ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    (end): [OS] Esoteric | meanie minwon

    ลำดับตอนที่ #1 : The Ocean and The Sun

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 339
      42
      27 ก.ค. 63

    พ.ศ. 2562

    เวลาที่พระอาทิตย์จรดผืนน้ำทะเลมีเพียงสองครั้งต่อวันคือย่ำรุ่งและย่ำค่ำ ถึงอย่างนั้นตามหลักความจริงก็ไม่มีทางบรรจบกันอยู่ดี’ นี่คือประโยคบอกลาที่ผมจำได้มาตลอดแม้เวลาจะล่วงเลยมาเกือบยี่สิบปีแล้วก็ตาม เมื่อไรที่ผมกลับมาที่บางแสนความทรงจำเกี่ยวกับเพื่อนคนนั้นก็ผุดเข้ามาในหัวเสมอ เราแยกย้ายกันไปเติบโต...ไม่สิ แยกจากกันตลอดชีวิตเลยต่างหาก

    อินติ คือชื่อสุริยเทพของชนเผ่าอินคา ผมชื่นชอบเซ้นส์การตั้งชื่อของคุณพ่อคุณแม่ของมันมากและถึงจะชื่อเป็นพระอาทิตย์แต่อินมันกลับเป็นคนหนึ่งที่ใจเย็นและสุขุม ภายใต้กรอบแว่นหนานั้นผมจำได้ดี หางตาเฉี่ยวเหมือนลูกคนจีน ผิวขาวสะอาดคล้ายจะไม่เคยตรากตรำทำงานหนักมาก่อน เป็นขั้วตรงข้ามกับผมที่แม้จะชื่อมหาสมุทรกลับใจร้อนบ้าพลังเกินใคร

    พวกเราเรียนคณะเดียวกัน

    แชร์หออยู่ด้วยกัน

    เป็นเพื่อนสนิทกัน

    และเป็นเพื่อนนอนกัน..

    ในสมัยนั้นผมยังไม่รู้จักคำบัญญัติภาษาอังกฤษอย่าง friends with benefits กระนั้นจึงไม่มีคำนิยามผมกับอินได้เลยว่าเราอยู่กันในสถานะไหน เมื่ออยู่กับเพื่อนคนอื่น..เราเป็นเพื่อนสนิท เมื่ออยู่กันสองคน..เราเป็นมากกว่านั้น เป็นความสัมพันธ์ที่ไม่มีชื่อเรียกและไม่เป็นที่ยอมรับอย่างแน่แท้ จะเรียกว่ารักร่วมเพศก็กระดากปากเพราะเราไม่ได้รักกันในเชิงนั้น

    ชายวัยสี่สิบห้าอย่างผมมีครอบครัวที่อบอุ่น ภรรยาและลูก ๆ อีกสองคน จะมัวคิดเรื่องในอดีตที่ผ่านมาเป็นสิบ ๆ ปีไปทำไมกัน หากไม่ใช่เพราะการได้กลับมาที่จุดเริ่มต้นทำให้ชายวัยกลางคนที่เลอะเลือนได้คิดถึงบรรยากาศเก่า ๆ สมัยเรียนมหาวิทยาลัย

    “พ่อ” ลูกชายวัยสิบสี่ปีเรียกผมห้วน ๆ ด้วยความที่ผมเลี้ยงเขามาแบบเพื่อนแต่ถึงอย่างนั้นก็เป็นเด็กดีเชียว

    “ว่าไงเมฆ”

    “แม่กับน้องรออยู่ ไม่ไปอ่ะ” เด็กหนุ่มวัยรุ่นชี้ไปทางสมาชิกในครอบครัวอีกสองคนที่ยืนรออยู่หน้าพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำบางแสน

    “ดูแลแม่กับน้องแทนพ่อได้ไหม” ผมส่งยิ้มให้ภรรยาและลูกสาวคนเล็กก่อนจะหันไปตอบลูกชาย

    “แล้วพ่อจะไปไหน” เมฆถามผมด้วยความใคร่รู้ปนสายตาจับผิด เด็กคนนี้นี่นะ ผมไม่นอกใจแม่ของเขาหรอก

    “พ่อเคยเรียนที่นี่น่ะ แค่จะไปเยี่ยมคณะดูความเปลี่ยนแปลงบ้าง”

    “อืม เข้าใจละ เดี๋ยวดูแลให้” ว่าเสร็จก็ตีหน้าขรึมเดินไปหาแม่และน้องสาวของเขา โอบไหล่คนสองคนไว้แล้วเดินเข้าไปใต้อาคาร ผมขอภรรยาของผมไปก่อนหน้านี้แล้วแต่ดูเหมือนลูกชายผมจะไม่อยากให้ไปเลยเข้ามาถามซ้ำ ขอให้เขาโตเป็นเด็กดีและดูแลทุกคนแบบนี้ผมก็สบายใจ

    เมื่อสามสมาชิกลับสายตาไปผมจึงติดเครื่องยนต์รถเก๋งสีขาวเลี้ยวเข้าตัวมหาวิทยาลัยที่เปลี่ยนไปพอสมควร ครั้งล่าสุดที่มาเยี่ยมเยียนก็เจ็ดปีมาแล้วเป็นงานของศิษย์เก่าที่ได้มารวมตัวเกือบครบรุ่นในรอบสิบปี ขาดไปเพียงไม่กี่รายและหนึ่งในกลุ่มที่ประสบความสำเร็จจนได้ไปเมือกนอกเมืองนาก็คืออินติ

    ผมจอดรถที่หน้าสถานที่อันคุ้นเคยมองไปยังหอสมุดไม่ไกลจากคณะก็พลันนึกถึงเรื่องราวเก่า ๆ ที่ผุดขึ้นมาในหัว ทั้งเรื่องที่ดี เรื่องที่แย่ เรื่องสนุกต่างๆ รวมถึงความผิดพลาดในคืนนั้นที่ทำให้เกิดความสัมพันธ์ไร้ชื่อเรียกระหว่างผมกับเพื่อนสนิท

     

     

    พ.ศ. 2536

    นายมหาสมุทร พันกฤษณกร วัยสิบเก้าปีในรั้วมหาวิทยาลัยวันแรกคือการหลบหนีกิจกรรมรับน้องไปสิงอยู่ที่หอสมุดใกล้ ๆ หวังเพียงได้ตากแอร์ให้เย็นช่ำในวันที่อุณหภูมิพุ่งสูงขนาดนี้ ร่างสูงเกือบร้อยเก้าสิบเซนติเมตรของมหาสมุทรแทรกตัวไปตามซอกตู้หนังสือตั้งเรียงราย เขาคิดจะหาหนังสือสักเล่มไปนั่งอ่านในมุมอับที่รุ่นพี่จะไม่สามารถมองเห็นเขาได้

    มหาสมุทรยืนจดจ้องอยู่นานที่โซนหนังสือวรรณกรรม พิจารณาไปพักใหญ่ก่อนจะเลือกหนังสือที่พื้นหลังเนื้อเรื่องเกี่ยวกับการปฏิวัติฝรั่งเศสของนักเขียนชื่อดัง Victor Hugo นิ้วเรียวจากมือข้างซ้ายพยายามดึงหนังสือออกมาจากตู้แต่ไม่เป็นผล

    มหาสมุทรชะงักไปเขานึกว่าเขาถูกผีห้องสมุดหลอกเสียแล้ว แต่สิ่งที่ปรากฏหลังตู้หนังสือกลับเป็นชายหนุ่มผิวขาวใส่แว่นหนาทรงกลม ...ดูเหมือนจะเห็นเล่มเดียวกันนี้จากอีกฝั่งและคิดจะหยิบมันไปอ่านเช่นเดียวกัน

    “เอ่อ ขอโทษครับ เชิญก่อนเลย” ชายแปลกหน้าพึ่งสังเกตเห็นร่างสูงจากอีกฝั่งรีบขอโทษพลางใช้นิ้วเรียวขยับแว่นตาแก้เก้อ

    “ขอบคุณครับ” มหาสมุทรกล่าวก่อนจะหยิบหนังสือเล่มนั้นออกมา แต่ความอยากทำความรู้จักหรือถูกชะตาอะไรสักอย่างในตัวคนอีกฝั่งทำให้เขาโพลงออกไป “คุณชื่ออะไร อยู่ปีไหนหรือครับ? ”

    “...” ผิวขาวตัดกับชั้นหนังสือสีเข้มเงียบไปเหมือนจะชั่งใจ สายตาจับจ้องไปที่คนถามอย่างคาดเดาไม่ได้ มหาสมุทรจ้องมองแววตานุ่มลึกนั้นจนรู้สึกอึดอัดไปเสียก่อน

    “ผมมหาสมุทรนะ เรียกหมุดก็ได้ครับ ปี1 รัฐศาสตร์”

    “อือ ...อินติ รัฐศาสตร์ ปี1 เหมือนกันครับ”

    บทสนทนาแรกระหว่างอินติกับมหาสมุทรคือการทำความรู้จักกันของคนที่หนีกิจกรรมรับน้องมาหาหนังสืออ่าน ร่างสูงเดินตามเพื่อนใหม่ไปยังมุมหนึ่งที่มีโต๊ะขนาดเล็กตั้งอยู่อย่างโดดเดี่ยวและดูเหมือนจะไม่มีใครเข้ามาในบริเวณนี้เลย เรียกได้ว่าเป็นจุดลับสายตาเหมาะกับคนหลบหนีอะไรสักอย่างอย่างพวกเขาสองคนที่สุด การได้เริ่มพูดคุยทำให้พวกเขาสนิทกันไวในระยะเวลาไม่กี่ชั่วโมง

    อินติมาจากกรุงเทพฯ เขาเอนทรานส์ติดมหาวิทยาลัยดังในเมืองหลวงแต่กลับหนีบ้านมาอยู่ที่บางแสน เหตุผลก็เพราะคุณพ่อของเขาเป็นอาจารย์ในคณะนั้น คงกระอักกระอ่วนใจแย่ถ้าต้องเจอพ่อตัวเองในโหมดอาจารย์ ส่วนมหาสมุทรเป็นคนปากน้ำโพโดยกำเนิด เขาสอบติดมหาวิทยาดังอีกแห่งแต่เหตุการณ์ทางการเมืองเมื่อปีก่อนทำให้แม่ของเขาเป็นห่วงเกินเลยไปถึงขั้นห้ามไม่ให้เข้าเรียนในกรุงเทพฯ

     

    พ.ศ. 2537

    เวลาล่วงเลยผ่านไปหนึ่งปี จากรุ่นน้องกลายเป็นรุ่นพี่ เหมือนกรรมตามสนองยังไงชอบกล..น้องหาย เพื่อนร่วมรุ่นหลายคนพูดขึ้นย้ำ ๆ จนน่ารำคาญ อินติทำหน้าที่ตีกลองด้วยใบหน้าเรียบนิ่งอย่างเคย มหาสมุทรที่ยืนอยู่ข้างกันมองบรรยากาศพลันทำหน้าสะอีดสะเอียน เขาเกลียดการรับน้องที่สุด! ร่างขาวสูงโปร่งเห็นดังนั้นจึงใช้ไม้กลองจี้ที่เอวคนตัวสูงกว่าจนสะดุ้งเฮือก

    “ไอ้อิน แกล้งกูหรือวะ”

    “มึงก็เลิกทำหน้าเหมือนคนแพ้ท้องสักที กูเห็นแล้วจะอ้วกตาม” อินติควงไม้กลองพลางปรายตามองเพื่อนสนิทก่อนจะยกยิ้มมุมปากให้

    “เอ้า ๆ ใครอ้วกใครท้องวะ พวกมึงนี่ใจเร็วด่วนได้กันจริง ๆ เลยนะไอ้คู่ผัวเมียจิระศักดิ์เอ่ยแซว มันจะไม่อะไรเลยหากในมือของหัวหน้ากองสันทนาการไม่ถือโทรโข่งอยู่

    บรรยากาศผ่อนคลายลงเนื่องจากเสียงฮือฮาของน้องเฟรชชี่ที่กระซิบกระซาบกันไปต่าง ๆ นานาทั้งแง่บวกและแง่ลบจนสายตาปราดเปรียวของอินติที่ทุกคนต่างให้ความเกรงใจเสมือนสิ่งศักดิ์สิทธิ์ประจำคณะ (โดยเฉพาะช่วงสอบ) จดจ้องอย่างไม่ปรานีใส่หัวหน้ากองสันทนาการจนคนถูกมองเหงื่อตกรีบแก้ข่าวว่าเป็นการแซวเล่นเพียงเท่านั้น น้องใหม่หลายคนลอบถอนหายใจที่ผู้ชายหล่อสองคนไม่ได้กิ๊กกั๊กกันอย่างที่เข้าใจผิด

    วันแล้ววันเล่าผ่านไป ช่วงเวลาแห่งความทรหดของการสอบปลายภาคใกล้จะสิ้นสุดเต็มที อิสรภาพกำลังรอพวกเขาอยู่เสมือนนกในกรงที่รอวันกรงเปิด และแล้ววันสุดท้าย...วันที่กรงเปิดก็มาถึง มหาสมุทรกอดคอเพื่อนรักด้วยความอารมณ์ดี ดูทีท่าน่าจะได้ A ตามใจหวังเสียที ตาเฉี่ยวตวัดมองเพื่อนนิ่ง ๆ พลางยกยิ้มบางส่งให้ จากนั้นจิระศักดิ์และคนอื่น ๆ ก็เดินมาสมทบอีก เป้าหมายวันนี้คือร้านเหล้าที่ขาประจำไม่เคยพลาดหลังผ่านการสอบอันหนักหน่วง ถือเป็นการคลายเครียดก่อนเทอมหน้าจะเครียดหนักยิ่งกว่านี้...

    “ไอ้คู่ผัวเมียยยยยยยยยยยย” เด่นชัย เพื่อนสนิทอีกคนในกลุ่มเริ่มเมาได้ที่ก็เรียกฉายาของมหาสมุทรและอินติที่ชอบทำตัวติดกันเป็นปาท่องโก๋ไม่ต่างไปจากผัวเมียกันเลยสักนิด

    “กูชอบผู้หญิงโว้ยยยย” มหาสมุทรผลักหัวเด่นชัยหวังจะให้มันสร่างเมาบ้างแต่คนโดนทำร้ายกลับกลิ้งเกลือกจนเหล้าหกใส่ตัวเหม็นไปหมด

    “แค่แซวไหมวะ แซวอ่ะ ถ้าพวกมึงได้กันจริง ๆ กูขนลุกตายห่าเลย ฮะๆๆ ” เป็นจิระศักดิ์ที่พูดต่อ ถ้านำคำพูดเหล่านี้ออกมาพูดในปี 2562 จะเกิดอะไรขึ้นบ้างนั้นยากเกินจินตนาการของคนยุค90 ไปไกลเสียจริง

    “กูกลับละ” อินติลุกพรวดขึ้นกลางวงเหล้า ใบหน้านิ่งเรียบใต้กรอบแว่นไม่แสดงอาการมึนเมาใด ๆ คงเพราะพรุ่งนี้อินติต้องเดินทางกลับบ้านที่กรุงเทพฯ เลยไม่อยากดื่มจัดก็เป็นได้

    “เดี๋ยวกูตามไปนะ ขอต่อสักชั่วโมง” มหาสมุทรในฐานะรูมเมทที่หารค่าหอด้วยกันบอกคนตัวเล็กกว่า สภาพหน้าขึ้นสีแดงดูออกยากเพราะผิวเข้ม แต่ถึงอย่างนั้นวันนี้ไอ้หมุดคงโดนจิระศักดิ์มอมจนสลบเป็นแน่

    “จะเข้าห้องก็เคาะจังหวะกลองเชียร์” เป็นวิธีคลาสสิคในสมัยที่โทรศัพท์มือถือยังเครื่องเท่าแขน

    “โอเคครับ”

    สิ้นประโยคตอบรับสุภาพนั้นก็เรียกเสียงโห่ร้องแซวไปเรื่อยของเพื่อน ๆ ได้อีกระลอกหนึ่ง อินติไม่วายหันกลับมามองพลันรอยยิ้มเล็ก ๆ ปรากฏที่ใบหน้าขาว ส่ายหัวเล็กน้อยและเดินจากไปในขณะที่บรรยากาศกลับเข้าสู่ความครึกครื้นคึกคะนองของกลุ่มวัยรุ่น

    เวลาเกือบเที่ยงคืนเสียงประตูห้องดังขึ้นสามครั้งแต่ไม่มีสัญญาณตอบกลับจากคนข้างใน มหาสมุทรในสภาพที่สติสุดท้ายใกล้ดับไปเคาะเป็นจังหวะตีกลอง ’12-123-12-12-1’ ประตูห้องถูกเปิดออกโดยคนข้างในจังหวะเดียวกับที่สติของร่างสูงได้หมดลง อินติที่ไม่ทันได้ตั้งตัวโดนคนตัวโตทับลงมาเต็ม ๆ อย่างไม่อาจต้านน้ำหนักไว้ได้ ร่างเล็กใช้ศอกดันตัวเองกับพื้นไว้ส่วนมหาสมุทรนั้นหน้าซุกอยู่ที่ซอกคอของอินติอย่างไม่รู้อีโหน่อีเหน่ท่าทางดูล่อแหลมเกินไปแต่เขาจะทำอย่างไรได้ในเมื่ออีกคนเป็นหมายักษ์ที่กำลังเมา กลุ่มผมนิ่มของมหาสมุทรคลอเคลียอยู่ที่คอขาวของหนุ่มแว่น อินติถอนหายใจเฮือกสุดท้ายพลันดันร่างอีกคนออกจากตัวเอง จัดการลากเข้าห้องและปิดประตูลงเงียบ ๆ

    ชายร่างสูงโปร่งขยับแว่นตาตัวเองที่ตกลงไปอยู่ปลายจมูกเพราะออกแรงแบกเพื่อนตัวยักษ์ขึ้นเตียงเล็กทางฝั่งซ้ายก่อนจะเดินเข้าห้องน้ำและออกมาพร้อมกะละมังใบเล็กทั้งผ้าชุบน้ำเตรียมจัดการคนเมาหมดสติได้นอนสบาย ๆ ดูแลมหาสมุทรเช่นเดียวกับที่ร่างสูงเคยดูแลเขาให้ตอนเมา

    “หมุด นอนดี ๆ กูจะเช็ดตัวให้”

    “อือ..” เสียงครางเครือในลำคอร่างสูงดังแผ่ว พลิกตัวเองนอนหงายอย่างว่าง่ายโดยแขนแกร่งวางทาบไว้บนหน้าบดบังดวงตาจากแสงไฟจ้าของห้องน้ำ

    “กูถอดเสื้อนะ? ” ประโยคคำถามที่ยังไม่ได้รับคำตอบแต่สวนด้วยการกระทำ มือเรียวขาวปลดกระดุมเสื้อนักศึกษาสีขาวของเพื่อนสนิทอย่างเบามือและคุ้นชิน แผงอกแน่นและแนวหน้าท้องลอนสวยเข้ากับผิวสีเข้มอย่างดูดีแต่ถึงอย่างนั้นอินติก็ไม่ได้พิศวาสอะไรในตัวเพื่อนสนิทแม้แต่น้อย

    “อะ อิน...อือ” คราวนี้คนนอนราบเรียกอินติอีกครั้งเมื่อสัมผัสเย็นจากผ้าชุดน้ำหมาดประทับบนตัวและลูบไล้ไปตามร่างกายท่อนบน “กูไม่ไหว”

    “เมาแล้วขึ้นง่ายเชียวนะมึง” อินติส่ายหัวพลางหัวเราะในลำคออย่างนึกขันเมื่ออวัยวะใต้กางเกงของเพื่อนตัวสูงนูนขึ้นจากอารมณ์คุกรุ่นแต่ตัวเขากลับใจเย็นและเช็ดตัวให้อีกฝ่ายจนเสร็จ “ไม่ไหวก็ลุกไปเข้าห้องน้ำซะ หนังสือโป๊อยู่หลังตู้”

    “ไม่เอา กู..กูเคยช่วยมึง ครั้งนี้มึงต้องช่วยกูนะอิน”

    “...” อินตินิ่งเงียบมองสายตาเว้าวอนด้วยความต้องการ ก็จริงที่ครั้งก่อนที่เขาเมามหาสมุทรจะคอยดูแลจนเขาสุขสมจากการปลดปล่อย “แค่ครั้งเดียวนะ ถือว่าเจ๊ากัน”

    “อืม”

    มหาสมุทรอยู่ในท่ากึ่งนั่งกึ่งนอนโดยมีอินติกำลังช่วยร่างสูงถอดกางเกงของเขาออก ร่างกายหนักอึ้งทำให้เขาขยับร่างกายได้น้อยแต่ไม่เป็นผลเสียอะไรหรอกในเมื่อเขามีผู้ช่วยที่ดีอย่างอินติ ตอนนี้ร่างสูงใหญ่ไร้เสื้อผ้าอาภรณ์ปกปิดเผยเห็นทุกสัดส่วนตัดกับผิวเข้มอย่างลงตัว มหาสมุทรจับแก่นกายของตนเหมือนคนไร้เรี่ยวแรง ใบหน้าแดงก่ำจากพิษสุราร่วมกับอารมณ์ดิบในตัวปลุกปั่นขึ้นโดยทั้งหมดอยู่ในสายตาของอินติตลอด

    เขาหัวเราะเล็กน้อยก่อนที่ปลายนิ้วเรียวจะสัมผัสไล้ไปบนตัวเพื่อนสนิทตั้งแต่ต้นขาจนถึงจุดกลางลำตัวที่บวมเป่งดูน่าเขินอาย อินติเริ่มขยับมือที่กอบกุมส่วนนั้นช้า ๆ เคล้าคลอกับเสียงครางของเพื่อนชายร่างสูงตรงหน้าเป็นระยะ คนตัวขาวค่อย ๆ เร่งมือเร็วขึ้นจนน้ำสีขาวขุ่นพุ่งออกมาตามอารมณ์ของคนผิวเข้มเปรอะเปื้อนที่มือของอินติกระทั่งใบหน้าขาว มืออีกข้างของอินติถอดแว่นที่เปื้อนน้ำกามออก ตาคมเฉี่ยวจ้องไปที่ใบหน้าของอีกฝ่ายจนมหาสมุทรต้องเบือนหน้าหนีอย่างกลัวความผิด

    “เบา ๆ หน่อยสิวะ เปื้อนหน้ากูหมด” ร่างสูงโปร่งบ่นแต่การกระทำบางอย่างทำให้คนที่จ้องมองอยู่เกิดอาการจนกลับมาแข็งขืนอีกครั้ง

    ..ไอ้อินมันแลบลิ้นเลียน้ำของเขาที่เปื้อนอยู่ข้างมุมปาก..

    “ไอ้หมุด! มึงไปจัดการเองเลย! ” เห็นดังนั้นจึงถูกตวาดกลับจนเกือบสร่างเมา ไม่วายตีเข้าที่ต้นขาของคนตัวล่อนจ้อนเหมือนเรียกสติ มหาสมุทรไม่พูดอะไรต่อจัดการแบกสังขารตัวเองเข้าห้องน้ำอย่างทุลักทุเล

    สิ้นเสียงล็อกประตูห้องน้ำห้องก็อยู่ในความมืดอีกครั้งมีเพียงไฟสลัวจากห้องน้ำที่เล็ดลอดออกมา อินติมองไปยังกระจกตู้เสื้อผ้าก็เห็นใบหน้าของตนเปรอะเปื้อนจากของเหลวสีขาวของอีกคน วินาทีที่เขาลิ้มเลียมันเข้าไปเขาคิดอะไรอยู่กันแน่นะ ไม่สิ้นความคิดปลายนิ้วก็ปาดลงที่ใบหน้าตัวเองที่มีคราบขาวขุ่นติดอยู่และลองเลียมันอีกครั้ง...

    ปึง!

    เสียงดังจากทิศเกิดแสงทำให้ร่างบางที่นั่งมองกระจกในตอนแรกหันขวับด้วยความตกใจแต่คงตกใจน้อยกว่าที่เห็นมหาสมุทรตัวเปลือยเปล่าเดินเข้ามาหาเขา ใบหน้าแดงก่ำถมึงทึงผิดวิสัย ยิ่งใกล้เข้ามาก็ยิ่งรู้สึกไม่ปลอดภัยแต่สิ่งที่อินติทำได้คือการเผชิญรับมือเหมือนที่ผ่านมาอย่างใจเย็น คงคุยกันด้วยดีหากอีกฝ่ายมีสติครบครันหาใช่เวลานี้ไม่ รู้ตัวอีกทีอินติก็ถูกร่างสูงใหญ่ผลักให้นอนลงบนเตียง ใช้ร่างกายทุกส่วนกดทับคนตัวบางไว้อย่างนั้น..ไม่อาจขยับ ไม่อาจต่อรองใด ๆ

    “อิน...ขอนะ” มหาสมุทรตอนนี้จมลึกเหมือนชื่อ จมไปกับสัญชาตญาณโหดร้ายของตัวเอง

    “ไอ้หมุด! วันนี้ไม่ได้! ” อินติพยายามพูดโน้มน้าวสุดปัญญา

    “แล้ววันอื่นจะได้หรือไง? ” คนผิวเข้มเงยหน้าขึ้นมามองอย่างเค้นคำตอบ เมื่อไม่ได้ยินเสียงตอบรับใด ๆ จากคนใต้ร่างต่อก็กดจมูกลงที่ไหล่ไล่ขึ้นมาจนถึงแก้มขาว สายตาอยู่ในระดับที่ประสานกันอย่างใกล้ชิด ดวงตาคมเฉี่ยวจ้องมองมาที่เขาอย่างโกรธเคือง ดูเย็นชาและตัดพ้อเต็มทน

    “ถ้ามึงขอดี ๆ กูก็ให้มึงได้หมดนะหมุด” อินติพูดเสียงราบเรียบบ่งบอกว่าเขาไม่ได้พูดส่ง ๆ ไปอย่างนั้น มหาสมุทรชะงักก่อนจะถูกอีกคนผลักออกในจังหวะเผลอ “ขอโทษนะ”

    ภาพตัดลงไปตอนที่อีกคนกำลังง้างแขนพอดี สติสุดท้ายของมหาสมุทรดับไปพร้อมกับความเจ็บปวดที่ท้ายทอย กว่าจะได้สติก็ล่วงเลยเวลาไปถึงสายของอีกวัน มหาสมุทรลืมตาขึ้นมาก็พบว่าตัวเองถูกจับนอนที่เตียงตัวเองอย่างดีเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น เสื้อผ้าถูกสวมครบทุกชิ้น เขาจำได้ราง ๆ ว่าเมื่อคืนเกิดอะไรขึ้นบ้าง ภาพเหตุการณ์ชัดเจนเพียงแต่คำพูดที่ไม่สามารถปะติดปะต่อได้เพราะความมึนเมาขาดสติ

    มองไปรอบ ๆ ก็ไม่พบรูมเมทของตน เดาได้แม่นว่าอินติคงจะกลับบ้านที่กรุงเทพฯ เป็นเช่นนี้ทุกเดือนตามคำสั่งของบิดาเจ้าตัวแต่ครั้งนี้มหาสมุทรยังไม่ได้กล่าวคำลาเลย ซ้ำยังมีทีท่าว่าจะผิดใจกันอีก มันเป็นความผิดของแก..มหาสมุทร! เขาอดโทษตัวเองไม่ได้แต่พอไล่นึกดูดี ๆ คนที่สมควรโทษเห็นทีจะเป็นจิระศักดิ์ที่มอมเหล้าเพื่อนในกลุ่มจนมีสภาพดูไม่ได้ ตัวอย่างเช่นมหาสมุทร และอินติก็รู้เรื่องนั้นดี...

     

    พ.ศ. 2538

    ภายในห้องสี่เหลี่ยมการสอนวิชาเศรษฐศาสตร์กับการเมืองดำเนินไปเรื่อย ๆ ประเด็นเกี่ยวกับระบบทุนนิยมถูกยกขึ้นมาพูดแต่ก็ไร้ความสนใจจากนิสิตตรงหน้า กว่าครึ่งห้องวิญญาณหลุดลอยไปแล้วเหลือเพียงหัวกะทิประจำรุ่นอย่างอินติและมหาสมุทรที่ยังค้ำคอตัวเองไว้ได้

    “เอออิน”

    “ว่าไง” อินติยังคงจดสรุปอย่างแข็งขันไม่สบตาคนที่พูดด้วย

    “จิระชวน เย็นนี้ที่ห้องมัน”

    “มันจะไม่เอาอะไรแปลก ๆ มาให้กินอีกใช่ไหม? ”

    เย็นวันเดียวกันนั้นห้องเช่าขนาดกลางของจิระศักดิ์เกิดเป็นปาร์ตี้เล็ก ๆ ก่อนที่แต่ละคนต้องแยกย้ายไปฝึกงานหรือจะเลือกทำวิจัยอย่างใดอย่างหนึ่ง บรรยากาศไม่ได้ครึกครื้นเท่าครั้งอื่น เพราะเหตุผลจริง ๆ ในการดื่มครั้งนี้ดันเป็นการดื่มย้อมใจเป็นเพื่อนเด่นชัยผู้ถูกแฟนสาวหักอกจนหมดสภาพ กลุ่มเพื่อนร่วมคณะนั่งล้อมวงกันอยู่ราวเจ็ดคนถ้ามองจากคนนอกคงจะรู้สึกได้ว่าห้องหับเล็กลงถนัดตา

    ไม่ทันที่จะได้ปลอบใจนายเด่นชัยก็น็อกค้างกลางอากาศจนต้องหามขึ้นเตียงไปก่อน คราวนี้จิระศักดิ์ไม่ได้เล่นแผลง ๆ มอมเหล้าเพื่อนเหมือนครั้งก่อน แต่เพื่อนร่วมกลุ่มอีกคนคือสรพงษ์กลับชอบใจการแกล้งในครั้งนั้นน้ำสมุนไพรจากบ้านของตนจึงเป็นหนึ่งในตัวเลือก ครั้งนี้ของแปลกใหม่เป็นม้ากระทืบโรง ในทีแรกมหาสมุทรไม่คิดว่าแค่น้ำสมุนไพรมันจะกระตุ้นอะไรได้จนเวลาผ่านไปครึ่งชั่วโมงอาการปวดหนึบเริ่มตีขึ้น รู้สึกจะไม่ใช่เขาคนเดียวที่เกิดอาการแบบนี้ขึ้น เพื่อนในกลุ่มอีกสองคนเริ่มหลบมุมจับจองพื้นที่ส่วนตัวให้ตัวเองเคล้ากับเสียงหัวเราะชอบใจของสรพงษ์หัวโจกการแกล้งในครั้งนี้ ส่วนจิระศักดิ์กลับนอนหลับโกรนเสียงดังตามอาการคนเมาแล้วง่วงเสียอย่างนั้น

    “อิน สร กูกลับก่อนนะ” มหาสมุทรกล่าวกับเพื่อนที่ยังเหลืออยู่ก่อนจะรีบพรวดพราดออกไป สรพงษ์กลั้นขำไว้ไม่อยู่กับสายตาหลุกหลิกอยู่นานของเพื่อนตัวโต ตอนนี้เหลือเพียงอินติที่เขายังจัดการไม่ได้

    “มองกูแบบนั้น คิดจะมอมกูหรือไง? ” อินติถามแค่นหัวเราะในลำคอ

    “ดูคนเก่งจริงมึงนี่” ชายร่างโปร่งแววตาเหมือนเสือร้ายขัดกับหน้าตาสะอาดสะอ้านและดวงตาเล็กเรียวนั้นเหลือเกิน “หมากล้อมสักตาไหม? ”

     

    เมื่อถึงหอพักของตัวเองมหาสมุทรก็รีบบึ่งเข้าห้องน้ำจัดการกับสิ่งที่ค้างคาอยู่ในร่างกายจนอาการเริ่มคลายลง นึกแล้วก็โมโหตัวเองที่คิดน้อยเป็นครั้งที่สอง คราวนี้เขาแค่หวังว่าจะไม่เอาอารมณ์ไปลงกับอินติเหมือนครั้งก่อนและก็ทำสำเร็จลุล่วงด้วยดี คนผิวเข้มเดินออกมาจากห้องน้ำก็ได้ยินเสียงเคาะประตูห้องเป็นจังหวะกลองเชียร์ทำให้เขามั่นใจว่าคนที่อยู่หลังประตูนั้นคืออินติ

    ร่างสูงเจ้าของรอยยิ้มเผยเขี้ยวเสน่ห์เดินตรงไปเปิดประตูเพื่อให้อีกคนเดินเข้ามาแต่ผิดแผกจากที่คิด เมื่อประตูเปิดออกแรงผลักพรวดพราดจากคนตัวบางก็ดันมหาสมุทรจนเซ มือขาวสั่นเทาอาการเหมือนคนเมาลงกลอนประตูห้องอย่างเร่งรีบ อินติเกี่ยวแว่นตาของตนวางไว้ที่โต๊ะใกล้ประตูเผยเห็นดวงตาเหม่อลอย เม็ดเหงื่อผุดที่ต้นคอรับกับใบหูแดงจัดเดาได้ไม่อยากว่าอีกคนคงเมาและสิ่งที่มหาสมุทรต้องทำก็แค่ช่วยเพื่อนสนิทโดยการใช้มือเหมือนทุกที ...แต่ครั้งนี้ต่างออกไป

    เจ้าของใบหน้าขาวที่ตอนนี้เหมือนถูกย้อมด้วยสีแดงจนผสมลงตัวเป็นสีชมพูระเรื่อที่แก้มจากฤทธิ์สุรา ใบหน้าหวานอย่างไม่รู้ตัวของอีกคนใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ จนมหาสมุทรที่ยืนนิ่งให้เพื่อนจับหลับตาปี๋น้อมรับสิ่งที่จะเกิดขึ้นอย่างกล้า ๆ กลัว ๆ สัมผัสนุ่มหยุ่นแตะลงที่คางของร่างสูง เขาไม่กล้าลืมตาจนสัมผัสอุ่นนั้นคลายออก มหาสมุทรลืมตาขึ้นมาปลายจมูกโด่งเป็นสันของคนตัวเล็กกว่าก็กดเข้าที่แก้มของมหาสมุทรคลอเคลียอยู่บริเวณนั้นอย่างออดอ้อน ร่างสูงทำได้เพียงสวดมนต์เรียกสติให้ตัวเองใจแต่เหมือนฤทธิ์ของม้ากระทืบโรงจะยังไม่หมดไป ร่างกายในส่วนนั้นจึงเริ่มขยายตัวอีกรอบ ตายแน่ ๆ

    “อิน มึงยังอยู่ปะ” เจ้าของผิวแทนจับต้นแขนอีกคนเขย่าเล็ก ๆ เพื่อเรียกสติทั้งอินติและตัวเขาเอง

    “อยู่”

    “มึงไปนอนนะ เดี๋ยวกูเช็ดตัวให้” มหาสมุทรรู้ตัวว่าครั้งนี้เขามีสติมากกว่าเลยคิดจะจัดการอะไร ๆ ให้มันจบโดยที่ไม่ทำร้ายคุกคามเหมือนครั้งนั้นแต่เขากลับนิ่งค้างไปเมื่ออีกฝ่ายผลักเขาจนเซลงบนเตียงแทน

    คนตัวบางดันไหล่กว้างของมหาสมุทรให้นอนแน่นิ่งกับเตียง แววตาและอุณหภูมิร่างกายร้อนเป็นไฟของอินติส่งผลให้คนข้างใต้เหงื่อผุดตามขมับยากจะควบคุมกอปรกับอารมณ์ที่มีอยู่ก่อนหน้า มหาสมุทรตัดสินใจพลิกร่างของตนให้อยู่ข้างบนพลันให้คิดถึงเหตุการณ์ที่ใกล้เคียงกันนี้เมื่อปีก่อน ภาพเหตุการณ์ฉายซ้ำในหัว สายตาโกรธเคืองปนผิดหวังของอินติในวันนั้นย้อนกลับเข้ามาทำให้การกระทำทุกอย่างในปัจจุบันหยุดชะงัก แล้วเขาจะกล้าทำร้ายเพื่อนคนนี้ได้ลงหรือ..

    “กูเคยบอกมึงว่าต้องการอะไรให้ขอดี ๆ “ ริมฝีปากบางขยับช้า ๆ ส่งออกถ้อยคำกำกวมยากจะตีความ “กูพูดไม่ชัดเจนสินะ”

    “อะ อิน! ” อินติใช้มือรวบหัวของคนข้างบนลงมาแนบหน้าผากเข้าด้วยกันพลางส่งสายตาที่พร้อมแผดเผาทุกสิ่งดั่งชื่อสุริยเทพของเขา

    “อยากทำอะไรก็ทำ ใส่ถุงยางด้วย”

    “...อืม”

    ในคืนพระจันทร์เสี้ยวนั้นเองที่ความสัมพันธ์ไร้ชื่อเรียกได้เกิดขึ้น บทบรรเลงท่วงทำนองบนเตียงค่อย ๆ เป็นไปอย่างเนิบนาบแต่ร้อนระอุด้วยไฟราคะจากสองร่างเปลื่อยเปล่า ความเจ็บและคับแน่นทางด้านหลังถูกระบายผ่านทางปลายเล็บสั้นกุดที่จิกลงบนหลังกว้างของคนที่โอบอุ้มร่างของอินติเอาไว้แต่ถึงอย่างนั้นความสนุกที่ถูกเติมเต็มและได้ปลดปล่อยกลับทำให้เป็นสุขยิ่งกว่า เช่นเดียวกับมหาสมุทรที่หลงระเริงไปกับการเล่นเพื่อนอย่างไม่คิดเลยว่าพรุ่งนี้จะมองหน้ากันติดอยู่หรือไม่

    “อิน มึงเจ็บไหม ผลัดกันได้นะ” มหาสมุทรถาม แต่ถึงจะถามอย่างนั้นเขาก็ไม่ได้สนใจหรืออยากที่จะผลัดกันจริง ๆ หรอก

    “อือ มึง..ไม่อยากผลัดหรอก...อ๊ะ กูรู้” คนใต้ร่างเสียวส่านพูดปนครางเสียงแหบอย่างแปลกหู

    “เก่งอีกแล้ว”

    “อีกอย่าง กะ..กูเจ็บ อืม แต่แบบนี้มัน...” อินติเว้นระยะการพูด คำว่าเจ็บทำให้ร่างสูงกระทำช้าลงพร้อมกับรอฟัง นั่นทำให้ใบหน้าขาวเผยความไม่พอใจออกมาอย่างชัดเจนพลางส่งสายตาให้เร่งเร้าจังหวะกระทั่งตนนั้นถึงจุดหมาย อินติเงยหน้าค้างพลางหอบครางเบา ๆ ใบหน้าชุ่มด้วยเหงื่อกับดวงตาเป็นประกายจากน้ำในตา มหาสมุทรเดาได้ว่าสิ่งที่อินติต้องการจะพูดได้แสดงออกทางการกระทำเป็นที่เรียบร้อยแล้ว มันรู้สึกดีสินะอิน

    แสงแดดจ้ายามเช้าสาดเข้ามาในตัวห้องพาดผ่านสองร่างใต้ผ้าห่มยับยู่ยี่บนเตียงขนาดเล็กที่เบียดกันจนคนที่นอนฝั่งข้างนอกอย่างมหาสมุทรระแวงจะตกเตียงเป็นระยะไป หลังจากเสร็จกิจกรรมเมื่อคืนทั้งคู่ก็สลบเหือดไป ไม่ว่ามันจะเป็นเพราะฤทธิ์ยาดองที่ทำให้คึกนั้นหมดลงหรือหมดแรงกันไปจากการเล่นสนุกก็แล้วแต่ มหาสมุทรก็ยังไม่คลายอ้อมกอดจากอินติและยังปล่อยให้ร่างเปลือยเปล่าแนบเนื้อกันอยู่อย่างนั้น มหาสมุทรปวดเมื่อยเต็มทนจึงลุกไปจัดการตัวเองให้สะอาดและนอนลงอีกเตียงของตัวเองที่ปล่อยให้ว่างทั้งคืน แวบนึงในใจเขาก็อยากอุ้มเพื่อนรักไปอาบน้ำทำความสะอาดร่างกายให้แต่คนอย่างอินติคงไม่ชอบให้ก้าวก่ายมากไปกว่านี้ และนั่นก็เป็นเรื่องจริงเสียด้วย อินติตื่นขึ้นมาหลังจากนั้นไม่นานเขาเดินเข้าห้องน้ำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น พอออกมาก็พูดคุยเป็นปกติกับคนที่นอนเหยียดตัวอยู่รวมถึงนำเครื่องนอนถอดไปซัก

    การกระทำทุกอย่างที่เกิดขึ้นตลอดคืนไม่มีใครพูดถึงมัน กี่วันต่อกี่วันล้วนผ่านไปแต่เมื่อวันไหนคนทั้งคู่เกิดตัณหาราคะสุดท้ายก็จบลงบนเตียง การเล่นเพื่อน มีเซ็กส์ เหมือนเล่นเทปเดิมวนซ้ำ ๆ ในทุกครั้งที่ตื่นมาก็เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นทั้งที่เมื่อคืนจะสุขสมกันแค่ไหน บ้างก็อ้อนวอนโหยหาการกระทำหยาบโลน บ้างก็ออดอ้อนดูยั่วยุปลุกปั่นอารมณ์ให้รู้สึกเหมือนตายคาที่ แต่การกระทำทุกอย่างล้วนถูกตอบสนองโดยไม่รังเกียจ ตลอดจนถึงวันสุดท้ายของการเป็นนิสิตของมหาวิทยาลัย...

    “จะให้ผมกลับเรียนโทที่นั่นหรือ? ” น้ำเสียงเรียบสนิทออกจะขุ่นมัวเล็กน้อยเมื่อปลายสายคือบิดาของอินติ “ได้ แต่ป๊าต้องให้ผมอยู่คอนโดเช่ากับเพื่อน ตกลงไหมครับ? ”

    ร่างขาวถอนหายใจเฮือกใหญ่เมื่อวางสายจากผู้เป็นบิดา โทรศัพท์กลางของหอพักวางคืนไว้ที่เดิมก่อนเจ้าตัวจะลุกออกมาหาเพื่อนสนิทที่นั่งอยู่ไม่ไกลนัก และคงใกล้พอจะได้ยินบทสนทนาของพ่อลูกจึงเอ่ยทัก

    “ป๊ามึงว่าไง” มหาสมุทรถามออกไปทั้งที่รู้คำตอบ

    “ก็ตกลง แต่ดูผิดหวังนิดนึง ที่ลากกูกลับบ้านไม่ได้” อินติยกยิ้มอย่างพึงพอใจกับการต่อรองของตน เขารู้ว่าป๊าของเขาหวังดีแต่บางทีเขาแค่ต้องการอิสระทางความคิดและบิดาผู้บังเกิดเกล้าก็ปล่อยให้เขามีอิสระตลอดสี่ปีมานี้..

    เขาอยู่ที่บ้านไม่ได้เพราะแนวความคิดนั้นต่างจากครอบครัวเกินไปเรื่องนั้นเป็นที่ประจักษ์ชัด สิ่งที่ทำได้คือการอยู่เงียบ ๆ และปล่อยให้เป็นไปตามเวลาที่สมควร เช่นเดียวกับมหาสมุทรแต่คนตัวโตนั้นเดือดดาลยิ่งกว่าและตลอดสี่ปีที่อยู่ด้วยกันมามหาสมุทรจริงจังกับการรวบรวมข้อมูลเพื่อวิทยานิพนธ์แต่สุดท้ายก็ถูกอาจารย์ปัดตกและหนังสือเล่มนั้นก็อยู่ในกล่องเป็นเสมือนไทม์แคปซูลรอวันเปิดอีกครั้งไม่ว่าจะต้องรออีกกี่สิบปีก็ตาม ..วันที่ทุกคนจะยอมรับความคิดเห็นของเขาอย่างเปิดใจบ้าง

     

    พ.ศ. 2540

    ต้นปีนั้นอินติได้เข้าเป็นนักศึกษาปริญญาโทมหาวิทยาลัยชื่อดังใกล้สนามหลวงในขณะที่มหาสมุทรเข้าทำงานในบริษัทส่งออกสินค้าแห่งหนึ่งไม่ไกลจากคอนโดแถวราชเทวีที่เขาและอินติรวมเงินกันเช่า ไม่กี่เดือนหลังจากบัณฑิตจบใหม่ได้งานวิกฤตการณ์ทางการเงินก็ได้ลามไปทั่วประเทศซึ่งไม่เป็นผลกระทบอะไรมากสำหรับเขาแต่กลับกันกับสถาบันการเงินและอสังหาริมทรัพย์ที่ต้องล้มละลายกันเป็นพรวน หนึ่งในนั้นเป็นลุงแท้ ๆ ของเขาเล่นทำที่บ้านวุ่นวายไปหมด การเจรจากับรูมเมทว่าจะจัดการเรื่องงานบ้านทั้งหมดให้แทนการจ่ายค่าห้องเต็มราคาหารจึงเริ่มขึ้น

    ในทุกวันหลังกลับจากทำงานมหาสมุทรจะเป็นคนเตรียมมื้อเย็นรออีกคนได้กลับมากินพร้อมกัน ฝีมือทำอาหารไม่เป็นสองรองใครของมหาสมุทรเนรมิตโต๊ะกับข้าวกลายเป็นร้านอาหารขนาดย่อม เมื่อเพื่อนสนิทตัวขาวกลับมาเห็นก็อดชมไม่ได้เสมือนเขามีพ่อบ้านส่วนตัวอย่างไรอย่างนั้น ทั้งคู่ผลัดกันเล่าถึงการเรียน การทำงาน รวมทั้งข่าวเศรษฐกิจและการเมืองเป็นปกติในทุกวัน ถ้าเพื่อนสมัยเรียนได้รับรู้คงจะแซวว่าพวกเขาเป็นผัวเมียกันอีกเป็นแน่

    ติ๊ด ติ๊ด ติ๊ด

    “แปบนึงนะ” เสียงดังมาจากเพจเจอร์ในกระเป๋าเรียกความสนใจของอินติออกจากบทสนทนา

    ขอบคุณสำหรับวันนี้นะคะ’ ข้อความที่ปรากฏบนหน้าจอทำคนอ่านเผลอยิ้มออกมาอย่างไม่รู้ตัว มหาสมุทรเห็นดังนั้นเกิดสงสัยจึงชะเง้อมองแต่กลับได้สายตาขู่ของอีกคนกลับมา

    “อะไรวะ เดี๋ยวนี้หัดมีความลับกับกูหรืออิน? ” ร่างสูงเอ่ยปากแซว รอยยิ้มกว้างเผยให้เห็นเขี้ยวเล็ก ๆ กับประกายแววตาแฝงความไม่น่าเชื่อในตัวเพื่อนสนิท ตั้งแต่รู้จักกันมาเคยเห็นสนใจใครซะที่ไหน

    “ทีมึงยังไปกินข้าวกับผู้หญิงแถวสยามกูยังไม่แซวเลย”

    “มึงรู้? ”

    “ไปหาป๊ามา ขากลับเห็นแวบ ๆ ไม่นึกว่าจะเป็นมึงจริงนะเนี่ย” บทสนทนาเป็นไปอย่างราบเรียบ เป็นเรื่องปกติไปเสียแล้วกับการแซวเรื่องพวกนี้

    ในวัยที่เริ่มต้นการพบเจอคนใหม่ ๆ สังคมใหม่ ๆ ควบคู่ไปกับการรักษาความสัมพันธ์กับคนเก่า ๆ เอาไว้ และแล้วคืนนี้คงเป็นเหมือนเดิมวนเวียนจนกว่าวันนึงที่ใครคนหนึ่งไปมีชีวิตของตัวเอง

     

    พ.ศ. 2543

    มหาสมุทรยืนค้างอยู่หน้าห้องคอนโดของตนอยู่ประมาณสิบนาทีแล้ว มือหนาขยับเนคไทด์ตัวเองให้คลายเล็กน้อยอากาศร้อนทำให้เหงื่อผุดซึมตามใบหน้าหล่อเหลาคมชัดขึ้นตามวัย ชายร่างสูงใหญ่ในวัยยี่สิบหกปีก้มมองนาฬิกาข้อมือรอบแล้วรอบเล่าไม่นานจากนั้นประตูห้องก็ถูกเปิดออกโดยหญิงสาวในชุดนักศึกษาไม่คุ้นหน้าเอาเสียเลย ดูจากสีหน้าเจ้าหล่อนคงจะหัวเสียไม่น้อยเดาได้ไม่ยากว่าคงโดนคนโลกส่วนตัวสูงอย่างอินติปฏิเสธจะสานสัมพันธ์ต่อ เธอเดินปึงปังสวนมหาสมุทรออกไปส่วนเขาก็ย้ายตัวเองเข้ามาในห้องพลางจ้องหน้ามหาบัณฑิตจบหมาด ๆ

    “ไม่ได้ทำเขาท้องใช่ไหม? ” เจ้าของผิวเข้มเอ่ยทักกึ่งแกล้งแซว

    “แซวเสียว่ะ” อินติที่นั่งอยู่บนโซฟาตัวยาวเอนพิงอย่างคนหมดแรงต่อล้อต่อเถียงด้วย “เร็วสิครับพ่อบ้าน ลงจาน กูหิวแล้ว”

    “เออๆ “ มหาสมุทรส่ายหน้าอย่างหน่ายพร้อมรอยยิ้มเล็ก ๆ ด้วยความนึกเอ็นดูท่าที

    ตั้งแต่ที่ทั้งคู่เริ่มต้นความสัมพันธ์แบบเพื่อนนอนกันไม่มีครั้งไหนที่อินติกระทำด้วยอารมณ์คุกรุ่นรุนแรงอย่างครานี้เหมือนมีเรื่องไม่สบายใจแล้วเอามาลงกับเซ็กส์อย่างไรอย่างนั้น ร่างบางพลิกตัวขึ้นคร่อมทันทีที่เริ่มกิจกรรมบนเตียงกดสะโพกบดเบียดอยู่อย่างนั้นก่อนจะจัดการสวมถุงยางให้คนใต้ร่างจากนั้นก็จัดท่าทางเตรียมช่องทางด้านหลังของตัวเองจนพร้อมสอดใส่ อินติยกตัวขึ้นเหนือแก่นกายของมหาสมุทร เขาไม่รอให้เล้าโลมอะไรมากมายเหมือนที่ผ่าน ๆ มาซ้ำตั้งท่าจะกลืนกินคนตรงหน้าอย่างเดียว มหาสมุทรที่สังเกตเห็นความผิดปกติไม่ชอบใจนักก็จับเอวคนตัวขาวยกจนลอยมานั่งบนตักหลังจากที่ตนดันตัวเองขึ้นนั่ง

    “เป็นอะไรไป” มหาสมุทรถามคนบนตักด้วยใบหน้าห่างกันแค่ลมหายใจกระทบผิวกาย แววตาจริงจังทั้งสองคู่สะท้อนกันอยู่ไม่นานอินติก็ยอมปริปากพูด

    “มีตำแหน่งว่างในสถานทูตไทยที่เวียนนา”

    “ป๊ามึงหรือ? ” มหาสมุทรขมวดคิ้วพลางจัดผมชุ่มเหงื่อของอินติให้เข้าที่

    “อืม กูขอโทษที่อยู่ข้างมึงต่อไปไม่ได้” ร่างขาวเอนหัวพิงไหล่เพื่อนสนิทอย่างกล้ำกลืนความเจ็บใจ ในทีแรกเขานึกว่าจะได้รับอิสระดั่งนกพิราบแต่กลับเป็นได้เพียงนกพิราบส่งสารของผู้เป็นพ่อ เป็นอินติที่ยอมแพ้บิดาผู้บังเกิดเกล้าอย่างจนหนทาง

    “กูเข้าใจ” มหาสมุทรลูบหัวเพื่อนที่ซบตนอยู่เป็นเชิงปลอบกึ่งปลุกใจ “ไม่ต้องห่วงทางนี้ กูเชื่อว่ามีไม่มากก็น้อยที่คิดแบบพวกเรา”

    คนที่โหยหาประชาธิปไตยที่แท้จริงเป็นได้แค่นักโทษกับศพ มึงก็รู้”

    “อือ รู้”

    “แล้วจะให้กูทิ้งมึงได้ยังไงวะ” อินติเอ่ยพลันน้ำสีใสหยดลงบนไหล่หนา

    ความกลัวแทรกขึ้นมาจากอดีตที่ต้องเสียมารดาไปในเหตุการณ์เดือนตุลา ในขณะนั้นอินติอายุเพียงสองปีเด็กน้อยที่นั่งคอยแม่ผู้แสนดีกลับบ้านท่ามกลางสถานการณ์ทางการเมืองที่น่าหดหู่ รู้ตัวอีกทีงานศพของผู้เป็นแม่ก็ถูกจัดขึ้นเรียบ ๆ ข้างนอกเมือง ป๊ารู้และพยายามกันให้อินติออกห่างจากการเมืองรวมทั้งการผลักดันให้สอบรับราชการในต่างแดนทั้งหมดก็เพื่อไม่ให้ซ้ำรอยภรรยาที่เขารัก บิดาไม่ยอมเสียลูกชายคนเดียวคนนี้ไปอีกเช่นเดียวกับอินติที่ไม่ต้องการเสียเพื่อนรักอย่างมหาสมุทรไปเหมือนกัน...เพียงแต่วิถีของสองพ่อลูกนั้นต่างกัน

    อินติเลือกจะเผชิญหน้าพร้อมยืนเคียงข้างคนมีอุดมการณ์เยี่ยงมหาสมุทรแต่ตอนนี้เขารู้สึกผิดกับเพื่อนเหลือเกิน โซ่ที่ตรึงเขาไว้มันตรึงแน่นกว่าเดิมเมื่อพยายามหนี สุดท้ายป๊าก็ใช้ไม้แข็งส่งเขาไปไกลประเทศบ้านเกิด

    “ทุกคนมีหน้าไม่ใช่หรือวะ มึงทำหน้าที่มึงให้ดีที่สุดก็พอ” มหาสมุทรสวมกอดร่างเปลือยเปล่านั้นแนบแน่น น้ำตาคลออยู่ที่นัยน์ตาคมด้วยความเห็นใจตามที่เขาบอกกับตัวเองและอีกคนแม้ลึก ๆ นั้นอยากจะรั้งอินติเอาไว้อยู่กับเขาตลอดไป ไม่ให้ไปไหนอีก แต่ก็ทำได้เพียงคิด

     

    พ.ศ. 2544

    เดือนมกราคมปีนี้หนาวกว่าปีไหน ๆ ห้องคอนโดเช่าแห่งเดิมกลับโล่งขึ้นผิดหูผิดตาเมื่อเจ้าของห้องทั้งสองจำต้องย้ายออก ข้าวของต่าง ๆ ก็ถูกย้ายกล่องเตรียมส่งไปยังที่อยู่ใหม่ มหาสมุทรเก็บเงินพอจะซื้อบ้านหลังเล็กได้ประจวบเหมาะกับน้องสาวของเขาที่ต้องเข้าเรียนอุดมศึกษาในกรุงเทพมหานครพอดี บ้านใหม่คงไม่เหงาเท่าที่เขาคิด ส่วนอินติกลับไปอยู่บ้านบิดาได้เกือบสองสัปดาห์แล้วนั่นทำให้มหาสมุทรรู้สึกขาดบางสิ่งในชีวิตไปแม้เป็นแค่ช่วงเวลาสั้น ๆ เขาจะทนได้ไหมถ้าเมื่อใดอินติจำต้องย้ายไปประจำการไกลถึงกรุงเวียนนา ประเทศออสเตรีย แค่ห้องเช่าตอนนี้ก็หนาวเกินไปแล้ว..

    ...สนามบินดอนเมือง...

    เวลาผ่านไปเร็วอย่างน่าใจหายไม่นานก็ถึงฤดูร้อนปลายเดือนเมษา ชายร่างสูงเด่นยืนเคียงคู่กับเพื่อนสนิทผิวขาวปลอดอยู่ภายในอาคารผู้โดยสาร ยามสนธยาที่พระอาทิตย์กำลังจะลับลงขอบฟ้าสายตาคนทั้งคู่มองไปด้านนอกอาคารที่บัดนี้ท้องฟ้ากำลังเปลี่ยนเป็นหลากสีสันชวนมอง นับเป็นสัญญาณที่ดีสำหรับการเดินทางไกล

    มหาสมุทรมองใบหน้าด้านข้างของอินติอยู่เนินนานพอจะทำให้ฝ่ายถูกมองรู้ตัวแล้วจ้องกลับ มีหลายสิ่งเหลือเกินที่อยากจะบอกกับคนตรงหน้า ทั้งแสดงความยินดี ขอบคุณ ขอโทษ และบอกเพื่อนคนนี้ว่าเขารักอีกฝ่ายมากแค่ไหน...

    “อิน..” คนตัวสูงกลั้นใจจะพูดออกไป

    “จะบอกว่ารักกูหรือไง”

    “ว่าไงนะ? ” มหาสมุทรมีสีหน้าเหลอหลาไปต่อไม่ถูกเมื่ออินติดันรู้ว่าเขาต้องการจะพูดอะไร เจ้าของเขี้ยวแหลมเลียริมฝีปากด้วยความประหม่า

    “อ่ะ” เป็นอินติที่หลุดขำปฏิกิริยาของเพื่อนรักก่อนจะยื่นหนังสือสองเล่มส่งออกจากกระเป๋าสะพายส่งให้คนตัวโตที่ยังงงงวยอยู่ไม่น้อย “หนังสือของมึง มันติดมาตอนกูย้ายของ”

    “อ๋อ” มหาสมุทรรับมาก็รู้ทันทีว่านี่คือวิทยานิพนธ์ของเขาที่ถูกปัดตกไปและอีกเล่มคือหนังสือวรรณกรรมที่เขาชอบอ่านจากทีแรกที่หยิบอ่านในห้องสมุดก็ติดใจจนต้องซื้อติดตัวไว้ แต่แล้วรูปใบหนึ่งก็ร่วงลงมาจากหนังสือวรรณกรรมเล่มเก่า เป็นรูปถ่ายของเขากับอินติในสมัยเรียนมหาวิทยาลัยปีสุดท้ายพร้อมกับข้อความเขียนมือข้างหลังภาพ

     

    ‘Du bist die Sonne. Ohne dich ist mein Leben düster.’

    (คุณคือดวงอาทิตย์ หากปราศจากคุณชีวิตของฉันก็มืดมน)

     

    มหาสมุทรหยิบมาอ่านก็ได้แต่หัวเราะแห้ง ๆ ทั้งที่ใบหูขึ้นสีแดงจัดออกอาการกับการกระทำของตนในตอนนั้น คิดอะไรอยู่ถึงเขียนลงไปแบบนั้นกัน อินติที่เปรยตามองตามได้เพียงยิ้มเล็ก ๆ ส่งให้ มหาสมุทรรู้ได้ทันทีว่าคำว่ารักของพวกเขามันไม่ใช่อย่างเดียวกัน

    “มึงเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดของกูนะหมุด” คำตอบที่ชัดเจนทำให้มหาสมุทรยิ้มรับความผิดหวังพลางเก็บสมุดเจ้ากรรมใส่กระเป๋าทั้งที่จริงก็แค่หลบตาเท่านั้น อีกทางหนึ่งเจ้าของดวงตาเล็กเรียวมองทอดกลับไปยังพระอาทิตย์ตกที่ลับขอบฟ้าไปจวนจะหมดแสง “คิดถึงตอนอยู่บางแสนเลยว่ะ”

    “อืม” ร่างสูงใหญ่ยังคงหลบตา

    “กูคงคิดถึงทะเลแย่ คิดถึงมหาสมุทรแน่ ๆ

    “...มหาสมุทรมันก็อยู่ที่เดิมตลอดนั่นแหละ ถ้าคิดถึงก็กลับมาได้เสมอ” อึดใจสุดท้ายที่เจ้าของผิวแทนเอ่ยออกไป สายตากล้ำกลืนเต็มทนจนสังเกตได้ มหาสมุทรใจสลายแต่ก็ยังโอบล้อมพระอาทิตย์ไว้อย่างประคับประคองไม่ให้ลับฟ้าไป

    “อย่าคิดมากน่า ก็แค่แยกย้ายไปมีชีวิต ถูกไหม? ”

    “อืม” มหาสมุทรก้มหน้ายอมรับทุกสิ่งอย่าง “อิน..ขอกอดหน่อยดิ”

    “มา”

    แทบจะทันทีที่จบคำขออนุญาต อินติกางแขนรับอ้อมกอดจากเพื่อนรัก หยดน้ำตาไหลลงประทับที่ไหล่คนตัวสูงกว่าหารู้ไม่ว่ามหาสมุทรก็ไม่ต่างกัน ไม่มีเสียงสะอื้น ไม่มีการพูดคุยอะไรไปมากกว่าความอบอุ่นที่แผ่ซ่านยามสองร่างกอดกันกลมเกลียว เป็นแบบนั้นอยู่นานจบท้องฟ้ากลายเป็นสีน้ำเงินบอกเวลาค่ำคืนที่มาถึง มหาสมุทรคลายกอดจากคนตรงหน้าก่อนจะส่งยิ้มให้

    “เวลาที่พระอาทิตย์จรดผืนน้ำทะเลมีเพียงสองครั้งต่อวันคือย่ำรุ่งและย่ำค่ำ” อินติกล่าวถ้อยคำเปรียบเปรยในครั้งสุดท้ายของการจากลา “ถึงอย่างนั้น กูก็จะเฝ้ารอทั้งสองช่วงเวลาเพื่อที่จะได้พบกันอีก”

    “โชคดี เดินทางปลอดภัย”

    “ขอบคุณสำหรับทุกสิ่งนะหมุด”

    มหาสมุทรยังคงจ้องมองแผ่นหลังของเพื่อนสนิทที่เดินเข้าเกทไปแล้วท่ามกลางผู้คนที่เดินขวักไขว่ไปมาในสนามบิน มากหน้าหลายตา มากเชื้อชาติศาสนา แต่สุดท้ายท่ามกลางคนนับล้านเขาได้พบกับอินติ ตลอดแปดปีที่มีอีกคนอยู่ข้างกายเสมอตอนนี้มันว่างเปล่าจนใจหาย คำพูดเปรียบเปรยประโยคนั้นของอินติแล่นเข้าในหัว มหาสมุทรต่อประโยคที่มันควรจะเป็นไปต่อท้ายสิ่งที่อินติพูดไว้... ถึงอย่างนั้นตามหลักความจริงก็ไม่มีทางบรรจบกันอยู่ดี

     

     

     

    พ.ศ. 2562

    สำหรับผมในตอนนั้นมันเป็นเรื่องเศร้าที่เราจะจากลาใครสักคนที่ผูกพันกันมากแต่ผมตอนนี้เมื่อได้มองย้อนกลับไปกลับนึกขำตัวเองเสียอย่างนั้นทั้งที่ก็แลกช่องทางการติดต่อกันไว้อย่างดิบดี เมื่อสิบกว่าปีก่อนพวกเราส่งจดหมายอิเล็กทรอนิกส์ติดต่อกันเป็นระยะไปเพราะหน้าที่การงานที่หนักขึ้นทั้งผมและอินการติดต่อหากันก็น้อยลงตาม แต่เมื่อยุคสมัยได้เปลี่ยนไปเทคโนโลยีก็เปลี่ยนโลก การส่งอีเมลล์ผ่านมือถือสามารถทำได้และสะดวกมากขึ้น

    ตลอดหลายปีมีรูปภาพธรรมชาติและสถาปัตยกรรมถูกส่งมาทางช่องทางติดต่อเดียวกันนั้น ภาพส่วนใหญ่เป็นภาพวิวทิวทัศน์อันสวยงามของประเทศออสเตรียแต่รูปที่ทำให้ผมเผลออมยิ้มได้เสมอคงจะเป็นรูปที่มีหญิงสาวผมสีน้ำตาลอ่อนธรรมชาติ ดวงตาเธอสีเขียวประกายสวย ส่งยิ้มให้กล้องอย่างสดใส ผมรู้จักเธอผ่านทางรูปถ่ายมาตลอดสิบปี...คนที่ทำให้เพื่อนรักของผมมีความสุขที่สุด

    ...ไม่ได้คุยกันนานเลยนะหมุด มึงสบายดีไหม? วันนี้พาเลย์ลากับอลันมาเที่ยว Hallstatt คิดว่ามึงน่าจะชอบเลยถ่ายมาฝาก... 4 July, 2019

    ข้อความสั้น ๆ ส่งมาพร้อมกับรูปภาพ บอกวันที่กำกับไว้ชัดเจน เป็นเวลาห้าเดือนแล้วที่ไร้การติดต่อจากอีกฝ่ายซึ่งเป็นเรื่องธรรมดาของคนมีหน้าที่การงานเป็นภาระหนักอย่างอินติ

    รูปเมืองสวยงามริมทะเลสาบน่าตราตรึงใจพอ ๆ กับฝีมือถ่ายรูปที่พัฒนาขึ้นเรื่อย ๆ ของคุณพ่อวัยสี่สิบห้าปี อลัน ลูกชายของอินติหน้าตาคล้ายพ่อของเขาไปหมดเว้นเพียงสันจมูกโด่งอย่างชาวตะวันตกกับสีตาเขียวประกายเหมือนกับแม่ปรากฏอยู่ในรูปถ่ายรูปสุดท้ายที่ส่งมา และแน่นอนว่าผมชอบภาพถ่ายเหล่านี้จนเก็บไปคิดว่าสักวันคงจะได้พาเด็ก ๆ และภรรยาไปบ้าง

    ผมไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นถึงทำให้ผมพาร่างตัวเองเข้ามาในอาคารหอสมุดแห่งเดิมที่เป็นจุดเริ่มต้นของความสัมพันธ์ ผมกล่าวทักทายอาจารย์บรรณารักษ์อย่างเป็นมิตรและคุ้นชินกันดี แม้ลักษณะภายนอกจะเปลี่ยนแปลงไปเยอะทั้งผมและเธอเอง ดูเหมือนเงินบริจาคที่ช่วยกันลงเงินไปคงไม่ได้ถึงห้องสมุดแห่งนี้สักเท่าไร บรรยากาศเลยเป็นเหมือนเดิมเมื่อยี่สิบหกปีที่แล้วแต่ก็สะอาดและแอร์เย็นขึ้นจนผมนึกประทับใจ ถ้าย้อนเวลากลับไปแล้วห้องสมุดเย็นสบายเพียงนี้วันนั้นคงไม่ได้เจออินติเพราะผมน่าไปนอนหลบมุมสักที่ใดสักที่ในเมื่ออากาศน่านอนขนาดนี้..

    ผมเดินเรื่อยเปื่อยเหมือนกับได้ระลึกความทรงจำไปพลาง ๆ ผมเรียกมันว่าภาพหลอนที่ดันเห็นกลุ่มเด็กรุ่นใหม่นั่งติวหนังสือกันอย่างเงียบ ๆ นั้นซ้อนทับกลุ่มเพื่อนของผมในสมัยนั้น ทั้งจิระศักดิ์ สรพงษ์ เด่นชัย และคนอื่น ๆ ล้วนเป็นตัวแปรสำคัญในชีวิต ครั้งหนึ่งที่ผมได้รู้จักพวกมันผมทั้งมีความสุขและโกรธพวกมันไปพร้อม ๆ กัน แต่ครั้งหนึ่งที่จากกันเมื่อได้ย้อนคิดผมกลับคิดถึงพวกมันอย่างไม่มีความโกรธในตอนนั้นเหลืออยู่สักนิด ยังคงคิดถึงทุกอย่าง...คิดถึงอยู่เสมอ..

    “ผมสามารถบริจาคหนังสือได้ไหม? ” ผมถามบรรณารักษ์สาวไม่คุ้นหน้าที่ประจำอยู่บริเวณชั้นสองของหอสมุด

    “ได้ค่ะ งั้นเดี๋ยวเซ็นต์ชื่อตรงนี้นะคะ”

    วิทยานิพนธ์เล่มนั้นเก่าเยินไปตามการเวลาแต่ผมก็อดนำมันมาเขียนและเข้าเล่มมันใหม่ไม่ได้ ตอนนี้มันจะกลายเป็นสมบัติสู่รุ่นน้องเพื่อการแสดงความเห็นและทรรศนะจากคนรุ่นเก่าอยากผมส่งถึงคนรุ่นใหม่ ผมยังไม่หมดหวังในอุดมการณ์ที่แรงกล้าตอนนั้นและกระแสทางการเมืองในกลุ่มคนรุ่นใหม่ตอนนี้เป็นไปในทางบวก ในที่นี้คือการรักษาสิทธิ์และแสดงความคิดเห็นอย่างเสรีแต่ต้องไม่ไปละเมิดสิทธิของผู้อื่นด้วยเช่นกัน

    เสร็จจากธุระเรื่องหนังสือผมก็ตรงไปที่จุดสุดท้ายตามจริงคือมันเป็นจุดเริ่มต้นของความทรงจำ ชั้นหนังสือสูงเรียงรายในแนวเดิมและโซนหนังสือวรรณกรรมก็ไม่ได้ย้ายไปไหนอย่างน่าแปลกใจ ผมตั้งใจหาหนังสือวรรณกรรมฝรั่งเศสเรื่องเดิมแต่จนแล้วจนเล่าก็หามันไม่เจอ หากไม่ถูกใครสักคนหยิบยืมไปอ่านก็คงหายหรือพังไปแล้ว..

    “อ่านแต่เล่มเดิมซ้ำๆ ไม่เบื่อหรือไง” เสียงอันคุ้นหูที่ไม่ได้ยินมานานดังมาจากฝั่งตรงข้ามยามผมมองผ่านตู้หนังสือออกไป

    “อิน..”

    “ได้เจอกันสักที คิดถึงจะแย่” รอยยิ้มสดใสอย่างคงเจิดจรัสเป็นพระอาทิตย์เสมอแม้ริ้วร้อยต่าง ๆ จะบ่งบอกถึงวัยและวันเวลาที่ผ่านไปนาน แต่อินติก็คืออินติ ยังเป็นเหมือนวันแรกที่พบกัน

    “กลับมาตอนไหน? ”

    “วันก่อนน่ะ พักร้อนยาวครั้งแรกในชีวิตเลยว่ะ” อินติในวัยกลางคนแค่นหัวเราะใส่ก่อนจะเดินออกมายืนประจันหน้ากับผม

    “..คือกู” ผมยังคงตกใจไม่หายคิดว่าตัวเองตาฝาดไปเสียอย่างนั้น

    “กูตัวเป็น ๆ นี่แหละ ไม่เชื่อมากอด-“ ไม่ทันจบประโยคผมก็พุ่งตัวไปกอดคนตรงหน้าเสียแล้ว ไม่คิดว่าจะได้เจอที่นี่ตอนนี้เลยสักนิด อินแทบจะไม่เคยกลับไทยแต่ตอนนี้กลับมายืนตรงหน้าเหมือนกับฝันไป “ทำตัวเป็นเด็ก ๆ อีกแล้วมึงนี่”

    “เหมือนพระอาทิตย์ขึ้นเลยว่ะ”

    “บอกเองแท้ ๆ ว่าคิดถึงก็กลับมาได้ตลอด” อินตอบกลับเสียงแผ่วพลางลูบหลังผม

    ยี่สิบหกปีดูเหมือนยาวนานแต่กลับสั้นไปเมื่อเทียบเวลาที่พระอาทิตย์ขึ้นและตกลงที่ขอบฟ้าน้ำทะเล ฟังดูเข้าใจยากเพราะความรู้สึกที่มีตอนนี้มันเกินจะบรรยาย ในความเป็นเพื่อนตอนนี้ทำให้ผมรู้ว่าอดีตไม่เคยทำร้ายเราเลยเพียงแต่มันสอนเราให้รู้จักคำว่าชีวิต ได้รู้จักเพื่อนที่คอยสนับสนุนกันมาตลอดอย่างอินติ ขอบคุณที่เข้ามาเป็นความรักและความสุขในช่วงวัยหนึ่งของชีวิต

    “ขอบคุณนะ”

     

     

     

    End

    _________________________________

     

    สวีสดีค่าาาเราชาวสวนแครอท กะรัตเมนมิงกูค่ะ ขอบคุณที่เข้ามาอ่านกันนะคะ มาพูดคุยกันได้ @imthip_79

    จริงๆแล้วมันเป็นพล็อตที่แวบเข้ามาในหัวบ่อยมากจนต้องระบายมันออกมา ด้วยความที่เราเป็นเด็กยุค2000ที่ไม่ทันดูรักแห่งสยามในโรงน่ะค่ะ พอไปตามดูก็ติดเพลง 'กันและกัน' ที่ประกอบหนังมากบวกกับช่วงนึงที่อ่านประวัติศาสตร์เกี่ยวกับการเมืองบ่อยๆ เลยออกมาเป็นเรื่องนี้ค่ะ ตอนจบมันเลยจะดูไม่แฮปปี้เท่าไร55555 เอาเป็นว่าเป็นไปตามเหตุ-ผลของการดำเนินเรื่องแล้วกันนะคะ

     

    อิมเมจตัวละครเพิ่มเติมค่ะ

    เหวินจวิ้นฮุย :: จิระศักดิ์

    อีซอกมิน :: เด่นชัย

    ควอนซูนยอง :: สรพงษ์

     

     

    __________________________________

    *เพิ่มเติมจากเนื้อเรื่องค่ะ*

    (1) หนังสือวรรณกรรมที่มหาสมุทรชอบอ่านคือ Les Miserable ของคุณ Victor Hugo ค่ะ โดยเราจะคุ้นจากเวอร์ชันภาพยนต์เพลง แล้วก็เพลง Do you hear the people sing

    (2) คณะรัฐศาสตร์เราขอสมมติขึ้นนะคะ เพราะในปีพ.ศ.2536 สถาบันที่เราอ้างอิงยังไม่ได้ก่อตั้งเป็นคณะค่ะเป็นเพียงภาควิชาในคณะมนุษย์ศาสตร์ เอาเป็นว่าอ่านเพลินๆ ไม่อิงสถานที่จริงนะคะ555

    (3) สาเหตุที่มหาสมุทรไม่ได้เข้าเรียนในกทม.เพราะเหตุการณ์พฤษภาทมิฬค่ะ ตรงกับปีพ.ศ.2535 ซึ่งตัวละครหลักของเราตอนนั้นก็อยู่ม.6พอดี

    (4) นี่คือวิวัฒนาการของโทรศัพท์มือถือค่ะคือตอนแรกเราจะให้เขาโทรหากันเพื่อเปิดห้องแต่นึกได้ว่าปีนั้น..พ.ศ.2537(1994) มือถือยังเป็นรุ่นอันเท่าแขนอ่าค่ะ55555 แย่มากกก555 เลยกลายเป็นการเคาะบอกรหัสเข้าห้องแทนค่าา

    (5) ยาดองม้ากระทืบโรง เป็นพืชสมุนไพรมีสรรพคุณทางยาที่ดีค่ะ ช่วยบำรุงร่างกาย บำรุงเลือดและที่สำคัญปึ๋งปั๋งมากกกกกก อย่างไรก็ดีอย่าหาทานโดยไม่ปรึกษาแพทย์นะคะ

    (6) ถุงยางในไทยแต่เดิมเป็นการนำเข้าจากต่างประเทศตั้งแต่ปีพ.ศ.2514 ใช้ชื่อ 'คิงเท็กส์' ต่อมามีการร่วมมือกันของภาคเอกชนในการตั้งโรงงานผลิตถุงยางอนามัยในไทยขึ้นเมื่อปีพ.ศ.2534 ค่ะ ร่วมกับนโยบายภาครัฐสมัยนั้นที่รณรงค์ให้สวมถุงยางเมื่อมีเพศสัมพันธ์กันค่ะ แต่ก่อนหน้านี้ก็มีบุคคลท่านนึงคือ ดร.มีชัย ไวยทยะ เป็นผู้จัดตั้งมูลนิธิและรณรงค์มาตั้งแต่ปี พ.ศ.2517 แล้วค่ะ ถ้าลองถามรุ่นพ่อแม่อาจจะมีคุ้นหู 'ถุงยางมีชัย' ก็เป็นได้ค่าา  ตอนหาข้อมูลเสริมตรงนี้คือเปิดโลกมากเลยค่ะ จากที่ไม่เคยคิดสงสัยอะไรเท่าไร5555

    (7) แม่ของอินติเสียในเหตุการณ์ 6 ตุลา 2519 ค่ะเป็นเหตุการณ์ทางการเมืองซึ่งเราไม่ขอลงรายละเอียดลึกเพราะค่อนข้างหดหู่ใจ

    (8) ที่มหาสมุทรเขียนหลังภาพถ่ายเป็นภาษาเยอรมันค่ะ ซึ่งเราไม่ชัวร์ว่าเป็นคำที่ถูกต้องเท่าไร รีดท่านไหนมีความรู้ด้านภาษาเยอรมันมาคอมเมนต์แย้งได้นะคะ❤

    (9) ที่อินติพูดว่าคงคิดถึงทะเลแย่เพราะประเทศออสเตรียไม่มีทางออกสู่ทะเลค่ะ ส่วนเมือง Hallstatt เรียกได้ว่าเป็นเมืองติดทะเลสาบที่สวยเป็นอันดับโลกเลยค่ะ(เราอยากไปเอง555) อยู่ห่างออกมาจากเวียนนาทางทิศตะวันตกค่ะ แปะความสวยงาม

     

    ​ขอแปะเพลงที่ช่วยดึงมู้ดเราตอนแต่งนิดนึงนะคะ555

    - ดาวเหนือ Laika

    -รักข้างเดียว (ช้ำอยู่แล้ว) กบไมโคร

    - ใครคนนั้น พลพล

    - เวลา Cocktail

    - When the love falls YIRUMA


    ขอบคุณค่าาาาา

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×