ใต้เงามนตรา ตอน 12 - นิยาย ใต้เงามนตรา ตอน 12 : Dek-D.com - Writer
×

    ใต้เงามนตรา ตอน 12

    หนึ่งชีวิต...ครองความเป็นใหญ่ หนึ่งชีวิต...ความตายเป็นผู้พลัดพราก หนึ่งชีวิต...ต้องจากเทพศิลานครไปตลอดกาล นี่คือชะตากรรมของสามบุรุษผู้ล่วงผ่านมิติเวลา!

    ผู้เข้าชมรวม

    96

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    2

    ผู้เข้าชมรวม


    96

    ความคิดเห็น


    0

    คนติดตาม


    0
    หมวด :  รักอื่น ๆ
    จำนวนตอน :  0 ตอน
    อัปเดตล่าสุด :  16 ส.ค. 66 / 11:30 น.
    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ

    ใต้เงามนตรา บท12

     

    แสงสีทองของอรุณรุ่งสาดทอขอบฟ้าพร้อมๆ กับหมู่สกุณาบินออกจากรวงรัง แม้อากาศจะหนาวเหน็บด้วยสายหมอกที่พร่างพรูละอองหนาไปทั่วทั้งบริเวณลานผาหินกว้าง หากร่างของภิกษุชราในจีวรน้ำตาลหม่นก็ยังคงนั่งสงบนิ่ง สายตาทอดจับผืนฟ้าที่บัดนี้แสงสีทองกำลังแผ่วงกระจาย ตัว พร้อมๆ กับสุริยาที่เริ่มลอยผ่านเหลี่ยมขุนเขาขึ้นสู่เบื้องบน

    หากเทพศิลานครสุกสว่างดั่งเช่นท้องฟ้าขณะนี้ตลอดไปก็คงจะดี...

    ภิกษุชราทอดถอนใจให้กับบางสิ่งบางอย่างที่ได้รับรู้ในฌานสมาธิ หากเพียงครู่เมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าดังขึ้นจากเบื้องหลัง หลายสิ่งหลายอย่างที่ทำให้เกิดความกังวลจึงถูกวางลง

    “อากาศหนาวเช่นนี้ ไยมินอนต่อกันเล่า”

    สามร่างที่เดินตามกันออกมาจากภายในโถงถ้ำนั่งลงเบื้องหน้าภิกษุชราที่ยังคงนั่งขัดสมาธิ อยู่บนหินก้อนใหญ่

    “เมื่อคืนนอนกันแต่หัวค่ำ ความจริงตอนกลางคืนก็ตื่นกันหลายครั้งครับ ครูบา”

    หะรินตอบภิกษุชรา

    “อากาศหนาวมากจนนอนไม่หลับกันเช่นนั้นรึ”

    คราวนี้หะรินหันไปสบตาปิยะนัฐแล้วยิ้มให้กัน

    “ค่ำคืนต่อไปพวกเจ้าก็ไม่ต้องมาทนนอนหนาวกันอยู่ในถ้ำอีกแล้ว วันนี้เราจะให้สมิงพันตาตากับสมิงพระนายนำพวกเจ้าไปยังที่พักใหม่ภายในเมือง”

    “ครูบาครับ ความจริงพวกเราไม่ได้นอนไม่หลับเพราะอากาศที่หนาวจัดหรอกครับ แต่เพราะเจ้าภูมันนอนโอดโอยของมันทั้งคืน”

    คราวนี้ภิกษุชรามองสำรวจร่างของผู้ที่เพื่อนเอ่ยถึง

    “เอ...ทำไมจึงร้องโอดโอยทั้งคืนเล่า ไม่สบายหรืออย่างไร”

    ภูวดลส่งยิ้มแห้งๆ ให้ภิกษุชราก่อนจะตอบท่านออกมาด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา

    “ไม่ได้ไม่สบายหรอกครับ เพียงแต่ขัดยอกไปทั้งตัวเท่านั้นเอง ทำให้นอนไม่หลับ”

    “ขัดยอก...แล้วไปทำสิ่งใดมาเล่า ถึงได้ขัดยอกไปทั้งตัว”

    คราวนี้ภิกษุชราได้เห็นรอยยิ้มเปิดกว้างจากชายหนุ่มก่อนได้รับคำตอบ

    “ไปหัดขี่ม้ามาน่ะครับท่านครูบา”

    “อ้าว ไปตกม้ามาเช่นนั้นรึ”

    “ครับ...”

    ภูวดลตอบพร้อมใบหน้าแหยๆ เมื่อขยับท่านั่งแล้วรู้สึกเจ็บจี๊ดขึ้นมาที่บั้นเอว

    “อย่าบอกนะว่าเจ้าสมิงพันตาพาเจ้าไปฝึกขี่ม้า”

    ภิกษุชราพูดถึงศิษย์ พร้อมๆ กับพอจะเดาอะไรขึ้นมาได้เลาๆ เพราะนับจากคนทั้งห้าได้พบ

    กัน ท่านก็พอจะดูออกว่าระหว่างสมิงพันตากับหนุ่มผู้นี้มีอะไรที่ไม่ค่อยจะลงรอยกันนัก หรือว่าการบาดเจ็บครั้งนี้ของเจ้าภูวะ เกิดจากฝีมือของสมิงพันตา

    “ภูวะ ตอบเรามา สมิงพันตาใช่หรือไม่เป็นผู้นำเจ้าไปขี่ม้า”

    ภูวดลยิ้มเจื่อนๆ ก่อนตอบ

    “ครับ ครูบา แต่เราก็ขี่กันทุกคน เพียงแต่ม้าที่สมิงพันตานำมาให้ผมขี่ มันเป็นม้าพยศกว่าทุกตัว ก็เลยถูกมันดีดตกลงมาเคล็ดขัดยอกอยู่แบบนี้”

    ครูบาผาเหมยถอนใจออกมา แล้วส่ายหน้าให้กับนิสัยพาลของผู้เป็นศิษย์

    “สมิงพันตามักจะเล่นพิเรนทร์ๆ เช่นนี้เสมอ เห็นทีจะต้องตักเตือนเสียบ้างแล้ว”

    สามหนุ่มสบตากันกับคำนั้นของภิกษุชรา ก่อนที่หะรินจะเอ่ยคำหนึ่งออกมาเพื่อไม่ให้ท่านเป็นกังวล

    “ความจริงสมิงพันตาก็แค่หวังดี อยากให้พวกเราขี่ม้าได้คล่องเท่านั้นเองครับ คงไม่ต้องถึงกับตักเตือนอะไร”

    “สองคนนั่นเป็นศิษย์ของเรา นิสัยใจคอเป็นอย่างไรเรารู้ดี สมิงพันตาก็เป็นอย่างนี้แหละ มุทะลุ ดุดัน และบางครั้งก็ห้าวหาญเกินควร คนที่มีสิ่งร้ายๆ ฝังอยู่ในใจมักจะเป็นเช่นนี้เสมอ”

    คำสุดท้ายของครูบาผาเหมยทำให้ชายหนุ่มทั้งสามจับสายตานิ่งมายังท่านเป็นจุดเดียว ไม่เข้าใจในคำที่ว่า คนที่มีสิ่งร้ายๆ ฝังอยู่ในใจมักจะเป็นเช่นนี้เสมอ...แม้ทั้งสามจะรู้ว่าท่านหมายถึงสมิงพันตา แต่ทั้งสามก็ไม่กล้าถามถึงรายละเอียด กระทั่งท่านตัดสินใจเล่าบางสิ่งบางอย่างเกี่ยวกับลูกศิษย์ออกมาเอง

    “ต่อไปพวกเจ้าทั้งสามจะต้องทำการต่างๆ กับศิษย์ของเรา เราอยากให้พวกเจ้ารู้จักสมิงพันตากับสมิงพระนายให้มากกว่านี้”

    ภิกษุชรากวาดสายตามองบุคคลทั้งสามแล้วเหม่อมองไปยังทิศทางหนึ่งด้วยสีหน้าราวกำลังทบทวนถึงบางสิ่งบางอย่าง

    “สมิงพระนายกับสมิงพันตามิใช่คนเมืองนี้ เราหมายถึงแผ่นดินเกิด”

    “เอ๊ะ! ไม่ใช่ชาวเมืองนี้ แล้วสองคนนั่นเป็นชาวเมืองไหนล่ะครับครูบา”

    ภูวดลขยับเข้าไปจนชิดโขดหิน เพราะเกิดความประหลาดใจต่อที่มาของคู่ปรับของตน

    “เมื่อยี่สิบกว่าปีก่อน แถบทางเหนือเกิดศึกระหว่างเมืองต่างๆ ขึ้น เมืองใหญ่ประสงค์จะได้เมืองเล็กๆ ให้อยู่ในอาณัตของตัวเอง เมืองใดยินยอมก็จะส่งบรรณาการ ข้าวของมีค่า หรือแม้กระทั่งส่งธิดาของตัวมอบให้กับเมืองใหญ่ผู้รุกรานเพื่อจะให้เมืองของตนพ้นผ่านจากการศึกสงคราม ส่วน

    เมืองใดที่ไม่ยินยอมก็จะปักหลักสู้ ทั้งๆ ที่รู้ ผลที่ออกมามีเพียงสถานเดียวคือความพ่ายแพ้ ครั้งนั้นหลายเมืองเล็กๆ ต้องล่มสลายลง รวมทั้งนครคีรี...”

    “แสดงว่าสมิงพันตากับสมิงพระนายเป็นคนของนครคีรีใช่มั้ยครับ”

    ภูวดลถาม เมื่อภิกษุชราเว้นจังหวะของการบอกเล่า

    “ใช่...เรายังจำเหตุการณ์วันนั้นได้ดี วันที่เด็กชายคู่หนึ่งสลบไสลติดอยู่ในซากแพที่แตกกระจัดกระจายอยู่ ณ บริเวณแก่งใหญ่ก่อนจะเข้าสู่เขตของเทพศิลานคร...”

    ภิกษุชราทอดถอนใจเมื่อภาพของวันวานปรากฏขึ้นในห้วงนึก

    “แพแตก ยังไงหรือครับครูบา”

    ปิยะนัฐเองก็ตื่นเต้นกับที่มาของสองบุรุษหนุ่มที่เพิ่งได้รู้จัก

    “เมื่อนครคีรีถูกตีแตก เจ้าผู้ครองเมืองกับเจ้านางของพระองค์ยอมพลีชีพด้วยรักศักดิ์ศรีอยู่ที่เมืองแห่งนั้น แต่พระองค์ทำใจไม่ได้ที่จะต้องสูญเสียโอรสเพียงองค์เดียวให้แก่ศึกสงคราม พระองค์จึงตัดสินใจให้ข้ารับใช้นำโอรสหนีลงใต้ เพื่อมาขอพึ่งใบบุญจากเทพศิลานคร เมืองมิตรที่ติดต่อค้าขายกันมายาวนาน...”

    ครูบาผาเหมยหยุดคำลงอีกครั้ง ขณะสามหนุ่มผู้มาจากแดนไกลไม่มีใครเอ่ยปากสอดแทรกขึ้นมา ทั้งๆ ที่ในความเป็นจริง บัดนี้ในความคิดของทุกคนต่างสงสัย ใครคือบุตรชายแห่งเจ้านครคีรี สมิงพันตาหรือว่าสมิงพระนาย...

    “เช้าตรู่วันนั้น เราพบซากศพผู้คนนับสิบ หากมีชีวิตหนึ่งที่ยังมิได้สิ้นใจ คนผู้นั้นบอกฝากฝังเด็กชายคู่หนึ่งไว้กับเรา ทั้งๆ ที่ตัวเองก็ไม่แน่ใจว่าเด็กชายทั้งสองจะยังมีลมหายใจอยู่หรือไม่ และก่อนสิ้นใจ คนผู้นั้นได้มอบสาส์นที่เจ้านครคีรีส่งถึงองค์พิงคะให้แก่เรา และนับจากเวลานั้น องค์พิงคะก็มอบเด็กชายทั้งสองให้เป็นศิษย์ของเรา ส่วนองค์พิงคะเองก็มอบความรักความเมตตาให้กับเด็กชายทั้งสองประหนึ่งสายเลือดของพระองค์เอง”

    ภิกษุชราหยุดเล่าพร้อมๆ กับความเงียบเข้าครอบคลุมบริเวณ หากเพียงครู่ ภูวดลก็เอ่ยถามถึงสิ่งที่ตนยังคลุมเครือ

    “ท่านครูบาครับ แล้วใครเป็นโอรสแห่งนครคีรีหรือครับ”

    ภิกษุชราส่งยิ้มให้ภูวดล ก่อนบอกยิ้มๆ

    “คู่ปรับของเจ้าน่ะ เป็นบุตรของขุนนางผู้ใกล้ชิดเจ้านครคีรี”

    “ถ้าเช่นนั้น โอรสของเจ้านครคีรีก็คือสมิงพระนาย...”

    ภูวดลเอ่ยขึ้นมาแผ่วเบา

    “ใช่...พวกเจ้ารู้ที่มาของสองคนนั้นแล้ว มีสิ่งหนึ่งที่เราอยากจะร้องขอ”

    ครั้งนี้สามใบหน้าเต็มไปด้วยความสงสัย...ครูบาผาเหมยจะร้องขอสิ่งใดจากพวกตน?

    “พวกเรายินดีทำตามที่ท่านครูบาจะขอครับ”

    ปิยะนัฐเป็นผู้ตอบออกมา เมื่อเห็นครูบาผาเหมยมีสีหน้าราวลังเลที่จะพูด

    “ในครั้งที่เกิดเหตุการณ์เลวร้ายกับชีวิต สมิงพันตาอายุ 8 ปี ส่วนสมิงพระนายมีอายุเพียง     4 ปีเท่านั้น ในขณะที่สมิงพระนายจดจำเหตุการณ์ในอดีตได้เพียงเลือนราง หากสมิงพันตากลับจดจำสิ่งเลวร้ายที่เกิดกับบ้านเมืองของตนได้แจ่มชัด ภาพความหลังที่ฝังอยู่ในใจ ทำให้สมิงพันตามีอุปนิสัยก้าวร้าวในบางครั้ง มุทะลุ ไม่ยอมใคร สิ่งนี้เราเองก็หนักใจ เพราะไม่ว่าจะขัดเกลาจิตใจของเขาสักเพียงใด สิ่งที่ฝังใจก็ยังไม่อาจลบเลือน เราจึงอยากขอร้องพวกเจ้าทั้งสาม หากมีสิ่งใดที่สมิงพันตาทำให้ระคายเคืองใจก็จงอย่าได้ถือสา เรากล้ารับรองกับพวกเจ้าว่า หัวใจแท้จริงของสมิงพันตามิได้เลวร้ายแต่ประการใด...”

    จบประโยคนั้น ภิกษุชราได้รับรอยยิ้มจากทั้งสามใบหน้าที่กำลังส่งมายังท่าน และนั่นคือคำยืนยัน...สมิงพันตาจะไม่เป็นที่รังเกียจของบุคคลทั้งสามอย่างแน่นอน!

     

    ตะวันสายขับไล่ม่านหมอกให้บางเบา ขณะที่ปิยะนัฐ หะรินและภูวดลยังคงนั่งสนทนากันอยู่ตรงลานผาหน้าถ้ำเกี่ยวกับความเป็นมาของสองศิษย์แห่งครูบาผาเหมยที่เพิ่งได้รู้เมื่อช่วงเช้าที่ผ่าน ไม่นานผู้ที่ถูกกล่าวถึงทั้งสองก็ปรากฏตัว...

    ขณะที่สมิงพันตาส่งยิ้มขบขันมายังภูวดล เจ้าตัวก็ต้องพบกับความแปลกใจเป็นอย่างยิ่งที่อีกฝ่ายมิได้มีกิริยาใดโต้ตอบกลับมาเหมือนเช่นทุกครั้ง นอกจากรอยยิ้มกระจ่างที่ดูราวกับว่าจะออกมาจากหัวใจที่แท้จริง

    “ท่านพี่ วันนี้ข้ากับท่านพี่สมิงพันตาจะมารับพวกท่านไปอยู่ที่พักใหม่ แต่ข้าต้องขอเข้าไปพบครูบาท่านสักครู่”

    สมิงพระนายทักทายทุกคนด้วยรอยยิ้มแล้วเดินตามร่างของสมิงพันตาที่ไม่ได้เอ่ยคำทักทายใครๆ

    “ถึงว่า สมิงพระนายดูดี ที่แท้ก็เป็นถึงสายเลือดของเจ้าเมืองนี่เอง”

    ภูวดลเปรยขึ้น ขณะสายตายังมองตามสองร่างที่เพิ่งเดินผ่านไป

    “ภู...รู้สึกอะไรในคำพูดของครูบาเมื่อครู่มั้ย”

    หะรินหันมาถามภูวดล

    “คำพูดไหนล่ะ?”

    “ก็ที่ว่าองค์พิงคะเมตตาต่อสองคนนั่นราวกับเลือดเนื้อของพระองค์เอง”

    ครั้งนี้ภูวดลพอจะเท่าทันในความคิดของเพื่อน

    “นายกำลังคิดถึงท่าทางและคำพูดที่องค์พิงคะแสดงออกกับสองคนนั่นตอนที่เราเข้าเฝ้าที่ตำหนักหลวงเมื่อวานใช่มั้ยริน”

    หะรินพยักหน้าพร้อมๆ กับอาการใจหายวูบ...

    เท่าที่เห็น องค์พิงคะเมตตาสมิงพันตากับสมิงพระนายเป็นอย่างยิ่ง แต่จะมีอะไรมากกว่านั้นหรือไม่หนอ?

    หะรินได้แต่ครุ่นคิด พร้อมๆ กับที่ใบหน้าหวานละมุนผ่านแว่บเข้ามา

    “เฮ้อ...นายสองคนนี่ถ้าจะอาการหนัก”

    ประโยคของปิยะนัฐทำให้ทั้งหะรินและภูวดลสะดุ้ง

    “อยากรู้ว่าความสัมพันธ์ของสองคนนั่นกับเจ้านางทั้งสองเป็นยังไง ถามสมิงพันตาไปตรงๆ 

    ก็ได้นี่ รายนั้นน่ะเขาตรงอยู่แล้ว คงจะไม่ปิดบังพวกนายหรอก...”

    ปิยะนัฐแนะนำยิ้มๆ หากผู้ที่ได้รับคำแนะนำกลับโวยวาย

    “ไปถามอย่างนั้นก็เสียฟอร์มตายน่ะสินัฐ นะรินนะ”

    ภูวดลพูดด้วยความคะนองปาก แล้วก็ต้องชะงักด้วยคำของหะริน

    “น้อยๆ หน่อยวะเจ้าภู พูดยังกะว่าเจ้านางมาสนใจงั้นแหละ”

    คนถูกเบรกสีหน้าเจื่อน หากเมื่อคิดจะตอบโต้กลับก็ต้องชะงักคำไว้แค่นั้น เพราะสองร่างที่กำลังถูกพูดถึงเดินย้อนกลับออกมาพร้อมๆ กับร่างของครูบาผาเหมยที่เดินตามมาด้านหลัง

    “เจ้าทั้งสาม วันนี้จะได้ไปพักที่ในเมืองแล้วนะ”

    สามหนุ่มคุกเข่าแล้วกราบลงตรงหน้าภิกษุชรา ซาบซึ้งในความเมตตาของท่านเป็นอย่างยิ่ง

    “หากพวกเจ้าจะมาหาเราก็มาได้ทุกเวลา”

    ภิกษุชราเอ่ย ก่อนจะหันไปกำชับศิษย์ทั้งสองของตน

    “สมิงพันตา สมิงพระนาย ดูแลพวกเขาให้เป็นอย่างดี อย่าลืมสิ่งที่เราพูด”

    ปิยะนัฐรู้สึกแปลกๆ ในคำพูดธรรมดาๆ นั้นเป็นยิ่งนัก

    อย่าลืมสิ่งที่เราพูด...คำนั้นครูบาผาเหมยหมายความว่าอย่างไร ท่านพูดสิ่งใดกับศิษย์ทั้งสองเกี่ยวกับพวกตน

    “จงไปกันเถิด”

    ชายหนุ่มทั้งห้าก้มกราบภิกษุชราที่ทอดสายตาจับแต่ละดวงหน้าด้วยแววปรานี...ไม่มีชีวิตใดจะรู้ บัดนี้ในดวงจิตของภิกษุชรากำลังคิดเช่นไร

    คนทั้งห้าเดินตามกันออกไปจนลับสายตา ขณะภิกษุชราทอดถอนใจในชะตาชีวิตของแต่ละคน...นี่คือบุคคลที่จะเคียงบ่าเคียงไหล่กันในสนามรบ นี่คือบุคคลที่ถูกเลือกให้มารับความสุขความทุกข์ในดินแดนแห่งนี้

     

    เรือนไม้หลังใหญ่ที่ปรากฏอยู่ตรงหน้าขณะนี้ทำให้ปิยะนัฐ หะรินและภูวดลต่างหันไปมองหน้าสมิงพันตาที่นำพวกตนมาหยุดอยู่ตรงหน้าเรือนโดยไม่พูดคำใด

    “สมิงพระนาย เรือนหลังนี้หรือที่จะให้พวกเราพัก”

    ภูวดลเบือนหน้าไปยังสมิงพระนาย ก่อนจะถามให้แน่ใจกับการคาดเดาของตัวเอง

    “ใช่แล้วท่านพี่ ความจริงเรือนพวกนี้จะใช้รับรองแขกบ้านแขกเมืองคนสำคัญเท่านั้น ครั้งนี้องค์พิงคะทรงรับสั่งให้พวกข้านำท่านมาเลือกเรือนพวกนี้เป็นที่พักพิง นับว่าพระองค์ให้เกียรติพวกท่านเป็นอย่างยิ่ง”

    ชายหนุ่มทั้งสามกวาดสายตาสำรวจไปยังเรือนไม้แต่ละหลังซึ่งปลูกห่างกันพอสมควร แม้จะไม่มีรั้วกั้นบ่งบอกถึงบริเวณของเรือนแต่ละหลัง หากพุ่มไม้ใบหนาที่ปลูกเรียงรายอัดแน่นอยู่รอบๆ บริเวณตัวเรือนแต่ละหลังก็ใช้แทนรั้วกั้นได้เป็นอย่างดี

    “ที่ท่านพี่กับข้าตกลงใจเลือกเรือนหลังสุดท้ายนี้ให้เป็นที่พักของพวกท่านก็เพราะเห็นว่ามันเป็นหลังนอกสุด มิได้เกาะกลุ่มอยู่ใกล้กับเรือนใด พวกท่านจะได้พักอาศัยกันด้วยความสะดวก แต่หากพวกท่านไม่พึงพอใจในเรือนหลังนี้ จะเดินเลือกดูหลังอื่นก็ได้นะ”

    สมิงพระนายได้รับรอยยิ้มขอบคุณจากคนทั้งสาม ขณะผู้เป็นศิษย์พี่แยกตัวออกไปโดยไม่ได้เอ่ยคำใดกับใครทั้งสิ้น

    “เข้าไปดูข้างในกันก่อนดีกว่าท่านพี่”

    ชายหนุ่มทั้งสามออกเดินตามร่างสมิงพระนายขึ้นไปบนตัวเรือนไม้ยกพื้นสูงที่เมื่อขึ้นมาถึงด้านบน ก็พบกับโถงกว้างที่รอบด้านตีระแนงโปร่ง และสามารถมองเห็นทิวทัศน์รอบๆ ตัว

    หะรินและภูวดลออกเดินสำรวจไปในมุมต่างๆ รอบๆ ตัวเรือน หากแล้วหัวใจคนทั้งสองก็ต้องเต้นระรัว เมื่อแหงนเงยมองไปเบื้องหน้าเหนือกำแพงสูงชั้นใน...

    ณ จุดนั้น ตำหนักหลวงตั้งเด่นตระหง่านอยู่ในสายตา

    ขณะที่เพื่อนทั้งสองกำลังตื่นเต้นยินดีกับที่พักใหม่ซึ่งตั้งอยู่ใกล้ๆ กับตำหนักหลวง ปิยะนัฐกลับจับสายตานิ่งอยู่ที่บึงน้ำที่ดารดาษด้วยบัวหลากสีสัน ซึ่งเรียงรายอยู่ด้านหน้าของเรือนพัก รับรองทุกหลังด้วยความรู้สึกสุขใจ

    “สมิงพระนาย ข้าขอบใจเจ้ากับสมิงพันตาจริงๆ ที่จัดเตรียมทุกสิ่งทุกอย่างให้ แล้วนี่สมิงพันตาไปไหนเสียแล้วล่ะ”

    “ท่านพี่บอกว่าจะไปดูข้าวของเครื่องใช้ที่จำเป็น รวมทั้งพวกเสื้อผ้ามาให้ท่านพี่ทั้งสาม”

    “พระนาย สมิงพันตาเป็นคนมีน้ำใจ บางครั้งภูวะเพื่อนข้าอาจจะทำให้เขาไม่พอใจบ้าง  เรื่องนี้ข้าอยากให้เจ้าคอยช่วยพูดกับศิษย์พี่ของเจ้าบ้าง ความจริงภูวะเพื่อนข้าแค่เป็นคนที่มีอุปนิสัยมุทะลุเท่านั้นเอง”

    สมิงพระนายส่งยิ้มให้ปิยะนัฐก่อนตอบชายหนุ่มด้วยสีหน้าที่มิได้มีความกังวล

    “ท่านพี่ ศิษย์พี่ของข้าเองก็มีนิสัยคล้ายท่านพี่ภูวะ เพียงแต่ดุดันกว่าเท่านั้น ท่านพี่ไม่ต้องเป็นห่วง ข้ารับรองว่าศิษย์พี่ของข้าไม่มีพิษภัยอะไรกับพวกท่านดอก”

    คำนั้นทำให้ปิยะนัฐแตะมือเบาๆ ลงบนไหล่ชายหนุ่มผู้มีวัยน้อยกว่าแทนคำขอบคุณ 

    “ท่านพี่ไปเก็บข้าวของกันก่อนเถิด”

    สมิงพระนายบอกเตือนขึ้นเมื่อเห็นชายหนุ่มยังกวาดสายตามองไปรอบๆ บริเวณตัวเรือนอย่างไม่รู้เบื่อ

    “ถ้าเช่นนั้นข้าขอไปเก็บข้าวของก่อน แล้วจะกลับมาคุยกับเจ้า”

    ปิยะนัฐเดินไปเรียกเพื่อนทั้งสองแล้วพากันนำข้าวของเข้าไปจัดเก็บภายในห้องที่มองจากโถงด้านนอกน่าจะมีเพียงสองห้องนอน

    เรือนหลังใหญ่มีห้องนอนเพียงสองห้องจริงๆ ดังนั้นหะรินกับภูวดลจึงต้องพักอยู่ด้วยกันในห้องนอนใหญ่ ส่วนห้องนอนเล็กอีกห้องปิยะนัฐเป็นผู้จับจอง 

    ในขณะที่หะรินและภูวดลยังง่วนอยู่ในห้องของตน ปิยะนัฐได้มีโอกาสพูดคุยกับสมิงพระนายอีกครั้งที่โถงกลางของตัวเรือน ชายหนุ่มเดินมานั่งลงใกล้ๆ ชายหนุ่มรุ่นน้อง แอบพินิจใบหน้านั้นอยู่เป็นครู่เมื่อคิดถึงความเป็นมาของสมิงพระนายที่ได้รับฟังจากครูบาผาเหมยเมื่อช่วงเช้าของวัน

    “มีสิ่งใดรึท่านพี่นัฐถะ ไยจ้องมองข้าเช่นนั้น”

    “ข้ากำลังคิด สิ่งใดหนอที่ทำให้พวกเราสามคนได้มาพบกับพวกเจ้า”

    คำนั้นแม้แต่คนพูดเองยังใจหาย เมื่อความคิดประหวัดไปถึงพ่อแม่ ที่ป่านนี้ท่านจะเป็นอย่างไร จะทนทุกข์ได้สักเพียงไหนเมื่อไม่เห็นแม้เงาของลูกชายเพียงคนเดียว

    “ท่านพี่ ชะตามักจะลิขิตคนเราให้เป็นไปเสมอ”

    ปิยะนัฐยิ้มให้กับคำพูดนั้น พอจะคาดเดาได้ถึงความคิดอีกฝ่าย...

    สมิงพระนายก็คงมีความเจ็บปวดกับอดีตของตนเช่นกัน เพียงแต่การได้รับความรักและการขัดเกลาจากครูบาผาเหมยผู้เป็นอาจารย์ทำให้เด็กหนุ่มผู้นี้สามารถรู้คิดและระงับอารมณ์ความรู้สึกของตัวเองได้เป็นอย่างดี

    ใบหน้าที่เคลือบไว้ด้วยแววของความเศร้าของสมิงพระนาย ทำให้ปิยะนัฐต้องทำลายบรรยากาศที่เริ่มอึมครึมขึ้น

    “สมิงพระนาย ครูบาผาเหมยท่านเป็นคนของเมืองนี้ใช่หรือไม่ และหากให้ข้าคาดเดา ท่านน่าจะเป็นพระญาติขององค์พิงคะ”

    สมิงพระนายยิ้มให้กับการคาดเดาของชายหนุ่มจากแดนไกล ที่บัดนี้ตนเริ่มให้ความรักความนับถือในน้ำใจเพิ่มมากขึ้น

    “ผิดแล้วท่านพี่นัฐถะ ครูบาท่านมิได้เป็นญาติพระญาติขององค์พิงคะแต่อย่างใด ที่สำคัญท่านมิได้เป็นชาวเมืองนี้ด้วย”

    ปิยะนัฐสบตาสมิงพระนายด้วยความแปลกใจก่อนที่จะได้รับการขยายความจากอีกฝ่ายให้เข้าใจและรู้ถึงที่มาของภิกษุชราที่กำลังพูดถึง

    “ท่านครูบาเคยเล่าความเป็นมาของท่านให้ข้ากับท่านพี่สมิงพันตาฟังเมื่อครั้งที่ข้ายังอยู่ในวัยแรกรุ่น ท่านเล่าว่าท่านออกบวชตั้งแต่อายุ 20 ปี เป็นลูกศิษย์ของฤาษีสมิงเจ็ดตน ซึ่งเป็นผู้ที่ผู้คน ร่ำลือกันว่ามีอายุยืนยาวถึงเจ็ดชั่วอายุคน...”

    “แล้วตอนนี้ท่านฤาษีสมิงเจ็ดตนอยู่ที่ใดกันสมิงพระนาย”

    “ท่านละสังขารไปนานแล้วล่ะท่านพี่ หกสิบปีได้แล้วกระมัง ครูบาเล่าว่าก่อนที่ท่านจะละสังขาร ท่านได้มอบแก้วเวฬุคันธาระไว้กับครูบาสืบทอดต่อมา...”

    สมิงพระนายชะงักคำไว้แค่นั้น เมื่อคนฟังถามแทรกขึ้น

    “สมิงพระนาย แก้วเวฬุคันธาระคืออะไรหรือ และมีความสำคัญอย่างไร”

    สายเลือดแห่งเจ้านครคีรียิ้มให้ปิยะนัฐก่อนที่จะค่อยๆ ขยายความ

    “แก้วเวฬุคันธาระเป็นผลึกแก้วสีขาวใส ภายในมีดวงธาตุของพระพุทธเจ้าทั้งสี่ธาตุบรรจุ 

    ไว้คือดินน้ำลมไฟซึ่งมีสีเขียวฟ้าเหลืองแดง เป็นแก้ววิเศษที่สืบทอดกันมายาวนานจากฤาษีรุ่นก่อนๆจนกระทั่งมาถึงท่านฤาษีสมิงเจ็ดตน และสุดท้ายตกอยู่ที่ครูบาผาเหมย ว่ากันว่าหากผู้ใดปฏิบัติจนบรรลุถึงขั้นสูงสุดในวิชาที่สืบทอดต่อๆ กันมา คนผู้นั้นจะสามารถกำหนดจิตรวมเป็นหนึ่งกับดวงแก้วได้ และจะสามารถทำให้เกิดปาฏิหาริย์ต่างๆ ตามแต่คนผู้นั้นจะกำหนด เช่นเรียกลมฝนเมฆ หมอก ร่นระยะทาง ร่นระยะเวลา ปิดฟ้า บังไพร และสูงสุดคือปิดเมืองได้ทั้งเมือง และหากผู้ใดครอบครองดวงแก้วดวงนี้ได้อย่างเป็นหนึ่งเดียวกับจิตของตน คนผู้นั้นจะสามารถมีอายุยืนยาวอยู่ ได้ถึงเจ็ดชั่วอายุคน...”

    ประโยคยืดยาวของสมิงพระนายจบลงพร้อมๆ กับความคิดปิยะนัฐที่ประหวัดไปถึงวันแรกที่ได้พบกับภิกษุชรานามผาเหมย

    ใช่...วันนั้นขณะที่ตนและเพื่อนทั้งสองเดินตามครูบาผาเหมยไปยังถ้ำที่ท่านพักพิง วันนั้น  ปิยะนัฐยังแปลกใจเป็นที่สุดที่ครูบามิได้แสดงความเมื่อยล้าในการเดินขึ้นสู่ทางที่ลาดชัน และยิ่งกว่านั้นทุก ฝีก้าวที่ท่านย่ำเดินสม่ำเสมอ ไม่มีก้าวใดสะดุดหรือบ่งบอกถึงความเหนื่อยอ่อนแม้แต่น้อย...หรือว่า...ภิกษุชรารูปนั้นบรรลุแล้วซึ่งวิชาในขั้นสูงสุดที่สมิงพระนายกำลังบอกเล่า?

    “พระนาย พอจะบอกข้าได้หรือไม่ ครูบาผาเหมยตอนนี้ท่านมีอายุเท่าไหร่”

    ครั้งนี้ปิยะนัฐได้เห็นรอยยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้าสมิงพระนาย ก่อนที่ชายหนุ่มจะตอบออกมาอย่างชัดถ้อยชัดคำ

    “ถ้านับถึงปีนี้ ครูบาท่านมีอายุครบ 100 ปีพอดีพี่ท่าน”

    ปิยะนัฐรู้สึกเย็นวาบจากศีรษะจรดปลายเท้า...

    มันจะเป็นไปได้หรือที่คนอายุ 100 ปี จะมีความจำที่เป็นเลิศได้ ที่สำคัญ...สังขารของท่านก็ไม่ได้ร่วงโรยตามอายุเลยสักนิด

    “สมิงพระนาย เจ้าบอกว่าครูบาท่านไม่ใช่ชาวเมืองนี้ แล้วท่านมาจากเมืองใด”

    ปิยะนัฐยังคงสอบซักในข้อที่ยังสงสัย

    “ท่านครูบาเล่าว่า เมื่ออาจารย์ฤาษีสมิงเจ็ดตนได้ละสังขารหลังจากที่ได้มอบแก้วเวฬุคันธาระไว้กับท่านแล้ว ท่านก็นำดวงธาตุของฤาษีสมิงเจ็ดตนไปเก็บไว้ที่ดอยสูงใกล้ๆต้นน้ำพิงคนที ดอย แห่งนั้นเป็นดอยศักดิ์สิทธิ์ มีรูปร่างคล้ายสถูปเจดีย์ สูงตระหง่านเสียดฟ้า ครูบาท่านนำดวงธาตุของผู้เป็นอาจารย์ไปเก็บไว้ในส่วนลึกสุดของถ้ำใหญ่แห่งขุนเขาลูกนั้น และเมื่อท่านได้ปฏิบัติตามคำสั่ง เสียของผู้เป็นอาจารย์เป็นที่เรียบร้อย ท่านก็เดินธุดงค์โปรดสัตว์ลงมาทางใต้ ตามแนวสายน้ำพิง คนทีเป็นเวลาสิบปี จนกระทั่งมาถึงเมืองเทพศิลานครแห่งนี้ เจ้าเมืององค์ก่อนซึ่งเป็นเจ้าพ่อขององค์พิงคะ ได้อัญเชิญครูบาให้อยู่ประจำที่เมืองนี้ เพราะเกิดความเลื่อมใสศรัทธาในตัวท่าน เจ้าเมืองได้สร้างวัดใหญ่ให้ครูบาพำนัก ก็วัดหลวงที่ข้ากับท่านพี่สมิงพันตานำพวกท่านไปชมนั่นแหละ แต่ครูบาท่านไม่ยอมพำนักที่นั่น ท่านปรารถนาจะอยู่อย่างสงบ เลยขอไปพำนักอยู่ในถ้ำที่มีความสงบ วิเวก และนับจากครูบาท่านขึ้นไปจำศีลภาวนาอยู่ที่ถ้ำแห่งนั้น ชาวเมืองก็ได้พบกับเหตุมหัศจรรย์ที่เกิดขึ้น เพราะในบริเวณหุบผาที่ท่านครูบาพำนัก เกิดมีเมฆหมอกปกคลุมอยู่ตลอดทั้งปีกระทั่งถึงบัดนี้ ชาวเมืองจึงต่างพากันเรียกสถานที่แห่งนั้นว่าหุบผาเหมยนอง...”

    สมิงพระนายจบประโยคยืดยาวลงได้เพียงครู่ ผู้ที่กำลังรับฟังก็ถามขึ้นอีก

    “สมิงพระนาย แล้วครูบาท่านมาอยู่ในเมืองนี้นานแค่ไหนแล้ว”

    “ถึงบัดนี้ก็ 50 ปีแล้วพี่ท่าน ที่สำคัญนะ แต่ก่อนครูบาท่านมิได้มีนามว่าครูบาผาเหมยเช่นเดี๋ยวนี้ดอก ชื่อนี้ชาวเมืองเทพศิลาเขาเรียกขานกัน นามเดิมของท่านคือครูบาอินถา...”

    ปิยะนัฐรับฟังความเป็นมาของภิกษุชราด้วยหัวใจที่เกิดความศรัทธาเป็นอย่างยิ่ง และสิ่งหนึ่งที่ปิยะนัฐเกิดความมั่นใจ...ครูบาผาเหมยมิใช่พระสงฆ์ธรรมดาๆ อย่างแน่นอน!

     

    การสนทนาระหว่างปิยะนัฐและสมิงพระนายยุติลงเมื่อสมิงพันตากลับมาพร้อมข้าวของมากมายที่นำมาให้ และการกระทำครั้งนี้ ทำให้ภูวดลซึ่งเป็นคู่ปรับต้องยอมรับในน้ำใจของสมิง  พันตา เพราะคนผู้นี้สามารถแยกแยะความรู้สึกส่วนตัวออกจากหน้าที่และความรับผิดชอบได้อย่าง ดียิ่ง

    “สมิงพันตา พรุ่งนี้ข้าคิดว่าเราควรจะเริ่มงานกันได้แล้ว เจ้าคิดว่าดีหรือไม่”

    หลังจากนำข้าวของที่สมิงพันตานำมาให้ไปจัดเก็บไว้เป็นที่เรียบร้อย ห้าชีวิตก็มานั่งล้อมวงกันอยู่ในโถงกลางอีกครั้ง และครั้งนี้ผู้ที่เริ่มพูดเรื่องงานด้วยสีหน้าจริงจังคือภูวดล

    “มันก็ควรจะเป็นเช่นนั้น”

    สมิงพันตาตอบคำภูวดลสั้นๆ ก่อนที่จะหันไปบอกกับอีกสองร่างซึ่งกำลังมองมายังตนและภูวดลด้วยสีหน้าที่บอกถึงความแปลกใจ เพราะต่างไม่คาดคิดว่าบทจะพูดดีๆ สองคนก็ทำได้อย่างแนบเนียน

    “หะรินทะ นัฐถะ เจ้าทั้งสองจงเตรียมตัวไว้ วันพรุ่งสายๆ ข้ากับพระนายจะมารับ”

    ปิยะนัฐและหะรินส่งยิ้มให้สมิงพันตาแทนคำตอบรับ หากก่อนที่สมิงพันตาจะบอกให้ผู้เป็นศิษย์น้องลุกเดินลงจากบันไดเรือนไปกับตน ก็ไม่ลืมที่จะทิ้งประโยคหนึ่งไว้ให้ภูวดลได้กรุ่นๆ อยู่ในใจ

    “หะรินทะ นัฐถะ เจ้าสองคนน่ะข้าไม่ค่อยห่วงนักหรอก เพราะดูเจ้าชำนาญในการขี่ม้ากันอยู่พอตัว แต่บางคน...ข้าคิดว่าว่างๆ ควรหมั่นฝึกปรือเสียนะ จะได้ไม่ตกลงมาให้เป็นที่อับอายขายขี้หน้าใครอีก เริ่มแต่วันพรุ่งเลย แต่ต้องระวังนะ เพราะเส้นทางที่ข้าจะนำไปในวันพรุ่งมันค่อนข้างจะลำบากอยู่สักหน่อย”

    สองร่างของศิษย์แห่งครูบาผาเหมยลับหายออกไปแล้ว หากภูวดลยังมองตามไปจนสุดสายตา...โธ่...หลงคิดว่ามันจะญาติดีด้วย สุดท้ายก็แขวะให้ได้เจ็บใจเล่นอยู่ดี

    สามร่างของหนุ่มจากแดนไกลยังคงนั่งพูดคุยกันอยู่ที่โถงกว้างของเรือน...

    บ่อยครั้งที่ทั้งหะรินและภูวดลแหงนเงยขึ้นไปยังตำหนักหลวง ด้วยหวังจะได้เห็นหน้าของ

    นางที่ตนเกิดความประทับใจตั้งแต่แรกพบ

    ทั้งสองไม่มีวันรู้...บัดนี้ใครบางคนที่พวกตนปรารถนาจะได้พบเจอ นางก็กำลังแอบมองมายังเรือนพักรับรองหลังนี้ด้วยเช่นกัน!

     

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น