ลำดับตอนที่ #2
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : บทที่ 2: วัยเด็กของทั้ง 2
    บนยอดหอคอยของปราสาทสีขาว รันน่อนและอาเอลกำลังเดินขึ้นบันไดวนขึ้นไปที่ยอดหอคอย เป็นธรรมดาที่อาเอลจะบ่นตลอดทางที่เดินขึ้น ครั้งนี้ก็เช่นกัน
    “นี่ รันน่อน เราล้มเลิกแล้วลงกันเหอะ ชั้นเดินไม่ไหวแล้วนะ”
    “ก็บอกทุกทีที่เดินขึ้นแล้วนะ ถ้าเธอเดินไม่ไหว ข้าจะอุ้มขึ้นไปเอง”
    “บ้าสิ!! ห้ามเจ้าทำอย่างนั้นนะ!!”
    “ข้าทำแน่ ถ้าไม่อยากให้อุ้มก็เดินซะให้ไว ข้าเองก็ไม่อยากอุ้มหมูขึ้นหอคอยเหมือนกัน”
    “รันน่อน เจ้าว่าข้าอ้วนอีกแล้วนะ!!”
ทั้ง 2 เริ่มวิ่งไล่กันขึ้นหอคอย ไม่เท่าไรนั้น อาเอลก็สะดุด เธอหลับตาปี๋ คิดว่าตัวเองจะต้องหน้าฟาดกับขั้นบันไดแน่ แต่แล้วเธอก็รู้สึกว่ามีมือมาโอบตรงเอว เสียงรันน่อนก็ดังขึ้น
“จะอยู่อย่างนี้อีกนานไหม?”
อาเอลลืมตา รันน่อนกันไม่ให้เธอหน้าฟาดกับบันไดได้ทันเวลา เขาให้เธอนั่งบนขั้นบันได ก่อนจะนั่งลงตามข้างๆ
“เกือบไปแล้วไหมล่ะ เกือบหน้าบากเป็นท่านฮอว์คเฮลมแล้ว”
“งี่เง่าน่า ข้าไม่ยอมหน้าฟาดหรอก”
“แต่หลับตารอชะตากรรมเชียวนะ มือทั้งคู่น่ะยันไม่อยู่รึไง?”
“ช่างเถอะน่า ท่านองครักษ์ นายมีหน้าที่คอยดูแลเวลาชั้นพลาดไม่ใช่หรือไง?”
“งั้นสิ”
ทั้งคู่นั่งอยู่ตรงบันได มองออกไปทางหน้าต่างหอคอย ฟ้าขาวไปด้วยเมฆ นกบินอย่างร่าเริง อาเอลเท้าคางบ่น
“เฮ้อ~ อากาศอย่างนี้ ข้าอยากออกมานั่งกินข้าวข้างนอกจัง”
“เรียนเสร็จก็ทำได้น่า”
“ก็ข้าไม่อยากรอนี่”
“ยังไงก็เถอะ ไปกันได้แล้ว”
เขาลุกขึ้นยืนมองเธอ อาเอลหันหน้าไปอีกทางแบบงอนๆ
“เชอะ รันน่อนคนตายซาก”
“พูดอะไรก็พูดไป องค์หญิง เราสายมากแล้วแล้วนะ”
อาเอลยืนขึ้น แต่ความเจ็บปวดไหลเข้ามาในทันใด
“แปร๊บ!!”
“เจ็บ!?”
รันน่อนพยุงเธออีกรอบ ให้เธอนั่งแล้วถลกกระโปรงที่ปิดข้อเท้าขึ้น โดยที่อาเอลไม่รู้สึกอายอะไรเลย อาจเป็นเพราะเธอคุ้นเคยกับเขามากก็ได้
“ขาพลิกตอนวิ่งล่ะสิ”
“ก็ความผิดนายแหละ”
รันน่อนถอนหายใจสั้น ก่อนจะหันหลังย่อตัวลงแล้วพูด
“รีบขึ้นมา”
“ไม่มีทาง!!หัวเด็ดตีนขาดก็ไม่ขึ้น!!”
“ขึ้นมา อาเอล มีอะไรให้อาย? เมื่อก่อนเราก็ทำแบบนี้ออกจะบ่อย”
“. . . เมื่อก่อนก็ส่วนเมื่อก่อนสิ”
“ข้าก็ยังเห็นเจ้าเหมือนเมื่อก่อนอยู่ รีบขึ้นมา นี่สายมากแล้ว”
อาเอลยอมทำตามอย่างเสียไม่ได้ รันน่อนลุกขึ้นแล้วเดินขึ้นบันได อาเอลถามเขา
“ข้าตัวหนักไหม?”
“เบากว่าม้านิดเดียว”
“โป้ก!!”
อาเอลเขกหัวเขา รันน่อนหยุดเดิน
“นี่แม่คุณ ห้ามเขกหัว”
“ไม่งั้นจะทำไม?”
รันน่อนถอนหายใจสั้นเหมือนจะบอกว่า ช่วยไม่ได้ ก่อนจะหงายหลังลงอย่างรวดเร็วเหมือนจะไหลลงบันได อาเอลหวีดเต็มเสียงจนดังก้องไปทั้งหอคอย เธอหลับตาปี๋อีกแล้ว แต่เมื่อไม่รู้สึกว่าตัวเองบาดเจ็บอะไรก็ลืมตาขึ้น รันน่อนจับหน้าต่างเอาไว้ เขาใช้มือที่จับดึงตัวเองขึ้นมายืนตรงแล้วเดินต่อโดยไม่พูดอะไร อาเอลรู้ว่าเขาแกล้งเธอ แต่ก็ทำอะไรไม่ได้
“นี่”
“. . .”
“กลัวล่ะสิ”
“. . .”
ข้าไม่ได้ยินเจ้าหวีดเต็มเสียงอย่างนั้นมานานมากแล้วนะ ตั้งแต่เจ้ายังเป็นเด็กอยู่เลยมั้ง”
“. . .ข้าไม่ใช่เด็กแล้วนะ”
“หา?ว่าไงนะ?ที่เจ้าตะโกนน่ะใส่หูข้า หูยังอื้อๆอยู่เลย ไม่ค่อยได้ยิน”
“ข้าบอกว่าข้าไม่ใช่เด็กแล้ว!!”
“หา!? ใครเป็นเด็กนะ!?”
“ข้าบอกว่าข้าไม่ใช่เด็กแล้ว!!”
เธอตะโกนใส่หูเขา รันน่อนหันมายิ้มให้
“สำหรับข้า เจ้ายังเป็นเจ้าเมื่อ 4 ปีก่อนไม่เปลี่ยนแปลง”
“บ้า”
ทั้งคู่มาถึงยอดหอคอยจนได้  ชายแก่คนหนึ่งซึ่งนั่งพลิกหนังสือเก่าแก่บนโต๊ะหันมาเมื่อทั้ง 2 เข้ามาในห้อง รันน่อนโค้งทั้งๆที่อาเอลยังอยู่บนหลัง
“ขออภัยขอรับ ท่านลูมินเดีย เจ้าหญิงได้รับอุบัติเหตุเล็กน้อยจึงมาสายขอรับ”
“ไม่เป็นไรๆ ให้เจ้าหญิงนั่งลงก่อนเถอะ”
ชายแก่คนนี้คือลูมินเดียเอง เขาเป็นชายแก่ที่มีอายุเหมือนเป็นศตวรรษ มีเครายาวสีเงิน ยาวเสียจนแทบจะแตะพื้น บนหัวสวมหมวกปีกกว้างปลายหักเหมือนพ่อมด และก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ ลูมินเดียเป็นจอมขมังเวทย์คนนึงของดินแดน รับใช้องค์กษัตริย์มาก่อนกษัตริย์รุ่นนี้ถึง 2 รุ่น ใครๆก็ต่างเรียกเขาว่า เคราเงินลูมินเดีย
รันน่อนให้อาเอลนั่งลงบนเก้าอี้แล้วเลื่อนเข้าหาโต๊ะให้ อาเอลมองเขาแล้วหันไปมองลูมินเดียซึ่งลากกระดานอย่างยากลำบาก รันน่อนรีบเดินเข้าไปช่วยดึงมาให้ ก่อนจะกลับมายืนข้างเธอ ลูมินเดียหยิบแว่นรูปร่างเหมือนจันทร์เสี้ยวขึ้นมา
“อ้า~ องค์หญิง เราเรียนไปถึงไหนแล้ว . . . อ้อ!นี่เองๆ การปฏิวัติเมื่อ 70 ปีก่อน . . .”
ลูมินเดียเริ่มสอนไปเรื่อยๆโดยมีรันน่อนเอ่ยถามเป็นระยะๆ  อาเอลเองตอนแรกนั่งตัวตรง สักพักก็กลายเป็นเท้าคาง แล้วก็กลายเป็นคางเกยโต๊ะ สุดท้ายก็กลายเป็นนอนฟุบกับโต๊ะไป ตามมาด้วยเสียงกรนดังสนั่น ลูมินเดียหันไปมองนาฬิกาทราย
“30 นาที ตรงเวลาเป๊ะอย่างทุกครั้ง”
แล้วท่านอาจารย์ลูมินเดียก็หัวเราะ รันน่อนก้มหัวขออภัยแทนแต่ลูมินเดียโบกมือว่าไม่เป็นไร
“เรื่องการเมืองกับเด็กสาว ไปด้วยกันไม่ได้หรอก ข้าเองก็ไม่เข้าใจว่าทำไมราชาจึงยืนยันให้เจ้าหญิงอาเอลต้องเรียนการปกครองกับข้า. . . ไม่แน่ว่าท่านราชาอาจจะคิดว่าเจ้าหญิงอาจจะไม่ได้แต่งงานก็เป็นได้ ฮ่าฮ่าฮ่า”
ลูมินเดียหัวเราะแบบอารมณ์ดี ส่วนรันน่อนเองก็ดึงเอาหนังสือออกมาก่อนที่พระสอ(น้ำลาย)เจ้าหญิงจะเปรอะหนังสือซะก่อน ลูมินเดียเดินกลับไปนั่งที่เก้าอี้
“ข้าเองตั้งความหวังกับตัวท่านองครักษ์ไว้สูง หวังว่าท่านคงไม่ทำให้ข้าผิดหวังนะ ท่านองครักษ์รันน่อน”
“ท่านลูมินเดียกล่าวเกินไป ข้าเองเป็นแค่องครักษ์ต่ำต้อย มิกล้ารับความหวังของท่านอำมาตย์ขนาดนั้น”
“ยุคข้างหน้าหาใช่ยุคของเราผู้ชราแล้ว แต่เป็นยุคของคนหนุ่มสาวต่างหาก ท่านองครักษ์เองไม่คิดเช่นนั้นหรือ?”
“ข้ามิอาจตอบได้ขอรับ”
“หน้าที่ ตำแหน่งการงานค้ำคอสินะ ถ้าข้าไร้ตำแหน่ง ข้าก็เป็นแค่ตาแก่ที่อยู่มานานเกินไปเท่านั้น”
“ท่านอำมาตย์กรุณาอย่ากล่าวเช่นนั้น”
“อืม . . . ยังไม่หมดกรรมก็ยังตายไม่ได้ . . . เอ้า!บอกข้ามา การปฏิวัติของประชาชนเมื่อ 70 ปีก่อนมีสาเหตุมาจากอะไร?”
ในระหว่างที่ทั้ง 2 ชายหนุ่มและชราถกเถียงกันเรื่องประวัติศาสตร์ เจ้าหญิงอาเอลเองก็กำลังฝัน ดิ่งลงไปในในความทรงจำที่เก่าแก่ที่สุดของเธอ . . . วัยเด็กของเธอและรันน่อน
ไม่นานนักเธอก็ตื่นตอนใกล้จะหมดเวลา 2 ชม. ลูมินเดียมองนาฬิกาทรายแล้วหันมายิ้มให้เธอ
“ตรงเวลาอย่างเคย องค์หญิง”
“หา?”
รันน่อนยิ้มไม่ตอบคำ ลูมินเดียหัวเราะเช่นชายแก่อารมณ์ดี อาเอลทำปากเบี้ยวๆ
“แน่ะ 2 ลูกศิทย์อาจารย์คู่นี้มีเลศนัยอะไรอีกล่ะ?”
“ไม่มีอะไรองค์หญิง แค่คนแก่กับคนหนุ่มเห็นตรงกัน ก็เลยคุยกันเท่านั้นเอง”
อาเอลทำท่าไม่สนใจ คือการทำแก้มป่องข้างหนึ่ง หรี่ตา แล้วหันไปทางอื่น
“ตามใจท่านเคราเงิน หมดเวลาเรียนแล้ว ข้าขอตัวละ”
“เชิญๆ เชิญองค์หญิง ข้าผู้เฒ่าก็จะไปนอนแล้วเช่นกัน”
อาเอลทำท่าจะลุกแต่ลุกไม่ได้ หันมามองรันน่อน
“รันน่อนนนน”
“หืม?”
“. . .”
“อ้อๆ”
รันน่อนเดินมาเลื่อนเก้าอี้ออกให้ แล้วหันหลังย่อตัว อาเอลก็ปีนขึ้นหลังเขา ลูมินเดียยิ้มไม่ตอบคำ อาเอลชี้มา
“ห้ามคิดอะไรแปลกๆ ท่านเคราเงิน ข้าข้อเท้าพลิกตอนขึ้นบันไดเท่านั้น อ้อใช่! แล้วทำไมข้าต้องขึ้นบันไดวน 2000 ขั้นมาเรียนกับท่านด้วยล่ะ?ทำไมท่านไม่ไปสอนข้างล่าง หรือไม่กลัวข้าจะเวียนหัวแล้วกลิ้งลงบันไดไป?”
“แค่ 227 ขั้นเท่านั้น องค์หญิง อีกอย่าง - เราผู้เฒ่าไม่เคยเห็นคนกลิ้งลงบันไดซะที ไว้เจ้าหญิงทรงโปรดให้เห็นเมื่อไร รีบตามข้าทีนะ ท่านราชองครักษ์”
“วางใจได้ขอรับ แต่ข้าไม่แน่ใจว่าจะเรียกท่านทันก่อนที่องค์หญิงจะเสด็จลงถึงบันไดขั้นสุดท้าย เพราะนับกับแรงโน้มถ่วงแล้ว มีสิทธิมากที่เจ้าหญิงจะลงไปก่อนที่ข้าน้อยจะตามท่านอำมาตย์ทัน”
“อืม ข้าว่าข้อนี้เป็นไปได้”
อาเอลงงตึ้บ รันน่อนลาท่านเคราเงินแล้วพาอาเอลเดินลงบันไดมาช้าๆ ระหว่างทางอาเอลก็ตีหัวเขา
“นี่ ที่ว่าตะกี้นี่ว่าชั้นอ้วนใช่ไหม?”
“อ้าว!? นึกว่าจะไม่เข้าใจซะแล้ว”
“รันน่อน ฟาเอลล์ เจ้าคนหยาบคาย!!”
เธอระดมตีๆๆเขาที่หัวเขา รันน่อนเลยทำท่าเหมือนจะปล่อยเธอลงทางหน้าต่างหอคอย เธอถึงหยุด ทั้ง 2 ลงบันไดช้าๆต่อ อาเอลพูดขึ้น
“นี่รันน่อน”
“อะไรรึ?”
“ข้าฝันดีด้วยล่ะ”
“เหรอ?”
“รู้ไหมว่าฝันว่ายังไง?”
“ข้าไม่ใช่ท่านลูมินเดีย จะได้มองเห็นความฝันของเจ้านะ”
“ข้า. . .ฝันถึงวันที่เราพบกันน่ะ”
“อ้อ. . .เหรอ”
“เจ้าจำได้ไหม?”
“มีรึที่ข้าจะจำไม่ได้?”
บริเวณของปราสาท ค่ายฝึกทหารองครักษ์
เด็กชายคนหนึ่งกำลังจับดาบไม้ฟาดอากาศอยู่พร้อมกับเสียงนับครั้งเสียงดัง เด็กชายเปลือยท่อนบนผู้นี้มีผมสั้นเกรียนสีดำสนิท รูปร่างผอม เขายังฟาดอากาศอย่างตั้งใจ สักพักหนึ่งก็มีคนเดินเข้ามา เขาเป็นอัศวินตัวสูงใหญ่ แบกดาบขนาดมหึมาซึ่งมีใบดาบกว้างถึง 12 นิ้ว ยาวเกือบๆเมตร ใบหน้าเหี้ยมหาญ ไว้เคราและจอนดูคล้ายราชสีห์ มีรอยแผลคล้ายรอยดาบตัดจากโหนกแก้มซ้ายไปขวา เขาตะโกน
“เฮ้ย!เจ้าคือรันน่อนใช่ไหม!!หยุดฟันลมแล้วมากินข้าวเช้าก่อน!!”
“ขอรับ ท่านฮอว์คเฮลม!!อีกแค่ 30 ครั้งก็จะครบ 1000 แล้วขอรับ!!”
“ให้ตาย เจ้านี่เคร่งกับการฝึกมากเลยนะ ระวังเถอะจะล้มซะก่อน. . . กระทั่งราชสีห์ก็ต้องรู้เวลาพักนะ”
“ข้ายังไหวขอรับ ขอบพระคุณที่เป็นห่วง”
ฮอว์คเฮลมยักไหล่ สาวนางหนึ่งเดินเข้ามาหา
“คุณคะ องค์กษัตริย์ใกล้จะเสด็จแล้วนะคะ”
“ข้าจะไปเดี๋ยวนี้ล่ะ ที่รัก”
หญิงสาวที่ดูจะเป็นภรรยาหันไปมองรันน่อนซึ่งในขณะนั้นอายุเพียง 12 ปีพลางพูด
“ข้าเห็นเด็กคนนั้นมาฟันลมแต่เช้าทุกวัน เคร่งกับการฝึกมากเลยนะ ข้าว่า”
“อืม ก็ค่อนข้างจะเคร่งเกินเหตุไปนะ”
“ฮอว์ค ท่านเองก็เช่นกันมิใช่รึ? ตอนที่ท่านยังอายุเท่าเขา”
“อิโนมาทาร์ ข้าเองเห็นเขาเคร่งครัดเช่นข้าในยามเด็กจึงออกปากเตือน เพื่อที่จะได้ไม่เป็นอย่างที่ข้าเป็นอย่างไรล่ะ”
“สุดท้ายก็พูดดี ตอนที่แพ้ข้า ท่านกลับไปฝึกมามากกว่านี้อีก”
“ถึงยังไงข้าก็ยังชนะใจเจ้ามิใช่รึ?”
ฮอว์คก้มลงจูบหน้าผากของภรรยาที่เตี้ยกว่าตัวเองเกือบ 10 cm เธอหัวเราะคิกคักไม่ตอบคำ อิโนมาทาร์จัดเป็นหญิงสาวที่สวยงามมากนางหนึ่ง นางมีผมสีทองยาว รูปร่างก็ได้สัดส่วน ต่างกับฮอว์คเฮลมที่ตัวใหญ่บึกบึน แต่ไม่ควรประเมินใครที่รูปร่าง เพราะอิโนมาทาร์เป็นถึงรองหัวหน้าองครักษ์วังหลวงและดูแลกองกำลังทหารหญิงทั้งหมดในอาณาจักร รอยแผลที่ฝากไว้บนใบหน้าของฮอว์คเฮลมก็เป็นฝีมือของนางสมัยที่ยังสาวๆ
ฮอว์คเฮลมลูบแผลที่ใบหน้า ยิ้มแล้วพูดว่า
“ข้ายังจำได้ ตอนนั้นเจ้าเลือดร้อนและห้าวยิ่งกว่าผู้ชายซะอีก”
“ท่านเองก็เช่นกันมิใช่หรือ?กล้าเข้ามาท้าข้าต่อสู้”
“เอ่อ . . . ท่านหัวหน้าทั้ง 2 ถ้าไม่มีอะไรข้าขอไปทานอาหารเช้าก่อนนะขอรับ”
รันน่อนพูดแทรกขึ้นมา ทำให้ทั้ง 2 กลับมาสนใจเขา
“อ้อ อืม ไปสิ”
“ผมได้ยินเสียงจ้อกแจ้กดังมาแล้ว พระราชาคงใกล้เสด็จถึงแล้ว ท่านหัวหน้ารีบเตรียมการต้อนรับเถอะขอรับ”
“อา จริงของเจ้า”
อิโนมาทาร์รีบไล่สามีไปแต่งตัวก่อนจะเดินตามไป รันน่อนมองดูในสนามที่เขาใช้ฝึกว่าไม่มีเศษอะไรเหลือก่อนจะเก็บของทั้งหมดวิ่งกลับไปเก็บที่โรงที่พัก แล้ววิ่งไปที่โรงจ่ายอาหาร เสียงคุยในโรงอาหารดังจนครูฝึกต้องเข้ามาสั่งให้เงียบ รันน่อนรับอาหารแล้วเดินมานั่งที่โต๊ะก่อนจะทานอาหารไปเงียบๆ แต่เรื่องก็ไม่ได้เป็นแบบนั้นเพราะเขาเองก็ไม่ได้อยู่แบบเป็นที่รักซะทีเดียว ความที่เขาเป็นคนช่างถามและใฝ่รู้ ทำให้ดูเหมือนเกินหน้าเกินตา ศัตรูของเขาจึงจัดว่ามีมากกว่ามิตร ไม่นานนักที่เขานั่งทานอาหารอยู่ก็มีทหารรุ่นเดียวกัน 3-4 คนเดินเข้ามานั่งขนาบข้างแต่ไม่ได้พูดอะไร เขาเองก็ไม่เริ่มก่อน ไม่นานนักก็เริ่มมีการสะกิดถูกกันเพราะการที่นั่งติดกันมากเกินไป พวกที่มาใหม่เริ่มหาเรื่องเขา เขาเองไม่ชอบเถียงเรื่องไร้สาระ เขาจึงเลี่ยงออกมาโดนหยิบจานข้าวเดินหลบออกมาทานข้างนอก นั่งอยู่หลังโรงจ่ายอาหารมองกำแพงเมืองพลางทานอาหารไป แต่แล้ว . . .
“ว้าย!?!”
หญิงสาวคนหนึ่งร่วงลงมาจากหลังคาและร่วงลงข้างๆเขา เธอเป็นเด็กหญิงอายุคราวเดียวกับเขา มีผมสีทองถักเป็นเปียคู่ สวมชุดของทหารสังกัดองครักษ์หญิงของอิโนมาทาร์ เขามองเธอแบบงงๆ เธอเองหันมามองเขาก็ทำท่าตกใจ แล้วนั่งมองเขาตอบ รันน่อนไม่สนใจเธอ หันกลับไปมองกำแพงเมืองแล้วทานข้าวต่อ ทหารหญิงดูไม่พอใจที่เขาเมิน ทำท่าจะเดินออกไป เขาก็พูดขึ้นก่อน
“ไม่เป็นอะไรนะ?”
ทหารหญิงหันกลับมามองเขา ก่อนจะนั่งยองๆ มองอาหารที่เขาทานอยู่แล้วถาม
“อร่อยไหมนั่น?”
รันน่อนหันมามองเธอที่ทำหน้าตาอยากรู้เสียเต็มประดาอย่างสงสัย
“ข้านึกว่าทหารหญิงก็ทานอาหารเช่นเดียวกันเสียอีก”
“คือ . . . เปล่าหรอก ก็ไม่เชิงน่ะนะ ว่าแต่อร่อยไหมนั่น?”
“ . . . ก็อร่อยดี”
“ให้ข้าชิมหน่อยสิ”
รันน่อนมองเธออีกรอบ ก่อนจะส่งจานข้าวกับช้อนให้ เธอมองหาหารในจานแล้วถาม
“พวกเจ้าเรียกนี่ว่าอะไรน่ะ?”
“หนูป่าผัดน้ำมันกับผัก”
“ข้าไม่เคยกินหนูป่ามาก่อนเลยในชีวิต แล้วหนูนี่มันกินได้จริงๆน่ะรึ?”
“กินได้กินไม่ได้ ข้าก็กินให้เจ้าดูแล้วนี่”
เธอมองเขาก่อนจะหันไปมองอาหารในจานคล้ายชั่งใจ รันน่อนเอื้อมมือไปทางจานข้าวโดยไม่แม้แต่จะหันไปดู
“ถ้ากลัวก็อย่ากิน”
คำพูดของเขาดูจะสะกิดต่อมเอาชนะของเธอ ทหารหญิงปฏิเสทและตักเข้าปากในทันที ท่าทานของเธอน่าดูกว่าทหารเยอะ แต่รันน่อนไม่ได้หันมาจึงไม่เห็น เธอคายออกมาในแทบจะทันใด
“แหวะ!?! อาหารอย่างนี้เจ้ากินเข้าไปได้ยังไง!?!รสชาติไม่เอาอ่าวซะเลย”
“ทหารอย่างเรามีสิทธิเลือกกินด้วยรึ?”
“เป็นทหารนี่ไม่เห็นจะสนุกเลย”
“ถ้าอย่างนั้นเจ้ามาเป็นทหารทำไมล่ะ?เจ้าคงมีเป้าหมายดีๆนอกจากทานอาหารอร่อยๆใช่ไหม?”
“ข้าเหรอ?อืม. . . ก็เพราะข้าชอบต่อสู้ซะล่ะมั้ง”
“งั้นเหรอ?”
รันน่อนทำท่าเหมือนไม่สนใจเลย ทำให้เธอฉุนนิดๆ
“นี่นาย เวลาคุยทำไมไม่หันมามองข้าล่ะ?”
“แล้วไม่หันไปพูดไม่ได้หรือยังไง?”
หญิงสาวอึ้งไป รันน่อนนั่งกินข้าวไปเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่แล้วไม่นานนักก็มีแขกที่ไม่ได้รับเชิญมาเพิ่ม กลุ่มทหารที่หาเรื่องเขาในโรงอาหารเดินมาพบจนได้
“ฮ้า มานั่งอยู่นี่เอง เจ้ารันน่อน”
“นั่งอยู่กับทหารหญิงด้วย นึกว่าวันๆมันเอาแต่ฝึกซะอีก”
เพื่อนที่มาด้วยกันหัวเราะครืน รันน่อนยังนั่งทานอาหารต่อไปเหมือนไม่มีอะไรไม่ได้ยินอะไร ทหารหญิงมองเขาแบบทึ่งๆ ทหารที่มาใหม่เดินเข้ามา
“โฮ่? แฟนดูดีนี่ อยากรู้ว่าไม่ใส่อะไรเลยจะเป็นยังไงจริงๆ”
พวกที่มาด้วยหัวเราะอีก ทหารหญิงหน้าแดงด้วยความอายหรือโกรธก็ไม่ทราบ เธอลุกขึ้นแล้ว รันน่อนลุกขึ้นบังเธอทั้งที่ยังเคี้ยวอาหารอยู่แต่วางจานข้าวลงไปแล้ว ทหารที่เข้ามาหาเรื่องตั้งการ์ดสู้
“แกจะเอาหรือวะ?”
รันน่อนยกมือห้าม ก่อนจะยืนอยู่อย่างนั้น ไม่นานนักเขาก็พูด
“โทษทีที่ให้รอ พูดตอนเคี้ยวอาหารมันอันตราย”
“สุภาพสตรีไม่เกี่ยว ถ้าอยากจะยุ่งก็เข้ามาผ่านข้าก่อน”
ทหารมองหน้ากัน รวมทั้งทหารหญิงที่เดินเข้ามาแตะไหล่เขา
“ให้ข้าต่อยพวกมันเถอะ ข้าเกลียดพวกอย่างนี้ที่สุด”
รันน่อนยกมือห้ามก่อนจะหันมาพูดกับเธอ
“ไหนๆเจอกันวันแรก ให้ข้ารับหน้าเถอะ คิดซะว่ารับแขกละกัน”
ก่อนที่เขาจะยิ้มให้ เธอหน้าแดงวูบก่อนจะร้อง
“ข้างหลังเจ้า!!”
รันน่อนเตะออกไป เข้าที่ก้านคออย่างแม่นยำ ส่งคนที่พยายามลอบกัดลงไปนอนเรียบร้อยทั้งๆที่ยังไม่หันไปด้วยซ้ำ เขาหันมาพูด
“ข้าได้ยินตั้งแต่ที่พยายามเข้ามาแล้ว ยังมีคนไหนอยากเอาอีก?”
    ทหารที่เหลือมองหน้ากัน รันน่อนที่เพียรพยายามฝึกมีฝีมือรุดหน้าที่สุดในหมู่ทหารทั้งหมด แม้วิชาจะเหมือนกัน แต่เมื่อสู้กัน ไม่มีทางชนะคนที่มีประสบการณ์มากกว่าอยู่แล้ว สุดท้ายเรื่องก็เป็นอย่างที่คิด ตะลุมบอน รันน่อนเองก็ดูชำนาญที่จะต้องต่อสู้ทีละหลายๆคนพร้อมกัน เพราะแน่นอนว่าครั้งนี้ไม่ใช่ครั้งแรก ไม่นานนักทหารที่เข้ามาสู้ก็ล๊อคเขาได้ เพราะแม้จะเก่งยังไงก็แพ้พวกมาก ทหารที่ล้มเริ่มลุกขึ้นมา
“หนอย แสบนักนะเจ้ารันน่อน สมแล้วกับที่ท่านฮอว์คเฮลมเอ่ยปากชม”
“แต่ยังไงก็ต้องสั่งสอนซะ จะได้รู้ซะบ้างว่าอย่าทำเด่น”
“พล่อก!!”
โดยไม่คาดหมาย ทหารที่ล็อครันน่อนโดนชกกระเด็นและลงไปนอนแน่นิ่ง ทุกคนหันไปมองแบบงงๆรวมทั้งรันน่อนเอง ทหารหญิงที่รันน่อนปกป้องไว้กดข้อนิ้วกร๊อบๆเหมือนผู้ชาย
“ดูมานานแล้ว เป็นผู้ชายซะเปล่าดันหมาหมู่รุมคนเดียว เดี๋ยวแม่จะสั่งสอนให้เดี๋ยวนี้แหละ”
เธอเริ่มการวิวาท(กับผู้ชาย)โดยเริ่มชกทหารที่ใกล้ที่สุด รันน่อนเองก็เลยช่วยเธอ ไม่นานนักทหารที่บาดเจ็บมาจากการสู้กับเขาก็นอนหมดสภาพ ซึ่งทั้งหมดเกือบเป็นฝีมือเธอ ทหารหญิงหัวเราะเหมือนยังอาละวาดไม่สะใจ
“ฮ่าๆๆๆ ยังไม่หายสะใจเลย!!ใครยังไหวก็ลุกขึ้นมาเซ่!!”
รันน่อนนั่งอยู่กลางวงต่อสู้ มองเธอแบบเฉยๆอีกแล้วก่อนจะพูด
“ชอบอาละวาดซะจริงนะ ข้าพอจะเข้าใจแล้วล่ะว่าทำไมเจ้าถึงเป็นทหาร”
“เฮอะ!ข้าไม่ชอบพวกหน้าตัวเมียเล่นพวกอยู่แล้ว ว่าแต่เจ้าก็ดูสาหัสไม่เบานี่?”
“เลือดนี่น่ะ?ไม่ใช่ของข้าหรอก ของพวกมันน่ะ จะได้ใช้เป็นข้ออ้างได้”
เธอทำหน้างง รันน่อนหัวเราะหึหึ
“ถ้าอยากจะชกต่อยไม่ให้โดนทำโทษ ก็ต้องหาเรื่องเตรียมแก้ต่างไว้ ดูท่าเจ้าจะไม่รู้ข้อนี้เลยสิถึงได้เอาแต่ใส่พวกมันอย่างเดียว”
ทหารหญิงหันไปอีกทาง
“งี่เง่า ข้าเป็นหญิงจะรู้ได้ไง ข้าไม่ชอบใครก็บอก ยุ่งกับข้าก็มีเรื่องกับข้า เท่านั้นแหละ”
เธอเห็นคนวิ่งมาทางนี้ก็ร้องขึ้น
“ซวยแล้ว!? มีคนมาแล้วไง!? ข้าต้องชิ่งแล้วล่ะ”
เธอทำท่าเหมือนจะวิ่งออกไปแต่หันมาถามก่อน
“เจ้าชื่ออะไรนะ?”
รันน่อนยิ้มให้เธอ
“ที่ตีๆกันเมื่อกี้ไม่ได้ฟังเลยรึ? ข้าชื่อรันน่อน รันน่อน ฟาเอลล์”
“ข้าอันเฟล ไปก่อนนะ!!”
แล้วเธอก็วิ่งไปเหมือนกับสายลม รันน่อนมองเธอวิ่งจากไปก่อนจะหงายหลังนอน
“ฟู่ว~ ลุยซะขนาดนั้นยังมีแรงอีก ข้าเองก็ไม่ไหวแล้วนะเนี่ย”
เรื่องในวันนั้นถือเป็นวันแรกที่ได้เจอกับอาเอล โดยที่เขาไม่รู้เลยว่าเป็นใคร หลังจากวันนั้น พวกเขาถูกครูฝึกทำโทษอย่างหนัก แม้รันน่อนจะโดนน้อยหน่อยในฐานะที่ไม่ได้เริ่มเรื่อง ส่วนอิโนมาทาร์ก็ยืนยันว่าไม่มีทหารในสังกัดของเธอนามว่าอันเฟล แต่กระนั้นเขาก็ไม่ได้สนใจ ตั้งแต่วันนั้นมา รันน่อนนั่งทานอาหารที่หลังโรงจ่ายทุกวัน บางวันเธอก็มา บางวันก็ไม่มา แม้เธอจะมา เขาก็ไม่ถามถึงว่าเธอแท้จริงเป็นใคร ทั้งคู่คุยกันเหมือนเป็นเพื่อนกันมานาน พวกที่หาเรื่องเขาก็ยังหาเรื่องเขาต่อไป แต่ไม่เคยเฉียดมายามที่เธออยู่เลย
“นี่ นายไม่อยากจะถามเลยเหรอไงว่าชั้นเป็นใครและทำอะไร”
“ไม่นิ”
“นายรู้หรือเปล่าว่าชั้นไม่ใช่ทหาร”
“รู้”
“แล้วทำไมนายไม่อยากรู้ล่ะว่าชั้นเป็นใคร?”
“แล้วตัวเธออยากจะพูดไหมล่ะ?”
“. . .”
“ถ้าไม่อยากพูดก็ไม่ต้องพูด ข้าก็ไม่ถาม รู้แค่ว่าเจ้าเป็นสหายข้าก็พอ”
“อืม. . .ขอบใจนะ มีแต่เจ้าคนเดียวที่ยอมรับข้าเป็นสหาย”
“หึหึ ดูจากการกระทำของเจ้าในวันนั้น ข้าเองก็ไม่สงสัยเลยซักนิด”
“หยาบคายมาก รันน่อน ฟาเอลล์!!”
“อืม ก็คงอย่างนั้นและ อันเฟล”
เธอดูจะอึ้งที่เขาเรียกชื่อเธอ เธอก้มหน้าลงพูดเสียงแผ่ว
“แล้ว. . .แล้วถ้าเจ้ารู้ว่าข้าเป็นใคร. . .เราจะยังเป็นสหายกันไหม?”
“. . . สหายน่ะไม่ทิ้งกันหรอกนะ อย่างน้อยก็ข้าคนนึงละ ต่อให้เจ้าจะเป็นยายแก่หงำเหงือกหรือเป็นชนชั้นไหน เราก็ยังเป็นสหายกันอยู่ดี”
“อือ. . . ขอบใจนะ”
“พูดอะไรไม่สมกับเป็นเจ้า ทุกทีเจ้าจะพูดโผงผางกว่านี้ ไม่เห็นอ้ำอึ้งแบบนี้เลย”
“อือ โทษทีที่อ้ำอึ้ง”
ความสัมพันธ์ของทั้งเขากับเธอดำเนินไปในลักษณะนี้ จนกระทั่งวันหนึ่งที่ความจริงปรากฏ โดยเป็นการทดสอบความเป็นสหายของทั้งคู่ วันนั้นเป็นวันหนึ่งในฤดูฝน ชุดทหารของเขาจึงมีชุดผ้าคลุมเพิ่มมาอีกชิ้น เขานั่งทานอาหารเหม่อลอยอยู่หลังโรงจ่ายอาหาร พึมพำบทกวีที่ร่ำเรียนมายามเด็ก เสียงๆหนึ่งก็ดังขึ้น
“ดูท่าว่าวันนี้แม่หวานใจนั่นจะไม่โผล่มานะ”
รันน่อนไม่สนใจ ยังคงพึมพำบทกวีต่อไป พวกทหารที่เข้ามาเดินเข้ามาล้อมเขา
“แม่สาวน้อยต่อยหนักหายไปไหนซะล่ะ?”
“สงสัยจะกลัวฝน ไม่ก็ลุกจากเตียงไม่ได้มั้ง?”
พวกมันเริ่มฮาครืน รันน่อนลุกขึ้นพร้อมวางจานข้าว
“ถ้าอยากจะหาเรื่องก็เข้ามา ข้าจะไม่ยอมให้ใครดูถูกสหายข้าเด็ดขาด”
“งั้นในฐานะสหาย ข้าก็คงอยู่เฉยไม่ได้สินะ”
อันเฟลปรากฎตัวขึ้นด้านหลังเขา เนื้อตัวเปียกปอนไปหมด รันน่อนถอดผ้าคลุมกันฝนสวมให้เธอ อันเฟลเอ่ยปากจะพูด เขาพูดตัดบท
“เจ้าเปียกหมดแล้ว ระวังจะไม่สบาย”
เธอก้มหน้าเล็กน้อยแล้วขอบคุณ พวกทหารที่เข้ามาหาเรื่องกลับดูไม่กลัว มันยิ้มกันทั่วหน้า
“นี่แหละที่รออยู่”
รันน่อนเลิกคิ้ว อันเฟลกระชับเสื้อคลุม
“หมายความว่ายังไง?”
“พวกเราคุยกับท่านฮอว์คเฮลม ลงความเห็นว่าคนที่มีฝีมืออย่างเจ้าน่ะ. . .เป็นไส้ศึก!!”
ทหารติดธนูและดาบจำนวนมากปรากฏตัวขึ้นล้อมทั้งหน้าหลังของตรอกหลังโรงจ่ายอาหาร ทุกคนมองมาทางพวกเขาทั้ง 2 รันน่อนยกมือบังเธอ อันเฟลถามเขาอย่างรวดเร็ว
“รันน่อน เจ้าจะช่วยข้าแม้ข้าจะเป็นไส้ศึกงั้นหรือ!?!”
“ข้าเอ่ยปากไปแล้ว เจ้า เป็นสหายของข้า ไม่ว่าเจ้าจะเป็นใคร เจ้าเป็นสหายของข้าเช่นเดิม”
อันเฟลถึงกับอึ้งไป อิโนมาทาร์ปรากฏตัวขึ้นด้านหลัง ฮอว์คเฮลมปรากฏขึ้นด้านหน้า ทั้งคู่พกอาวุธเช่นออกรบ ทั้งดาบปราบอาชาสวรรค์และง้าวบันเศียรมังกรเพลิงของหัวหน้ากองกำลังทั้ง 2 ยังนำติดตัวมาด้วย แสดงว่าสถานการณ์ไม่ใช่เรื่องเล็กๆแล้ว กระนั้นก็ตาม รันน่อนยังยืนขวางทางอาจารย์ทั้ง 2 และปกป้องเธอด้วยใบหน้าเฉยชาเช่นเดิม ฮอว์คเฮลมตวาดเสียงดัง
“รันน่อน!!ถอยออกมาให้ห่าง!!นางจะต้องถูกนำตัวไปสอบปากคำ!!”
“ขออภัยท่านนายกอง แต่ข้าเชื่อใจนาง นางไม่ใช่ไส้ศึก วันเวลาที่อยู่กับข้าก็มิได้พูดอะไรนอกจากเรื่องธรรมดาสามัญและไม่มีเกี่ยวกับเรื่องทหารแม้แต่น้อย”
“ถอยออกมา ยังไงคนที่น่าสงสัยและสามารถเข้ามาถึงที่นี่ได้โดยทหารของเราไม่รู้แม้แต่น้อย ต้องเป็นยอดฝีมือแน่!!”
อิโนมาทาร์ตวาดบ้าง อันเฟลดึงเสื้อเขา
“ให้ข้าไปเถอะรันน่อน ข้าไม่อยากให้เจ้าเดือดร้อน”
“ข้าบอกเจ้าแล้ว อันเฟล สหายไม่ทิ้งกัน”
เขาหันมาให้เธอแล้วก็ยิ้ม
“อีกอย่าง ข้าว่าข้าดูคนไม่ผิด ต่อให้มีหลักฐานมากองตรงหน้า ข้าก็ไม่เชื่ออยู่ดีว่าเจ้าเป็นไส้ศึก”
เขาดึงดาบออกมา ฮอว์คเฮลมตั้งดาบสังหารอาชาสวรรค์ของเขา
“ยังไงเจ้าก็ยืนกรานจะขวางให้ได้สิ. . .”
“ขออภัยท่านนายกอง ยังไงข้าก็ยังเชื่อใจนางเช่นเดิม”
ฮอว์คเฮลมมองเขานิ่งๆก่อนจะเดินถอยออกมาพลางพูด
“ดี งั้นออกมาสู้กันข้างนอก”
เขาเดินฝ่าฝนออกมายืนประจันหน้ากับคนที่เป็นอาจารย์ของเขาและได้ชื่อว่าเป็นนักดาบที่เก่งที่สุดของอาณาจักร ถึงกระนั้น ใบหน้าของเขาก็ยังเย็นชาเช่นเดิม ฮอว์คเฮลมหัวเราะฮาฮาอย่างเหี้ยมหาญ
“กล้ามาก ข้าขอชมเชย เจ้ารู้ทั้งรู้ว่าข้าเป็นนักดาบขึ้นชื่อแต่ก็ยังหวังที่จะขวางข้า สมกับเป็นศิทย์อันดับ 1 ของข้าจริงๆ”
“มิกล้า ท่านอาจารย์”
“อย่าเข้าใจผิด ข้าสู้กับเจ้าตัวต่อตัว เพราะข้านับถือเจ้าในฐานะคู่ต่อสู้ แปลว่าข้าจะไม่ปราณีเด็ดขาด”
“ข้ายินดีและเป็นเกียตริขอรับ”
ฮอว์คเฮลมยิ้มแล้วตั้งดาบรอ
“เข้ามา ข้าจะต่อให้เจ้า 3 ดาบด้วยความต่างของอายุและประสบการณ์”
“ขอบคุณท่านหัวหน้า ข้าขอลงมือก่อนแล้ว”
รันน่อนวิ่งเข้าใส่ ฮอว์คเฮลมยังคงรอเขาโจมตี รันน่อนฟาดดาบเข้าสู้ เสียงปะทะของดาบดังก้องไปทั่วบริเวณ ไม่นานนัก 3 ดาบก็ผ่านไป อันเฟลยืนลุ้นด้วยใจระทึก ทหารรอบๆไม่มีใครสนใจว่าใครจะชนะเพราะเป็นของตายอยู่แล้ว แต่อิโนมาทาร์กับฮอว์คเฮลมไม่คิดเช่นนั้น ทั้งคู่ตกใจและทึ่งในความสามารถของรันน่อนอย่างมาก แม้กำลังจะแพ้กันมากมาย แต่ความเร็ว ประสาทและการตอบสนองของเขาไม่มีที่ติ ทั้งคู่ต่างคิดเหมือนกัน “ซักวัน เด็กคนนี้จะเป็นยอดนักดาบ” เมื่อ 3 ดาบผ่านพ้น รันน่อนถอยออกมายืนเช่นเดิม ฮอว์คเฮลมหัวเราะอีกครั้ง
“ยอด ยอดเยี่ยมมาก!!ข้าเห็นพัฒนาของเจ้าแล้ว เจ้าจะเป็นยอดนักดาบซักวัน . . . แต่ในตอนนี้ เจ้ายังขาดอีกมากที่จะชนะข้า!!”
“จริงขอรับ”
ทุกคนงงงันที่รันน่อนยอมรับออกมาเสียเช่นนั้น และไม่มีท่าทียินดียินร้ายอะไรกับคำชมเลย อิโนมาทาร์พูดขึ้น
“เจ้ายอมรับว่าเจ้าไม่สามารถสู้ได้?”
“ขอรับ อาจารย์หญิง”
“งั้นจงถอยไปซะ”
“ข้าไม่สามารถ”
ทั้งหมดงงงันอีกครั้ง ทั้งๆที่บอกว่าสู้ไม่ได้ แต่เขาก็ยังยืนกรานที่จะยืนขวางทาง
“เรื่องของฝีมือเป็นเรื่องหนึ่ง แต่เรื่องของเพื่อนและสหายเป็นอีกเรื่องหนึ่ง ข้าไม่สามารถจะทอดทิ้งสหายเพียงเพราะฝีมือของข้าอ่อนด้อยได้ นี่เป็นคุณธรรมของข้า”
ฮอว์คเฮลมพยักหน้า
“นี่แหละสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่าลูกผู้ชาย ข้าชมเชยเจ้าจากใจจริง. . .ถ้าอย่างนั้นข้าจะไม่ออมมือล่ะนะ!!”
“หยุดนะ!!”
อันเฟลจับผ้าคลุมกันฝนเดินเข้ามาที่ตรงกลางวง ใบหน้าของเธอยังซ่อนอยู่ใต้ผ้าคลุม เธอหันมาทางรันน่อน
“ความเป็นสหายของเจ้าพิสูจน์แล้ว เหลือแต่ของข้าเท่านั้น. . .”
“ข้าไม่ยอมให้สหายของข้าต้องเดือดร้อนเพียงเพราะข้าเด็ดขาด ถ้าพวกท่านสงสัยนักว่าข้าเป็นใคร ข้าก็จะบอกให้”
เธอถอดผ้าคลุมหัวออกแล้วแก้เปียทั้ง 2 ข้าง ก่อนจะใช้นิ้วสางปล่อยผมที่ถักให้กลายเป็นเช่นเดิมที่เคยเป็น ฮอว์คเฮลมและอิโนมาทาร์ถอยลงไปนั่งคุกเข้าทันที ทหารที่ตามมาก็นั่งคุกเข้าลงเช่นกัน เหลือเพียงทหารรุ่นเดียวกันกับรันน่อนและตัวรันน่อนเองที่ไม่เข้าใจ อิโนมาทาร์พูดขึ้นเสียงดัง
“พวกเจ้ารีบคุกเข้าลง!!เจ้าหญิงอาเอลทรงยืนอยู่เบื้องหน้าแล้ว!!”
ทหารที่เข้ามาหาเรื่องหน้าถอดสีและคุกเข่าลงอย่างรวดเร็ว รันน่อนเองก็คุกเข้าลงเช่นกัน แต่อาเอลรีบห้าม
“ไม่ต้องนั่งลงหรอก รันน่อน สหายข้า”
“แต่ข้าน้อยไม่. . .”
“ข้าบอกให้ลุกขึ้น”
รันน่อนลุกขึ้นอย่างเสียไม่ได้ มองดูหญิงสาวที่อยู่ตรงหน้าอีกครั้ง บัดนี้เธอดูเปลี่ยนไปเป็นคนละคน ทั้งสูงสง่ามีราศี แต่ยังคงไว้ซึ่งความงาม ทหารชั้นล่างไม่มีวันจะได้เห็นเธออยู่แล้ว เพราะเธอคือเจ้าหญิงที่คีตกวีของยุคกล่าวขานว่าสวยงามที่สุดในแว่นแคว้นรอบๆ อาเอลยิ้มเฉิดฉาย
“ข้าไม่น่าทำให้เจ้าต้องมีเรื่องเลย”
“โปรดอย่าทรงตรัสเช่นนั้น ข้าผู้น้อยไม่. . .”
“อย่าได้พูดอะไรอีก”
เธอเดินช้าๆออกไป ทหารที่ขวางทางแหวกออกเป็นทางให้เธอได้ผ่าน เธอหยุดเดินแล้วพูดพึมพำ
“เฮ้อ~ ในที่สุดความก็แตกจนได้ แบบนี้ข้าก็มาเล่นอย่างนี้ไม่ได้แล้วสิ”
เธอเหลือบมองพวกที่หาเรื่องรันน่อนอีกที
“ทั้งหมดก็เป็นเพราะพวกเจ้าแท้ๆเลยเชียว ไว้ข้าจะตอบแทนทีหลังก็แล้วกัน”
ทหารที่หาเรื่องเขากลัวจนตัวสั่น หน้าซีดเซียว อาเอลหันไปมองข้างหน้าแล้วเดินออกไปพลางตรัส
“ข้าจะนำผ้าคลุมนี้มาคืนให้เจ้าแน่ สหายข้า ด้วยมือของข้าเอง”
ทหารที่ประตูค่ายรีบเปิดประตูค่าย อาเอลเดินออกไปช้าๆแล้วมุ่งหน้าไปทางปราสาท ก่อนที่ประตูจะปิด บดบังสายตาของทั้งหมดไป. . .
ตั้งแต่วันนั้นมา ทหารทุกคนยำเกรง หรือเรียกได้ว่ากลัวรันน่อน ในฐานะพระสหายขององค์หญิงอาเอล ทหารที่หาเรื่องเขาแทบจะไม่โผล่มาให้เขาเห็นอีกเลย แม้กระทั่งฮอว์คเฮลมและอิโนมาทาร์ยังดูเกรงใจเขามากขึ้น แต่รันน่อนใช้ฐานนะที่มีเบ่งอำนาจหรือไม่? เปล่าเลย เขายังคงเป็นนักเรียนทหารเช่นเดิม ยังคงถามเมื่อไม่เข้าใจ ยังคงตื่นแต่เช้าออกมาฟันลม 1000 ครั้ง ยังตั้งหน้าตั้งตาฝึกต่อไปเหมือนวันเวลายังเช่นเดิม แม้กระทั่งเวลาที่ทานอาหาร เขาก็ยังทานที่หลังโรงจ่ายอาหารเช่นเดิมไม่แปรเปลี่ยน คล้ายยังนั่งรอเธอ แต่อาเอลก็มิได้มา จนในที่สุด วันเวลาก็ผ่านไป จนวันที่ได้รับบรรจุเป็นองครักษ์ป้องกันปราสาทก็มาถึง ทุกคนได้ใส่ชุดทหารองครักษ์อย่างที่ตั้งใจ ในช่วงที่กำลังประกาศหน่วยที่สังกัดนั้นเอง เธอก็มาในที่สุด
“เจ้าหญิงอาเอลสเด็จแล้ว!!”
ทหารในห้องโถงรวมมองกันอย่างงุนงง คนที่รู้เรื่องหันไปมองรันน่อน กระทั่งหัวหน้าทั้ง 2 อย่างฮอว์คเฮลมและอิโนมาทาร์ก็ตาม รันน่อนเองทำเฉยเช่นเดิม ประตูเปิดออกพร้อมเจ้าหญิงอาเอลและอำมาตย์เคราเงินลูมินเดีย ผู้ปรึกษาขององค์กษัตริย์ก็ตามมาด้วย ทั้งห้องคุกเข้าลงอย่างรวดเร็ว เจาหญิงอาเอลในชุดขาวยาวลากพื้นเดินเข้ามาหาฮอว์คเฮลมและอิโนมาทาร์
“ขออภัยหัวหน้าองครักษ์ทั้ง 2 ข้ามารบกวนไม่นานหรอก”
ลูมินเดียเดินขึ้นไปบนแท่นเวทีแล้วเปิดหนังสือคำสั่งสีทอง ทั้งหมดรู้ว่าเป็นพระบัญชาจากองค์กษัตริย์แน่นอน ลูมินเดียกระแอมเบาๆแล้วอ่าน
“ข้าขอแต่งตั้งองครักษ์ป้องกันปราสาท รันน่อน ฟาเอลล์ เป็นราชองครักษ์ส่วนพระองค์ขององค์หญิงอาเอล ซิลรามิน โดยให้เข้ารับการแต่งตั้งจากข้า กษัตริย์ เดววา ซิลรามิน ในวันนี้”
“นี่เป็นหมายเรียกตัวจากองค์กษัตริย์ที่ข้าผู้เฒ่าต้องลากสังขารมาแทนพระองค์. . .รันน่อน ฟาเอลล์อยู่ที่ไหนกันรึ?”
รันน่อนลุกขึ้นเดินออกมาข้างหน้า หยุดที่หน้าองค์หญิงอาเอลและอำมาตย์ลูมินเดีย ก่อนจะคุกเข้าลง
“ข้าน้อย รันน่อน ฟาเอลล์ขอรับ”
“ตามข้าไปที่ปราสาท เราจะไปในบัลดล”
ลูมินเดียเดินออกไปช้าๆ ตามด้วยอาเอลที่ยิ้มให้รันน่อนทีหนึ่งแล้วเดินตามไป รันน่อนเองเดินปิดท้าย ผ่านกองทหารอารักขาไปที่รถม้าที่มีอยู่ 2 คัน โดยลูมินเดียเดินขึ้นรถม้าคันหนึ่ง อาเอลขึ้นอีกคันหนึ่ง รันน่อนกำลังจะรับม้าจากทหาร อาเอลเบรกไว้ก่อน
“ขึ้นมาในรถม้ากับข้า รันน่อน”
ทหารอารักขามองหน้ากัน รันน่อนเองก็งงๆ อาเอลหรี่ตาแล้วพูด
“นี่คือคำสั่ง”
รันน่อนเดินขึ้นรถม้าคันเดียวกับเธออย่างเสียไม่ได้ ขบวนค่อยๆเคลื่อนออกไป อาเอลที่นั่งอยู่ส่งผ้ามาให้ผืนหนึ่ง
“นี่ ผ้าคลุมกันฝนของเจ้า ขอโทษที่ไม่เอาไปคืนซะที”
“ของของคนต่ำต้อยเช่นข้า องค์หญิงทรงเก็บไว้ ข้าก็ยินดีมากแล้ว”
“ข้าก็ดีใจมากแล้ว. . .ห้ามพูดแบบนั้นต่อหน้าข้า รันน่อน ฟาเอลล์”
เธอเลียนเสียงตามเขาแล้วชี้หน้าพูดเสียงดัง
“ในฐานะราชองครักษ์ส่วนตัวของข้าและในฐานะสหายข้า ข้าห้ามไม่ให้เจ้าพูดเป็นงานเป็นการกับข้าแบบนั้นอีก นี่เป็นกฎข้อแรก!!”
“แล้วข้ออื่นล่ะขอรับองค์หญิง”
“ห้ามเรียกข้าว่าองค์หญิงเด็ดขาด!!”
รันน่อนมองเธอแบบนิ่งๆ อาเอลพ่นลมหายใจพรืด
“ข้าคงจะห้ามไม่ให้เจ้าทำหน้าซังกะตายแบบนั้นไม่ได้ เข้าใจว่านั่นเป็นหน้าของเจ้า แต่ข้าอยากให้เจ้าพูดกับข้าดั่งสหาย เหมือนดั่งตอนที่เรายังไม่รู้จักกัน”
“องค์หญิงทรงพอพระทัย?”
อาเอลทำปากป่องคล้ายเก็บความโกรธอยู่ ทำให้รันน่อนหัวเราะฮาฮา
“ข้าเข้าใจแล้ว ข้าเองก็ไม่อยากพูดกับสหายเช่นนั้นเหมือนกัน”
“เพราะสหายเท่าเทียมกัน”
อาเอลทำหน้าบึ้งแล้วมองออกไปนอกหน้าต่าง รันน่อนมองดูผ้าคลุมกันฝนในมือ
“นี่แน่ะ อาเอล เจ้าเอาผ้าคลุมกันฝนข้าไปใช้จนหมดหน้าฝนเลย ทำให้ข้าเดือดร้อนทั้งฤดูเชียว”
อาเอลยิ้มออกที่เขายอมพูดกับเธอเช่นสหายในที่สุด เธอกอดอก
“นึกว่านายจะได้ผ้าคลุมใหม่ซะอีก ทหารองครักษ์ยากจนขนาดนั้นเลยรึ?”
“เปล่า ข้ามัวแต่รอว่าเมื่อไรเจ้าจะเอามาคืน เลยต้องนั่งตากฝนรออยู่หลังโรงจ่ายอาหารเลย”
“นี่เจ้ายังนั่งกินข้าวตรงนั้นอีกเหรอ!?”
“ข้าจะนั่งตรงไหนก็เรื่องของข้า แต่ข้าได้บทเรียนอย่างนึง”
“อะไร?”
“ห้ามให้เจ้ายืมเงินเป็นอันขาด”
“ข้าเนี่ยนะจะยืมเงินเจ้า!?!”
“ไม่รู้แหละ ขนาดผ้าคลุมนี่กว่าจะเอามาคืนยังเป็นเดือนๆ ขืนเป็นเงิน ข้าคงอดตายแน่”
“เจ้าบ้าแล้ว ข้าไม่ขัดสนขนาดยืมเงินเจ้าหรอก!!”
“ไม่รู้แหละ เจ้านี่ไม่มีเครดิตซะเลย”
“ว่าไงนะ!!”
ระหว่างที่ทั้งคู่สนทนาตามประสาสหายกัน รถม้าก็ค่อยๆเข้าสู่ตัวปราสาทขาว รันน่อนได้รับพระราชทานตราตำแหน่งองครักษ์ที่แทบจะสูงที่สุดในอาณาจักรและดาบเล่มหนึ่งซึ่งทำขึ้นเพื่อเขาโดยเฉพาะ อาเอลนั่งอยู่ข้างองค์ราชินี ยิ้มให้เขาตลอดเวลาการแต่งตั้ง แล้วเรื่องทั้งหมดในฐานะเด็กชายผู้เป็นองครักษ์และเจ้าหญิงที่อายุไล่เลี่ยกันก็เริ่มขึ้น. . .
“นี่ รันน่อน เจ้าจะพูดว่าเจ้าไม่ดีใจเลยเหรอที่เราได้เจอกันน่ะ”
“ไม่รู้สิ ทำไมข้ารู้สึกว่าวันเวลาที่ผ่านมาเป็นนรกก็ไม่รู้”
“หยาบคายมาก รันน่อน ฟาเอลล์!!”
“แล้วจะทำไม อาเอล ซิลรามิน ข้าต้องทนเจ้าแกล้งสารพัด คอยตามล้างตามเช็ดสิ่งที่เจ้าก่อไว้ สุดท้ายก็ต้องเป็นม้าเป็นลาให้เจ้าขี่เนี่ย”
“ไม่อยากให้ขี่ ข้าก็เดินเองก็ได้”
อาเอลดิ้นจะลง รันน่อนหยุดเดินพลางพูด
“แต่นั่นมันก็คืออดีต. . .”
“ใช่ ผ่านมาตั้ง 4 ปีแล้ว”
“จริงของเจ้า 4 ปีนี่เร็วจริงๆ”
“แล้วยังไงล่ะตอนนี้?”
“หืม?”
“เจ้าบอกว่าเวลาเมื่อก่อน แล้วตอนนี้ล่ะ?”
“ก็นะ. . .ถึงจะเป็นนรก ข้าก็ชินซะแล้วล่ะ”
“นี่เจ้ายังไม่เลิกใช่ไหม?”
“ยังขอรับองค์หญิง”
“ห้ามเรียกข้าว่าองค์หญิง!! ต้องให้ข้าบอกอีกกี่ครั้ง!! รันน่อน ฟาเอลล์!!”
“อีก 32 ครั้งก็ครบ 100 แล้ว. . .ไปเถอะ”
“ไปไหน?ตอนบ่ายจะเอาข้าไปทรมาณที่ไหนอีกล่ะ?”
“. . .ตอนบ่ายข้าสัญญาแล้วว่าจะไปทานอาหารกันที่สวนมิใช่หรือ?”
“อ้า~ นับว่าเจ้ายังจำได้ ข้าล่ะตั้งหน้าตั้งตารอเชียว”
“อยากทานอะไรล่ะ เอาเป็นหนูป่าผัดน้ำมันกับผักดีไหม?”
“ไม่เอาเด็ดขาด!!”
    “นี่ รันน่อน เราล้มเลิกแล้วลงกันเหอะ ชั้นเดินไม่ไหวแล้วนะ”
    “ก็บอกทุกทีที่เดินขึ้นแล้วนะ ถ้าเธอเดินไม่ไหว ข้าจะอุ้มขึ้นไปเอง”
    “บ้าสิ!! ห้ามเจ้าทำอย่างนั้นนะ!!”
    “ข้าทำแน่ ถ้าไม่อยากให้อุ้มก็เดินซะให้ไว ข้าเองก็ไม่อยากอุ้มหมูขึ้นหอคอยเหมือนกัน”
    “รันน่อน เจ้าว่าข้าอ้วนอีกแล้วนะ!!”
ทั้ง 2 เริ่มวิ่งไล่กันขึ้นหอคอย ไม่เท่าไรนั้น อาเอลก็สะดุด เธอหลับตาปี๋ คิดว่าตัวเองจะต้องหน้าฟาดกับขั้นบันไดแน่ แต่แล้วเธอก็รู้สึกว่ามีมือมาโอบตรงเอว เสียงรันน่อนก็ดังขึ้น
“จะอยู่อย่างนี้อีกนานไหม?”
อาเอลลืมตา รันน่อนกันไม่ให้เธอหน้าฟาดกับบันไดได้ทันเวลา เขาให้เธอนั่งบนขั้นบันได ก่อนจะนั่งลงตามข้างๆ
“เกือบไปแล้วไหมล่ะ เกือบหน้าบากเป็นท่านฮอว์คเฮลมแล้ว”
“งี่เง่าน่า ข้าไม่ยอมหน้าฟาดหรอก”
“แต่หลับตารอชะตากรรมเชียวนะ มือทั้งคู่น่ะยันไม่อยู่รึไง?”
“ช่างเถอะน่า ท่านองครักษ์ นายมีหน้าที่คอยดูแลเวลาชั้นพลาดไม่ใช่หรือไง?”
“งั้นสิ”
ทั้งคู่นั่งอยู่ตรงบันได มองออกไปทางหน้าต่างหอคอย ฟ้าขาวไปด้วยเมฆ นกบินอย่างร่าเริง อาเอลเท้าคางบ่น
“เฮ้อ~ อากาศอย่างนี้ ข้าอยากออกมานั่งกินข้าวข้างนอกจัง”
“เรียนเสร็จก็ทำได้น่า”
“ก็ข้าไม่อยากรอนี่”
“ยังไงก็เถอะ ไปกันได้แล้ว”
เขาลุกขึ้นยืนมองเธอ อาเอลหันหน้าไปอีกทางแบบงอนๆ
“เชอะ รันน่อนคนตายซาก”
“พูดอะไรก็พูดไป องค์หญิง เราสายมากแล้วแล้วนะ”
อาเอลยืนขึ้น แต่ความเจ็บปวดไหลเข้ามาในทันใด
“แปร๊บ!!”
“เจ็บ!?”
รันน่อนพยุงเธออีกรอบ ให้เธอนั่งแล้วถลกกระโปรงที่ปิดข้อเท้าขึ้น โดยที่อาเอลไม่รู้สึกอายอะไรเลย อาจเป็นเพราะเธอคุ้นเคยกับเขามากก็ได้
“ขาพลิกตอนวิ่งล่ะสิ”
“ก็ความผิดนายแหละ”
รันน่อนถอนหายใจสั้น ก่อนจะหันหลังย่อตัวลงแล้วพูด
“รีบขึ้นมา”
“ไม่มีทาง!!หัวเด็ดตีนขาดก็ไม่ขึ้น!!”
“ขึ้นมา อาเอล มีอะไรให้อาย? เมื่อก่อนเราก็ทำแบบนี้ออกจะบ่อย”
“. . . เมื่อก่อนก็ส่วนเมื่อก่อนสิ”
“ข้าก็ยังเห็นเจ้าเหมือนเมื่อก่อนอยู่ รีบขึ้นมา นี่สายมากแล้ว”
อาเอลยอมทำตามอย่างเสียไม่ได้ รันน่อนลุกขึ้นแล้วเดินขึ้นบันได อาเอลถามเขา
“ข้าตัวหนักไหม?”
“เบากว่าม้านิดเดียว”
“โป้ก!!”
อาเอลเขกหัวเขา รันน่อนหยุดเดิน
“นี่แม่คุณ ห้ามเขกหัว”
“ไม่งั้นจะทำไม?”
รันน่อนถอนหายใจสั้นเหมือนจะบอกว่า ช่วยไม่ได้ ก่อนจะหงายหลังลงอย่างรวดเร็วเหมือนจะไหลลงบันได อาเอลหวีดเต็มเสียงจนดังก้องไปทั้งหอคอย เธอหลับตาปี๋อีกแล้ว แต่เมื่อไม่รู้สึกว่าตัวเองบาดเจ็บอะไรก็ลืมตาขึ้น รันน่อนจับหน้าต่างเอาไว้ เขาใช้มือที่จับดึงตัวเองขึ้นมายืนตรงแล้วเดินต่อโดยไม่พูดอะไร อาเอลรู้ว่าเขาแกล้งเธอ แต่ก็ทำอะไรไม่ได้
“นี่”
“. . .”
“กลัวล่ะสิ”
“. . .”
ข้าไม่ได้ยินเจ้าหวีดเต็มเสียงอย่างนั้นมานานมากแล้วนะ ตั้งแต่เจ้ายังเป็นเด็กอยู่เลยมั้ง”
“. . .ข้าไม่ใช่เด็กแล้วนะ”
“หา?ว่าไงนะ?ที่เจ้าตะโกนน่ะใส่หูข้า หูยังอื้อๆอยู่เลย ไม่ค่อยได้ยิน”
“ข้าบอกว่าข้าไม่ใช่เด็กแล้ว!!”
“หา!? ใครเป็นเด็กนะ!?”
“ข้าบอกว่าข้าไม่ใช่เด็กแล้ว!!”
เธอตะโกนใส่หูเขา รันน่อนหันมายิ้มให้
“สำหรับข้า เจ้ายังเป็นเจ้าเมื่อ 4 ปีก่อนไม่เปลี่ยนแปลง”
“บ้า”
ทั้งคู่มาถึงยอดหอคอยจนได้  ชายแก่คนหนึ่งซึ่งนั่งพลิกหนังสือเก่าแก่บนโต๊ะหันมาเมื่อทั้ง 2 เข้ามาในห้อง รันน่อนโค้งทั้งๆที่อาเอลยังอยู่บนหลัง
“ขออภัยขอรับ ท่านลูมินเดีย เจ้าหญิงได้รับอุบัติเหตุเล็กน้อยจึงมาสายขอรับ”
“ไม่เป็นไรๆ ให้เจ้าหญิงนั่งลงก่อนเถอะ”
ชายแก่คนนี้คือลูมินเดียเอง เขาเป็นชายแก่ที่มีอายุเหมือนเป็นศตวรรษ มีเครายาวสีเงิน ยาวเสียจนแทบจะแตะพื้น บนหัวสวมหมวกปีกกว้างปลายหักเหมือนพ่อมด และก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ ลูมินเดียเป็นจอมขมังเวทย์คนนึงของดินแดน รับใช้องค์กษัตริย์มาก่อนกษัตริย์รุ่นนี้ถึง 2 รุ่น ใครๆก็ต่างเรียกเขาว่า เคราเงินลูมินเดีย
รันน่อนให้อาเอลนั่งลงบนเก้าอี้แล้วเลื่อนเข้าหาโต๊ะให้ อาเอลมองเขาแล้วหันไปมองลูมินเดียซึ่งลากกระดานอย่างยากลำบาก รันน่อนรีบเดินเข้าไปช่วยดึงมาให้ ก่อนจะกลับมายืนข้างเธอ ลูมินเดียหยิบแว่นรูปร่างเหมือนจันทร์เสี้ยวขึ้นมา
“อ้า~ องค์หญิง เราเรียนไปถึงไหนแล้ว . . . อ้อ!นี่เองๆ การปฏิวัติเมื่อ 70 ปีก่อน . . .”
ลูมินเดียเริ่มสอนไปเรื่อยๆโดยมีรันน่อนเอ่ยถามเป็นระยะๆ  อาเอลเองตอนแรกนั่งตัวตรง สักพักก็กลายเป็นเท้าคาง แล้วก็กลายเป็นคางเกยโต๊ะ สุดท้ายก็กลายเป็นนอนฟุบกับโต๊ะไป ตามมาด้วยเสียงกรนดังสนั่น ลูมินเดียหันไปมองนาฬิกาทราย
“30 นาที ตรงเวลาเป๊ะอย่างทุกครั้ง”
แล้วท่านอาจารย์ลูมินเดียก็หัวเราะ รันน่อนก้มหัวขออภัยแทนแต่ลูมินเดียโบกมือว่าไม่เป็นไร
“เรื่องการเมืองกับเด็กสาว ไปด้วยกันไม่ได้หรอก ข้าเองก็ไม่เข้าใจว่าทำไมราชาจึงยืนยันให้เจ้าหญิงอาเอลต้องเรียนการปกครองกับข้า. . . ไม่แน่ว่าท่านราชาอาจจะคิดว่าเจ้าหญิงอาจจะไม่ได้แต่งงานก็เป็นได้ ฮ่าฮ่าฮ่า”
ลูมินเดียหัวเราะแบบอารมณ์ดี ส่วนรันน่อนเองก็ดึงเอาหนังสือออกมาก่อนที่พระสอ(น้ำลาย)เจ้าหญิงจะเปรอะหนังสือซะก่อน ลูมินเดียเดินกลับไปนั่งที่เก้าอี้
“ข้าเองตั้งความหวังกับตัวท่านองครักษ์ไว้สูง หวังว่าท่านคงไม่ทำให้ข้าผิดหวังนะ ท่านองครักษ์รันน่อน”
“ท่านลูมินเดียกล่าวเกินไป ข้าเองเป็นแค่องครักษ์ต่ำต้อย มิกล้ารับความหวังของท่านอำมาตย์ขนาดนั้น”
“ยุคข้างหน้าหาใช่ยุคของเราผู้ชราแล้ว แต่เป็นยุคของคนหนุ่มสาวต่างหาก ท่านองครักษ์เองไม่คิดเช่นนั้นหรือ?”
“ข้ามิอาจตอบได้ขอรับ”
“หน้าที่ ตำแหน่งการงานค้ำคอสินะ ถ้าข้าไร้ตำแหน่ง ข้าก็เป็นแค่ตาแก่ที่อยู่มานานเกินไปเท่านั้น”
“ท่านอำมาตย์กรุณาอย่ากล่าวเช่นนั้น”
“อืม . . . ยังไม่หมดกรรมก็ยังตายไม่ได้ . . . เอ้า!บอกข้ามา การปฏิวัติของประชาชนเมื่อ 70 ปีก่อนมีสาเหตุมาจากอะไร?”
ในระหว่างที่ทั้ง 2 ชายหนุ่มและชราถกเถียงกันเรื่องประวัติศาสตร์ เจ้าหญิงอาเอลเองก็กำลังฝัน ดิ่งลงไปในในความทรงจำที่เก่าแก่ที่สุดของเธอ . . . วัยเด็กของเธอและรันน่อน
ไม่นานนักเธอก็ตื่นตอนใกล้จะหมดเวลา 2 ชม. ลูมินเดียมองนาฬิกาทรายแล้วหันมายิ้มให้เธอ
“ตรงเวลาอย่างเคย องค์หญิง”
“หา?”
รันน่อนยิ้มไม่ตอบคำ ลูมินเดียหัวเราะเช่นชายแก่อารมณ์ดี อาเอลทำปากเบี้ยวๆ
“แน่ะ 2 ลูกศิทย์อาจารย์คู่นี้มีเลศนัยอะไรอีกล่ะ?”
“ไม่มีอะไรองค์หญิง แค่คนแก่กับคนหนุ่มเห็นตรงกัน ก็เลยคุยกันเท่านั้นเอง”
อาเอลทำท่าไม่สนใจ คือการทำแก้มป่องข้างหนึ่ง หรี่ตา แล้วหันไปทางอื่น
“ตามใจท่านเคราเงิน หมดเวลาเรียนแล้ว ข้าขอตัวละ”
“เชิญๆ เชิญองค์หญิง ข้าผู้เฒ่าก็จะไปนอนแล้วเช่นกัน”
อาเอลทำท่าจะลุกแต่ลุกไม่ได้ หันมามองรันน่อน
“รันน่อนนนน”
“หืม?”
“. . .”
“อ้อๆ”
รันน่อนเดินมาเลื่อนเก้าอี้ออกให้ แล้วหันหลังย่อตัว อาเอลก็ปีนขึ้นหลังเขา ลูมินเดียยิ้มไม่ตอบคำ อาเอลชี้มา
“ห้ามคิดอะไรแปลกๆ ท่านเคราเงิน ข้าข้อเท้าพลิกตอนขึ้นบันไดเท่านั้น อ้อใช่! แล้วทำไมข้าต้องขึ้นบันไดวน 2000 ขั้นมาเรียนกับท่านด้วยล่ะ?ทำไมท่านไม่ไปสอนข้างล่าง หรือไม่กลัวข้าจะเวียนหัวแล้วกลิ้งลงบันไดไป?”
“แค่ 227 ขั้นเท่านั้น องค์หญิง อีกอย่าง - เราผู้เฒ่าไม่เคยเห็นคนกลิ้งลงบันไดซะที ไว้เจ้าหญิงทรงโปรดให้เห็นเมื่อไร รีบตามข้าทีนะ ท่านราชองครักษ์”
“วางใจได้ขอรับ แต่ข้าไม่แน่ใจว่าจะเรียกท่านทันก่อนที่องค์หญิงจะเสด็จลงถึงบันไดขั้นสุดท้าย เพราะนับกับแรงโน้มถ่วงแล้ว มีสิทธิมากที่เจ้าหญิงจะลงไปก่อนที่ข้าน้อยจะตามท่านอำมาตย์ทัน”
“อืม ข้าว่าข้อนี้เป็นไปได้”
อาเอลงงตึ้บ รันน่อนลาท่านเคราเงินแล้วพาอาเอลเดินลงบันไดมาช้าๆ ระหว่างทางอาเอลก็ตีหัวเขา
“นี่ ที่ว่าตะกี้นี่ว่าชั้นอ้วนใช่ไหม?”
“อ้าว!? นึกว่าจะไม่เข้าใจซะแล้ว”
“รันน่อน ฟาเอลล์ เจ้าคนหยาบคาย!!”
เธอระดมตีๆๆเขาที่หัวเขา รันน่อนเลยทำท่าเหมือนจะปล่อยเธอลงทางหน้าต่างหอคอย เธอถึงหยุด ทั้ง 2 ลงบันไดช้าๆต่อ อาเอลพูดขึ้น
“นี่รันน่อน”
“อะไรรึ?”
“ข้าฝันดีด้วยล่ะ”
“เหรอ?”
“รู้ไหมว่าฝันว่ายังไง?”
“ข้าไม่ใช่ท่านลูมินเดีย จะได้มองเห็นความฝันของเจ้านะ”
“ข้า. . .ฝันถึงวันที่เราพบกันน่ะ”
“อ้อ. . .เหรอ”
“เจ้าจำได้ไหม?”
“มีรึที่ข้าจะจำไม่ได้?”
บริเวณของปราสาท ค่ายฝึกทหารองครักษ์
เด็กชายคนหนึ่งกำลังจับดาบไม้ฟาดอากาศอยู่พร้อมกับเสียงนับครั้งเสียงดัง เด็กชายเปลือยท่อนบนผู้นี้มีผมสั้นเกรียนสีดำสนิท รูปร่างผอม เขายังฟาดอากาศอย่างตั้งใจ สักพักหนึ่งก็มีคนเดินเข้ามา เขาเป็นอัศวินตัวสูงใหญ่ แบกดาบขนาดมหึมาซึ่งมีใบดาบกว้างถึง 12 นิ้ว ยาวเกือบๆเมตร ใบหน้าเหี้ยมหาญ ไว้เคราและจอนดูคล้ายราชสีห์ มีรอยแผลคล้ายรอยดาบตัดจากโหนกแก้มซ้ายไปขวา เขาตะโกน
“เฮ้ย!เจ้าคือรันน่อนใช่ไหม!!หยุดฟันลมแล้วมากินข้าวเช้าก่อน!!”
“ขอรับ ท่านฮอว์คเฮลม!!อีกแค่ 30 ครั้งก็จะครบ 1000 แล้วขอรับ!!”
“ให้ตาย เจ้านี่เคร่งกับการฝึกมากเลยนะ ระวังเถอะจะล้มซะก่อน. . . กระทั่งราชสีห์ก็ต้องรู้เวลาพักนะ”
“ข้ายังไหวขอรับ ขอบพระคุณที่เป็นห่วง”
ฮอว์คเฮลมยักไหล่ สาวนางหนึ่งเดินเข้ามาหา
“คุณคะ องค์กษัตริย์ใกล้จะเสด็จแล้วนะคะ”
“ข้าจะไปเดี๋ยวนี้ล่ะ ที่รัก”
หญิงสาวที่ดูจะเป็นภรรยาหันไปมองรันน่อนซึ่งในขณะนั้นอายุเพียง 12 ปีพลางพูด
“ข้าเห็นเด็กคนนั้นมาฟันลมแต่เช้าทุกวัน เคร่งกับการฝึกมากเลยนะ ข้าว่า”
“อืม ก็ค่อนข้างจะเคร่งเกินเหตุไปนะ”
“ฮอว์ค ท่านเองก็เช่นกันมิใช่รึ? ตอนที่ท่านยังอายุเท่าเขา”
“อิโนมาทาร์ ข้าเองเห็นเขาเคร่งครัดเช่นข้าในยามเด็กจึงออกปากเตือน เพื่อที่จะได้ไม่เป็นอย่างที่ข้าเป็นอย่างไรล่ะ”
“สุดท้ายก็พูดดี ตอนที่แพ้ข้า ท่านกลับไปฝึกมามากกว่านี้อีก”
“ถึงยังไงข้าก็ยังชนะใจเจ้ามิใช่รึ?”
ฮอว์คก้มลงจูบหน้าผากของภรรยาที่เตี้ยกว่าตัวเองเกือบ 10 cm เธอหัวเราะคิกคักไม่ตอบคำ อิโนมาทาร์จัดเป็นหญิงสาวที่สวยงามมากนางหนึ่ง นางมีผมสีทองยาว รูปร่างก็ได้สัดส่วน ต่างกับฮอว์คเฮลมที่ตัวใหญ่บึกบึน แต่ไม่ควรประเมินใครที่รูปร่าง เพราะอิโนมาทาร์เป็นถึงรองหัวหน้าองครักษ์วังหลวงและดูแลกองกำลังทหารหญิงทั้งหมดในอาณาจักร รอยแผลที่ฝากไว้บนใบหน้าของฮอว์คเฮลมก็เป็นฝีมือของนางสมัยที่ยังสาวๆ
ฮอว์คเฮลมลูบแผลที่ใบหน้า ยิ้มแล้วพูดว่า
“ข้ายังจำได้ ตอนนั้นเจ้าเลือดร้อนและห้าวยิ่งกว่าผู้ชายซะอีก”
“ท่านเองก็เช่นกันมิใช่หรือ?กล้าเข้ามาท้าข้าต่อสู้”
“เอ่อ . . . ท่านหัวหน้าทั้ง 2 ถ้าไม่มีอะไรข้าขอไปทานอาหารเช้าก่อนนะขอรับ”
รันน่อนพูดแทรกขึ้นมา ทำให้ทั้ง 2 กลับมาสนใจเขา
“อ้อ อืม ไปสิ”
“ผมได้ยินเสียงจ้อกแจ้กดังมาแล้ว พระราชาคงใกล้เสด็จถึงแล้ว ท่านหัวหน้ารีบเตรียมการต้อนรับเถอะขอรับ”
“อา จริงของเจ้า”
อิโนมาทาร์รีบไล่สามีไปแต่งตัวก่อนจะเดินตามไป รันน่อนมองดูในสนามที่เขาใช้ฝึกว่าไม่มีเศษอะไรเหลือก่อนจะเก็บของทั้งหมดวิ่งกลับไปเก็บที่โรงที่พัก แล้ววิ่งไปที่โรงจ่ายอาหาร เสียงคุยในโรงอาหารดังจนครูฝึกต้องเข้ามาสั่งให้เงียบ รันน่อนรับอาหารแล้วเดินมานั่งที่โต๊ะก่อนจะทานอาหารไปเงียบๆ แต่เรื่องก็ไม่ได้เป็นแบบนั้นเพราะเขาเองก็ไม่ได้อยู่แบบเป็นที่รักซะทีเดียว ความที่เขาเป็นคนช่างถามและใฝ่รู้ ทำให้ดูเหมือนเกินหน้าเกินตา ศัตรูของเขาจึงจัดว่ามีมากกว่ามิตร ไม่นานนักที่เขานั่งทานอาหารอยู่ก็มีทหารรุ่นเดียวกัน 3-4 คนเดินเข้ามานั่งขนาบข้างแต่ไม่ได้พูดอะไร เขาเองก็ไม่เริ่มก่อน ไม่นานนักก็เริ่มมีการสะกิดถูกกันเพราะการที่นั่งติดกันมากเกินไป พวกที่มาใหม่เริ่มหาเรื่องเขา เขาเองไม่ชอบเถียงเรื่องไร้สาระ เขาจึงเลี่ยงออกมาโดนหยิบจานข้าวเดินหลบออกมาทานข้างนอก นั่งอยู่หลังโรงจ่ายอาหารมองกำแพงเมืองพลางทานอาหารไป แต่แล้ว . . .
“ว้าย!?!”
หญิงสาวคนหนึ่งร่วงลงมาจากหลังคาและร่วงลงข้างๆเขา เธอเป็นเด็กหญิงอายุคราวเดียวกับเขา มีผมสีทองถักเป็นเปียคู่ สวมชุดของทหารสังกัดองครักษ์หญิงของอิโนมาทาร์ เขามองเธอแบบงงๆ เธอเองหันมามองเขาก็ทำท่าตกใจ แล้วนั่งมองเขาตอบ รันน่อนไม่สนใจเธอ หันกลับไปมองกำแพงเมืองแล้วทานข้าวต่อ ทหารหญิงดูไม่พอใจที่เขาเมิน ทำท่าจะเดินออกไป เขาก็พูดขึ้นก่อน
“ไม่เป็นอะไรนะ?”
ทหารหญิงหันกลับมามองเขา ก่อนจะนั่งยองๆ มองอาหารที่เขาทานอยู่แล้วถาม
“อร่อยไหมนั่น?”
รันน่อนหันมามองเธอที่ทำหน้าตาอยากรู้เสียเต็มประดาอย่างสงสัย
“ข้านึกว่าทหารหญิงก็ทานอาหารเช่นเดียวกันเสียอีก”
“คือ . . . เปล่าหรอก ก็ไม่เชิงน่ะนะ ว่าแต่อร่อยไหมนั่น?”
“ . . . ก็อร่อยดี”
“ให้ข้าชิมหน่อยสิ”
รันน่อนมองเธออีกรอบ ก่อนจะส่งจานข้าวกับช้อนให้ เธอมองหาหารในจานแล้วถาม
“พวกเจ้าเรียกนี่ว่าอะไรน่ะ?”
“หนูป่าผัดน้ำมันกับผัก”
“ข้าไม่เคยกินหนูป่ามาก่อนเลยในชีวิต แล้วหนูนี่มันกินได้จริงๆน่ะรึ?”
“กินได้กินไม่ได้ ข้าก็กินให้เจ้าดูแล้วนี่”
เธอมองเขาก่อนจะหันไปมองอาหารในจานคล้ายชั่งใจ รันน่อนเอื้อมมือไปทางจานข้าวโดยไม่แม้แต่จะหันไปดู
“ถ้ากลัวก็อย่ากิน”
คำพูดของเขาดูจะสะกิดต่อมเอาชนะของเธอ ทหารหญิงปฏิเสทและตักเข้าปากในทันที ท่าทานของเธอน่าดูกว่าทหารเยอะ แต่รันน่อนไม่ได้หันมาจึงไม่เห็น เธอคายออกมาในแทบจะทันใด
“แหวะ!?! อาหารอย่างนี้เจ้ากินเข้าไปได้ยังไง!?!รสชาติไม่เอาอ่าวซะเลย”
“ทหารอย่างเรามีสิทธิเลือกกินด้วยรึ?”
“เป็นทหารนี่ไม่เห็นจะสนุกเลย”
“ถ้าอย่างนั้นเจ้ามาเป็นทหารทำไมล่ะ?เจ้าคงมีเป้าหมายดีๆนอกจากทานอาหารอร่อยๆใช่ไหม?”
“ข้าเหรอ?อืม. . . ก็เพราะข้าชอบต่อสู้ซะล่ะมั้ง”
“งั้นเหรอ?”
รันน่อนทำท่าเหมือนไม่สนใจเลย ทำให้เธอฉุนนิดๆ
“นี่นาย เวลาคุยทำไมไม่หันมามองข้าล่ะ?”
“แล้วไม่หันไปพูดไม่ได้หรือยังไง?”
หญิงสาวอึ้งไป รันน่อนนั่งกินข้าวไปเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่แล้วไม่นานนักก็มีแขกที่ไม่ได้รับเชิญมาเพิ่ม กลุ่มทหารที่หาเรื่องเขาในโรงอาหารเดินมาพบจนได้
“ฮ้า มานั่งอยู่นี่เอง เจ้ารันน่อน”
“นั่งอยู่กับทหารหญิงด้วย นึกว่าวันๆมันเอาแต่ฝึกซะอีก”
เพื่อนที่มาด้วยกันหัวเราะครืน รันน่อนยังนั่งทานอาหารต่อไปเหมือนไม่มีอะไรไม่ได้ยินอะไร ทหารหญิงมองเขาแบบทึ่งๆ ทหารที่มาใหม่เดินเข้ามา
“โฮ่? แฟนดูดีนี่ อยากรู้ว่าไม่ใส่อะไรเลยจะเป็นยังไงจริงๆ”
พวกที่มาด้วยหัวเราะอีก ทหารหญิงหน้าแดงด้วยความอายหรือโกรธก็ไม่ทราบ เธอลุกขึ้นแล้ว รันน่อนลุกขึ้นบังเธอทั้งที่ยังเคี้ยวอาหารอยู่แต่วางจานข้าวลงไปแล้ว ทหารที่เข้ามาหาเรื่องตั้งการ์ดสู้
“แกจะเอาหรือวะ?”
รันน่อนยกมือห้าม ก่อนจะยืนอยู่อย่างนั้น ไม่นานนักเขาก็พูด
“โทษทีที่ให้รอ พูดตอนเคี้ยวอาหารมันอันตราย”
“สุภาพสตรีไม่เกี่ยว ถ้าอยากจะยุ่งก็เข้ามาผ่านข้าก่อน”
ทหารมองหน้ากัน รวมทั้งทหารหญิงที่เดินเข้ามาแตะไหล่เขา
“ให้ข้าต่อยพวกมันเถอะ ข้าเกลียดพวกอย่างนี้ที่สุด”
รันน่อนยกมือห้ามก่อนจะหันมาพูดกับเธอ
“ไหนๆเจอกันวันแรก ให้ข้ารับหน้าเถอะ คิดซะว่ารับแขกละกัน”
ก่อนที่เขาจะยิ้มให้ เธอหน้าแดงวูบก่อนจะร้อง
“ข้างหลังเจ้า!!”
รันน่อนเตะออกไป เข้าที่ก้านคออย่างแม่นยำ ส่งคนที่พยายามลอบกัดลงไปนอนเรียบร้อยทั้งๆที่ยังไม่หันไปด้วยซ้ำ เขาหันมาพูด
“ข้าได้ยินตั้งแต่ที่พยายามเข้ามาแล้ว ยังมีคนไหนอยากเอาอีก?”
    ทหารที่เหลือมองหน้ากัน รันน่อนที่เพียรพยายามฝึกมีฝีมือรุดหน้าที่สุดในหมู่ทหารทั้งหมด แม้วิชาจะเหมือนกัน แต่เมื่อสู้กัน ไม่มีทางชนะคนที่มีประสบการณ์มากกว่าอยู่แล้ว สุดท้ายเรื่องก็เป็นอย่างที่คิด ตะลุมบอน รันน่อนเองก็ดูชำนาญที่จะต้องต่อสู้ทีละหลายๆคนพร้อมกัน เพราะแน่นอนว่าครั้งนี้ไม่ใช่ครั้งแรก ไม่นานนักทหารที่เข้ามาสู้ก็ล๊อคเขาได้ เพราะแม้จะเก่งยังไงก็แพ้พวกมาก ทหารที่ล้มเริ่มลุกขึ้นมา
“หนอย แสบนักนะเจ้ารันน่อน สมแล้วกับที่ท่านฮอว์คเฮลมเอ่ยปากชม”
“แต่ยังไงก็ต้องสั่งสอนซะ จะได้รู้ซะบ้างว่าอย่าทำเด่น”
“พล่อก!!”
โดยไม่คาดหมาย ทหารที่ล็อครันน่อนโดนชกกระเด็นและลงไปนอนแน่นิ่ง ทุกคนหันไปมองแบบงงๆรวมทั้งรันน่อนเอง ทหารหญิงที่รันน่อนปกป้องไว้กดข้อนิ้วกร๊อบๆเหมือนผู้ชาย
“ดูมานานแล้ว เป็นผู้ชายซะเปล่าดันหมาหมู่รุมคนเดียว เดี๋ยวแม่จะสั่งสอนให้เดี๋ยวนี้แหละ”
เธอเริ่มการวิวาท(กับผู้ชาย)โดยเริ่มชกทหารที่ใกล้ที่สุด รันน่อนเองก็เลยช่วยเธอ ไม่นานนักทหารที่บาดเจ็บมาจากการสู้กับเขาก็นอนหมดสภาพ ซึ่งทั้งหมดเกือบเป็นฝีมือเธอ ทหารหญิงหัวเราะเหมือนยังอาละวาดไม่สะใจ
“ฮ่าๆๆๆ ยังไม่หายสะใจเลย!!ใครยังไหวก็ลุกขึ้นมาเซ่!!”
รันน่อนนั่งอยู่กลางวงต่อสู้ มองเธอแบบเฉยๆอีกแล้วก่อนจะพูด
“ชอบอาละวาดซะจริงนะ ข้าพอจะเข้าใจแล้วล่ะว่าทำไมเจ้าถึงเป็นทหาร”
“เฮอะ!ข้าไม่ชอบพวกหน้าตัวเมียเล่นพวกอยู่แล้ว ว่าแต่เจ้าก็ดูสาหัสไม่เบานี่?”
“เลือดนี่น่ะ?ไม่ใช่ของข้าหรอก ของพวกมันน่ะ จะได้ใช้เป็นข้ออ้างได้”
เธอทำหน้างง รันน่อนหัวเราะหึหึ
“ถ้าอยากจะชกต่อยไม่ให้โดนทำโทษ ก็ต้องหาเรื่องเตรียมแก้ต่างไว้ ดูท่าเจ้าจะไม่รู้ข้อนี้เลยสิถึงได้เอาแต่ใส่พวกมันอย่างเดียว”
ทหารหญิงหันไปอีกทาง
“งี่เง่า ข้าเป็นหญิงจะรู้ได้ไง ข้าไม่ชอบใครก็บอก ยุ่งกับข้าก็มีเรื่องกับข้า เท่านั้นแหละ”
เธอเห็นคนวิ่งมาทางนี้ก็ร้องขึ้น
“ซวยแล้ว!? มีคนมาแล้วไง!? ข้าต้องชิ่งแล้วล่ะ”
เธอทำท่าเหมือนจะวิ่งออกไปแต่หันมาถามก่อน
“เจ้าชื่ออะไรนะ?”
รันน่อนยิ้มให้เธอ
“ที่ตีๆกันเมื่อกี้ไม่ได้ฟังเลยรึ? ข้าชื่อรันน่อน รันน่อน ฟาเอลล์”
“ข้าอันเฟล ไปก่อนนะ!!”
แล้วเธอก็วิ่งไปเหมือนกับสายลม รันน่อนมองเธอวิ่งจากไปก่อนจะหงายหลังนอน
“ฟู่ว~ ลุยซะขนาดนั้นยังมีแรงอีก ข้าเองก็ไม่ไหวแล้วนะเนี่ย”
เรื่องในวันนั้นถือเป็นวันแรกที่ได้เจอกับอาเอล โดยที่เขาไม่รู้เลยว่าเป็นใคร หลังจากวันนั้น พวกเขาถูกครูฝึกทำโทษอย่างหนัก แม้รันน่อนจะโดนน้อยหน่อยในฐานะที่ไม่ได้เริ่มเรื่อง ส่วนอิโนมาทาร์ก็ยืนยันว่าไม่มีทหารในสังกัดของเธอนามว่าอันเฟล แต่กระนั้นเขาก็ไม่ได้สนใจ ตั้งแต่วันนั้นมา รันน่อนนั่งทานอาหารที่หลังโรงจ่ายทุกวัน บางวันเธอก็มา บางวันก็ไม่มา แม้เธอจะมา เขาก็ไม่ถามถึงว่าเธอแท้จริงเป็นใคร ทั้งคู่คุยกันเหมือนเป็นเพื่อนกันมานาน พวกที่หาเรื่องเขาก็ยังหาเรื่องเขาต่อไป แต่ไม่เคยเฉียดมายามที่เธออยู่เลย
“นี่ นายไม่อยากจะถามเลยเหรอไงว่าชั้นเป็นใครและทำอะไร”
“ไม่นิ”
“นายรู้หรือเปล่าว่าชั้นไม่ใช่ทหาร”
“รู้”
“แล้วทำไมนายไม่อยากรู้ล่ะว่าชั้นเป็นใคร?”
“แล้วตัวเธออยากจะพูดไหมล่ะ?”
“. . .”
“ถ้าไม่อยากพูดก็ไม่ต้องพูด ข้าก็ไม่ถาม รู้แค่ว่าเจ้าเป็นสหายข้าก็พอ”
“อืม. . .ขอบใจนะ มีแต่เจ้าคนเดียวที่ยอมรับข้าเป็นสหาย”
“หึหึ ดูจากการกระทำของเจ้าในวันนั้น ข้าเองก็ไม่สงสัยเลยซักนิด”
“หยาบคายมาก รันน่อน ฟาเอลล์!!”
“อืม ก็คงอย่างนั้นและ อันเฟล”
เธอดูจะอึ้งที่เขาเรียกชื่อเธอ เธอก้มหน้าลงพูดเสียงแผ่ว
“แล้ว. . .แล้วถ้าเจ้ารู้ว่าข้าเป็นใคร. . .เราจะยังเป็นสหายกันไหม?”
“. . . สหายน่ะไม่ทิ้งกันหรอกนะ อย่างน้อยก็ข้าคนนึงละ ต่อให้เจ้าจะเป็นยายแก่หงำเหงือกหรือเป็นชนชั้นไหน เราก็ยังเป็นสหายกันอยู่ดี”
“อือ. . . ขอบใจนะ”
“พูดอะไรไม่สมกับเป็นเจ้า ทุกทีเจ้าจะพูดโผงผางกว่านี้ ไม่เห็นอ้ำอึ้งแบบนี้เลย”
“อือ โทษทีที่อ้ำอึ้ง”
ความสัมพันธ์ของทั้งเขากับเธอดำเนินไปในลักษณะนี้ จนกระทั่งวันหนึ่งที่ความจริงปรากฏ โดยเป็นการทดสอบความเป็นสหายของทั้งคู่ วันนั้นเป็นวันหนึ่งในฤดูฝน ชุดทหารของเขาจึงมีชุดผ้าคลุมเพิ่มมาอีกชิ้น เขานั่งทานอาหารเหม่อลอยอยู่หลังโรงจ่ายอาหาร พึมพำบทกวีที่ร่ำเรียนมายามเด็ก เสียงๆหนึ่งก็ดังขึ้น
“ดูท่าว่าวันนี้แม่หวานใจนั่นจะไม่โผล่มานะ”
รันน่อนไม่สนใจ ยังคงพึมพำบทกวีต่อไป พวกทหารที่เข้ามาเดินเข้ามาล้อมเขา
“แม่สาวน้อยต่อยหนักหายไปไหนซะล่ะ?”
“สงสัยจะกลัวฝน ไม่ก็ลุกจากเตียงไม่ได้มั้ง?”
พวกมันเริ่มฮาครืน รันน่อนลุกขึ้นพร้อมวางจานข้าว
“ถ้าอยากจะหาเรื่องก็เข้ามา ข้าจะไม่ยอมให้ใครดูถูกสหายข้าเด็ดขาด”
“งั้นในฐานะสหาย ข้าก็คงอยู่เฉยไม่ได้สินะ”
อันเฟลปรากฎตัวขึ้นด้านหลังเขา เนื้อตัวเปียกปอนไปหมด รันน่อนถอดผ้าคลุมกันฝนสวมให้เธอ อันเฟลเอ่ยปากจะพูด เขาพูดตัดบท
“เจ้าเปียกหมดแล้ว ระวังจะไม่สบาย”
เธอก้มหน้าเล็กน้อยแล้วขอบคุณ พวกทหารที่เข้ามาหาเรื่องกลับดูไม่กลัว มันยิ้มกันทั่วหน้า
“นี่แหละที่รออยู่”
รันน่อนเลิกคิ้ว อันเฟลกระชับเสื้อคลุม
“หมายความว่ายังไง?”
“พวกเราคุยกับท่านฮอว์คเฮลม ลงความเห็นว่าคนที่มีฝีมืออย่างเจ้าน่ะ. . .เป็นไส้ศึก!!”
ทหารติดธนูและดาบจำนวนมากปรากฏตัวขึ้นล้อมทั้งหน้าหลังของตรอกหลังโรงจ่ายอาหาร ทุกคนมองมาทางพวกเขาทั้ง 2 รันน่อนยกมือบังเธอ อันเฟลถามเขาอย่างรวดเร็ว
“รันน่อน เจ้าจะช่วยข้าแม้ข้าจะเป็นไส้ศึกงั้นหรือ!?!”
“ข้าเอ่ยปากไปแล้ว เจ้า เป็นสหายของข้า ไม่ว่าเจ้าจะเป็นใคร เจ้าเป็นสหายของข้าเช่นเดิม”
อันเฟลถึงกับอึ้งไป อิโนมาทาร์ปรากฏตัวขึ้นด้านหลัง ฮอว์คเฮลมปรากฏขึ้นด้านหน้า ทั้งคู่พกอาวุธเช่นออกรบ ทั้งดาบปราบอาชาสวรรค์และง้าวบันเศียรมังกรเพลิงของหัวหน้ากองกำลังทั้ง 2 ยังนำติดตัวมาด้วย แสดงว่าสถานการณ์ไม่ใช่เรื่องเล็กๆแล้ว กระนั้นก็ตาม รันน่อนยังยืนขวางทางอาจารย์ทั้ง 2 และปกป้องเธอด้วยใบหน้าเฉยชาเช่นเดิม ฮอว์คเฮลมตวาดเสียงดัง
“รันน่อน!!ถอยออกมาให้ห่าง!!นางจะต้องถูกนำตัวไปสอบปากคำ!!”
“ขออภัยท่านนายกอง แต่ข้าเชื่อใจนาง นางไม่ใช่ไส้ศึก วันเวลาที่อยู่กับข้าก็มิได้พูดอะไรนอกจากเรื่องธรรมดาสามัญและไม่มีเกี่ยวกับเรื่องทหารแม้แต่น้อย”
“ถอยออกมา ยังไงคนที่น่าสงสัยและสามารถเข้ามาถึงที่นี่ได้โดยทหารของเราไม่รู้แม้แต่น้อย ต้องเป็นยอดฝีมือแน่!!”
อิโนมาทาร์ตวาดบ้าง อันเฟลดึงเสื้อเขา
“ให้ข้าไปเถอะรันน่อน ข้าไม่อยากให้เจ้าเดือดร้อน”
“ข้าบอกเจ้าแล้ว อันเฟล สหายไม่ทิ้งกัน”
เขาหันมาให้เธอแล้วก็ยิ้ม
“อีกอย่าง ข้าว่าข้าดูคนไม่ผิด ต่อให้มีหลักฐานมากองตรงหน้า ข้าก็ไม่เชื่ออยู่ดีว่าเจ้าเป็นไส้ศึก”
เขาดึงดาบออกมา ฮอว์คเฮลมตั้งดาบสังหารอาชาสวรรค์ของเขา
“ยังไงเจ้าก็ยืนกรานจะขวางให้ได้สิ. . .”
“ขออภัยท่านนายกอง ยังไงข้าก็ยังเชื่อใจนางเช่นเดิม”
ฮอว์คเฮลมมองเขานิ่งๆก่อนจะเดินถอยออกมาพลางพูด
“ดี งั้นออกมาสู้กันข้างนอก”
เขาเดินฝ่าฝนออกมายืนประจันหน้ากับคนที่เป็นอาจารย์ของเขาและได้ชื่อว่าเป็นนักดาบที่เก่งที่สุดของอาณาจักร ถึงกระนั้น ใบหน้าของเขาก็ยังเย็นชาเช่นเดิม ฮอว์คเฮลมหัวเราะฮาฮาอย่างเหี้ยมหาญ
“กล้ามาก ข้าขอชมเชย เจ้ารู้ทั้งรู้ว่าข้าเป็นนักดาบขึ้นชื่อแต่ก็ยังหวังที่จะขวางข้า สมกับเป็นศิทย์อันดับ 1 ของข้าจริงๆ”
“มิกล้า ท่านอาจารย์”
“อย่าเข้าใจผิด ข้าสู้กับเจ้าตัวต่อตัว เพราะข้านับถือเจ้าในฐานะคู่ต่อสู้ แปลว่าข้าจะไม่ปราณีเด็ดขาด”
“ข้ายินดีและเป็นเกียตริขอรับ”
ฮอว์คเฮลมยิ้มแล้วตั้งดาบรอ
“เข้ามา ข้าจะต่อให้เจ้า 3 ดาบด้วยความต่างของอายุและประสบการณ์”
“ขอบคุณท่านหัวหน้า ข้าขอลงมือก่อนแล้ว”
รันน่อนวิ่งเข้าใส่ ฮอว์คเฮลมยังคงรอเขาโจมตี รันน่อนฟาดดาบเข้าสู้ เสียงปะทะของดาบดังก้องไปทั่วบริเวณ ไม่นานนัก 3 ดาบก็ผ่านไป อันเฟลยืนลุ้นด้วยใจระทึก ทหารรอบๆไม่มีใครสนใจว่าใครจะชนะเพราะเป็นของตายอยู่แล้ว แต่อิโนมาทาร์กับฮอว์คเฮลมไม่คิดเช่นนั้น ทั้งคู่ตกใจและทึ่งในความสามารถของรันน่อนอย่างมาก แม้กำลังจะแพ้กันมากมาย แต่ความเร็ว ประสาทและการตอบสนองของเขาไม่มีที่ติ ทั้งคู่ต่างคิดเหมือนกัน “ซักวัน เด็กคนนี้จะเป็นยอดนักดาบ” เมื่อ 3 ดาบผ่านพ้น รันน่อนถอยออกมายืนเช่นเดิม ฮอว์คเฮลมหัวเราะอีกครั้ง
“ยอด ยอดเยี่ยมมาก!!ข้าเห็นพัฒนาของเจ้าแล้ว เจ้าจะเป็นยอดนักดาบซักวัน . . . แต่ในตอนนี้ เจ้ายังขาดอีกมากที่จะชนะข้า!!”
“จริงขอรับ”
ทุกคนงงงันที่รันน่อนยอมรับออกมาเสียเช่นนั้น และไม่มีท่าทียินดียินร้ายอะไรกับคำชมเลย อิโนมาทาร์พูดขึ้น
“เจ้ายอมรับว่าเจ้าไม่สามารถสู้ได้?”
“ขอรับ อาจารย์หญิง”
“งั้นจงถอยไปซะ”
“ข้าไม่สามารถ”
ทั้งหมดงงงันอีกครั้ง ทั้งๆที่บอกว่าสู้ไม่ได้ แต่เขาก็ยังยืนกรานที่จะยืนขวางทาง
“เรื่องของฝีมือเป็นเรื่องหนึ่ง แต่เรื่องของเพื่อนและสหายเป็นอีกเรื่องหนึ่ง ข้าไม่สามารถจะทอดทิ้งสหายเพียงเพราะฝีมือของข้าอ่อนด้อยได้ นี่เป็นคุณธรรมของข้า”
ฮอว์คเฮลมพยักหน้า
“นี่แหละสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่าลูกผู้ชาย ข้าชมเชยเจ้าจากใจจริง. . .ถ้าอย่างนั้นข้าจะไม่ออมมือล่ะนะ!!”
“หยุดนะ!!”
อันเฟลจับผ้าคลุมกันฝนเดินเข้ามาที่ตรงกลางวง ใบหน้าของเธอยังซ่อนอยู่ใต้ผ้าคลุม เธอหันมาทางรันน่อน
“ความเป็นสหายของเจ้าพิสูจน์แล้ว เหลือแต่ของข้าเท่านั้น. . .”
“ข้าไม่ยอมให้สหายของข้าต้องเดือดร้อนเพียงเพราะข้าเด็ดขาด ถ้าพวกท่านสงสัยนักว่าข้าเป็นใคร ข้าก็จะบอกให้”
เธอถอดผ้าคลุมหัวออกแล้วแก้เปียทั้ง 2 ข้าง ก่อนจะใช้นิ้วสางปล่อยผมที่ถักให้กลายเป็นเช่นเดิมที่เคยเป็น ฮอว์คเฮลมและอิโนมาทาร์ถอยลงไปนั่งคุกเข้าทันที ทหารที่ตามมาก็นั่งคุกเข้าลงเช่นกัน เหลือเพียงทหารรุ่นเดียวกันกับรันน่อนและตัวรันน่อนเองที่ไม่เข้าใจ อิโนมาทาร์พูดขึ้นเสียงดัง
“พวกเจ้ารีบคุกเข้าลง!!เจ้าหญิงอาเอลทรงยืนอยู่เบื้องหน้าแล้ว!!”
ทหารที่เข้ามาหาเรื่องหน้าถอดสีและคุกเข่าลงอย่างรวดเร็ว รันน่อนเองก็คุกเข้าลงเช่นกัน แต่อาเอลรีบห้าม
“ไม่ต้องนั่งลงหรอก รันน่อน สหายข้า”
“แต่ข้าน้อยไม่. . .”
“ข้าบอกให้ลุกขึ้น”
รันน่อนลุกขึ้นอย่างเสียไม่ได้ มองดูหญิงสาวที่อยู่ตรงหน้าอีกครั้ง บัดนี้เธอดูเปลี่ยนไปเป็นคนละคน ทั้งสูงสง่ามีราศี แต่ยังคงไว้ซึ่งความงาม ทหารชั้นล่างไม่มีวันจะได้เห็นเธออยู่แล้ว เพราะเธอคือเจ้าหญิงที่คีตกวีของยุคกล่าวขานว่าสวยงามที่สุดในแว่นแคว้นรอบๆ อาเอลยิ้มเฉิดฉาย
“ข้าไม่น่าทำให้เจ้าต้องมีเรื่องเลย”
“โปรดอย่าทรงตรัสเช่นนั้น ข้าผู้น้อยไม่. . .”
“อย่าได้พูดอะไรอีก”
เธอเดินช้าๆออกไป ทหารที่ขวางทางแหวกออกเป็นทางให้เธอได้ผ่าน เธอหยุดเดินแล้วพูดพึมพำ
“เฮ้อ~ ในที่สุดความก็แตกจนได้ แบบนี้ข้าก็มาเล่นอย่างนี้ไม่ได้แล้วสิ”
เธอเหลือบมองพวกที่หาเรื่องรันน่อนอีกที
“ทั้งหมดก็เป็นเพราะพวกเจ้าแท้ๆเลยเชียว ไว้ข้าจะตอบแทนทีหลังก็แล้วกัน”
ทหารที่หาเรื่องเขากลัวจนตัวสั่น หน้าซีดเซียว อาเอลหันไปมองข้างหน้าแล้วเดินออกไปพลางตรัส
“ข้าจะนำผ้าคลุมนี้มาคืนให้เจ้าแน่ สหายข้า ด้วยมือของข้าเอง”
ทหารที่ประตูค่ายรีบเปิดประตูค่าย อาเอลเดินออกไปช้าๆแล้วมุ่งหน้าไปทางปราสาท ก่อนที่ประตูจะปิด บดบังสายตาของทั้งหมดไป. . .
ตั้งแต่วันนั้นมา ทหารทุกคนยำเกรง หรือเรียกได้ว่ากลัวรันน่อน ในฐานะพระสหายขององค์หญิงอาเอล ทหารที่หาเรื่องเขาแทบจะไม่โผล่มาให้เขาเห็นอีกเลย แม้กระทั่งฮอว์คเฮลมและอิโนมาทาร์ยังดูเกรงใจเขามากขึ้น แต่รันน่อนใช้ฐานนะที่มีเบ่งอำนาจหรือไม่? เปล่าเลย เขายังคงเป็นนักเรียนทหารเช่นเดิม ยังคงถามเมื่อไม่เข้าใจ ยังคงตื่นแต่เช้าออกมาฟันลม 1000 ครั้ง ยังตั้งหน้าตั้งตาฝึกต่อไปเหมือนวันเวลายังเช่นเดิม แม้กระทั่งเวลาที่ทานอาหาร เขาก็ยังทานที่หลังโรงจ่ายอาหารเช่นเดิมไม่แปรเปลี่ยน คล้ายยังนั่งรอเธอ แต่อาเอลก็มิได้มา จนในที่สุด วันเวลาก็ผ่านไป จนวันที่ได้รับบรรจุเป็นองครักษ์ป้องกันปราสาทก็มาถึง ทุกคนได้ใส่ชุดทหารองครักษ์อย่างที่ตั้งใจ ในช่วงที่กำลังประกาศหน่วยที่สังกัดนั้นเอง เธอก็มาในที่สุด
“เจ้าหญิงอาเอลสเด็จแล้ว!!”
ทหารในห้องโถงรวมมองกันอย่างงุนงง คนที่รู้เรื่องหันไปมองรันน่อน กระทั่งหัวหน้าทั้ง 2 อย่างฮอว์คเฮลมและอิโนมาทาร์ก็ตาม รันน่อนเองทำเฉยเช่นเดิม ประตูเปิดออกพร้อมเจ้าหญิงอาเอลและอำมาตย์เคราเงินลูมินเดีย ผู้ปรึกษาขององค์กษัตริย์ก็ตามมาด้วย ทั้งห้องคุกเข้าลงอย่างรวดเร็ว เจาหญิงอาเอลในชุดขาวยาวลากพื้นเดินเข้ามาหาฮอว์คเฮลมและอิโนมาทาร์
“ขออภัยหัวหน้าองครักษ์ทั้ง 2 ข้ามารบกวนไม่นานหรอก”
ลูมินเดียเดินขึ้นไปบนแท่นเวทีแล้วเปิดหนังสือคำสั่งสีทอง ทั้งหมดรู้ว่าเป็นพระบัญชาจากองค์กษัตริย์แน่นอน ลูมินเดียกระแอมเบาๆแล้วอ่าน
“ข้าขอแต่งตั้งองครักษ์ป้องกันปราสาท รันน่อน ฟาเอลล์ เป็นราชองครักษ์ส่วนพระองค์ขององค์หญิงอาเอล ซิลรามิน โดยให้เข้ารับการแต่งตั้งจากข้า กษัตริย์ เดววา ซิลรามิน ในวันนี้”
“นี่เป็นหมายเรียกตัวจากองค์กษัตริย์ที่ข้าผู้เฒ่าต้องลากสังขารมาแทนพระองค์. . .รันน่อน ฟาเอลล์อยู่ที่ไหนกันรึ?”
รันน่อนลุกขึ้นเดินออกมาข้างหน้า หยุดที่หน้าองค์หญิงอาเอลและอำมาตย์ลูมินเดีย ก่อนจะคุกเข้าลง
“ข้าน้อย รันน่อน ฟาเอลล์ขอรับ”
“ตามข้าไปที่ปราสาท เราจะไปในบัลดล”
ลูมินเดียเดินออกไปช้าๆ ตามด้วยอาเอลที่ยิ้มให้รันน่อนทีหนึ่งแล้วเดินตามไป รันน่อนเองเดินปิดท้าย ผ่านกองทหารอารักขาไปที่รถม้าที่มีอยู่ 2 คัน โดยลูมินเดียเดินขึ้นรถม้าคันหนึ่ง อาเอลขึ้นอีกคันหนึ่ง รันน่อนกำลังจะรับม้าจากทหาร อาเอลเบรกไว้ก่อน
“ขึ้นมาในรถม้ากับข้า รันน่อน”
ทหารอารักขามองหน้ากัน รันน่อนเองก็งงๆ อาเอลหรี่ตาแล้วพูด
“นี่คือคำสั่ง”
รันน่อนเดินขึ้นรถม้าคันเดียวกับเธออย่างเสียไม่ได้ ขบวนค่อยๆเคลื่อนออกไป อาเอลที่นั่งอยู่ส่งผ้ามาให้ผืนหนึ่ง
“นี่ ผ้าคลุมกันฝนของเจ้า ขอโทษที่ไม่เอาไปคืนซะที”
“ของของคนต่ำต้อยเช่นข้า องค์หญิงทรงเก็บไว้ ข้าก็ยินดีมากแล้ว”
“ข้าก็ดีใจมากแล้ว. . .ห้ามพูดแบบนั้นต่อหน้าข้า รันน่อน ฟาเอลล์”
เธอเลียนเสียงตามเขาแล้วชี้หน้าพูดเสียงดัง
“ในฐานะราชองครักษ์ส่วนตัวของข้าและในฐานะสหายข้า ข้าห้ามไม่ให้เจ้าพูดเป็นงานเป็นการกับข้าแบบนั้นอีก นี่เป็นกฎข้อแรก!!”
“แล้วข้ออื่นล่ะขอรับองค์หญิง”
“ห้ามเรียกข้าว่าองค์หญิงเด็ดขาด!!”
รันน่อนมองเธอแบบนิ่งๆ อาเอลพ่นลมหายใจพรืด
“ข้าคงจะห้ามไม่ให้เจ้าทำหน้าซังกะตายแบบนั้นไม่ได้ เข้าใจว่านั่นเป็นหน้าของเจ้า แต่ข้าอยากให้เจ้าพูดกับข้าดั่งสหาย เหมือนดั่งตอนที่เรายังไม่รู้จักกัน”
“องค์หญิงทรงพอพระทัย?”
อาเอลทำปากป่องคล้ายเก็บความโกรธอยู่ ทำให้รันน่อนหัวเราะฮาฮา
“ข้าเข้าใจแล้ว ข้าเองก็ไม่อยากพูดกับสหายเช่นนั้นเหมือนกัน”
“เพราะสหายเท่าเทียมกัน”
อาเอลทำหน้าบึ้งแล้วมองออกไปนอกหน้าต่าง รันน่อนมองดูผ้าคลุมกันฝนในมือ
“นี่แน่ะ อาเอล เจ้าเอาผ้าคลุมกันฝนข้าไปใช้จนหมดหน้าฝนเลย ทำให้ข้าเดือดร้อนทั้งฤดูเชียว”
อาเอลยิ้มออกที่เขายอมพูดกับเธอเช่นสหายในที่สุด เธอกอดอก
“นึกว่านายจะได้ผ้าคลุมใหม่ซะอีก ทหารองครักษ์ยากจนขนาดนั้นเลยรึ?”
“เปล่า ข้ามัวแต่รอว่าเมื่อไรเจ้าจะเอามาคืน เลยต้องนั่งตากฝนรออยู่หลังโรงจ่ายอาหารเลย”
“นี่เจ้ายังนั่งกินข้าวตรงนั้นอีกเหรอ!?”
“ข้าจะนั่งตรงไหนก็เรื่องของข้า แต่ข้าได้บทเรียนอย่างนึง”
“อะไร?”
“ห้ามให้เจ้ายืมเงินเป็นอันขาด”
“ข้าเนี่ยนะจะยืมเงินเจ้า!?!”
“ไม่รู้แหละ ขนาดผ้าคลุมนี่กว่าจะเอามาคืนยังเป็นเดือนๆ ขืนเป็นเงิน ข้าคงอดตายแน่”
“เจ้าบ้าแล้ว ข้าไม่ขัดสนขนาดยืมเงินเจ้าหรอก!!”
“ไม่รู้แหละ เจ้านี่ไม่มีเครดิตซะเลย”
“ว่าไงนะ!!”
ระหว่างที่ทั้งคู่สนทนาตามประสาสหายกัน รถม้าก็ค่อยๆเข้าสู่ตัวปราสาทขาว รันน่อนได้รับพระราชทานตราตำแหน่งองครักษ์ที่แทบจะสูงที่สุดในอาณาจักรและดาบเล่มหนึ่งซึ่งทำขึ้นเพื่อเขาโดยเฉพาะ อาเอลนั่งอยู่ข้างองค์ราชินี ยิ้มให้เขาตลอดเวลาการแต่งตั้ง แล้วเรื่องทั้งหมดในฐานะเด็กชายผู้เป็นองครักษ์และเจ้าหญิงที่อายุไล่เลี่ยกันก็เริ่มขึ้น. . .
“นี่ รันน่อน เจ้าจะพูดว่าเจ้าไม่ดีใจเลยเหรอที่เราได้เจอกันน่ะ”
“ไม่รู้สิ ทำไมข้ารู้สึกว่าวันเวลาที่ผ่านมาเป็นนรกก็ไม่รู้”
“หยาบคายมาก รันน่อน ฟาเอลล์!!”
“แล้วจะทำไม อาเอล ซิลรามิน ข้าต้องทนเจ้าแกล้งสารพัด คอยตามล้างตามเช็ดสิ่งที่เจ้าก่อไว้ สุดท้ายก็ต้องเป็นม้าเป็นลาให้เจ้าขี่เนี่ย”
“ไม่อยากให้ขี่ ข้าก็เดินเองก็ได้”
อาเอลดิ้นจะลง รันน่อนหยุดเดินพลางพูด
“แต่นั่นมันก็คืออดีต. . .”
“ใช่ ผ่านมาตั้ง 4 ปีแล้ว”
“จริงของเจ้า 4 ปีนี่เร็วจริงๆ”
“แล้วยังไงล่ะตอนนี้?”
“หืม?”
“เจ้าบอกว่าเวลาเมื่อก่อน แล้วตอนนี้ล่ะ?”
“ก็นะ. . .ถึงจะเป็นนรก ข้าก็ชินซะแล้วล่ะ”
“นี่เจ้ายังไม่เลิกใช่ไหม?”
“ยังขอรับองค์หญิง”
“ห้ามเรียกข้าว่าองค์หญิง!! ต้องให้ข้าบอกอีกกี่ครั้ง!! รันน่อน ฟาเอลล์!!”
“อีก 32 ครั้งก็ครบ 100 แล้ว. . .ไปเถอะ”
“ไปไหน?ตอนบ่ายจะเอาข้าไปทรมาณที่ไหนอีกล่ะ?”
“. . .ตอนบ่ายข้าสัญญาแล้วว่าจะไปทานอาหารกันที่สวนมิใช่หรือ?”
“อ้า~ นับว่าเจ้ายังจำได้ ข้าล่ะตั้งหน้าตั้งตารอเชียว”
“อยากทานอะไรล่ะ เอาเป็นหนูป่าผัดน้ำมันกับผักดีไหม?”
“ไม่เอาเด็ดขาด!!”
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น