ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ( n u ' e s t ) Bad | คนเลว [ จบ ]

    ลำดับตอนที่ #9 : [ คนเลว :: CH - 8 ] 100 %

    • อัปเดตล่าสุด 27 เม.ย. 57

















     
    Bad.. คนเลว (8) 100 %



    พระอาทิตย์ในบ้านเกิดของทั้งคู่ดูจะสดใสกว่าในเมืองหลวงเสียอีกหรืออาจจะเป็นเพราะร่างกายที่แนบชิดอิงแอบมอบไออุ่นให้แก่กันและกันก็ไม่รู้ แสงแดดลอดผ่านขอบผ้าม่านเข้ามาแยงตาคนตัวสูงให้ค่อยๆ เปิดเปลือกตามารับอรุณในตอนเช้าวันใหม่ รอยยิ้มเข้ามาแทนใบหน้าบึ้งตึงอย่างที่เคยเป็น สาเหตุที่ทำให้คนอย่างฮวังมินฮยอนอารมณ์ดีในตอนเช้าแบบนี้คงหนีไม่พ้นนายแบบชื่อดังที่ยังนอนซุกหน้าอยู่กับอกกว้าง ห่อไหล่บางเข้าหาตัวน้อยๆ เมื่อความเย็นจากเครื่องปรับอากาศต้องผิวกาย มินฮยอนจึงอดไม่ได้ต้องก้มลงไปจุมพิตที่หน้าผากแผ่วเบาไม่ให้อีกคนรู้ตัว

     

    ท่านประธานยับยั้งช่างใจไม่ให้ล่วงเกินไปมากกว่านั้นแต่สุดท้ายริมฝีปากหยักก็ทาบทับลงบนกลีบปากเป็นกระจับสวยเพียงแค่แตะสัมผัสบางเบาในยามเช้าเท่านั้น คนตัวเล็กเริ่มรู้สึกตัวช้าๆ แพขนตากระพริบและลืมตาปรับโฟกัสได้ในที่สุด ชเวเร็นกัดริมฝีปากล่างอีกคนเบาๆ จนคนตัวสูงต้องผงะหนี ก่อนจะหัวเราะคิกคักอยู่ในอ้อมกอด

     

    "เด็กต๊อง"

     

    "อรุณสวัสดิ์ครับ"

     

    "หลับสบายไหม"

     

    คนตัวเล็กพยักหน้าหงึกหงักแทนคำตอบพร้อมกับสอดแขนเข้าไปกอดอีกคนเอาไว้ซุกใบหน้าเขินอายยามที่นึกถึงเหตุการณ์หอมหวานเมื่อคืนที่อีกคนมอบให้อย่างไม่รู้เบื่อ ใบหน้าพาลร้อนฉ่าท้องไส้ปั่นป่วนเอาเสียดื้อๆ อาการแบบนี้เคยเกิดขึ้นกับคนตัวเล็กมาครั้งหนึ่งในชีวิตแล้วก็ไม่เคยอีกเลยจนกระทั่งวันนี้ ยามที่มองในดวงตาใครคนหนึ่งแล้วเห็นหน้าตัวเองในนั้นได้อย่างชัดเจนพร้อมกับเสียงหัวใจที่เต้นเร่าๆ อยู่ในอก

     

     

     

    มันนานมากแล้วการกับตกหลุมรักใครสักคน...

     

     

     

    "วันนี้ไม่ประชุมแล้วเหรอครับ"

     

    "ไม่แล้ว ไปอาบน้ำไปจะได้ไปหาอะไรกิน"

     

    ถึงพูดแบบนั้นพร้อมกับค่อยๆ ดันคนตัวเล็กออกจากอ้อมแขนแต่นายแบบก็ดื้อแพ่งซุกหน้าอยู่กับตัวเขาไม่ยอมลุกไปอาบน้ำตามที่เขาสั่ง

     

    "ไม่ได้ยินที่ฉันพูดหรือไง บอกให้ไปอาบน้ำ"

     

    "มินฮยอน~ มินกิขี้เกียจจังเลย"

     

    ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมถึงอยากอ้อน รู้แค่ว่าอยากทำและอยากอยู่ในอ้อมกอดนี้นานๆ

     

    "งั้นเช้านี้สักรอบดีไหมจะได้ขยัน หื้ม?"

     

    ไม่ว่าเปล่าคนตัวสูงพลิกตัวขึ้นคร่อมเป็นเชิงบอกว่าเอาจริงนะ แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ไม่ได้คิดจะทำอะไรๆ ในตอนเช้า นายแบบยกมือขึ้นปิดคอตัวเองทันทีพอมินฮยอนจะก้มลงไปฝากรอย ร่างสูงแค่นหัวเราะน้อยๆ ให้กับท่าทางกลัวๆ กล้าๆ จนคนตัวเล็กอดหมันเขี้ยวไม่ได้ที่พักนี้พ่อเสือยิ้มยากยิ้มบ่อยเสียเหลือเกินดันไหล่กว้างอีกคนแล้วพลิกตัวขึ้นมานอนทับ คางเล็กเกยอยู่บนอกกว้างส่งยิ้มตาหยีให้อีกคนก่อนจะแนบแก้มลงนอนแทนการเกยคาง

     

    "สบายจัง"

     

    "อ้วนขึ้นหรือเปล่า"

     

    มินฮยอนยกมือขึ้นบีบแก้มคนตัวเล็ก เนื้อตัวดูมีน้ำมีนวลมากขึ้นกว่าครั้งแรกที่เจอ รอยยิ้มก็กลับมาสดใสเหมือนตอนเด็กๆ แต่คำชมนั้นดูเหมือนจะกลายเป็นไม้หน้าสามฟาดเข้ากลางแสกหน้าสำหรับนายแบบไอดอลที่กำลังควบคุมน้ำหนักอย่างบ้าคลั่ง ตลอดเวลาเกือบเดือนเขาควบคุมน้ำหนักแทบตายแต่กลับได้ยินคำถามแบบนั้น.. ชเวเร็นคนนี้แทบอยากจะวิ่งไปเอาหัวดิ่งพื้นให้รู้แล้วรู้รอด

     

    "ไม่อ้วนนะ ทำไมถามแบบนั้น ผมไม่ได้อ้วนนะ !"

     

    "ยังไม่ได้ว่าอะไรเลย แค่คิดดว่านายดูสดใสขึ้น"

     

    "ก็คุณพูดอยู่เมื่อกี้ว่าอ้วนอะ !!"

     

    "..ตอนเด็กเป็นไงโตมาก็เป็นงั้น"

     

    เสียงใสๆ ที่คอยเอาแต่แว้ดๆ ใส่เขายังจำน้ำเสียงนั้นได้ขึ้นใจถึงแม้เวลาจะผ่านมาเป็นสิบยี่สิบปี แต่ต่อให้นานเป็นร้อยปีฮวังมินฮยอนคนนี้ก็คงลืมชเวมินกิไม่ได้

     

     

     

    ..ลืมไม่ได้เลยจริงๆ

     

     

     

    "คุณพูดว่าอะไรนะ ตอนเด็กอะไรนะครับ?"

     

    คนตัวเล็กเอียงคอถามอย่างน่ารัก

     

    "ทำไมไม่เรียกฉันว่ามินฮยอนอีกล่ะ"

     

    "ม.. ไม่เอาหรอก"

     

    "ทีไอ้แบคโฮนายยังเรียกชื่อจริงมันเลย"

     

    "..."

     

    "อืม ไม่อยากเรียกก็ไม่ต้องเรียก"

     

    ร่างสูงลุกขึ้นนั่งพร้อมกับดันร่างนายแบบให้ลงไปนั่งข้างตัว รอยยิ้มหายไปและแทนที่ด้วยสีหน้านิ่งเฉยอีกครั้ง นายแบบเริ่มจะจับทางได้ว่าผู้ชายคนนี้ค่อนข้างขี้งอนถ้าไม่มีใครตามใจ คงจะติดนิสัยเอาแต่ใจมาตั้งแต่เด็กนั่นแหละตามประสาลูกคนรวย

     

    "งอแงทำไมครับ"

     

    "ฉันไม่ใช่เด็ก ไม่ต้องพูดแบบนั้น"

     

    "เด็กขี้อิจฉา"

     

    "..!!"

     

    "เอาแต่ใจตัวเองด้วย ฮึ่ย~ ! หมันเขี้ยว"

     

    คนตัวเล็กปีนป่ายขึ้นไปนั่งบนตักหนาคล้องแขนรอบคอและวางคางไว้บนไหล่ลาด เบียดกายเข้าแนบชิดเพื่อหาไออุ่นให้ตัวเอง เสียงกระซิบข้างใบหูเอ่ยออกมาเรียกรอยยิ้มทรงเสน่ห์อีกครั้ง

     

    "มินฮยอน อาบน้ำให้มินกิหน่อยนะครับ"

     

    กว่าทั้งคู่จะเสร็จธุระส่วนตัวรวมเวลาทานอาหารมื้อแรกของวันด้วยแล้วก็ใช้เวลาล่วงเลยมาจนบ่ายแก่ๆ ของวัน แสงแดดแรงกว่าทุกครั้งอากาศก็ร้อนอบอ้าวซะจนคนตัวเล็กต้องยกมือขึ้นมาพัดใบหน้าขณะเดินไปยังศาสนสถานของศาสนาคริสต์ซึ่งนั่นคือโบสถ์ในชุมชนแห่งหนึ่ง ไม่ได้หรูหราใหญ่โตเหมือนกับโบสถ์ในเมืองโซล แต่กลับเงียบสงบจนวังเวงซะด้วยซ้ำไป นายแบบกระตุกแขนเสื้อร่างสูงก่อนจะเดินเข้าไป บรรยากาศคุ้นหูคุ้นตาในสมัยเป็นเด็กเรียกรอยยิ้มน้อยๆ ออกมาได้

     

    "มาทำไมที่นี่เหรอ"

     

    ถึงกระนั้นชเวเร็นก็ยังไม่ได้ออกตัวกับร่างสูงว่าเขาก็เคยมาที่นี่เหมือนกันในตอนที่ยังเป็นเด็ก

     

    "มาหาพ่อ"

     

    "หื้อ ? พ่อคุณเป็นบาทหลวงอยู่ที่โบสถ์นี่เหรอ"

     

    ร่างสูงไม่ได้ตอบอะไร เพียงแค่ส่งยิ้มน้อยๆ เพิ่มความสับสนให้อีกคน เขาจูงมือพานายแบบเดินลัดเลาะข้างโบสถ์ไปตามทางที่ปูพื้นด้วยหินอ่อนจนทะลุด้านหลังซึ่งเป็นสุสานแห่งนี้รายล้อมด้วยหลุมศพของผู้เสียชีวิตไว้มากมาย คนตัวเล็กที่กลัวเรื่องลี้ลับอะไรแบบนั้นเป็นทุนเดิมก็รีบก้าวขายาวๆ เดินให้ทันตามจังหวะร่างสูงและเปลี่ยนจากจับมือมาเกาะแขนเขาเอาไว้เสียแน่น ถึงแม้จะมาตอนกลางวันแสกๆ อย่างนี้ก็เถอะ ร่างสูงพอจะดูออกว่าคนตัวเล็กนี่กลัวบรรยากาศรอบข้างก็รวบเอวบางโอบเอาไว้ จนกระทั่งเดินมาหยุดที่หน้าหลุมศพหนึ่งบริเวณตรงกลางสุสาน บนแผ่นหินหน้าหลุมศพสลักชื่อไว้อย่างชัดเจน นายแบบเองก็รู้ทันทีว่าพ่อของมินฮยอนไม่ได้เป็นบาทหลวง.. แต่ท่านจากโลกนี้ไปแล้ว

     

    "เอ่อ ขอโทษนะครับที่ก่อนหน้านี้ถามแบบนั้นออกไป ผมไม่รู้มาก่อน.."

     

    "อืม ไม่เป็นไร"

     

    ฮวังมินฮยอนย่อตัวลงนั่งตรงหน้าหลุมศพของคนเป็นพ่อ มือหนาเอื้อมมือไปลูบป้าแผ่นหินที่สลักชื่อพร้อมรูป รอยยิ้มเศร้าปรากฏบนใบหน้าหล่อเหลานั้นอย่างชัดเจน จนกระทั่งน้ำตาลูกผู้ชายหยดแรกก็ร่วงเผาะลงบนหลุมศพของคนเป็นพ่อ

     

    "พ่อครับ ผมมาเยี่ยมพ่อแล้วนะ"

     

    ประโยคนั้นไม่ชัดเจนนักเพราะเจือไปด้วยเสียงสะอื้น นายแบบจึงย่อตัวนั่งลงข้างๆ กันยกมือขึ้นมาลูบไหล่ร่างสูงเบาๆ หวังว่าจะช่วยแบ่งเบาความเศร้ามาได้บ้าง จบประโยคนั้นริมฝีปากหยักก็ไม่ได้เอื้อนเอ่ยอะไรออกมาอีกเลย มีเพียงความเงียบและบรรยากาศแสนเศร้าลอยอยู่รอบตัวพวกเขา และน้ำตาหนึ่งหยดที่กระชากตัวตนของผู้ชายเย็นชาออกไปจนหมดสิ้น ไร้ซึ่งเสียงสะอื้นจากเขา ไม่มีคำปลอบโยนให้เขาหยุดร้องไห้จากคนตัวเล็ก มีเพียงแค่สัมผัสบางเบาจากฝ่ามือเล็กลูบแผ่นหลังกว้าง

     

    น้ำตาหนึ่งหยดไม่ได้ช่วยบรรเทาความคิดถึงของคนเป็นลูกที่มีต่อพ่อผู้จากไป ต่อให้ร้องจนเลือดหมดตัวก็ไม่สามารถปลุกร่างไร้วิญญาณที่นอนหลับใหลภายใต้ผืนดินนั้นให้ลุกขึ่นมาได้ แต่จะทำอย่างไรได้ในเมื่อความคิดถึงมันเอ่อล้นอยู่เต็มหัวใจ

     

    "มินฮยอน.."

     

    คนที่อ่อนไหวพอตัวอยู่แล้วอย่างนายแบบหนุ่มก็อดกลั้นความรู้สึกไม่ได้เช่นกัน ดวงตาวาวใสคลอหน่วย เปลือกตาบางกระพริบถี่ๆ เพื่อไล่น้ำตาเหล่านั้น เขาแค่รู้สึกว่าตอนนี้เขาไม่ควรร้องไห้พร้อมกับมินฮยอน เขาควรจะเข้มแข็งให้มินฮยอนพึ่งพาเขาได้ ชเวเร็นรู้ดีว่ามินฮยอนเครียดพอตัวกับเรื่องงานแต่ไม่รู้จะระบายกับใคร ถึงจะมีเขาอยู่ตรงนี้แต่ก็ทำให้เขาหายเครียดได้เพียงแค่ช่วงเวลาหนึ่งเท่านั้น

     

    "ฉันไม่เป็นไร"

     

    มินฮยอนลุกขึ้นจากหน้าหลุมฝังศพคนเป็นพ่อใช้หลังมือเช็ดหยดน้ำตา แต่เจ้าตัวก็เช็ดแรงขึ้นๆ จนกลายเป็นขยี้เพราะน้ำตาบ้าบอพวกนั้นไม่หยุดไหลเสียที เขาเอาแต่หงุดหงิดตัวเองอยู่ในใจ กระทั่งมืออุ่นๆ ของคนตัวเล็กส่งมาทาบลงบนแก้มเขานั่นแหละ คนตัวสูงจึงหยุดการกระทำปล่อยให้มือเล็กนั้นเช็ดน้ำตาให้อย่างแผ่วเบา ปลายนิ้วเรียวเกลี่ยหยดน้ำตา มองลึกเข้าไปในแก้วตาที่สะท้อนภาพเขาเองอย่างชัดเจน คนอย่างชเวเร็นนึกคำไม่ออกหรอก ไม่รู้จะสรรค์เอาคำพูดสวยหรูที่ไหนมาปลอบใจ เขาเพัยงแค่กอบกุมใบหน้านั้นเอาไว้ในมือ และเลื่อนมือข้างหนึ่งขึ้นไปลูบกลุ่มผมสีน้ำตาลเข้ม ลูบอยู่แบบนั้นอย่างไม่รู้จักเมื่อย

     

    "น้ำตากับคุณ.. ไม่เห็นจะเข้ากันเลย"

     

    "..."

     

    "อย่าร้องไห้นะครับ ในนี้มันเจ็บไปหมดแล้ว"

     

    นายแบบจับมืออีกคนมาทาบตรงหน้าอกข้างซ้าย.. ตำแหน่งของหัวใจที่กำลังเต้นรัวเพราะคนตรงหน้า คนอย่างชเวเร็นมันโง่เง่า หัวใจของเขาก็เช่นเดียวกัน.. โง่ที่ปล่อยให้คนตรงหน้ามามีอิทธิพลกับความรู้สึกนึกคิดของตัวเอง ทั้งๆ ที่เขาเป็นเจ้าของร่างกายแต่กลับควบคุมอะไรไม่ได้เลย

     

     

     

    .. รัก มันเรียกว่ารักใช่หรือเปล่า

     

     

     

    ชเวเร็นก็ยังไม่เข้าใจเหมือนกัน

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

    'สาม !!'

     

    '..นาย'

     

    '...'

     

     

     

    'ฉันชอบนาย'

     

     

     

     


     

    ไร้ซึ่งเสียงเกรี้ยวกราดอย่างที่เด็กชายตัวเล็กคนนี้ชอบทำ ดวงตากลมโตเบิกกว้างกว่าเดิมเท่าตัวเมื่อเรียบเรื่องประโยคที่คู่กัดพูดออกมาทีละคำสองคำ พอตั้งสติได้คนตัวเล็กกว่าก็ผลักเพื่อนที่นั่งทับตัวเองบนชิงช้าออกอย่างเต็มแรงโดยไม่กลัวว่าอีกคนอาจจะล้มลงไป มินฮยอนหันหน้ากลับมาเผชิญกับเขาอีกครั้ง ในดวงตาไม่ฉายแววล้อเล่นอะไรทั้งสิ้น มันเป็นครั้งแรกของเขาที่ได้สารภาพรัก คงตลกสิ้นดีถ้าหากเพื่อนๆ รู้ว่าเขาสารภาพรักกับเด็กผู้ชายด้วยกัน แต่จะให้ทำอย่างไร ในเมื่อหัวใจมันมีความรู้สึก สำคัญตรงไหนหากคนที่หัวใจเรียกหาเป็นเพศเดียวกัน

     

     

    ..เด็กชายฮวังมินฮยอนคนนี้ไม่แคร์อยู่แล้วกับเรื่องพวกนั้น

     

     

    เด็กชายตัวสูงยกมือขึ้นหงายแล้วยื่นไปตรงหน้าอีกคน

     

    'ถ.. ถ้านายไม่ปฏิเสธความรู้สึกฉัน.. ก็ส่งมือมา'

     

    '...'

     

    'แต่ถ้าไม่.. ก็ช่วยทำเป็นเหมือนว่าฉันไม่เคยพูดอะไรออกไป'

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

    Bad..

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

    กลิ่นบุหรี่คละคลุ้งอยู่ทั่วบริเวณระเบียงห้อง อากาศตอนสายๆ ของวันยังถือว่าดีอยู่ ลมเฉื่อยๆ พัดต้องผิวกายแต่กลับแฝงไปด้วยกลิ่นชื้นของพายุฝน อากาศเย็นๆ กับฟ้าที่เริ่มหมองมัวไม่มีแสงแดดเรียกเหงื่อให้รำคาญผิว แบบนี้ล่ะควักอารอนคิดว่าอากาศมันดีนักดีหนา เขาไม่ชอบแสงแดด ไม่ชอบอากาศอบอ้าว ถ้าฝนตกได้เวลานี้ก็คงจะดีจะได้ช่วยบรรเทาความร้อนที่สะสมมานาน

     

    เสียงแจ้งเตือนโปรแกรมสนทนาในโทรศัพท์เครื่องบางดังขึ้นดึงสติอารอนให้กลับมา เขาหย่อนตัวนั่งลงบนเก้าอี้หน้าระเบียงเปิดโปรแกรมสนทนาตอบกลับทันทีที่เห็นว่าใครส่งข้อความมา

     

    'อรุณสวัสดิ์ จะตื่นรึยังนะ ?'

     

    กลีบปากบางกระตุกยิ้มขึ้นมา เขามักจะยิ้มให้กับเรื่องเล็กๆ น้อยๆ แบบนี้ เจสันเป็นผู้ชายที่ค่อนข้างใส่ใจเขาในระดับหนึ่ง เช้ากลางวันเย็นและก่อนนอนจะต้องมีข้อความมาทักทายว่า ตื่นหรือยัง กินข้าวหรือยัง และฝันดี แต่นั้นก็ทำให้แบคโฮหงุดหงิดไม่น้อย ปลายนิ้วเรียวจะรีบพิมพ์ข้อความตอบกลับอย่างรวดเร็ว

     

    'ตื่นแล้ววว ~'

     

    'ดีมาก ! ผมโทรหาได้ไหม'

     

    'ครับ'

     

    อารอนยิ้มน้อยๆ รอสายอยู่เพียงสองสามนาทีจากตัวอักษรบนโปรแกรมแชทก็เปลี่ยนเป็นเสียงทุ้มดังมาตามสาย คนตัวเล็กอัดบุหรี่เข้าปอดอึกใหญ่ๆ ก่อนจะเอ่ยทักทาย

     

    "อาเฟย"

     

    "ทานข้าวเช้าหรือยัง"

     

    "ยังเลยครับ"

     

    "หืม ? ในห้องไม่มีอะไรทานเหรอ ให้ผมซื้อไปให้ไหม ? วันนี้ออกกองกำลังผ่านเเถวคอนโดคุณพอดี"

     

    "ไม่ต้องครับ"

     

    สาเหตุที่ทำให้อารอนรีบตอบกลับไปทันทีพอเห็นว่าอีกคนตั้งท่าจะแวะเข้ามาคอนโด เขาหันกลับไปมองผ่านประตูกระจกใสที่กั้นระหว่างระเบียงกับห้อง ร่างของใครอีกคนกำลังพลิกตัวตื่นอยู่บนเตียงเพราะเเสงสว่างเข้าแยงตา แบคโฮเลิกผ้าห่มนั่งรวบรวมสมาธิอยู่สักพักเมื่อรู้ตัวข้างตัวว่างเปล่า กวาดสายตาทั่วห้องจนมาหยุดที่ระเบียง อารอนเบนสายตาหนีหันหน้าออกระเบียงไม่อยากให้แบคโฮเห็นว่าตัวเองกำลังฉีกยิ้มหน้าบานขนาดไหน

     

    "เอ่อ ลำบากคุณน่ะ เดี๋ยวผมต้องออกไปทำงานแล้วด้วย"

     

    "งั้นอย่าลืมทานล่ะ"

     

    "รู้แล้วครับ"

     

    สัมผัสวาบหวิวเกิดขึ้น.. สองแขนแกร่งสอดเข้ามารวบเอวบางเข้าหาตัว จมูกรั้นสูดดมกลิ่นหอมจากซอกคอขาว ยิ่งเช้าๆ แบบนี้ด้วยแล้วอารอนยิ่งหอม แกล้งให้อีกคนจั๊กจี้จนต้องย่นคอหนีเมื่อลิ้นชื้นแตะลงบนต้นคอ..

     

    "อือ.."

     

    "อารอน.. เป็นอะไร"

     

    ความใกล้ชิดทำให้แบคโฮได้ยินเสียงอีกคนจากปลายสายได้ดี พอรู้ว่าเป็นตากล้องหนุ่มเขาก็ยิ่งแกล้งให้อารอนส่งเสียงครางอื้ออึงในลำคอเยาะเย้ย แต่ดูท่าจะลำบากคนตัวเล็กเสียเหลือเกิน ไหนจะต้องหลบสัมผัสแล้วยังต้องบังคับเสียงตัวเองให้เป็นปกติอีก

     

    "ป.. เปล่า อาเฟยใกล้ถึงหรือยัง"

     

    "อืม.. ใกล้แล้ว อารอนอย่าลืมทานข้าวล่ะ รู้ไหม"

     

    สองมือหนาเลื่อนเข้าใต้สาบเสื้อ เอวบางกับสะโพกนุ่มถูกเฟ้นฟัดด้วยความหมันเขี้ยว และมันก็หยุดไม่อยู่อีกต่อไป แบคโฮจับอีกคนหันหน้ามา ประทับริมฝีปากทาบทับ ปิดโอกาสไม่ให้คนตัวเล็กได้พูดโต้ตอบ เสียงดังจ๊วบจ๊าบยามที่ริมฝีปากฉ่ำน้ำแตะเคล้าคลึงอย่างนึกสนุก แน่นอนว่าเจสันได้ยินมันแน่นอน อารอนจึงพยายามเลื่อนโทรศัพท์ออกห่างจากตัวแต่ก็โดนมือใหญ่บังคับให้ถือโทรศัพท์แนบหูไว้อย่างนั้น หลังบางถูกดันชิดระเบียง มือข้างที่ว่างจากการถือโทรศัพท์ยกขึ้นทุบไหล่กว้าง.. ไม่ได้ปฏิเสธ แต่แค่ไม่เหลือลมหายใจที่กักเก็บไว้อีกแล้ว

     

    "อะ.. อือ แบค.."

     

    อารอนได้ยินเสียงตากล้องหนุ่มขานชื่อเขาอยู่หายต่อหลายรอบ แต่คนตรงหน้าก็ไม่ปล่อยโอกาสเขาตอบรับเลยสักนิดเดียว ผละริมฝีปากออกเพียงชั่ววินาทีให้คนตัวเล็กได้เอาอากาศเข้าปอด ก่อนจะบดเบียดริมฝีปากเข้ามาอีกครั้ง

     

    "... อารอน อย่าลืมกินข้าวด้วยล่ะ ได้ยินใช่ไหม"

     

    "..."

     

    "เป็นห่วงนะ รู้ไหมครับ"

     

    แค่นั้นแล้วสายก็ตัดขาดไป จังหวะหัวใจดวงเล็กเต้นถี่เพราะน้ำเสียงที่แสดงออกถึงความเป็นห่วงและเจ็บปวดไปพร้อมกัน เมื่อเงียบเสียงจากปลายสายแบคโฮก็ผละออกมา จุดรอยยิ้มมุมปากอย่างคนเหนือกว่า

     

    "หึ.. มีชู้"

     

    "..."

     

    "เป็นเด็กดีหน่อยสิครับ อย่านอกใจผมสิ"

     

    "แบคโฮ"

     

    "ครับเมีย"

     

    "อย่าทำแบบนี้อีก"

     

    "ดูเหมือนอารอนก็ชอบไม่ใช่เหรอ ไม่เห็นปฏิเสธ"

     

    "ฉันไม่ได้หมายถึงจูบ"

     

    "..."

     

    "เมื่อไหร่จะยอมรับว่าเรื่องของเรามันจบไปนานแล้ว อย่าทำตัวเป็นหมาหวงก้างหน่อยเลย"

     

    อารอนจ้องตาเขม็งก่อนจะคว้าบุหรี่บนโต๊ะขึ้นมาจุดสูบใหม่อีกมวน ดูดเอานิโคตินเข้าปอดให้ชื่นใจและตั้งใจพ่นควันออกมาใส่ต้นคอร่างสูง

     

    "ขึ้นชื่อว่าหมาน่ะ มันกินได้ทุกอย่างแหละแม้แต่ก้างก็เถอะ ถึงแม้จะกินแล้วมันทิ่มตำคอ.. หมาตัวนี้ก็จะกิน"

     

    แบคโฮคว้ามือคนตัวเล็กที่คีบบุหรี่เอาไว้ จรดริมฝีปากลงดูดก้นบุหรี่จนแก้มตอบลงไปส่วนหนึ่งเขาอัดควันมันลงปอดและส่วนที่เหลือ..

     

    "..แค่กๆ อ.. เด็กบ้า"

     

    มือใหญ่รั้งร่างบางเข้ามาประกบแนบริมฝีปากก่อนจะเป่าควันบุหรี่ในปากเข้าปากอีกคนไปจนหมด อารอนรีบผลักตัวเองออกเพราะควันบุหรี่พวกนั้นมันทำให้เขาสำลัก ดวงตาฉ่ำแดงไปด้วยน้ำใสก่อนจะส่งสายตาเครียดแค้นพร้อมกับปั้นเล็กชกเข้าที่อกกว้าง

     

    "หึ ชอบนักไม่ใช่เหรอ บุหรี่น่ะ"

     

    "..."

     

    "บอกให้ผมเลิก แต่มาติดเสียเอง"

     

    "แล้วใครสอนฉันสูบบุหรี่ล่ะ หืม ?"

     

    "แค่สอนให้รู้ ไม่ใช่ให้ทำตาม"

     

    "แบคโฮ นายน่ะเหมือนบุหรี่.. คนไม่สูบมันก็จะบอกว่าเหม็น แต่ถ้าลองสูบมันกลับกันคนละรสชาติ ถึงแม้ครั้งแรกๆ จะทำให้สำลักแทบตาย พอบ่อยเข้า.. สุดท้ายนายก็เสพติดมัน"

     

    "..."

     

    "..แล้วนายเคยรู้อะไรไหม หลังจากที่นายทิ้งฉันไว้ ฉันก็พยายามจะเลิกบุหรี่ ทางเดียวที่จะเลิกของโสมมพวกนี้ได้คือการหักดิบ.. รู้ใช่ไหมฉันไม่ใช่คนใจแข็ง มันทรมานมากเลยนะ คังแบคโฮ"

     

    เอ่ยชื่อคนตรงหน้าอย่างตัดพ้อ สายตาวิงวอนฉายความรู้สึกในใจได้อย่างชัดเจน..

     

    "..เด็กโง่"

     

    สองแขนตระกรองกอดคนตัวเล็กเอาไว้ในอ้อมกอด น้ำตาหยดจากหางตาไหลลงซึมเสื้อกล้ามตัวบางของแบคโฮจนเปียกชื้น ไม่มีเสียงสะอื้นใดๆ แค่เปิดก๊อกน้ำตาจากก้นบึ้งหัวใจ

     

    "อย่าร้อง ไม่ชอบน้ำตา"

     

    "อืม.."

     

    "เงียบซะ ถ้าไม่เงียบจะกัด.."

     

    คมเขี้ยวแหลมแตะบนเนินไหล่ลาด คมเขี้ยวแข็งค่อยๆ เปลี่ยนเป็นกลีบปากนุ่มกดจูบลงไปแทน ไม่สร้างรอยแต่กลับกดจูบอย่างนุ่มลึก

     

    "วันนี้ทำงานที่ไหน เดี๋ยวไปส่งแล้วก็จะรอรับกลับ"

     

    "ไม่ต้อง เดี๋ยวรถบริษัทมารับ"

     

    "ทำไมต้องมารับ ปกติก็ขับรถไปเองนี่"

     

    "มีงานนอกเมือง"

     

    "ค้างคืนหรือเปล่า"

     

    "ไม่ค้าง แต่อาจจะดึก"

     

    "อืม"

     

    รับคำเฉยๆ ไม่มีแม้แต่คำพูดแสดงความเป็นห่วงหรือแค่บอกว่าเดินทางดีๆ ตั้งใจทำงานคำพูดพื้นฐานทั่วไปอย่างที่ควรพูดก็ได้.. ไม่มีเลย อารอนควรทำใจได้ตั้งนานแล้วกับเรื่องพวกนี้แต่ก็ไม่เข้าใจว่าทำไมยังหวัง




     






    คาสิโนหรูหราใจกลางเมืองกำลังคึกครื้นไปด้วยผู้คนมากหน้าหลายตา ส่วนใหญ่จะเป็นคนมีหน้ามีตาทางสังคม ใช้สถานที่แห่งนี้เพื่ออวดร่ำอวดรวย ทุ่มชิปแทนเงินหมดหน้าตักกับอีกแค่ไผ่ในมือเพียงแค่ไม่กี่ใบเพื่อโชว์พาวว์ต่อหน้าอีหนูสาวสวยทั้งหลายแหล่ว่าตัวนั้นรวยล้นฟ้า พอได้เศษเงินเข้ากระเป๋าจากการพนันก็ควักแจกสาวๆ ไปคนละบึกสองบึกแล้วแต่ว่าใครจะปรนนิบัติได้ดีกว่า ไม่ใช่การค้าประเวณีเพียงแค่มีสาวสวยเอาไว้เอาใจลูกค้าระดับวีไอพีเท่านั้น แต่หลังจากก้าวขาพ้นจากคาสิโนไปก็อีกเรื่องหนึ่ง

     

    คังแบคโฮเดินสำรวจรอบบริเวณและไม่ลืมที่จะแวะเวียนเข้าไปนั่งคุบกับลูกค้าระกับวีไอพี ให้คนเอาเครื่องดื่มมากมายมาเสิร์ฟพร้อมบริการสาวสวยแบบฟลูออพชั่น

     

    "ดูเหมือนวันนี้โชคจะเข้าข้างนะครับ"

     

    ร่างสูงกระตุกยิ้มมุมปากเมื่อกองชิปตรงหน้าลูกค้าคนใหญ่คนโตในสังคมคนหนึ่งนั้นแทบจะกองท่วมหัว เขาหันไปสบตากับลูกน้องที่กำลังทำหน้าที่แจกไพ่อย่างเคร่งครัด และเขาก็รู้งานเสียด้วย

     

    "เฮ้ย !"

     

    ลูกค้าสบถทันทีที่เห็นจำนวนแต้มในไพ่ ทั้งๆ ที่คิดว่าเพียงพอแต่เกมส์กลับพลิกเมื่อจำนวนแต้มของคนตรงหน้ากินขาด เหรียญชิปมากมายนั้นจึงถูกกวาดไปกองรวมตรงกลาง

     

     

    ...ไม่ได้โกงนะ

     

     

    "หึ.."

     

    "คุณคังครับ.. มาแล้วครับ"

     

    พยักหน้ารับรู้ก่อนจะเดินออกไปยังชั้นบนสุดของคาสิโนซึ่งเป็นทั้งห้องทำงาน ที่อยู่ที่กินรวมทั้งที่สั่งสอนคน ร่างสูงเดินเข้ามาในห้องสิ่งแรกที่เห็นคือใบหน้าของผู้เคราะห์ร้ายกำลังซีดเผือก ยิ่งแบคโฮเดินไปตบบ่าที่นึงเบาๆ ร่างนั้นก็ยิ่งสั่นเทิ้มด้วยความกลัว

     

    "ไง ไม่เจอกันนานเลยนะ.. คิมจงฮยอน"

     

    "..."

     

    เจ้าของชื่อเม้มริมฝีปากพร้อมกับกำมือแน่นจิกเล็บลงกับเนื้อระบายความตึงเครียด

     

    "ดูเหมือนฉันจะให้เวลานายมากกว่าเกินไปหรือเปล่า ป่านนี้ไอ้มินฮยอนคงตีปีกบินหนีไปไกลแล้วล่ะมั้ง หืม?"

     

    "..."

     

    "เอ้า.. ไหนว่ามาสิได้เรื่องอะไรบ้าง"

     

    แบคโฮเอนหลังพิงกับพนักเก้าอี้ทำงาน กอดอกพร้อมยกยิ้มรอฟังข้อมูลในสิ่งที่คนตรงหน้าจะพูด จงฮยอนติดหนี้พนันและไม่มีเงินจ่าย จึงต้องทำงานให้เขาเพื่อแลกหนี้ แต่ดูเหมือนว่าเวลามันจะล่วงเลยมานานเกินไป

     

    "ผมเข้าไปหาข้อมูลเกี่ยวกับการประมูลในห้องทำงานของฮวังมินฮยอน ต.. แต่ก็ไม่เจออะไรเลยครับ"

     

    "แล้ว ?"

     

    "คอมพ์ของเลขาเหมือนจะมีเอกสาร แต่มันถูกใส่รหัสผ่าน ผมเลยยังไม่มีโอกาส"

     

    "ง่ายๆ คือยังไม่ได้เรื่องอะไรเลยงั้นเหรอ ?"

     

    "ค.. ครับ"

     

    "หึ จิน.. ฝากด้วยล่ะ"

     

    "ครับ"

     

     

     

     

     

     

    เจ้าของเรือนร่างบางรีบปรี่ลงมาจากรถประจำตัวที่อุปถัมภ์โดยท่านประธานบริษัทฮวังกรุ๊ปพร้อมบอดี้การ์ดฝีมือดีอีกหนึ่งคนแต่เวลานี้ชเวเร็นไม่มีเวลามาชื่นชมความดีความชอบอะไรทั้งนั้น หลังจากกลับมาจากปูซานได้ไม่กี่วันจงฮยอนเพื่อนรักก็ต่อสายหาพร้อมน้ำเสียงแหบพร่าราวกับคนเจ็บหนักเพราะแบบนั้นหลังเลิกงานอีเว้นต์ในห้างหรูในเวลามืดค่ำคนตัวเล็กก็รีบสั่งให้คนขับรถตรงไปอพาร์ทเม้นต์ของเพื่อนรักทันที นายแบบเดินขึ้นบันไดอย่างไม่รีรอและเปิดประตูห้องคุ้นเคยเข้าไปทันที ภายในห้องเงียบสนิทแม้แต่เสียงเครื่องปรับอากาศก็ไม่ได้ยิน เสียงกุกกักภายในห้องดังแว่วหูเขาจึงรีบตรงดิ่งไปยังห้องนอนเปิดประตูผ่างเข้าไป จงฮยอนไม่ได้อยู่ในสภาพสมบูรณ์เนื้อตัวจ้ำเขียว หางคิ้วกับแนวสันกรามแตกยับมีพลาสเตอร์ติดปิดแผลเอาไว้ มุมปากก็เช่นกัน สภาพของจงฮยอนไม่ต่างอะไรจากวันที่มาขอร้องให้เขาช่วยที่คอนโดเลยสักนิด

     

    "ทำไมเป็นงี้อีกแล้ววะ"

     

    ชเวเร็นสาวเท้าเข้าไปยืนข้างเตียงประครองให้เพื่อนรักเอนกายพิงกับหัวเตียงก่อนจะเอื้อมมือไปหยิบแก้วน้ำส่งให้ คิ้วเรียวสวยขมวดเข้าหากันคุ้นคิดถึงสาเหตุของรอยแผลมากมายพวกนี้ ซึ่งจงฮยอนเองก็เปิดปากพูดให้ได้รู้

     

    "ไอ้เจ้าของคาสิโนนี่ชื่ออะไรนะ"

     

    "คังแบคโฮ"

     

    ช่วงที่ผ่านมาชเวเร็นไม่เคยใส่ใจว่าเพื่อนเขาจะไปมั่วสุมอยู่ที่บ่อนบ้าบอที่ไหน และแน่นอนว่าชื่อเจ้าของบ่อนก็ไม่ได้อยู่ในสาระบบความจำด้วย แต่เมื่อพอจงฮยอนเน้นย้ำชื่อเจ้าของคาสิโนมาอีกรอบเขาเองรู้สึกเหมือนหน้าหงายตึง ทั้งๆ ที่ในเกาหลีมีชื่อคนซ้ำกันมากมาย

     

    .. หวังว่าคงไม่ใช่ ?

     

    "อีกชื่อนึงคือ คังดงโฮ.. หรือเปล่า ?"

     

    นายแบบเว้นจังหวะการพูดอย่างกล้าๆ กลัวๆ แต่คนที่กลัวกว่าคงจะเป็นเพื่อนของเขา จงฮยอนเบิกตากว้างทันทีพร้อมพยักหน้าเบาๆ เพราะมีไม่กี่คนหรอกที่จะรู้ชื่อจริงของแบคโฮ แต่ที่เขารู้เป็นเพราะแอบได้ยิน 'จิน' คนสนิทของแบคโฮเรียก

     

    "ไปรู้มาจากไหน"

     

    นายแบบเล่าเรื่องราวที่แบคโฮยอมลงทุนมาติดต่องานกับเขาด้วยตัวเอง ไปจนถึงเขาตกลงรับงานให้กับห้องเสื้อที่แบคโฮเป็นหุ้นส่วนใหญ่ ทุกๆ คำที่พ่นออกมาจากปากนายแบบดูจะเป็นเรื่องเหนือธรรมชาติสำหรับจงฮยอนไปเสียหมด ถ้าหากลองคิดดูว่าแบคโฮจะเล่นงานเขาทางอ้อมโดยมุ่งเป้าไปที่เร็นในเรื่องที่เขาทำงานไม่สำเร็จสักทีก็คงไม่ใช่เพราะแบคโฮคงไม่รู้ว่าเขาสองคนเป็นเพื่อนกัน และคงไม่ได้ให้ความสำคัญถึงขนาดจะต้องสืบเสาะหาประวัติว่าเขาสนิทกับใครอะไรยังไง

     

    ...แล้วทำไมคังแบคโฮจึงต้องเพ่งเล็งไปหาชเวเร็น ??

     

    "แปลก.."

     

    "อะไร"

     

    "แค่แปลกใจทั้งแก ทั้งแบคโฮ"

     

    "ฉัน ? ทำไม ?"

     

    "เออช่างเหอะ"

     

    "ถ้าฉันได้ข้อมูลเกี่ยวกับการประมูลมาแกก็จะหลุดพ้นจากพวกนี้แล้วใช่ไหม ?"

     

    "อืมคงจะงั้น อย่างน้อยคงไม่ถูกซ้อมปางตายแบบนี้"

     

    จงฮยอนยกมือลูบมุมปากตัวเองเพียงแต่แตะปลายนิ้วลงไปความเจ็บก็แล่นปรู๊ดไปทั่ว ใบหน้าเหยเกซี๊ดปากรับความเจ็บ

     

    "คือ.."

     

    แนวซี่ฟันขาวขบเม้มริมฝีปากบางยับยั้งชั่งใจกับเรื่องที่กำลังจะพูดออกไป จู่ๆ ใบหน้าของประธานที่เปื้อนหยดน้ำตาต่อหน้าหลุมศพผู้เป็นพ่อก็พรั่งพรูเข้ามาในความคิด สีหน้าที่แสดงออกถึงความเหนื่อยล้าขุดขึ้นมาจากก้นบึ้งของหัวใจ ในเวลานี้มินฮยอนมีเร็นเพียงคนเดียวที่จะช่วยปลอบใจและเขาจะกล้าเอื้อนเอ่ยถึงความลับของบริษัทออกไปได้อย่างไร

     

    นายแบบแปลงร่างเป็นนางพยาบาลจำเป็นอยู่ได้เพียงแค่ชั่วโมงกว่าก็ต้องกลับหลังจากพยายามยัดข้าวใส่ปากเพื่อนเพื่อประทังชีวิต คนตัวเล็กเอ่ยปากสั่งให้บอดี้การ์ดที่เริ่มสนิทกันแล้วเหยียบคันเร่งจนมิดเพราะเวลานี้มันเกือบจะสี่ทุ่มแล้ว หากกลับไปดึกกว่านี้คงโดนเจ้าของบ้านบ่นแน่ๆ

     

     

     

    เสียงเปียโนดังเล็ดรอดออกมาให้พอได้ยินขณะที่นายแบบกำลังก้าวเดินเข้าบ้าน แม่บ้านวิ่งมารับเสื้อโค้ทของเขาไปถือไว้และเอ่ยประโยคบอกว่าคุณผู้ชายของบ้านกำลังรออยู่ในห้องโถง พอนายแบบสาวเท้าเข้ามาเรื่อยจึงเห็นแผ่นหลังกว้างกำลังหันหลังให้เขาจดจ่ออยู่กับการเล่นเปียโนหลังใหญ่ ชเวเร็นไม่เคยเห็นร่างสูงในมุมแบบนี้ยิ่งดึงเสน่ห์เพิ่มขึ้นอีกมากโข ปลายเท้าหยุดชะงักยืนฟังท่วงทำนองของเครื่องดนตรีกำลังขับกล่อม ปลายนิ้วเรียวจรดแตะลงบนคีย์อย่างแผ่วเบาและเกิดเสียงชวนหลงใหล..

     

    เสียงปรบมือดังขึ้นหลังจากโน้ตตัวสุดท้ายถูกบรรเลง ร่างสูงรีบหันขวับกลับมามองทันที ลุกจากเก้าอี้เดินไปยืนตรงหน้านายแบบ ลมหายใจอุ่นๆ เฉียดผิวเเก้มก่อนจมูกรั้นจะส่งมาฉกชิงกลิ่นหอมจากใบหน้าอีกคน

     

    "ค.. คุณ"

     

    "บอกให้เรียกว่าไง"

     

    คนตัวเล็กยังไม่ยอมเรียกสรรพนามที่เปลี่ยนใหม่หลังจากกลับมาจากปูซานจึงต้องถูกลงโทษไปตามระเบียบ เอวบางถูกรั้งเข้าอยู่ในวงแขนแข็งแรงดวงตาเรียวรีมองคนในอ้อมแขนไม่วางตา ผิวแก้มขาวๆ นั่นขึ้นสีฝาดไปทั่วทั้งสองข้างพอรู้ถูกมองด้วยสายที่เปลี่ยนไปจากเมื่อก่อนเช่นกัน เอี้ยวคอหลบเลี่ยงจมูกกับริมฝีปากที่พร้อมจะช่วงชิงกลิ่นหอม จนคนตัวเล็กต้องส่งเสียงครางงื้อในลำคอให้คนตัวสูงปล่อยเพราะแม่บ้านโบมีเดินถือแก้วนมกับกาแฟร้อนๆ พร้อมรอยยิ้มเดินเอามาวางไว้ให้บนหลังเปียโนและเดินออกไปอย่างรู้หน้าที่

     

    "ปล่อยได้แล้ว.. งื้ออ~"

     

     

    ยิ่งห้ามก็เหมือนยิ่งยุ.. คงเป็นคติประจำตัวฮวังมินฮยอน

     

     

    "ไปไหนมา"

     

    "ไปหาเพื่อน"

     

    "มีเพื่อนกับเขาด้วยเหรอ"

     

    พยักหน้าน้อยๆ แทนคำตอบ ผินสายตาไปมองแก้วกาแฟที่ยังมีควันกรุ่นๆ ลอยอยู่ปากแก้ว เวลาก็ล่วงเลยมาเกือบสามทุ่มแล้วถ้ายังกินกาแฟเข้มๆ ปราศจากความหวานมันของน้ำกับคอฟฟี่เมทแบบนี้คงไม่ได้นอนแน่ๆ

     

    "กินกาแฟทำไม เดี๋ยวก็นอนไม่หลับหรอก"

     

    "ต้องทำงาน"

     

    ว่าแล้วก็ยกแก้วเซรามิกที่มีกาแฟรสเข้มอยู่เต็มแก้วขึ้นมายกจิบให้รู้รสแล้วเพียงช่วงวินาทีความขมปร่าของคาเฟอีนก็ถูกส่งให้อีกคนรับรู้รสปลายลิ้นชื้นฝาดไปด้วยรสขม.. ชเวเร็นไม่เคยชอบกาแฟเพราะมันขม ถึงแม้จะมีกาแฟบางชนิดที่มีส่วนผสมของนมกับน้ำตาลแต่มันก็ไม่ช่วยให้ความขมลดน้อยลง แต่วันนี้รสชาติของมันกลับละมุนลิ้นกลิ่มหอมคละคลุ้งทำมก้คนตัวเล็กเริ่มติดใจในรสชาติของมัน ขย้ำเสื้ออีกคนยามที่ลิ้นชื้นถูกกระหวัดให้รับรสของกาแฟอีกครั้ง

     

     

    เลิกหลงใหลกับร่างบางนี้คงยากพอๆ กับให้เลิกดื่มกาแฟ..

     

     

    มินฮยอนใช้นิ้งโป้งปาดซับคราบกาแฟสีเข้มบนมุมปากอีกคนอย่างเบามือ มือเล็กปล่อยมือที่ขยุ้มคอเสื้อดึงมือหนาเข้ามาและจรดกลีบปากบางสวยละเลียดชิมรสชาติกาแฟจากปลายนิ้วโป้งของร่างสูง ช้อนสายตาขึ้นมองยั่วยวนอย่างไม่รู้ตัว มินฮยอนกลืนน้ำลายอึกใหญ่กระพริยตาสองสามครั้งเสมองเลยผิวหน้าออกไปทางอื่นพยายามไล่ความคิดลามกออก

     

    มินฮยอนผู้สุขุมกลายเป็นผู้ชายหื่นกามและระงับอารมณ์ไม่อยู่ตั้งแต่มีนายแบบเข้ามาป้วนเปี้ยนในชีวิต แต่ก็โทษใครไม่ได้เพราะเขาเป็นคนดึงคนตัวเล็กเข้ามาในวงจรชีวิตด้วยมือของตัวเอง ชเวเร็นผละริมฝีปากออกมาปลายนิ้วขืนตัวจากอ้อมแขนและวิ่งขึ้นห้องนอนของตัวเอง

     

     

    มาทิ้งระเบิดไว้ลูกใหญ่แล้วก็มายอมแพ้ง่ายๆ แบบนี้น่ะเหรอ ชเวเร็นเป็นศัตรูที่น่ากลัวจริงๆ !







    #ฟิคคนเลว 







    ตัดกระดาษต้องใช้กรรไกร.. แต่ตัดใจต้องใช้เวลา

    .......................................................................

    08 : 17

    อาอิ้ง
    ♥.

    ช่วงนี้คุณพ่อเข้าออกโรงพยาบาลบ่อย
    ไม่ค่อยได้อัพ ไม่โกรธเนอะ .


    มีพิมพ์ผิดจนน่ารำคาญ 
    made in iphone TT
    ขอโทษนะคะ


     

    CRY .q
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน
    นิยายแฟร์ 2024

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×