความจริงเขาอยากจะหยิบไม้กายสิทธิ์ออกมาร่ายคาถาสะกดนิ่งใส่แทยงเสียด้วยซ้ำ
แต่ติดตรงที่มุนบินยังอยู่ เขาไม่อยากแสดงอาการก้าวร้าวต่อหน้าเขาสักเท่าไรนัก
“ราชสีห์?
ฉันล่ะอยากจะขำ” แทยงไม่สนใจคำพูดของรุ่นน้องตัวสูงสักเท่าไหร่
เขาแค่นหัวเราะออกมาก่อนจะเดินไปยังทางออกของสนาม
ทิ้งไว้แค่มุนบินที่ยังยืนอยู่ตรงนั้นเนื่องจากเขาบอกว่าจะตามพวกเขาออกไปทีหลัง
“แมวน้อยแยกเขี้ยวใส่คนอื่นได้ด้วยงั้นหรอเนี่ย?
เหลือเชื่อเลย” มุนบินว่าระหว่างเดินเข้าไปหาคนอายุน้อยกว่า
“สิงโตตางหาก
สิง-โต” มินฮยอกกอดอกมองมุนบินก่อนสายตาจะแล่นไปหยุดอยู่ที่ไม้กวาดสีดำในมือของเขา
“สนใจหรอ?”
พรีเฟ็คบ้านสีเขียวตอบก่อนจะยื่นให้อีกฝ่าย
“พี่ให้ผมดูได้หรอ?”
มินฮยอกตาเป็นประกาย เขาเพิ่งเห็นธันเดอร์โบลต์ใกล้ๆแบบนี้เป็นครั้งแรก มือสีงาช้างของเขาค่อยๆยื่นไปจับที่ด้ามของมันแล้วลูบไปมา
ทำให้เขารู้ได้เลยว่ามันถูกดูแลดีขนาดไหน
“พี่ใช้ของอันตรายแบบนี้ได้ไงเนี่ย
ผมเคยได้ยินว่ามันหักระหว่างแข่งเวิลด์คัพเมื่อปี2014เลยนะ”
มินฮยอกเงยหน้าขึ้นไปถาม
“เก่งไง
อีกอย่างนั่นก็รุ่นเก่า ของฉันรุ่นล่าสุด
มันก็ต้องมีการปรับปรุงประสิทธิภาพกันบ้าง”
เขาใช้ธันเดอร์โบลต์มาสองปีและไม่เคยตกจากไม้กวาดเลยสักครั้ง
เจ้านี่ขยับตามที่เขานึกราวกับเป็นอวัยวะอีกชิ้น
“เป็นห่วงฉันหรือไง?”
ยิ้มร้ายที่มินฮยอกไม่เห็นนานปรากฏขึ้นบนปากสีสดของมุนบินอีกครั้ง วันนี้มุนบินเล่นกับใจของเขาบ่อยเกินไปแล้ว
“อ..อะไรเล่า
เปล่าสักหน่อย ผมแค่ยังอยากแข่งกับพี่ตอนชิงแชมป์ควิดดิชประจำปีต่างหาก!”
ปากกระจับสีพีชของมินฮยอกกล่าวงึมงำ ดวงตาเบิกกว้างกว่าปกติด้วยความลนลาน
“หรอ งั้นหรอ?”
มุนบิกพยักหน้าอย่างกวนๆ ก่อนจะขยับเข้าไปนั่งข้างๆ
แขนแกร่งของเขาโอบมินฮยอกได้แทบจะทั้งตัว
มือใหญ่สัมผัสที่หัวไหล่ของมินฮยอกทำให้เขาสะดุ้งเล็กน้อย มุนบินกระซิบประโยคสุดท้ายลงบนใบหูที่กำลังแดงของมินฮยอก
ส่งความรู้สึกซาบซ่านไปทั่วร่างของคนเด็กกว่า “นึกว่าเป็นห่วงกันเสียอีก”
“ทำอะไรลูกทีมฉันน่ะคุณพรีเฟ็คบ้านสลิธีริน”
เสียงของพัคจินอูดังขึ้นด้านหลังของพวกเขา มินฮยอกหันไปมองด้วยหน้าที่แดงก่ำ
ผิดกับมุนบินที่กำลังยิ้มอย่างสบายอารมณ์ สีผมของจินอูเปลี่ยนจากสีเขียวเป็นสีเลือดหมู
ใช่ เขาเป็นเมตามอร์ฟเมจัส และเขากำลังไม่พอใจที่เด็กสลิธีรินมารุ่มร่ามกับน้องชายของเขา
“ก็แค่...’กระชับความสัมพันธ์’
น่ะครับ รุ่นพี่จินอู”
มุนบินว่าก่อนจะหันไปกระซิบใส่ใบหูประดับด้วยต่างหูสีเงินของมินฮยอกอีกครั้งก่อนจะลุกขึ้นยืน
“ไปนะ ตั้งใจซ้อมล่ะ”
“อะไรของมัน?” สีผมของจินอูเป็นสีแดงเลือดหมูสักพักก่อนจะกลับเป็นปกติ
เขาเดินไปหาน้องชายที่กำลังนั่งนิ่ง ไม่แม้แต่ขยับเขยื้อน
ใบหน้าจมหายไปกับอกของเขาเอง “เป็นอะไรหรือเปล่าร็อคกี้?
มันได้ทำอะไรนายหรือเปล่า?”
“ม...ไม่เป็นไรฮะ
สบายมาก เขาไม่ได้ทำอะไรผมเลยฮะ” มินฮยอกยืดตัวขึ้นยืนในทันที ใบหน้าของเขาแดงก่ำ
ขาเรียวของเขาพาตัวเองไปที่ห้องเก็บไม้กวาดแล้วหยิบไม้กวาดของเขาออกมา
“เริ่มซ้อมกันเลยดีกว่าฮะ”
จินอูมองตามเขาอย่างงงๆ
ก่อนจะเดินนำลูกทีมคนอื่นๆไปที่สนาม เขาพูดถึงเรื่องที่ทีมสลิธีรินเพิ่งกล่าวไปหมาดๆเมื่อตอนซ้อม
และเรื่องที่มินฮยอกขึ้นเป็นซีคเกอร์ของทีมนั้นอาจจะทำให้กริฟฟินดอร์ที่ตกเป็นรองตั้งสองปีนั้นกลับมาเป็นแชมป์ได้ก่อนจะเริ่มซ้อม
มินฮยอกรู้สึกว่าทำได้ไม่ดีเอาเสียเลยเพราะจิตใจของเขาเตลิดไปตั้งแต่ตอนที่มุนบินโอบเขาเมื่อครู่นี้แล้ว
สายตาที่ดีเกินมนุษย์ของเขากลับใช้ได้ไม่เต็มประสิทธิภาพ เขาหาโกลเด้นสนิชไม่เจอ
ไม่ว่าจะพยายามหาขนาดไหนก็ไม่เจอ มินฮยอกบินไปทั่วสนามพยายามหาแสงสีทองของลูกสนิชแต่ก็ไม่พบ
แสงสีน้ำเงินที่ปล่อยออกมาจากไม้กวาดสตาร์สวีปเปอร์ของเขาถูกวาดไปทั่วสนาม
อยู่ๆไม้กวาดก็เสียการควบคุมขึ้นมาเสียดื้อๆ
มินฮยอกใจลอยเกินไป ไม้กวาดสีน้ำเงินของเขาลอยสะเปะสะปะไปทั่ว เหวี่ยงเจ้าของที่ยังอยู่บนนั้นไปมาด้วยความแรงชวนหวาดเสียว
มินฮยอกจับด้ามไม้กวาดแน่นแต่ก็สู้แรงของมันไม่ได้ มือของเขาหลุดจากการเกาะกุม
เขากระเด็นไปตกตรงส่วนกลางของสนามในระดับความสูงที่น่าจะเจ็บหนัก
เสียงกระแทกและเสียงที่หลุดออกมาจากปากมินฮยอกปนกันดังลั่นไปทั่วสนาม
“มินฮยอก!!!!”
#สลิธีรินคนนั้น
ความคิดเห็น