ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ( n u ' e s t ) Bad | คนเลว [ จบ ]

    ลำดับตอนที่ #8 : [ คนเลว :: CH - 7 ] 100 %

    • อัปเดตล่าสุด 7 เม.ย. 57






        








    Bad.. คนเลว (7) 

     

    'จะพยายาม.. ไม่ใช้อารมณ์อีกก็แล้วกัน'

     

    ประโยคบอกเล่าที่อาจจะฟังดูกลายเป็นคำสัญญากรายๆ ที่ให้ไว้นั้นดูท่าว่าลูกผู้ชายตัวจริงอย่าท่านประธานฮวังจะทำมันได้ดีเหลือเกิน ฮวังมินฮยอนยอมลงทุนกลับมาบ้านในช่วงเวลาพักเที่ยงเพื่อมาง้อคนตัวเล็กที่เอาแต่พูดอวดดี ยั่วโทสะ แต่ก็อย่างว่า.. โกรธได้ไม่นาน สุดท้ายคนที่ต้องกลับมาง้อคงหนีไม่พ้นเขาอยู่แล้ว

     

    ..ก็แอบรักแอบชอบมาตั้งแต่ 10 ขวบนี่

     

    ส่วนเรื่องเมื่อคืนที่เผลอใส่อารมณ์รุนแรงไปก็เป็นเพราะไม่ยั้งคิดทั้งนั้น กว่าซาตานจะหลุดออกจากร่างก็ตอนที่หยดเลือดจากนิ้วเรียวสวยนั่นสะบัดโดนผิวแก้ม มานั่งคิดดูแล้วคนที่ผิดไม่ใช่ชเวเร็น แต่เป็นเพราะคู่กัดอย่างแบคโฮต่างหาก ที่เลือกเอานายแบบมาเป็นเครื่องมือ แน่นอนว่าแบคโฮกับเร็นเองก็ไม่ได้รู้จักมักจี่กันมาก่อน และมินฮยอนเองก็ไม่รู้ว่าใครเป็นคนคาบเรื่องระหว่างเขากับคนตัวเล็กไปบอกถึงหู

    ใช้พื้นที่สักสองสามย่อหนัา เท้าความถึงความสันพันธ์ระหว่างฮวังมินฮยอนและคังแบคโฮก็แล้วกัน..

    คังแบคโฮกับฮวังมินฮยอนแน่นอนอยู่แล้วว่าต้องรู้จักกัน ไม่อย่างนั้นคงไม่มีเรื่องบาดหมางและเป็นคู่แข่งทางธุรกิจทั้งๆ ที่เปิดธุรกิจคนละแขนง อีกคนเป็นทายาทและผันตัวมาเป็นประธานบริษัทผลิตนาฬิกาแบรนด์ดังติดตลาดโลก ส่วนอีกคนเป็นหุ้นส่วนรายใหญ่ของห้องเสื้อชื่อดังระดับรันเวย์ฝั่งยุโรป ความสัมพันธ์ฉันท์เพื่อนเริ่มขึ้นในช่วงที่แบคโฮย้ายเข้ามาเรียนมัธยมโรงเรียนเดียวกับเขา ด้วยการอุปการะของพ่อมินฮยอน ตอบแทนลูกชายเพียงคนเดียวของรองประธานบริษัท ซึ่งนั่นก็คือพ่อของแบคโฮซึ่งเป็นเพื่อนรักที่พ่อมินฮยอนนั้นไว้ใจ มอบหมายให้ทำงานสำคัญหลายต่อหลายอย่างในช่วงที่ธุรกิจผลิตนาฬิกาของตระกูลฮวังเปิดตัว และดูท่าว่าจะไปได้สวยทีเดียว ถ้าหากว่าโชคชะตาไม่เล่นตลก...

     

    'หน้าซื่อใจคด ปากหวานก้นเปรี้ยว' หรืออะไรก็ตามแต่ที่สามารถนำมาแทนสำนวนของคนหักหลังเพื่อนรักได้อย่างเลือดเย็น การประมูลร่วมหุ้นครั้งสำคัญกับตลาดฝั่งอเมริกาถูกล้วงข้อมูลลับและส่งต่อไปยังบริษัทคู่แข่งให้ได้รับรู้ วางแผนดักทุกทางเพื่อไม่ให้บริษัทฮวังกรุ๊ปประมูลได้สำเร็จ แต่ด้วยความสามารถของพ่อมินฮยอนจึงสามารถผ่านวิกฤตนั้นมาได้และได้ร่วมหุ้นตีตลาดจนแบรนด์นาฬิกาติดอันดับโลก แน่นอนว่าพ่อของมินฮยอนจับได้ทันทีว่าใครคือตัวการ แต่เขาก็เลือกที่จะนิ่งเพื่อไว้หน้าเพื่อนรัก และอีกหนึ่งสำนวนที่ว่า 'วัวสันหลังหวะ' คงนิยามสถานะพ่อของแบคโฮได้ดี คุณคังร้อนรนกลัวการถูกจับได้และอาจจะถูกลากเข้าคุกเข้าตาราง กลอุบายวางแผนฆาตกรรมจึงเกิดขึ้น..

     

    ...คดีอุบัติเหตุรถยนต์เสียหลักชนเสาไฟฟ้าเกิดขึ้นเมื่อ 10 ปีก่อนและปลิดชีวิตประธานบริษัทอย่างเลือดเย็น พ่อของแบคโฮยิ้มร่าเตรียมตัวรับตำแหน่งประธานบริษัทอย่างที่เคยหวังมาตลอด แต่ฝันกลางวันถูกทำลายลงด้วยพินัยกรรมที่พ่อของมินฮยอนเขียนขึ้น ให้ทายาทเป็นผู้สืบทอดบริษัทนี้เท่านั้น และทิ้งเงินเพียงก้อนหนึ่งเอาไว้ให้คุณคัง มินฮยอนและแบคโฮรับรู้เรื่องราวมาโดยตลอดถึงแม้จะอยู่ในวัยไม่บรรลุนิติภาวะก็ตาม และมันจึงกลายมาเป็นจุดเริ่มต้นรอยร้าวของเด็กสองคนมาจนถึงทุกวันนี้

     

    ..แก้แค้นสิบปีก็ไม่สาย

     

    "คิดอะไรอยู่น่ะ"

     

    เสียงใสฉุดความคิดมินฮยอนให้กลับมาอยู่หลังพวงมาลัยรถมุ่งหน้าไปยังบริษัทหลังจากที่พาคนตัวเล็กไปทานมื้อกลางวันด้วยกัน ระหว่างทานข้าวมีปาปารัสซี่แอบถ่ายพวกเขา และอีกไม่กี่วันก็คงมีข่าวลงตามหนังสือกอสซิบซุบซิบดารา  แต่ก็ช่างเถอะเพราะยังไงเขาทั้งสองคนก็ไม่ได้แคร์อะไรอยู่แล้ว

     

    "เปล่า"

     

    "แล้วนี่คุณจะพาผมไปไหน"

     

    "บริษัท"

     

    "ไปทำไมครับ ?"

     

    "พูดมาก"

     

    "ชิ"

     

    คนตัวเล็กกอดอกเบ้ปากเบือนหน้ามองไปนอกกระจกเบื่อในความขี้เก๊กน่ารำคาญของสารถีขับรถ ถ้าไม่โมโหกระวีกระวาดแทบจะฆ่าเขาให้ตายเหมือนอย่างวันที่แบคโฮส่งรูปคู่นั่นมามินฮยอนก็แทบจะไม่พูดอะไร แต่ชอบมองหน้านายแบบทั้งๆ ที่ก็ไม่ได้มีอะไรติดหน้านอกจากคำว่า 'น่ารัก' ประทับอยู่กลางหน้าผากคนตัวเล็ก มองทั้งวี่ทั้งวันแม้แต่ตอนกินข้าว พอคนถูกมองเงยหน้าขึ้นสบตาท่านประธานก็แกล้งทำเป็นหลบสายตาไปทางอื่นทันที

     

    ...คนถูกมองมันรู้ตัวทั้งนั้นแหละ อยู่ที่ว่าจะแกล้งทำไขสือหรือเผชิญหน้ากลับไป

     

    พวงมาลัยรถสปอร์ตคันหรูหักเลี้ยวจอดหน้าตึกสูงตระหง่านกว่า 40 ชั้นใจกลางกรุงโซลย่านเศรษฐกิจก่อนที่เจ้าของรถจะก้าวลงจากรถ ตุ๊กตาหน้ารถหน้าสวยเห็นแบบนั้นเลยลงจากรถรีบสาวเท้าเดินตามท่านประธานเข้าไปในตึก ใช้ขายาวๆ ที่ก้าวอย่างเคยชินตามรันเวย์เร่งให้เดินทันร่างสูง

     

    “นี่จะบอกได้หรือยังว่ามาทำไม ?”

     

    “ลืมของ”

     

    พูดแค่นั้นไม่ได้ช่วยให้หายข้องใจหรอกนะ ทำไมต้องพาเขามาถึงบริษัทแทนที่จะพาเขากลับบ้านก่อน เดี๋ยวก็เป็นข่าวเพิ่มอีก แค่ที่ร้านอาหารยังไม่พอหรือไงนะ

     

    ระหว่างยืนรอลิฟท์มินฮยอนหยิบสมาร์ทโฟนขึ้นมาก่อนจะต่อสายหาแม่บ้านโบมีทิ้งให้คนตัวเล็กยืนหน้าบูดอยู่ข้างๆ พร้อมกับสายตาของเหล่าพนักงานในบริษัทต่างพากับจับกลุ่มซุบซิบมองมาที่ท่านประธานของตัวเองกับนายแบบไอดอลชื่อดัง เร็นก้าวขาให้ห่างออกมาหนึ่งก้าว แต่กลับโดนมองด้วยสายตาดุๆ จากร่างสูงพร้อมกับมือยาวที่โอบเอาคนตัวเล็กเข้ามายืนแนบอยู่ข้างตัว คนตัวเล็กพยายามแกะมือเหนียวๆ บนเอวตัวเองแต่ก็ไม่สำเร็จเพราะลิฟต์มาซะก่อน และโดนลากเข้าไปในลิฟต์

     

    “ป้าครับ ช่วยเก็บเสื้อผ้ากับของใช้ที่จำเป็นสักสองสามชุดทีสิครับ ผมมีประชุมที่ปูซาน.. ของเร็นด้วยครับ ผมจะพาเขาไปด้วย.. ให้คนขับรถเอาไปไว้ที่โรงแรมเลย ขอบคุณครับ”

     

    นายแบบขมวดคิ้วดันตัวออกจากพันธนาการของอีกคน ช้อนสายตาขึ้นมองอย่างไม่เข้าใจ ตลกคือจะไปปูซาน ?

     

    “ตกลงว่าคุณจะพาผมไปไหนครับ”

     

    “ปูซานไง ไม่ได้ยินที่คุยกับป้าโบมีเหรอ”

     

    “ได้ยิน แต่คุณไปประชุมนี่จะพาผมไปด้วยทำไม”

     

    “ไม่อยากไปเหรอ”

     

    “เปล่าครับ คุณไปประชุมนี่ เอาผมไปก็เกะกะเปล่าๆ อีกอย่าง..”

     

    “อะไร ?”

     

    “พรุ่งนี้.. เอ่อ คือ..” 

     

    ชเวเร็นเม้มริมฝีปากหลบสายตา จนร่างสูงต้องจับคางเรียวให้อีกคนสบตาด้วย แต่คนตัวเล็กก็ยังเลือกที่จะหลบตา ใครจะไปกล้าตอบล่ะว่าพรุ่งนี้มีตารางงานไปฟิตติ้งเสื้อผ้าแบรนด์ K.Story ที่จะใช้ถ่ายลงนิตยาสารกับแฟชั่นโชว์ที่กำลังจะมีในอีกไม่กี่อาทิตย์นี้

     

    “พรุ่งนี้ทำไม หืม?”

     

    “มีงานสำคัญ ไม่อยากเบี้ยวงาน”

     

    “จะไม่ไปก็ได้นะ ไม่อยากบังคับ”

     

    ติ้ง!

     

    ทันทีที่ลิฟต์เปิดออกร่างสูงก็รีบก้าวออกไปทันที ไม่ได้ถึงกับโกรธที่คนตัวเล็กทำท่าลังเล แค่ไม่พอใจ แต่ก็เข้าใจว่างานก็คืองาน กลัวแค่ว่าแบคโฮอาจจะเข้ามาทำอะไรก็ได้ในช่วงที่เขาไม่อยู่ เพราะนี่ก็ใกล้วันประมูลเข้ามาทุกที

     

    มินฮยอนเดินผ่านโต๊ะเลขาจำเป็นอย่างคิมจงฮยอนเข้าไปในห้องทำงานส่วนตัว ชะงักฝีเท้าเหมือนกับนึกอะไรออก

     

    “นายไม่ต้องไปปูซานกับฉันแล้ว อยู่นี่แหละ”

     

    “ครับ..”

     

    “คุณมิน..”

     

    “มินกิ!

     

    ใช่สิ.. เร็นลืมไปเสียสนิทว่าจงฮยอนบอกว่าได้เข้ามาทำงานในบริษัทมินฮยอนแล้ว การเจอหน้ากันของเพื่อนรักเลยแปลกตาไปเสียหน่อย มินฮยอนกำลังจะผลักบานประตูเข้าห้องหยุดแล้วหันมามองทั้งคู่ที่ยืนมองหน้ากัน ก่อนที่ชเวเร็นจะเป็นฝ่ายฉีกยิ้มตีเนียนไป

     

    “รู้จักชื่อจริงผมด้วยเหรอครับ”

     

    “ค ครับ.. แหม ผมเป็นแฟนคลับคุณเลยนะ”

     

    “เร็นตามฉันมา”

     

    ท่านประธานขัดจังหวะคนทั้งคู่เดินนำเข้าห้องทำงานไปเสียก่อน ชเวเร็นขยิบตาให้เพื่อนรักที่เอาแต่ทำหน้าทึ่งในตัวเพื่อนรัก จงฮยอนรู้มาตลอดแค่ว่าเขาไม่เคยเจอหน้าเร็นมานานมากแล้ว มีแต่การคุยทางโทรศัพท์ แต่การมาเจอวันนี้ทำเอาเขางงเป็นไก่ตาแตกที่จู่ๆ ก็โผล่มากับมินฮยอน

     

    “มันยังไงวะ?”

     

    “เดี๋ยวเล่าให้ฟัง”

     

    นายแบบผลักบานประตูเข้าไปในห้อง เห็นร่างสูงกำลังง่วนอยู่กับการตรวจดูเอกสารต่างๆ นานา และเอกสารปึกหนึ่งถูกยัดใส่ซองสีน้ำตาลปิดผนึกเสียมิดชิด เร็นเดินไปหยุดยืนอยู่หน้าโต๊ะทำงานของท่านประธานที่มีท่าทีไม่สนใจเขาเลย

     

    “โกรธผมเหรอ”

     

    “...”

     

    มีแต่เสียงพลิกหน้ากระดาษทำให้เร็นยังรู้ว่ามินฮยอนยังมีชีวิตยืนอยู่ตรงนี้ ปกติมินฮยอนก็เป็นคนเงียบอยู่แล้ว ที่เงียบสนิทแบบนี้คงไม่พอใจมากๆ

     

    “ทำไมไม่ตอบผมล่ะ”

     

    “ไปนั่งรอตรงนั้นไป”

     

    “นี่คุณ... มันเป็นงาน ผมไม่อยากแคนเซิล”

     

    “อืม ไม่อยากไปก็ไม่ต้องไป บอกแล้วไม่บังคับ”

     

    ร่างสูงเดินอ้อมไปนั่งที่เก้าอี้ทำงาน หยิบปากกาจากกระเป๋าเสื้อสูทออกมาเซ็นเอกสารที่ค้างอยู่บนโต๊ะสองสามแฟ้มโดยไม่สนใจร่างบาง ชเวเร็นถอนหายใจเอื้อมมือไปดึงปากกาในมืออีกคนออก เท้าแขนลงกับโต๊ะมองหน้าอย่างเอาเรื่อง

     

    “ไหนบอกจะไม่ใช้อารมณ์ไง”

     

    มินฮยอนกรอกตาก่อนจะเอนหลังพิงกับพนักเก้าอี้เบาะหนังชั้นดี ถอนหายใจเฮือกนึงแล้วกลับมาจ้องหน้าคนตรงหน้า

     

    “พยามยามอยู่ แค่เป็นห่วงนายเฉยๆ ตอนที่ฉันไม่อยู่”

     

    “ไม่ต้องห่วงหรอกนะ.. เอางี้ถ้าผมเสร็จงานจะรีบตามไปปูซาน โอเคไหม?”

     

    ถึงแม้จะพยายามพูดเอาใจแต่ก็เอาชนะประธานไม่ได้ หรืออาจจะเอาชนะได้แล้วแต่แค่ไม่รู้ตัวก็เท่านั้น สีหน้าเรียบเฉยไม่บ่งบอกให้รู้ว่าคนตรงหน้าคิดและรู้สึกอย่างไร คงต้องปล่อยให้เป็นน้าที่ของต่อม “มโน” ทำหน้าที่ไปเสียเองซะมากกว่า

     

    “ผมไม่อยากเบี้ยวงานแล้วจริงๆ นะ”

     

    “ถ้าไม่ตามไปล่ะน่าดู”

     

    คำคาดโทษทำให้ชเวเร็นเผลอยิ้มได้ ร่างบางหรี่ตามองคนตัวสูงขำๆ ไม่รู้ว่าพักนี้ไปเอานิสัยน่ารักมาจากไหน ถึงมันจะไม่เข้ากับเขาก็เถอะ ทั้งๆ ที่เมื่อก่อนทำอะไรกไม่เคยคิดหน้าคิดหลัง

     

    “ครับ ท่านประธาน”

     

     

     

    หลังจากที่เตรียมเอกสารเรียบร้อยทั้งคู่จึงเดินออกมาหน้าตึกบริษัท มีรถคันหรูจอดอยู่เทียบรอให้ท่าประธานก้าวขึ้นไป พร้อมกับรองประธานคิมที่ยืนรออยู่ก่อนแล้ว ชเวเร็นหันไปยิ้มให้มินฮยอน ก่อนจะยกมือขึ้นจัดแจงเนคไทด์ให้เข้าที่ เป็นภาพที่พนักงานทั้งบริษัทแอบมองแล้วก็จิกแขนทุบไหล่กันเอง เขินกันไปทั้งบริษัท

     

    “ทำตัวดีๆ ล่ะ”

     

    “รู้แล้วน่า รีบไปเถอะครับ”

     

    มินฮยอนพยักหน้าก่อนจะเดินอ้อมไปขึ้นรถพร้อมกับรองประธานคิม จงฮยอนที่เตรียมเอกสารแล้ววิ่งตามลงมาทีหลังเอาเอกสารต่างๆ ใส่ไว้ในรถอย่างเรียบร้อย รอจนรถเคลื่อนจนลับสายตาไปจงฮยอนก็รีบลากนายแบบไปที่ห้องน้ำชั้น 1 ด้านหลังบริษัททันที เพราะเป็นที่ๆ ไม่พลุกพล่าน เขามองซ้ายมองขวาหน้าห้องน้ำก่อนจะปิดประตูแล้วกดล็อคกลอนทันที

     

    “ไง ไหนเล่ามาให้หมดสิว่าไปทำอีท่าไหนทำไมถึงดูสนิทสนมกับไอ้ประธานขาโหดนั่นวะเมื่อเดือนที่แล้วฉันก็เห็นข่าวแกนะว่าโดนหมอนั่นซื้อตัวไป นึกว่าคืนเดียวจบเหมือนไอ้พวกตาแก่นั่น ไม่คิดว่าจะอยู่นานขนาดนี้”

     

    นายแบบทิ้งตัวพิงกับขอบอ่างล้างมือ เล่าเหตุการณ์ที่ผ่านมาให้ฟังแต่ก็คงไม่ต้องสาธยายถึงขั้นว่า “ไปทำอีท่าไหน” ตามที่เจ้าตัวเอ่ยถาม จงฮยอนดูจะแปลกใจไม่น้อยที่คนอย่างมินฮยอนจะติดใจเพื่อนรักเขาได้ แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าเพื่อนเขามันก็แมวยั่วสวาทดีๆ นี่เอง

     

    “วันนั้นฉันเข้าไปในห้องมินฮยอน เขากำลังอ่านเอกสารบางอย่างเกี่ยวกับการประมูล แต่ก็ยังไม่ทันจะได้เห็นอะไรไปมากกว่านั้นเขาก็เก็บทุกอย่างลงไป เอกสารพวกนั้นน่าจะยังอยู่ในห้องทำงานเขานั่นแหละ”

     

    “วันนี้มินฮยอนไปประชุมกับบริษัทหุ้นส่วนย่อยให้ช่วยสนับสนุนบริษัทหลักในวันประมูล ฉันคิดว่าเอกสารพวกนั้นเขาคงเอามันไปปูซานด้วย”

     

    “อืม พรุ่งนี้ฉันจะตามเขาไปปูซาน จะลองดูให้... แปบนะ”

     

    หน้าจอสมาร์ทโฟนเครื่องบางปรากฏชื่อของผู้จัดการ ชเวเร็นยกนาฬิกาข้อมือขึ้นมาดูเวลาก่อนจะกดรับสายแทบไม่ทัน ช่วงเย็นนี้เค้ามีถ่ายนิตยาสารคู่กับอารอนชดเชยครั้งก่อนที่ไม่ได้ไปถ่าย ถ้าต้องเบี้ยวอีกคงได้จ่ายเงินค่าเสียหายเป็นล้านๆ

     

    "ฉันไปแล้วนะ มีงานต่อ ไว้เจอกัน"

     

    "เออ บาย"

     

    รถประจำตำแหน่งกับบอดี้การ์ดคนเดิมขับมาจนถึงบ้านโดยสวัสดิภาพ ร่างบางอ่อนล้าจากการถ่ายแบบจนมืดค่ำยกมือขึ้นนวดต้นคอตัวเอง ไม่นานแม่บ้านที่ดูจะเด็กสุดในบ้านหลังนี้วิ่งเข้ามารับกระเป๋ากับเสื้อโค้ทไปถือ ไร้วี่แววของแม่บ้านเก่าแก่

     

    "ป้าโบมีล่ะ"

     

    "นอนแล้วค่ะ คุณเร็นจะรับอะไรไหมคะ"

     

    "ไม่ล่ะ ขอบคุณ"

     

    ขาเรียวยาวก้าวขึ้นไปตามขั้นบันไดที่วนจนถึงห้อง โคมมไฟระย้าแขนอยู่กลางโถงบันไดทำให้บ้านหลังนี้ดูหรูหราเกินความจำเป็น ชเวเร็นหยุดชะงักฝีเท้าหันไปมองห้องฝั่งตรงข้ามที่มักจะมีแสงไฟรอดออกมา แต่เพราะวันนี้เจ้าของห้องไปปูซาน ห้องนั้นเลยมืดมิดไปโดยปริยาย คนตัวเล็กเปลี่ยนทิศทางเดินเลี้ยวไปยังห้องของร่างสูง ก่อนจะค่อยๆ ผลักบานประตูเข้าไปช้าๆ เขาเอื้อมมือไปเปิดไฟอย่างใจเย็น

     

    คุณเคยทำอะไรที่มันเป็นเรื่องปกติไหม ? แต่สถานการณ์มันไม่ปกติ ไรผมจะชุ่มไปด้วยเหงื่อ มือไม้จะเย็นเฉียบ สายตาลอกแลกแสดงอาการพิรุทให้คนจับได้.. ใช่ นั่นคืออาการของนายแบบคนดัง ทั้งๆ ที่การเข้าห้องมินฮยอนมันคงจะดูเป็นเรื่องปกติ ที่ผ่านมาเขาก็เข้าออกบ่อยๆ อยู่แล้ว

     

    "คุณเร็นทำอะไรคะ?"

     

    "อ.. อ้าว ตื่นมาเหรอครับ"

     

    นายแบบลอบถอนหายใจเฮือกใหญ่ ก่อนจะหันไปฉีกยิ้มให้แม่บ้านโบมี และก็ไม่ลืมเช็ดเหงื่อด้วย

     

    "คุณจะเอาอะไรในห้องคุณมินฮยอยเหรอคะ"

     

    "ค.. คือ เอา เอ่อ .. อ้อ! เอาบ๊อกเซอร์น่ะครับ เขาโทรมาบอกผมเมื่อกี้นี้"

     

    "ป้าว่าป้าจัดใส่กระเป๋าให้ครบเรียบร้อยแล้วนี่นา คุณเร็นไปพักผ่อนเถอะค่ะ เดี๋ยวป้าจัดการเอง"

     

    "ไม่เป็นไรครับ ผมทำได้ เหมือนเขาจะอยากได้ตัวเก่ง.. มั้งครับ"

     

    รอยยิ้มที่แห้งกว่าทะเลทรายจุดบนริมฝีปากสวย ชเวเร็นยืนส่งยิ้มจนกว่าจะลับสายตาแม่บ้าน พอเธอลงจนสุดขั้นบันไดและหายไปทางหลังบ้าน เขาก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่ยกมือขึ้นทาบหน้าอกเผื่อจะช่วยระงับจิตใจ ไม่คิดเลยว่าชีวิตจะต้องมาเสี่ยงทำเรื่องอะไรแบบนี้ นี่มันไม่ใช่ฟิคชั่นหวานแหววตามเว็บเด็กดีสักหน่อย !

     

    ชเวเร็นเริ่มก้าวเข้าไปในห้องอีกครั้ง ห้องนอนตกแต่งได้อย่างเรียบง่ายและลงตัว เป็นครั้งแรกที่เขาเพิ่งสังเกตห้องนอนอย่างละเอียดขนาดนี้ ดวงตาเล็กกวาดมองไปทั่วห้องก่อนจะหยุดที่โต๊ะทำงานตัวใหญ่ บนนั้นมีแลปท๊อปเครื่องบางวางอยู่ พร้อมกับแฟ้มเอกสารวางไว้อย่างเป็นระเบียบ คนตัวเล็กเปิดแลปท๊อปอย่างใจเย็น ช่วงที่รอเครื่องเปิดเขาก็เปิดเอกสารดู ไล่ทีละแฟ้ม.. ทีละแฟ้ม..

     

    'ยอดรวมงบประมานประจำปี..'

     

    'การประชุมเปิดสาขาใหม่..'

     

    'หนังสืออนุมัติการเบิกงบประมาน..'

     

    'ปรับปรุงสาขาย่อยที่ประเทศจีน'

     

    'รายงานการประชุมไตรมาสที่ 2'

     

    ..ไม่เห็นจะมีเอกสารอะไรที่ดูจะเกี่ยวข้องกับการประมูล แน่ล่ะคนรอบคอบอย่างมินฮยอนไม่ปล่อยให้เอกสารสำคัญล่องลอยอยู่ตามดินฟ้าอากาศให้หมาแมวมันคาบไปได้ง่ายๆ  ทันทีที่หน้าจอแลปท๊อปสว่างขึ้นชเวเร็นก็รีบวางแฟ้มพวกนั้นลง และพุ่งเข้าใส่แลปท๊อปทันที แต่...

     

     

    ... Please Enter Your Password ...

     

     

    เขานึกเกลียดไฮเทคโนโลยีก็วันนี้ ทำไมต้องล็อคเครื่อง ใครมันเป็นคนคิดระบบขึ้นมาอย่าให้รู้เชียวนะ พ่อจะเพ่นไปเผาบ้านให้รู้แล้วรู้รอด  นึกเเค้นเคืองอยู่ได้เพียงครู่เดียวเขาก็มองไปรอบๆ ห้อง สาวเท้าไปยังหัวเตียงเพื่อหาแหล่งต้นตอของรหัสผ่าน ลิ้นชักเล็กวางขนาบอยู่ข้างเตียง มีโคมไฟ แจกันดอกไม้ เขาย่อตัวนั่งลงบนเตียงค่อยๆ เปิดดูลิ้นชักนั้น ในนั้นมีกรอบรูปขนาดเล็กวางคว่ำหน้าเอาไว้ ทีเเรกเร็นก็ไม่ได้คิดจะสนใจและกำลังจะเลื่อนปิด แต่ดูมันจะดึงดูดเขาเสียเหลือเกิน นายแบบหยิบกรอบรูปนั้นขึ้นมาพลิกดู สีรูปภาพที่ดูจะซีดลงไปตามกาลเวลา แต่สิ่งที่ไม่เปลี่ยนคือรอยยิ้มของครอบครัวแสนอบอุ่นที่ฉายความสุขอย่างชัดเจน เด็กชายตัวเล็กขี่คอคนเป็นพ่อ ส่วนเด็กหญิงที่ดูจะโตกว่ายืนอยู่ตรงกลางเกี่ยวแขนบุพการีทั้งสองเอาไว้ เป็นภาพที่ทำให้เร็นเผลอยิ้มตามไปด้วย เด็กชายยิ้มเก่งในวัยเด็ก.. ถ้าวันนี้ฮวังมินฮยอนยิ้มเก่งเหมือนวันนั้นคงน่ารักไม่ใช่เล่น..

     

     

     

    'เมื่อไหร่จะเลิกเดินตามฉันสักทีล่ะ'

     

    'ฉันไม่ได้เดินตามนายสักหน่อย'

     

    'ก็เห็นๆ อยู่เนี่ยว่าเดินตาม ขี้ตู่ !'

     

    เด็กชายผิวขาวจัดหันไปตะวาดเพื่อนร่วมชั้นที่เอาแต่เดินตามมาตั้งแต่รั้วโรงเรียนจนถึงสนามเด็กเล่นหมู่บ้าน เพราะโรงเรียนตั้งถัดจากบ้านเขาไปแค่สองบล็อคทำให้เดินไปกลับได้เองไม่ต้องลำบากนั่งรถโรงเรียน

     

    'มินกิ'

     

    'อะไร'

     

    'ขอโทษที่ทำให้โดนดุ'

     

    มินฮยอนรู้สึกขอโทษจริงๆ ที่เป็นตัวก่อเรื่อง ถ้าเขาไม่ไปแหย่มินกิจนโกรธเขาก็คงไม่โดนแม่ดุ และเขาเองก็คงไม่ต้องมาโดนกล่องดินสอกระแทกหน้าแหกแบบนี้

     

    'ช่างมันเถอะ.. โอ๊ะ ! เซฮุนนา~ มานานแล้วเหรอ'

     

    คนตัวเล็กวิ่งไปหาเพื่อนข้างบ้านรุ่นราวคราวเดียวกัน สองร่างวิ่งต้อกแต้กมากอดกันก่อนเซฮุนจะดึงแขนมินกิให้วิ่งไปเล่นชิงช้า มินฮยอนกระชับสายสะพายกระเป๋าเป้ เขาไม่ค่อยพอใจเท่าไหร่ที่คนตัวเล็กเอาแต่หัวเราะให้กับไอ้เด็กหน้าติ๋มนั่น..

     

    'เล่นด้วยดิ'

     

    'ไม่ให้เล่น ! นายชอบแกล้งฉันกลับบ้านไปเลย'

     

    'จะเล่น'

     

    มินฮยอนไม่รอคำอนุญาต เขานั่งแหมะทับคนตัวเล็กที่กำลังแกว่งชิงช้า

     

    'ย่า !! ลุกไป มันหนักนะ ไอ้เด็กอ้วนนน !!!!!'

     

    'ฮ้า~ สนุกจัง'

     

    'ลุกออกไปเดี๋ยวนี้เลย ขาฉันจะหักแล้ว'

     

    'นี่มินกิ'

     

    'ลุกไปซะ ฉันจะนับหนึ่งถึงสาม ถ้านายไม่ลุกฉันเตะตูดนายแน่ !'

     

    'มินกิ'

     

    'หนึ่ง!'

     

    'ฉัน..'

     

    'สอง'

     

    'ช.. ชอบ'

     

    'สาม!!'

     

    '..นาย'

     

     

     

    "ครับ" ชเวเร็นกดรับโทรศัพท์สายจากเด็กชายในรูป เขาแค่อยากลองจินตนาการว่ามินฮยอนกลับไปเป็นเด็กอีกครั้ง แก้มยุ้ยๆ ในรูปนั่นทำเอาเขาอยากจะบีบให้ยืดคามือ

     

    "นอนยัง?"

     

    "นอนแล้วครับ นี่ละเมออยู่"

     

    "หึ.. ทำอะไรอยู่ ทำไมยังไม่นอน"

     

    "ดูรูปเด็กอยู่ครับ น่ารักเชียว"

     

    "อยากมีลูกหรือไง"

     

    "มั้งครับ.. ถ้าลูกจะน่ารักแบบนี้"

     

    "แบบไหน"

     

    "คึ~ ยังไม่นอนอีกเหรอครับ ดึกแล้วนะ"

     

    "เพิ่งเตรียมเอกสารเสร็จกำลังจะไปอาบน้ำ"

     

    "เอ่อ.. คุณไปประชุมเรื่องอะไรเหรอครับ.. ผมถามได้ไหม?"

     

    "..."

     

    "เอ่อ.. คุณมินฮยอน"

     

    "..."

     

    "ผมไม่อยากรู้แล้ว"

     

    "นี่.."

     

    "ครับ?"

     

    "เซ็กส์โฟนกันมะ?"

     

    "คุณ.. คุณมินฮยอน !"

     

    "ลองดู"

     

    "ลองบ้าอะไรเล่า ลามก แค่นี้นะครับ"

     

    "เดี๋ยว"

     

    "..."

     

    "ฉันถอดกางเกงแล้วนะ"

     

    "ฝันดีนะครับ!!"

     

    ..คนบ้า

     

    “..โอ๊ะ อะไรน่ะ” นายแบบเก็บโทรศัพท์ใส่กระเป๋ากางเกง เพ่งสายตามองที่ตัวเลขเล็กๆ ที่มุมขวาล่างของรูปภาพดูเหมือนจะเป็นวันที่ถูกเขียนด้วยปากกาธรรมดา และมันก็เริ่มจากลงไปตามกาลเวลา แต่ยังดีที่ยังไม่เลือนหายจนมองไม่เห็นอะไร

     

    ‘1997. 10. 15 ’

     

    ...เลขตัวนี้อาจจะเป็นรหัสผ่าน ?

     

    “คุณเร็นคะ..”

     

    “ค ครับ!

     

    พระเจ้าไม่ปล่อยให้คนโง่อย่างชเวเร็นคิดอะไรได้นาน แม่บ้านโบมีที่เดินย้อนกลับขึ้นมาเพราะเห็นว่าไฟในห้องคุณชายเจ้าของบ้านเปิดไว้นานแล้ว แค่บ๊อกเซอร์ตัวเดียวทำไมถึงได้หานานขนาดนี้เธอจึงตัดสินใจเดินกลับขึ้นมาดู เห็นตั้งแต่เร็นคุยโทรศัพท์กับมินฮยอนและก็ตอนที่เขาตั้งใจเพ่งดูรูปนั้น ลางสังหรณ์ทำให้เธอเผลอคิดว่าเร็นเป็นคนน่าสงสัย ถึงแม้ไม่รู้ว่าจะน่าสงสัยในเรื่องอะไร แต่ลางสังหรณ์ก็บอกเธอแบบนั้น

     

    “ทำอะไรอยู่เหรอคะ ยังหาไม่เจออีกเหรอ ให้ป้าช่วยไหม?”

     

    “อ.. อ้อ เจอแล้วครับ ผมกำลังจะกลับห้องพอดีเลย”

     

    นายแบบเอาแต่ยิ้มแหยๆ เก็บรูปนั้นใส่ลิ้นชักตามเดิมก่อนจะเดินผ่านแม่บ้านออกมาจากห้อง ก้าวขายาวๆ ไม่กี่ก้าวก็ถึงห้องนอนของตัวเอง


    เช้าวันใหม่.. เช้ามากจริงๆ ชเวเร็นรีบมาแต่เช้าเพื่อไม่ให้ทีมงานต้องรอนาน ซึ่งมันเป็นเรื่องเหลือเชื่อสำหรับผู้จัดการส่วนตัวมาก ทั้งๆ ที่เมื่อก่อนจะต้องมาสายอย่างน้อย 1 ชั่วโมง ผู้จัดการจองบินรีบลากตัวนายแบบไปห้องแต่งตัวทันที ทันทีที่หย่อนตัวลงนั่งบนเก้าอี้ช่างแต่งหน้าก็เข้ามาประทินโฉม เสื้อผ้าในคลอเลคชั่นใหม่สำหรับฤดูหนาวแขวนเรียงรายเข้าชุดอยู่อีกฝั่งหนึ่ง

     

    หาถามถึงเรื่องเมื่อคืน.. เพราะไม่มีรหัสผ่านชเวเร็นจึงยอมถอดใจ ลงทุนเข้าอินเทอร์เน็ตเสิร์ชหาประวัติส่วนตัวของมินฮยอนในเว็บ แต่ก็เป็นแค่ข้อมูลพื้นฐานพวกวันเกิดหรือที่อยู่ ซึ่งมันก็ไม่ได้ผล..แต่ทำให้เร็นรู้ว่า ฮวังมินฮยอนมีพี่สาว 1 คน ชื่อ ฮวังซูจิน สวยใช่เล่น ถ้าไม่ติดว่าอีกไม่กี่เดือนข้างหน้าเธอกำลังจะแต่งงานชเวเร็นคงให้ผู้จัดการส่วนตัวลากเธอเข้าวงการนางแบบอีกคน

     

    "มาเช้าจังครับ"

     

    ชเวเร็นมองผ่านแบคโฮผ่านกระจกเขาตรงหน้า เขายิ้มให้น้อยๆ เพราะริมฝีปากสวยนั่นกำลังถูกตกแต่งด้วยลิปกอสสีสดใส เขามองหุ้นส่วนรายใหญ่ของห้องเสื้อ K.Story ผ่านกระจกก็แอบชื่นชมไม่ได้ วันนี้แบคโฮดูหล่อเป็นพิเศษ ผมเผ้าก็ถูกเซ็ตมาอย่างดีเสียด้วย จะว่าไปก็แอบเห็นเหมือนรองพื้นด้วยแฮะ

     

    “ไม่อยากให้ทีมงานรอนานน่ะครับ เดี๋ยวเสร็จงานต้องไปต่างจังหวัดต่อด้วย”

     

    “หืม ? มีงานที่ต่างจังหวัดเหรอครับ”

     

    “ก็ไม่เชิงครับ.. เออจริงสิ คุณดงโฮรู้จักกับ.. เอ่อ คุณมินฮยอนด้วยเหรอครับ”

     

    “ฮ่าๆ เราเคยเป็นเพื่อนกันครับ แต่ตอนนี้หมอนั่นคงไม่เห็นว่าผมเป็นเพื่อนหรอก”

     

    คังแบคโฮใช้สายตาไล่ทีมงานในห้องแต่งตัวออกไป พวกเธอเก็บของและค่อยๆ ออกไปทีละคนจนห้องแต่งตัวเหลือแค่พวกเขาสองคนเท่านั้น นายแบบมองตามหลังโคดี้สาวสุดสวยที่เพิ่งแต่งหน้าให้เมื่อกี้จนลับสายตาและประตูก็ถูกปิดลง แบคโฮสาวเท้าเข้ามาใกล้เก้าอี้ที่คนตัวเล็กนั่งอยู่ สายตาเลิกลักทำอะไรไม่ถูกนั่นทำเอาเขาอยากจะแกล้งให้มากกว่านี้

     

    “ว่าแต่คุณเถอะครับ รู้จักกับเพื่อนผมด้วยเหรอ?”

     

    “อ.. เอ่อ เปล่านี่ครับ..”

     

    “คุณเร็น พร้อมถ่ายแล้วครับ”

     

    “ครับ! จะออกไปเดี๋ยวนี้”

     

    ร่างบางลุกขึ้นจากเก้าอี้แต่อีกคนก็ไม่ยอมถอยออกไปจนเขาต้องก้มหน้าหลบตาเลี่ยงที่จะไม่ตอบคำถาม เพราะถ้าบอกไปว่าเขาอยู่บ้านมินฮยอนจะเป็นอะไรหรือเปล่าก็ไม่รู้ แล้วอีกอย่างมินฮยอนก็สั่งนักสั่งหนาว่าห้ามยุ่งกับแบคโฮอีก..

     

    “เดี๋ยวสิยังไม่ตอบผมเลยนะ”

     

    “เขาก็แค่เคยซื้อตัวผมแค่นั้นแหละครับ”

     

    พูดจบนายแบบก็หมุนตัวเดินหลีกไปอีกทางหนึ่งทันที ไม่ร้องให้อีกคนได้ซักไซ้ต่อ..

     

    ในช่วงสายนี้จะเป็นคิวถ่ายของชเวเร็นกับเสื้อผ้าคอลเลคชั่นฤดูหนาวในลุดเขร่งขรึมดูเป็นผู้ใหญ่ เสื้อผ้าจึงออกโทนสีเข้มและเรียบร้อยเพื่อให้เหมาะกับคนวัยทำงาน มีเสื้อผ้าให้นายแบบได้เปลี่ยนมากกว่าร้อยชุดจนเขาก็แอบเหงื่อตกเหมือนกัน เมื่อถึงช่วงเวลาพักช่างแต่งหน้าก็รีบมาประโลมใบหน้าหวานให้กลับมาดูสดใสอีกครั้งด้วยเครื่องสำอางต่างๆ นานา พร้อมเสื้อผ้าคลอเลคชั่นสำหรับกลุ่มวัยรุ่น

     

    “คุณเร็นพร้อมถ่ายนะครับ”

     

    “ครับ”

     

    “สักครู่นะคะคุณแบคโฮกำลังแต่งหน้าอยู่ค่ะ”

     

    นายแบบหันขวับทันทีที่ได้ยินว่า แบคโฮกำลังแต่งหน้า.. สรุปว่าแบคโฮกับดงโฮคือคนเดียวกันจริงๆ สินะ

     

    ไม่นานร่างที่ดูสมส่วนแข็งแรงก็เดินออกมาจากห้องแต่งตัวพร้อมกับชุดคลอเลคชั่นฤดูหนาวที่ดูออกแนวสปอร์ตๆ สักเล็กน้อย มันก็ดูเหมาะสมกับเขา เข้ากันได้ดีจนนายแบบมืออาชีพอย่างเร็นต้องยอม คนตัวเล็กสะกิดผู้จัดการส่วนตัวของตัวเองยิกๆ ส่งสายตาขอคำตอบให้ ซึ่งตัวผู้จัดการเองก็ทำได้แค่ยิ้มให้แห้งๆ และรู้ว่าตั้งแต่แรกว่าคังแบคโฮจะเป็นแบบให้ด้วย

     

    “พร้อมนะครับ จะเริ่มถ่ายแล้ว”

     

    เสียงตากล้องเรียกให้ทั้งนายแบบมืออาชีพกับนายแบบจำเป็นมาแสตนด์บายเข้าฉาก ชเวเร็นนั่งลงบนเก้าอี้ม้านั่งตัวยาวสีขาวพาดแขนไว้บนพนักพิง โดยมีแบคโฮยืนอยู่ข้างหลัง ภาพของทั้งสองคนช่างดูเหมาะสมกันจนทีมงานเผลอยิ้มกันทั้งกอง เป็นช็อตเด็ดคนดังที่ไม่น่าพลาด แน่นอนว่าเพื่อนรักอย่างมินฮยอนก็ไม่ควรพลาดของดีๆ แบบนี้ด้วยเช่นกัน แต่คงไม่ใช่ช่วงนี้เว้นระยะสักหน่อยดีกว่าเดี๋ยวจะอกแตกตายก่อนพอดี

     

    “ผมยังมีอีกคำถามนึงนะ”  แบคโฮก้มลงกระซิบข้างหูให้ได้ยินกันแค่สองคนซึ่งช็อตนั้นก็ถูกกดชัตเตอร์ แสงแฟรชสว่างวาบไปทั้งสตูดิโอ นายแบบเอียงตัวหลบแล้วหันหน้าไปมองอย่างไม่เข้าใจ

     

    “...”

     

    “มินฮยอนมันซื้อตัวคุณเท่าไหร่เหรอ”

     

    “ตอนนี้เราทำงานกันอยู่อย่าคุยเรื่องอื่นสิครับ มันรบกวนสมาธิ”

     

    “มืออาชีพเขาเป็นกันแบบนี้นี่เอง สงสัยผมคงต้องเป่าหูผู้จัดการคุณให้ต่อสัญญากับผมอีกสักสองสามปีดีไหมครับ ?”  

     

    “ก็ดีครับ พักนี้ผมไม่ค่อยมีงานด้วย”

     

    “ฮ่าๆๆ เอางั้นนะ”

     

    การทำงานช่วงบ่ายดำเนินไปอย่างเรียบร้อยแบคโฮไม่รบกวนคนตัวเล็กให้อึดอัดหรือรำคาญแต่อย่างใด เสื้อผ้าไม่เยอะเท่าช่วงเช้าเนื่องจาก K.Story เจาะตลาดกลุ่มเด็กมหาวิทยาลัยและวัยทำงานเป็นส่วนใหญ่ แบคโฮมาเป็นแค่นายแบบเสริมให้ชเวเร็นดูเด่นขึ้นก็เท่านั้นไม่ได้มาแข่งเทียบรัศมี หลังจากเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จนายแบบมืออาชีพก็โค้งให้ทีมงานทุกคนและไม่ลืมที่จะลาหุ้นส่วนรายใหญ่พ่วงตำแหน่งนายแบบจำเป็นด้วย

     

    “ผมกลับก่อนนะครับคุณดงโฮ”

     

    “ฝากบอกมินฮยอนด้วยว่าผมคิดถึงม๊ากมาก”

     

    “..ขอตัวนะครับ”

     

    คนตัวเล็กก้าวขึ้นรถทันทีที่มาจอดเทียบอยู่หน้าสตูดิโอ พอผู้จัดการจองบินจะก้าวขาขึ้นตามกลับโดนดันไว้ไม่ให้ขึ้น ชเวเร็นส่ายหัวเบาๆ

     

    “กลับเองนะครับพี่ผมมีธุระต่อ ไปละครับเจอกันอาทิตย์หน้า ผมขอลาหยุดถึงวันอาทิตย์ด้วย บาย”

     

    “เฮ้ย! ไม่ได้นะเว้ย พรุ่งนี้นายมีงานไปร้องเพลงให้อัลปาก้าฟังมี่สวนสัตว์โซลนะ มันจะได้ผสมพันธุ์คล่องๆ แล้ววันอาทิตย์นายต้องไปอีเว้นต์การกุศลรับบริจาคกางเกงในรีไซเคิลนะ... นี่ ชเวเร็น อ่า ไอ้เด็กบ้า !

     

    ...ชเวเร็นของเราควรหาผู้จัดการคนใหม่หรือเปล่านะ

     

     

     

     

    ลมเย็นๆ ปะทะเข้าผิวกายในตอนที่ก้าวขาลงมาจากรถ กว่าจะมาถึงปูซานก็มืดค่ำเสียแล้ว ชเวเร็นขึ้นลิฟท์ในโรงแรมตามบอดี้การ์คคนหนึ่งไป ประตูห้องพักห้องนั้นเปิดรอต้อนรับเขาอยู่ก่อนแล้วแต่มีเพียงแค่ห้องว่างเปล่าไร้ซึ่งเงาของฮวังมินฮยอน คนตัวเล็กเรียกบอดี้การ์คคนที่พาขึ้นมาไว้ก่อน

     

    “แล้วคุณมินฮยอนล่ะครับ ?”

     

    “ท่านประธานกำลังประชุมอยู่ครับ ท่านสั่งมาว่าถ้าคุณมาถึงแล้วให้พามาที่ห้องพักหรือถ้าหิวก็ให้โทรสั่งเซอร์วิสของโรงแรมครับ”

     

    “ดึกป่านนี้แล้วน่ะเหรอครับ.. อีกนานไหมกว่าเขาจะประชุมเสร็จ”

     

    “อีกสักพักใหญ่ๆ ครับ ต้องการอะไรก็บอกนะครับ ผมจะเฝ้าอยู่หน้าห้อง”

     

    “ขอบคุณครับ”

     

    เร็นหมุนตัวเดินกลับเข้าไปในห้อง วางกระเป๋าไว้ที่ปลายเตียงก่อนจะเดินออกไปนอกระเบียงมองวิวด้านนอก ไฟนีออนเปิดสว่างไปทั่วทั้งเมืองตึกรามบ้านช่องก็เจริญขึ้นมาก ต่างจากปูซานในวัยเด็กของเขา เมืองที่มีแต่ความสงบ เมืองที่มีแต่ความอบอุ่น บ้านเกิดของชเวเร็นที่เต็มไปด้วยความทรงจำวัยเด็กมากมาย

     

    ร่างบางห่อไหล่เข้าหากันก่อนจะกอดตัวเองเอาไว้บังลมหนาวที่เริ่มพัดมา อากาศเย็นๆ แบบนี้เป็นสัญญาณให้รู้ว่าฤดูหนาวใกล้มาเยือนแล้ว เขาเดินกลับเข้ามาในห้องและนั่งรอมินฮยอนบนโซฟา นิ้วเรียวเขี่ยหน้าจอสมาร์ทโฟนเปิดแอพพลิเคชั่นการสนทนาขึ้นมาพิมพ์ส่งไปและเฝ้ารอให้อีกคนตอบ

     

    ประชุมกันนานจัง เลิกประชุมได้แล้วน่า

     

    1 นาที..

     

    10 นาที..

     

    30 นาที..

     

    1 ชั่วโมง..

     

    ยังคงไร้ซึ่งการตอบรับ ดวงตาที่หนังอึ้งเริ่มปรือลงเรื่อยๆ ตลอดทั้งวันนี้เขาต้องเจอกับแสงแฟรชจากกล้องกับแสงไฟในสตูดิโอที่ทำให้ล้าสายตาง่ายกว่าแสงไฟตามบ้านธรรมดา ร่างบางยกขาขึ้นมาบนโซฟา ตะแคงตัวแล้วพิงหัวกับพนักพิงโซฟา มือที่ถือสมาร์ทโฟนก็ค่อยๆ วางลงข้างตัว

     

    ถ้าท่านประธานลามกนั่นเปิดประตูเข้ามาเขาคงได้ยินเองแหละ ก็ชเวเร็นไม่ใช่พวกหลับลึกที่จะไม่รู้ตัวสักหน่อย.. มั้งนะ

     

    ผ่านไปสองชั่วโมง เข็มบนหน้าปัดนาฬิกาชี้มาถึงเลข 12 เป็นเวลาการเลิกประชุม ทีแรกการประชุมจะเสร็จประมานสองทุ่มแต่บริษัทร่วมหุ้นยื่นข้อเสนอทำให้ต้องมีการพิจารณาจนกินเวลาล่วงเลยมามากโขขนาดนี้ ท่านประธานแยกตัวเดินออกมาจากห้องประชุมของโรงแรมและรีบขึ้นมาบนห้องพักทันที มินฮยอนรู้ว่าชเวเร็นมาถึงตั้งแต่สองทุ่มนั่นทำให้เขาแทบจะขาดใจตายตอนที่กำลังนั่งประชุมอยู่

     

    ร่างสูงก้าวเข้ามาในห้องและหยุดยืนอยู่หน้าโซฟาที่มีลูกหมานอนขดตัวอยู่ เขาหันไปมองประตูกระจกตรงระเบียงที่เปิดอ้าเอาไว้คงเป็นคนตัวเล็กที่เปิดไว้แล้วลืมปิด เขาเดินไปปิดประตูนั่นก่อนจะอุ้มร่างของนายแบบไปวางบนเตียงหนา และไม่ลืมดึงผ้านวมขึ้นมาห่มให้จนถึงอก เร็นซุกหน้าลงกับหมอนแล้วพักเดียวก็ค่อยๆ ปรือตาขึ้นมามอง ใบหน้าหล่อเหลาของท่านประธานขาโหดอยูใกล้แค่คืบ มินฮยอนั่งลงบนเตียงแล้วโน้มตัวลงไป ปลายนิ้วเรียวเกลี่ยแก้มขาวเบาๆ

     

    “เลิกประชุมแล้วเหรอ”

     

    “อืม ทำไมไปนอนอยู่ตรงนั้น”

     

    “ก็รอคุณ เดี๋ยวจะไม่รู้ว่าผมมาแล้ว”

     

    “หึ ต๊องหรือไง”

     

    “เปล่าสักหน่อย หิวไหม? เดี๋ยวผมโทรสั่งอาหารให้”

     

    มือเล็กยกขึ้นปลดเนคไทดับกระดุมเสื้อให้อีกคน กำลังจะยันตัวลุกขึ้นนั่งเพื่อให้ปลดง่ายๆ แต่กลับโดนดันให้นอนราบกับเตียงเหมือนเดิม คนตัวเล็กหลบสายตาและลดมือลง มันอยู่ในท่าล่อแหลมเกินไป เสี่ยงต่ออันตรายทั้งร่างกายและหัวใจ..

     

    “ถอดต่อสิ”

     

    “ถ.. ถอดเองสิครับ”

     

    ชเวเร็นกรอกสายตาไปมา แก้มขาวเริ่มร้อนเห่อขึ้นมาจนร่างสูงแอบยิ้มไม่ได้ ท่าทีประหม่าแบบนี้ช่างแตกต่างกับชเวเร็นบนรันเวย์เหลือเกิน แต่จะมีสักกี่คนล่ะที่จะได้เห็นนายแบบผู้หยิ่งผยองในมุมแบบนี้ ? หน้าผากมนถูกสัมผัสแผ่วเบาด้วยริมฝีปาก มินฮยอนแตะริมฝีปากลงบนหน้าผากนั้น ไล้ลงมาตามสันจมูกและหยุดเคล้าคลึงกับกลีบปากบางสวย แขนเล็กที่เคยเท้ากับเตียงเพื่อพยุงตัวไว้ค่อยๆ ยืดออกเอนหลังลงบนเตียงกว้าง คนตัวเล็กยกแขนทั้งสองข้างประคองใบหน้าหล่อเหลาเอาไว้ในมือ เช่นเดียวกับร่างสูงที่ปรับเปลี่ยนองศาของใบหน้าให้ริมฝีปากได้แนบชิดกันมากยิ่งขึ้น  คนทั้งคู่ปิดเปลือกตาลงช้าๆ ปล่อยให้สัมผัสดำเนินไปตามอีกคนนำพาไป..



     

      X  X  CUT  X  X  

     

    “จะต่อหรือไง”

     

    “แค่เห็นคุณดูเครียดๆ มีอะไรไม่สบายใจหรือเปล่าครับ”

     

    ร่างสูงถอนหายใจออกมาพรืดยาว เรื่องที่ทำให้เขาอารมณ์ขุ่นมัวคงหนีไม่พ้นเรื่องงานนั่นแหละแต่ก็ไม่ใช่ว่าเขาจะหนักใจอะไรมากมายขนาดนั้นเพราะวันนี้มีทั้งเรื่องดีและก็เรื่องหนักใจพอสมควร ฮวังมินฮยอนก้มลงจูบขมับคนตัวเล็กในอ้อมกอด ระบายยิ้มกระชากใจนายแบบอีกครั้ง

     

    “บอกไม่ได้เหรอครับ เผื่อผมจะทำให้คุณหายเครียดได้บ้าง”

     

    “ถึงพูดไปนายก็ช่วยอะไรไม่ได้หรอกนะ”

     

    “เรื่องบริษัทที่คุณมาประชุมวันนี้น่ะเหรอ ทำไมเหรอครับ”

     

    “เดือนหน้าจะมีการประมูลร่วมหุ้นตีตลาดฝั่งยุโรป มีประมาณสามสี่บริษัทที่ตอบตกลงจะคอยช่วยสนับสนุนบริษัทของฉันทุกทาง แต่เหลือแค่บริษัทเดียวที่ยังคงลังเลซึ่งบริษัทนี้สำคัญซะด้วย และเขาก็ไม่ยอมบอกเหตุผลว่าทำไมถึงไม่ตอบตกลงทั้งๆ ที่บริษัทของเราสนิทชิดเชื้อกันมาตั้งแต่ตอนที่พ่อของฉันเริ่มก่อตั้งบริษัท อาจจะมีบริษัทอื่นที่ให้ข้อเสนอที่ดีกว่าฉันแน่ๆ”

     

    ในใจของชเวเร็นเองก็กังวลตามเมื่ออีกคนตีหน้าเครียด แต่เขาก็จดจำรายละเอียดคำพูดทุกคำเอาไว้

     

    “อย่าเครียดเลยนะครับ ผมไม่สบายใจเลยเวลาเห็นคุณเป็นแบบนี้”

     

    “มินกิ”

     

    “ครับ”

     

    “พรุ่งนี้ไปหาพ่อฉันกันนะ” 










     

    อ่านทอร์คหน่อยจ้า
    คือนานๆ จะขอทอร์คช่วยอ่านเค้าหน่อยนะตัวเอง

    ก่อนอื่น ส่วนที่ถูกตัดอยู่ในไบไอทวิตเตอร์นะคะตัวเอง @0652CHANii

    เรื่องมีอยู่ว่าฟิคเรื่องนี้ยังไม่ใกล้จบหรอก เพิ่งจะ 7 ตอน แต่คงจบไม่เกิน 15 - 20 ตอน 
    เลยอยากลองหยั่งเชิงว่าอยากให้รวมเล่มไหมคะ ? ถึงคนอ่านจะน้อยขนาดนี้ และฟิคก็หาความสนุกไม่เจอ 5555 
    ลองถามหยั่งๆ เอาไว้ก่อน พอดีปิดเทอมนานนน ก็เลยว่างๆ
    ส่วนเรื่องรายละเอียดยิบย่อยพวกเรื่องรูปเล่มราคา บลาๆๆ ยังไม่ขอพูดถึง
    ถ้ามีโอกาสได้รวมเล่มจริงๆ ช่วงฟิคใกล้จบจะมาบอกรายละเอียดเพิ่มเติมให้ฟังกันนะคะ

    แล้วก็จะรีไรท์ใหม่ด้วย เพราะเริ่มงงๆ กับชีวิตละ ตกลงว่ามันประมูลอะไรกันแน่ ? ถถถถถถ
    สรุปคือนาง "ประมูลร่วมหุ้น" เออนะ 55555 

    จบค่ะ

     



     


    #ฟิคคนเลว

    #ฟิคคนเลว

    #ฟิคคนเลว

    #ฟิคคนเลว





     ..................................................................................................................


    23.06 น.

    อิอิ จุ้บ





    CRY .q
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน
    นิยายแฟร์ 2024

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×