ใต้เงามนตรา ตอน 11
หนึ่งชีวิต...ครองความเป็นใหญ่ หนึ่งชีวิต...ความตายเป็นผู้พลัดพราก หนึ่งชีวิต...ต้องจากเทพศิลานครไปตลอดกาล นี่คือชะตากรรมของสามบุรุษผู้ล่วงผ่านมิติเวลา!
ผู้เข้าชมรวม
77
ผู้เข้าชมเดือนนี้
4
ผู้เข้าชมรวม
ข้อมูลเบื้องต้น
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ใต้เงามนตรา บท11
หนึ่งสัปดาห์เต็มๆ นับจากทีมประดาน้ำของด็อกเตอร์วิศรุตสำรวจในจุดที่ปิยะนัฐเป็นผู้ กำหนด ซึ่งผลที่ได้รับทำให้ทุกคนผิดหวังเป็นอย่างยิ่ง เพราะจากการใช้เครื่องตรวจจับทุกครั้งยืน ยัน...ว่าจุดซึ่งเป็นเวิ้งน้ำซึ่งห่างจากแพพักไปประมาณ 500 เมตร นั้นพบบางอย่างอยู่ในจุดดังกล่าว
หากผลที่ออกมาแม้แต่นพศูนย์เองยังแปลกใจ เพราะมันจะเป็นไปได้อย่างไรที่ทีมประดาน้ำจะไม่พบสิ่งใดเลย
“รุต อาทิตย์เต็มๆแล้วที่เราลงสำรวจตรงจุดนั้น ทำไมไม่พบอะไรเลย”
ด็อกเตอร์หนุ่มใหญ่เอ่ยถามรุ่นน้องด้วยสีหน้าขบคิด
“นั่นสิครับพี่นพ ผมเองก็แปลกใจเหลือเกิน อย่างน้อยในเมื่อเครื่องตรวจจับส่งสัญญาณการพบเจอบางอย่าง เราลงไปก็น่าจะเจออะไรบ้าง”
“รุต ตอนลงไปใช้เครื่องดูดทราย สำรวจลึกลงไปจากพื้นผิวดินใต้น้ำกี่เมตร”
“ก็สิบเมตรน่ะครับพี่”
“สิบเมตร...ก็ไม่ใช่น้อยๆ นะ ยังไงเสียมันก็น่าจะเจออะไรบ้าง”
ครั้งนี้ภายในห้องพักเงียบลงทันที ด้วยต่างฝ่ายต่างกำลังใช้ความคิดของตัวเอง
“สงสารนัฐนะพี่ ท่าทางผิดหวังมาก”
วิศรุตพูดพร้อมกับพยักหน้าไปยังห้องพักอีกห้อง
“นั่นสิ งบในการสำรวจก็ไม่ใช่น้อยๆ ถ้าเกิดทำงานกันต่อแล้วไม่พบอะไรเลย นัฐก็เสียเงินไปโดยเปล่าประโยชน์”
คำนั้นของนพศูรย์ทำให้รุ่นน้องสีหน้าเครียด
“พี่นพครับ เราน่าจะลองพูดเรื่องนี้กับนัฐนะครับ ผมว่าเราน่าจะให้นัฐกำหนดเวลา ถ้าหากสำรวจไปเป็นเวลานานแล้วยังไม่พบอะไร เราก็น่าจะหยุด”
“รุต คุณก็เห็นอยู่ว่านัฐเขาทุ่มเทขนาดไหน ที่สำคัญ...เขาอยากพิสูจน์อะไรบางอย่าง คุณยังไม่ลืมข้าวของที่ผมเคยให้ดูไม่ใช่เหรอ สมมุตินะรุต สมมุติว่าเราเป็นนัฐ เราก็คงต้องพยายามจนถึงที่สุด เพราะไม่งั้นมันคงเป็นปริศนาอยู่กับชีวิตเราไปจนตาย”
วิศรุตพยักหน้ารับคำนั้น นพศูรย์พูดถูก หากใครเป็นปิยะนัฐ ก็คงต้องทำอย่างที่ชายหนุ่มผู้นั้นกำลังทำอยู่อย่างแน่นอน
“ออกไปหากาแฟดื่มกันก่อนดีกว่ารุต เดี๋ยวค่อยลองปรึกษานัฐอีกที”
ด็อกเตอร์นพศูรย์เปลี่ยนเรื่องแล้วลุกเดินนำออกไปจากห้องพัก
เช้านี้เป็นเช้าที่ค่อนข้างเงียบเหงา เพราะปิยะนัฐกำหนดให้เป็นวันหยุด 1 วัน คนงานต่างพากันไปพักที่หมู่บ้านของตัวเอง ขณะที่ในแพพักของเหล่านักประดาน้ำก็ยังเงียบเชียบ แสดงว่าคงยัง
อ่อนเพลียจากการทำงานอย่างหนักตลอดช่วงหนึ่งสัปดาห์ที่ผ่านมา
เมื่อนักโบราณคดีหนุ่มใหญ่ทั้งสองลงมายังโถงกว้างชั้นล่างของแพพักเพื่อจัดการกับภารกิจส่วนตัว จึงได้รู้ว่าสิ่งที่ทั้งสองคิดนั้นผิดถนัด เพราะบัดนี้ร่างหนึ่งกำลังยืนสงบนิ่งอยู่ท่ามกลางสายหมอกหนาบนฝั่งของดอยม่วงคำ ร่างนั้นกำลังเหม่อมองไปทางยอดดอย ในมือมีกาแฟถ้วยหนึ่งซึ่งกำลังส่งควันกรุ่นอยู่
“อ้าว นัฐ พี่คิดว่ายังไม่ตื่นเสียอีก แล้วนราล่ะ ตื่นหรือยัง”
เสียงทักทายของนพศูรย์ทำให้ร่างสูงขยับเพียงเล็กน้อยพร้อมส่งรอยยิ้มบางๆ มาให้
“เดี๋ยวก็คงลงมาล่ะครับพี่นพ ความจริงนราก็ตื่นพร้อมๆ กับผมแล้วล่ะครับ แต่มัวหาของอะไรอยู่ก็ไม่รู้”
“แหม...เมื่อครู่พี่กับรุตยังพูดถึงนัฐกันอยู่เลย เดี๋ยวจัดการธุระส่วนตัวเสร็จก่อน มาจิบกาแฟแล้วค่อยปรึกษากัน”
คำนั้นของนพศูรย์ทำให้หัวคิ้วคนฟังขมวดมุ่น
“มีอะไรหรือเปล่าครับพี่นพ”
“พี่กับรุตมีเรื่องจะคุยกับนัฐน่ะ แต่รอให้มาพร้อมๆ กันก่อนดีกว่าแล้วค่อยว่ากัน”
จากคำพูดของนพศูรย์ทำให้สีหน้าของปิยะนัฐเกิดความกังวลขึ้นมาทันที มีเรื่องอะไรที่จะต้องปรึกษาพร้อมๆ กัน หรือว่าความล้มเหลวตลอดสัปดาห์ที่ผ่านจะทำให้ทีมงานเกิดความลังเลและอยากล้มเลิกการสำรวจ
ปิยะนัฐสูดลมหายใจลึกยาว หากความหงุดหงิดก็ยังไม่วายเกิดขึ้นในใจ ชายหนุ่มเดินกลับขึ้นแพไปนั่งรอทีมงานอยู่ครู่ใหญ่ กระทั่งเมื่อทุกคนมาพร้อมหน้ากัน นพศูรย์จึงเป็นคนเริ่มเปิดประเด็นในเรื่องที่จะพูดคุยกันขึ้น
“มากันครบแล้ว พี่กับรุตขอปรึกษาพวกเราเกี่ยวกับเรื่องการสำรวจหน่อยนะ”
นพศูรย์กวาดสายตาไปยังทุกดวงหน้า จนกระทั่งมาหยุดอยู่ที่นราซึ่งบัดนี้สีหน้าเกิดความสงสัยไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าปิยะนัฐเลย
“มีอะไรหรือครับพี่นพ”
“คือเมื่อครู่ ก่อนที่พี่จะออกมาจากห้องน่ะ พี่กับรุตคุยกันถึงเรื่องผลของการสำรวจใต้น้ำ ตลอดหนึ่งสัปดาห์ที่ผ่านมา เราไม่พบอะไรเลย พี่เกรงว่า...”
นพศูรย์ชะงักคำก่อนจะจับสายตานิ่งอยู่ที่ปิยะนัฐแล้วพูดต่อ
“นัฐ พี่เองก็ไม่รู้นะว่าทำไมทีมประดาน้ำจึงสำรวจไม่พบอะไร ทั้งๆ ที่เครื่องตรวจจับมันก็ ส่งสัญญาณการพบอะไรบางอย่างออกมา ซึ่งทุกครั้งที่พี่ออกทำงาน เจ้าเครื่องนั่นไม่เคยผิดพลาดเลย แต่ครั้งนี้มันแปลกจริงๆ...”
นพศูรย์หยุดคำไว้แค่นั้นพร้อมอาการลังเล และท่าทางนั้นทำให้วิศรุตซึ่งเป็นคนตรงไปตรงมาพูดแทนรุ่นพี่ขึ้น
“พี่นพกับพี่คุยกันตลอดเกี่ยวกับงานนี้ ถ้าหากผลมันยังออกมาแบบนี้ในทุกครั้งที่ทำการสำรวจ เราเกรงว่าจะเสียเวลาเปล่า ที่สำคัญเงินทุนของนัฐก็จะหมดไปโดยไม่ได้อะไรขึ้นมาเลย”
พูดจบด็อกเตอร์หนุ่มชำเลืองไปยังสีหน้าเครียดของปิยะนัฐอย่างเข้าใจ พร้อมรอฟังความคิดเห็นจากชายหนุ่ม
ครู่ใหญ่ที่ความเงียบเข้าครอบคลุมวงสนทนาในที่สุดเมื่อเห็นปิยะนัฐยังนิ่งเงียบ นราจึงเป็นคนถามขึ้นแทน
“แล้วพวกพี่คิดว่าจะทำยังไงต่อไปครับ”
“พี่สองคนน่ะต้องให้นัฐตัดสินใจนะนรา เพราะทุนเป็นของนัฐ”
นพศูรย์ตัดสินใจพูดออกมาอย่างไม่อ้อมค้อม และในความเป็นจริงก็ต้องเป็นเช่นนั้น การจะทำการสำรวจต่อหรือหยุดสำรวจ มันย่อมขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของปิยะนัฐเพียงคนเดียว
“พี่นพครับ พี่รุตครับ ผมขอให้ทีมสำรวจทำงานกันต่อได้มั้ยครับ”
คำนั้นทำให้นพศูรย์และวิศรุตมองหน้ากันอยู่ครู่ใหญ่ ก่อนที่นพศูรย์จะเป็นผู้ตอบออกมา
“ได้น่ะมันได้ล่ะนัฐ แต่ก็อย่างที่รุตเขาว่า หากเวลาผ่านไปเนิ่นนานแต่เรายังไม่เจออะไรเลยแม้แต่ชิ้นเดียว พี่กับรุตเป็นห่วงเรื่องทุนที่นัฐจะสูญเปล่าไปนะ”
ปิยะนัฐยิ้มบางๆ ให้กับคำพูดนั้นของนพศูรย์ก่อนจะยืนยันหนักแน่น
“ผมขอบคุณพี่ทั้งสองนะครับที่เป็นห่วงผมในเรื่องนั้น แต่ผมบอกตามตรง ถ้าหากผมไม่ได้คำตอบอะไรให้กับตัวเองเลย ผมคงต้องตกอยู่ในความสงสัยไปตลอดชีวิต”
ประโยคของปิยะนัฐทำให้ทุกคนพากันนิ่งเงียบ โดยเฉพาะนรา เกิดความรู้สึกสงสารเพื่อนรักขึ้นมาจับใจ เพราะไม่ว่าจะเป็นข้าวของที่ติดตัวปิยะนัฐมา หรือเรื่องราวที่ตนได้ฟังจากเพื่อน เหล่านั้นมันสอดคล้องกันจนนราเองก็เริ่มรู้สึกเอนเอียงไปกับปิยะนัฐเหมือนกัน
“นัฐ ลำพังพวกเราน่ะคนกันเอง พี่น่ะไม่มีปัญหา แต่บอกตรงๆ ว่าถ้าหากสำรวจไปนานๆ แล้วไม่พบอะไร พวกทีมประดาน้ำเขาอาจจะเกิดความเบื่อหน่ายกัน”
คำพูดตรงไปตรงมาของวิศรุตทำให้ปิยะนัฐต้องคิดหนัก หากแล้วชายหนุ่มก็ตัดสินใจถามออกไปตรงๆ เช่นกัน
“แล้วพวกทีมประดาน้ำของพี่เขาเริ่มเบื่องานนี้แล้วหรือครับ”
“ตอนนี้ยังหรอกนัฐ แต่บางคนก็เริ่มเปรยๆ ออกมาเหมือนกัน อย่างโจเนี่ย...”
วิศรุตพยักหน้าไปยังหนึ่งในทีมประดาน้ำที่เคยร่วมงานกันมาหลายปีก่อนจะพูดต่อ
“เป็นคนเอาจริงเอาจัง สู้ไม่เคยถอย ทุกครั้งที่เครื่องมือส่งสัญญาณการตรวจพบ เขาจะเป็นคนแรกที่จะลงไปตรวจสอบค้นหาเสมอ ครั้งนี้ก็เหมือนกัน เมื่อเครื่องตรวจสอบส่งสัญญาณของ การพบ โจก็ไม่รีรอ รีบลงไปสำรวจทันทีทั้งๆ ที่บริเวณใต้น้ำที่ทำการสำรวจจะมีความเย็นผิดปกติ โจก็ยังใช้ความพยายามและอดทนเป็นที่สุดจนเกือบจะเป็นตะคริวไปตั้งหลายครั้ง แต่ผลที่ออกมาล้มเหลวทุกครั้ง ซึ่งถ้ามันยังเป็นอยู่แบบนี้ ความมุ่งมั่น ความตั้งใจของคนทำงานมันก็อาจช็อตไปได้ดื้อๆ เหมือนกันนะนัฐ”
วิศรุตถอนหายใจออกมายืดยาว ก่อนจะเอ่ยประโยคที่ทำให้ปิยะนัฐรู้สึกถึงความตั้งใจของ ด็อกเตอร์หนุ่ม
“ความจริงก่อนเริ่มวันสำรวจ พี่ก็พยายามหาข้อมูลต่างๆ เกี่ยวกับแถบนี้และพื้นที่ใกล้เคียง ให้หลายๆ คนที่ทำงานด้านนี้ช่วยกันค้นหาอย่างเต็มที่ แม้กระทั่งทางอาจารย์ของพี่ที่ฝรั่งเศสพี่ก็ขอความช่วยเหลือในด้านหาข้อมูลไป แต่จนถึงวันนี้ ยังไม่มีใครส่งข้อมูลใดๆ มาให้เลย พี่ยังหงุดหงิดอยู่ไม่หาย จริงๆ นะนัฐ ที่พี่พูดนี่ไม่ใช่ให้นัฐไม่สบายใจนะ สำหรับพี่แล้วยังเต็มที่เสมอ”
“ถ้างั้นผมควรทำยังไงดีครับพี่รุต”
ดวงตาคมจับนิ่งอยู่ที่ใบหน้าวิศรุตอย่างขอความคิดเห็น
“นัฐ กำหนดระยะเวลาให้กระชับอีกหน่อยดีมั้ย พี่จะได้ไปบอกทีมประดาน้ำของพี่ทุกคน ให้พวกเขาพอรู้กำหนดเวลา มันอาจเป็นการสร้างแรงกระตุ้นขึ้นมาได้อีกครั้ง”
ปิยะนัฐนิ่งคิดอยู่เพียงครู่ก่อนจะตอบด็อกเตอร์หนุ่มใหญ่ออกไป
“พี่รุตครับ ถ้าอย่างนั้น ผมขอเวลาอีกหนึ่งเดือนนะครับ ถ้าหนึ่งเดือนครบตามกำหนดแล้วทีมสำรวจยังไม่พบอะไรเลย ผมจะยกเลิกการสำรวจครั้งนี้ครับพี่”
“นัฐ ไม่ต้องห่วงนะ หนึ่งเดือนที่นัฐกำหนด พี่กับทีมงานจะพยายามอย่างเต็มที่ที่สุด ไม่แน่หรอกนะนัฐ อาจจะมีปาฏิหาริย์เกิดขึ้นก็ได้”
วิศรุตพูดด้วยความรู้สึกผ่อนคลาย ขณะในใจปิยะนัฐก่อเกิดความหวัง
ใช่...ปาฏิหาริย์ สิ่งนั้นเคยเกิดขึ้นกับตนมาแล้วครั้งหนึ่ง วันเวลาข้างหน้า สิ่งนั้นอาจจะเกิดขึ้นมาอีกครั้งก็ได้...
ปิยะนัฐรู้สึกอบอุ่นขึ้นในหัวใจ พร้อมๆ กับประโยคหนึ่งที่ส่งไปถึงใครบางคน...
‘เจ้านางน้อย อย่าปล่อยให้ผมทรมานอยู่เช่นนี้เลย ขอให้ผมได้รับรู้เรื่องราวที่เกี่ยวกับท่านบ้างเถิด อย่างน้อยผมจะได้ไม่ทรมานหัวใจอย่างที่กำลังเป็นอยู่ในขณะนี้’
เพราะวันนี้เป็นวันหยุด ในช่วงสายของวันหลังจากที่อาหารเช้าล่วงผ่าน ทุกคนจึงแยกย้ายกันพักผ่อนในมุมต่างๆ ด็อกเตอร์นพศูรย์และนราขลุกอยู่ในส่วนพื้นที่ที่จัดไว้เพื่อทำงาน ทั้งพูดคุย ทั้งปรึกษา ทั้งอ่านตำราตลอดจนการเซิร์ทหาข้อมูลต่างๆ ทางอินเทอร์เนต
ส่วนด็อกเตอร์วิศรุตเองก็เปิดเครื่องคอมพิวเตอร์ เช็กอีเมล์ด้วยความหวัง...อาจจะมีข่าวจากแหล่งใดส่งกลับมาบ้างพอให้เป็นความหวังในเรื่องของงานที่กำลังสำรวจ
แล้วสิ่งที่ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น...เพราะครั้งนี้ด็อกเตอร์วิศรุตได้รับข้อความหนึ่งส่งมาจากประเทศฝรั่งเศส ผู้ส่งข้อมูลบอกเพียงชื่อมาว่าจาก ด็อกเตอร์พริมรตา ซึ่งวิศรุตเองก็ออกจะงงๆ อยู่ว่าด็อกเตอร์คนดังกล่าวเป็นใคร และรู้ข้อมูลส่วนตัวของตนได้อย่างไรจึงได้ตอบในสิ่งที่ตนส่งข่าวไปยังผู้เป็นอาจารย์
วิศรุตระสายตาไปตามข้อความที่ส่งมาและแปลเป็นภาษาไทยเรียบร้อยแล้ว มีใจความว่า...
เจ้าของบันทึก บาทหลวงอังตวน เลอร์นิเยร์ และคณะมิชชันนารี ประเทศฝรั่งเศส ช่วงเวลาที่สำรวจ พ.ศ.2410-2412
2 กุมภาพันธ์ 2411
‘คณะสำรวจเดินทางมาถึงสถานที่หนึ่งของแม่น้ำปิง ห่างจากเมืองฮอดลงมาทางทิศใต้ ประมาณ 90 กิโลเมตร เมื่อผ่านช่องเขาและแก่งใหญ่ก็พบกับพื้นที่ราบสองฝั่งน้ำ ขนาบด้วยภูเขา สูงใหญ่ทุกทิศทาง บริเวณหุบเขานี้จะมีอากาศเย็นและมีเมฆหมอกปกคลุมเกือบตลอดเวลาซึ่งแตกต่างจากสถานที่อื่นๆ
จากการสำรวจเฉพาะในบริเวณจุดนี้ตลอด 1 สัปดาห์ มีการสำรวจพบว่า บริเวณนี้มีแร่ธาตุที่เป็นรัตนชาติอยู่เป็นจำนวนมาก คือควอทซ์หลากหลายสี อะแมทีส แคลไซค์ ฟลูออไรด์ ซีทเทอรีน อความารีน ทูมารีน และจำพวกพลอยเนื้ออ่อน
แต่สิ่งที่ทำให้อัศจรรย์ใจเป็นอย่างยิ่งคือข้อมูลที่ได้ทำให้สันนิษฐานได้ว่า ที่ราบสองฝั่งน้ำ น่าจะเป็นพื้นที่ที่เคยมีชุมชนหรือเมืองโบราณตั้งอยู่มาก่อน เพราะพื้นที่แห่งนี้มีการทำนา เพาะปลูก พิสูจน์ได้จากการปรับพื้นผิวดินและการพบพันธุ์ข้าวโบราณหรือพันธุ์พื้นเมืองของไทย เป็นพันธุ์ข้าวเหนียว เมล็ดอวบใหญ่ ขึ้นปะปนเป็นจำนวนมากกับหญ้าคาและวัชพืชอื่นๆ แต่ก็ไม่ปรากฏหลักฐานหรือร่องรอยใดๆ ของการตั้งชุมชนหรือเมืองแต่อย่างใดทั้งสิ้น
ในการสำรวจครั้งนี้ คณะสำรวจยังได้เก็บวัตถุสำคัญได้สองชิ้นคือ หัวธนูโบราณจำนวน 2 หัว ที่มีความแตกต่างกัน จากการตรวจสอบมีอายุเก่าแก่ราว 600-700 ปี’
วิศรุตตื่นเต้นนักหนากับข้อมูลที่ได้รับ ชายหนุ่มจับสายตามองไปยังข้อความย่อหน้าสุดท้ายซึ่งเป็นการบันทึกข้อมูลเพิ่มเติมในภายหลังเกี่ยวกับพันธุ์ข้าวเหนียวที่คณะสำรวจได้ค้นพบ...
‘พันธุ์ข้าวเหนียวที่พบนั้นน่าจะเป็นต้นพันธุ์ที่ต่อมาพวกชุมชนบนเขตภูเขานำไปปลูก และมีการพัฒนาพันธุ์เรื่อยมา’
ข้อความในบันทึกจบลงโดยทิ้งรูปภาพของเมล็ดพันธุ์ของข้าวที่ได้สำรวจพบในครั้งนั้น
ข้อมูลที่ได้ทำให้วิศรุตตื่นเต้นดีใจเป็นอย่างยิ่ง ด็อกเตอร์หนุ่มปริ้นท์ข้อมูลนั้นออกมาพร้อมกับแจกจ่ายให้กับทุกคน หากก็มีสิ่งหนึ่งที่ทำให้ด็อกเตอร์หนุ่มใหญ่ยังคงคาใจ...
ด็อกเตอร์พริมรตาซึ่งเป็นผู้ส่งข้อมูลมาให้ตนครั้งนี้เป็นใคร?
นพศูรย์ วิศรุต และนรามารวมตัวกันอีกครั้งที่โถงของแพพักเมื่อวิศรุตนำข่าวดีที่ได้รับมาแจ้งกับทุกคน
“รุต ถ้าในบันทึกข้อมูลยืนยันแบบนั้น ผมว่าการสำรวจของเราก็น่าจะยังมีหวังนะ ยังไงรุตก็กระตุ้นทีมงานหน่อยแล้วกัน ถ้านัฐรู้ข่าวนี้คงจะรู้สึกดีขึ้นนะรุต”
นพศูรย์กวาดสายตามองผู้ที่ตนกำลังพูดถึง หากก็ไม่เห็นแม้เงา จึงหันไปถามนรา
“นรา นัฐอยู่ในห้องพักเหรอ”
“เอ...ไม่น่าจะอยู่นะครับพี่นพ เมื่อครู่นี้เห็นบอกว่าจะไปเดินเล่นแถวๆ ตีนดอยโน่นน่ะครับ”
“ถ้างั้นก็ต้องรอ ข่าวดีที่ส่งมาคงจะทำให้นัฐได้คลายเครียดลงบ้าง”
นราพยักหน้าให้รุ่นพี่แล้วมีสีหน้าราวลังเลต่อการตัดสินใจอะไรบางอย่าง
“มีอะไรหรือเปล่านรา ทำไมทำหน้าแปลกๆ”
คำพูดนั้นของนพศูรย์ทำให้วิศรุตขยับตัวลุกขึ้น แต่นราคว้าข้อมือไว้
“เอ่อ...พี่รุตอยู่ฟังด้วยดีกว่าครับ ไม่ใช่เรื่องลับอะไรหรอก”
“ไม่ลับ แต่ทำไมดูนราเหมือนลังเลล่ะ”
วิศรุตพูดตรงตามนิสัย นราจึงบอกเบาๆ
“คือมันเป็นเรื่องที่นัฐเล่าให้ผมฟังน่ะครับ ความจริงนัฐก็ไม่กล้าเล่าใครหรอกครับพี่ แม้แต่กับผมเองกว่านัฐจะเอ่ยปากเล่าก็อึดอัดน่าดู เพราะกลัวว่าผมจะมองว่าเพี้ยน”
“นัฐเล่าอะไรหรือนรา”
สีหน้านพศูรย์จริงจัง จ้องมองนรานิ่ง
“ก็เรื่องราวที่นัฐไปพบตอนที่หายตัวไปสองสัปดาห์เต็มๆ นั่นแหละครับพี่”
“ไปพบ...หมายความว่าไงนรา”
ครั้งนี้แม้แต่ผู้ที่มีอารมณ์ดีอยู่เป็นนิจอย่างวิศรุตยังถามด้วยสีหน้าจริงจัง
“นัฐยืนยันว่าสิ่งที่เล่าผมคือสิ่งที่นัฐไปเจอมาจริงๆ ครับพี่ เรื่องมันเป็นอย่างนี้ครับ...”
แล้วเรื่องราวที่ปิยะนัฐเคยเล่านราก็ถูกเพื่อนรักถ่ายทอดสู่รุ่นพี่ทั้งสองอีกทอด แม้นราจะไม่ได้เล่าในรายละเอียด หากเรื่องราวหลักๆ นราก็จดจำมาเล่าได้อย่างแม่นยำ
ในขณะที่นพศูรย์และวิศรุตนั่งฟังด้วยสีหน้าตื่นเต้นระคนตกใจ ในความคิดนราตั้งความหวัง...การที่ตนเล่าเรื่องราวของเพื่อนรักให้รุ่นพี่ทั้งสองฟัง อาจจะทำให้คนทั้งสองเข้าใจในตัวเพื่อนรักและอาจจะเก็บรายละเอียดจากเรื่องที่ตนเล่านำมาเป็นข้อมูลเพื่อเสาะหาช่องทางที่จะไปทำการสำรวจต่อไป...
ตะวันบ่ายคล้อย...หากผู้ที่กำลังรอคอยกลับไม่เห็นแม้เงาของปิยะนัฐ และเมื่อเห็นนราเดินวนไปวนมาเป็นชะมดติดจั่นเพราะความเป็นห่วงเพื่อน ทำให้นพศูรย์ตัดสินใจเรียกลุงอินทา หนึ่งในสองคนงานที่เหลืออยู่ในวันหยุดมาปรึกษาเพื่อเตรียมออกติดตามปิยะนัฐที่หายไปตั้งแต่ตอนสายของวัน
“ถ้านายขึ้นไปบนดอยม่วงคำ ผมจะไปตามเองครับ”
ลุงอินทาบอกด้วยความมั่นใจ
“ผมไปเป็นเพื่อนลุงอีกคนนะครับ ผมห่วงนัฐ”
คำนั้นของนราได้รับการตอบปฏิเสธออกมาอย่างนุ่มนวล
“ผมรู้จักดอยม่วงคำเป็นอย่างดี พวกนายรออยู่ที่นี่เถอะครับ ถ้าไปกันหลายคน มันจะทำให้การเดินช้าเปล่าๆ เพราะบางช่วงบนดอยนั้นสูงชันเอาการอยู่เหมือนกัน”
“ลุงแน่ใจนะครับว่าลุงจะไปคนเดียว”
นรายังไม่มั่นใจ กระทั่งชายชราบอกสิ่งหนึ่งออกมา ผู้เป็นนายจึงค่อยวางใจ
“สมัยหนุ่มๆ ผมเคยเป็นพรานครับนาย บนดอยม่วงคำน่ะ ผมเดินมาจนปรุไปทุกทิศแล้ว อีกอย่างนายปิยะนัฐคงไม่เดินไปไกลนักหรอกครับ อาจจะแวะนั่งเล่นจนเพลินอยู่จุดไหนก็ได้”
นพศูรย์และนราพยักหน้าให้ลุงอินทาก่อนที่นราจะย้ำด้วยความเป็นห่วง
“ลุงระวังตัวหน่อยก็แล้วกันนะครับ”
ชายชราหันมาส่งยิ้มให้เจ้านายหนุ่มแทนคำขอบคุณก่อนจะพูดประโยคสุดท้ายแล้วก้าวออกไปจากที่นั้น
“ตอนนี้สามโมงเย็น ไม่เกินหกโมงผมจะกลับมาครับนาย”
ลุงอินทาออกเดินโดยไม่เหลียวหลังมามองใครอีก ไม่มีใครรู้...ในใจลึกๆ บัดนี้ลุงอินทากังวลเพียงใด...
ป่านนี้เจ้านายหนุ่มผู้นั้นจะเป็นอย่างไรบ้าง?
ตลอดเส้นทางชันที่เดินผ่านมา ลุงอินทาได้แต่คิดถึงความปลอดภัยของผู้เป็นนาย
เกือบชั่วโมงที่ลุงอินทาแกะรอยเท้าปิยะนัฐมาจนกระทั่งถึงลานผาหินกว้างที่ร่มครึ้มด้วยเงาต้นยางใหญ่ที่แผ่กิ่งใบปกคลุม
แรกเห็น...ลุงอินทาใจหายวาบ หากเมื่อเดินเข้ามาคุกเข่าลงใกล้ๆ ร่างของเจ้านายหนุ่ม ชายชราก็รู้สึกราวยกภูเขาออกจากอก...ที่แท้เจ้านายของตนแค่นอนหลับไปเท่านั้นเอง
“นาย...นายครับ”
แรงเขย่าจากมือของชายชรา ทำให้ปิยะนัฐค่อยๆ เผยอเปลือกตาขึ้น
“เป็นอะไรหรือเปล่าครับนาย”
ชายชราวัยหกสิบเศษชะโงกหน้าถาม ขณะที่สายตาจับมองใบหน้าคมคายด้วยความรู้สึกประหลาดใจ
“ไม่เป็นไรนี่ครับลุง ผมคงเผลอหลับไปน่ะ”
ปิยะนัฐตอบทั้งๆ ที่ยังงงๆ ด้วยซ้ำว่าลุงอินทามานั่งอยู่ตรงหน้าได้อย่างไร
“แล้วทำไมนายมาหลับอยู่อย่างนี้ละครับ ข้างล่างเป็นห่วงกันมาก ผมเลยอาสามาตาม”
ครั้งนี้ชายหนุ่มส่งยิ้มให้ลุงอินทา หากไม่ได้ตอบคำถามของแก กลับชวนคุยไปเรื่องอื่น
“ลุงครับ วันที่ลุงพบผม ลุงพบที่จุดไหนหรือครับ”
ชายชราส่งสายตาไปยังเบื้องล่างก่อนตอบ
“ก็ตรงฝั่งที่เราจอดแพเทียบนั่นแหละครับ”
ปิยะนัฐพยักหน้าก่อนจะถามชายชราต่อ
“ปกติชาวบ้านไม่ค่อยผ่านมาแถวนั้นไม่ใช่หรือครับลุง แล้ววันที่ลุงพบผม ลุงมาทำอะไรแถวๆ นั้นล่ะครับ”
ชายชราไม่ตอบในทันที หากนึกย้อนไปถึงเหตุการณ์ในวันนั้น...
ความจริงลุงอินทาไม่ได้ตั้งใจจะเข้ามายังบริเวณดอยม่วงคำแม้แต่น้อย เพียงแต่จุดที่ลุงอินทาจะไปหาปลามันต้องผ่านจุดนี้เท่านั้นเอง
วันนั้น...ชายชรายังจดจำได้ดี ขณะที่ตนกำลังแล่นเรือผ่านเข้ามาในบริเวณดอยม่วงคำ ตนได้เห็นภาพประหลาดบางอย่างเกิดขึ้น...
ณ บริเวณเวิ้งน้ำ ซึ่งในขณะนี้ปิยะนัฐกำหนดให้เป็นจุดสำรวจหนึ่ง บ่ายของวันนั้นตนมิได้ เห็นเพียงสายหมอกที่แผ่ตัวลอยระเรียดพื้นน้ำเท่านั้น หากตนยังได้เห็นแสงสีม่วงอมทองที่ส่องประกายเป็นลำเจิดจ้าขึ้นเหนือพื้นน้ำตรงจุดนั้นด้วย
แม้ครั้งแรกลุงอินทาจะตกใจต่อภาพที่เห็น แต่ด้วยความคุ้นเคยกับบริเวณนี้ ทำให้ชายชราครองสติได้มั่น ค่อยๆ พิจารณาแสงสีม่วงอมทองนั้นจนกระทั่งมันจางหายไปจากสายตา และจากนั้นภาพชายหนุ่มผู้หนึ่งซึ่งอยู่ในอาการหมดสติก็ปรากฏขึ้นตรงริมฝั่งน้ำ...
ไม่มีใครแม้คนจะรู้...จากวันที่พบชายหนุ่มจนถึงบัดนี้ ลุงอินทาไม่เคยปริปากเล่าเหตุการณ์แปลกประหลาดที่พบในวันนั้นให้ใครฟัง ในใจชายชราเฝ้าแต่สงสัย...
ทำไมชายหนุ่มตรงหน้าผู้นี้จึงปรากฏตัวในจุดที่ทีมงานค้นหาใช้เวลาค้นแล้วค้นอีกหนึ่งสัปดาห์เต็มๆ แต่ไม่ปรากฏร่องรอย
ที่สำคัญ...วันนั้นเขามาในเครื่องแต่งกายแบบใด และอยู่ในสภาพบาดเจ็บราวต่อสู้กับใครมาได้อย่างไร ในเมื่อทั่วทั้งบริเวณอันกว้างใหญ่แถบนี้ไม่มีบ้านเรือนของผู้คนเลย
“ว่าไงครับลุง”
ประโยคถามย้ำของปิยะนัฐทำให้ลุงอินทาตื่นจากภวังค์คิด
“ผมมาหาปลาน่ะครับ แต่ไม่ได้ตั้งใจมาที่ดอยลูกนี้หรอก เพียงแต่จุดที่ผมจะไปน่ะจะต้องผ่านมาทางนี้ ผมจึงพบนาย”
“ลุงบอกว่าชาวบ้านส่วนใหญ่ไม่ค่อยกล้าผ่านมาแถวนี้ แล้วทำไมลุงกล้ามาล่ะครับ”
ลุงอินทาส่งยิ้มเยือกเย็นให้ ก่อนตอบด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“ผมคุ้นเคยกับแถบนี้มาตั้งแต่ยังเป็นหนุ่มแล้วครับ โดยเฉพาะบนยอดดอยม่วงคำและดอยผาคราง ผมเดินซะจนแทบปรุแล้วครับนาย...”
ปิยะนัฐมองใบหน้ากร้านด้วยแววตาสงสัย กระทั่งเจ้าตัวขยายความต่อ
“ตอนเป็นหนุ่มผมเป็นพรานน่ะครับ เคยออกล่าสัตว์หาของป่าอยู่บนดอยผาคราง...ดอยลูก
ที่สูงที่สุดอยู่ถัดจากนี่ขึ้นไปน่ะครับ เป็นพรานป่าอยู่นานทีเดียว กระทั่งครั้งหนึ่งผมมีคนอื่นตามมาด้วย จนเกิดเหตุการณ์ที่ทำให้ผมต้องเลิกเป็นพรานไปชั่วชีวิตเลยทีเดียว...”
ใบหน้ากร้านมิอาจปกปิดความหม่นหมอง ยิ่งดวงตาทั้งคู่ยิ่งบอกแววของความปวดร้าวเมื่อเล่ามาถึงขณะนี้
“เกิดอะไรขึ้นครับลุง”
ลุงอินทาทอดสายตาไปยังทิศทางที่ตั้งของดอยสูงที่มีชื่อว่าผาคราง ก่อนจะบอกเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นในอดีตให้ชายหนุ่มฟัง
“นายคงพอรู้ใช่มั้ยครับว่าคนที่เป็นพราน หรือพวกที่จะเดินป่าน่ะต้องมีวิชาอาคมติดตัว ในสมัยที่ผมเป็นพรานผมก็มีวิชาพวกนั้นพอสมควรทีเดียว หลายครั้งที่ผมเดินทางขึ้นไปบนดอยผาคราง ผมไม่เคยพบเหตุการณ์แปลกประหลาดอะไรเลย ผมจึงค่อนข้างจะมั่นใจว่าบนดอยสูงแห่งนั้นไม่น่าจะมีเภทภัยอะไรกับผู้ที่เดินทางไปเยือนมัน แต่ผมคิดผิด...”
ลุงอินทาหยุดพูดพร้อมถอนหายใจออกมาประหนึ่งต้องใช้ความพยายามเป็นอย่างยิ่งที่จะบอกเล่าเหตุการณ์สำคัญที่เคยเกิดขึ้นในอดีตให้ชายหนุ่มผู้เป็นนายรับฟัง
“ลุงครับ ถ้าลุงหนักใจหรือลำบากใจ ลุงไม่ต้องเล่าผมก็ได้นะครับ”
ปิยะนัฐพอจะอ่านท่าทางของชายชราออก จึงบอกแกด้วยน้ำเสียงปลอบโยน
“ที่ผมอยากเล่านาย ก็เพราะนายมาเกิดอุบัติเหตุอยู่แถวๆ นี้ และนายหายไปสองสัปดาห์เต็ม แต่จู่ๆ นายก็ปรากฏตัว...”
“ลุงหมายความว่าเคยเกิดเหตุการณ์แบบเดียวกับที่เกิดกับผมอย่างนั้นหรือครับ”
น้ำเสียงถามตื่นเต้น หากคำตอบของชายชราทำให้ความตื่นเต้นนั้นค่อยๆ จางหายไป
“เปล่าหรอกครับ ไม่ได้มีเหตุการณ์เหมือนกับที่เกิดขึ้นกับนายหรอก แต่มันก็ทำให้ผมต้องเสียใจมาจนถึงทุกวันนี้”
ปิยะนัฐได้แต่นิ่งฟัง ด้วยเพราะไม่อาจคาดเดา
“คืออย่างนี้ครับนาย มีอยู่ครั้งหนึ่งตอนผมเป็นพราน ผมเดินทางขึ้นไปบนดอยผาครางโดยนำลูกชายคนโตของผมไปด้วย ความเคยชินกับสถานที่แห่งนั้นทำให้ผมประมาทผืนป่าดงดอย ผมไม่ได้ให้อะไรเป็นสิ่งป้องกันตัวลูกชายเลย ทั้งๆ ที่แกอายุเพียงสิบสี่ปีเท่านั้น...”
ลุงอินทาเงียบไปอีกครั้ง หากครั้งนี้ปิยะนัฐกลับรุกถาม
“เกิดอะไรขึ้นครับลุง?”
ชายชราทอดสายตาไปยังดอยสูงที่อยู่ถัดจากดอยม่วงคำด้วยแววที่บอกถึงความเจ็บช้ำจน ปิยะนัฐรู้สึกใจหาย
“ผมพาลูกชายค้างบนผาครางนั่น แต่คืนนั้นทั้งคืนลูกชายของผมเพ้อด้วยท่าทางตกใจสุดขีด ไม่ว่าผมจะทำยังไง อาการหวาดกลัวของแกก็ไม่หาย ผมจำได้ว่าคืนนั้นผมกอดแกไว้แนบอกทั้งคืน กระทั่งเช้าผมจึงนำแกกลับบ้าน และนับจากนั้นจนถึงขณะนี้ แกก็ไม่สามารถกลับมาเป็นเหมือนเดิม
ได้อีกเลย”
“จนถึงขณะนี้ ลุงหมายความว่ายังไงครับ”
“แกเป็นคนเหม่อลอย ไม่พูดไม่จา แต่ก็ยังดีครับเพราะแกไม่ได้เอะอะอาละวาดอะไร มีแต่ความหวาดกลัว ไม่ว่าจะนำตัวไปรักษาที่ไหนก็ไม่หาย”
“ลุง...ผมเสียใจด้วยนะครับ สิ่งที่เกิดกับลูกชายของลุง ลุงเชื่อว่าเป็นอาถรรพณ์ของป่าใช่มั้ยครับ”
ลุงอินทาพยักหน้าให้ชายหนุ่มก่อนจะตอบรับหนักแน่น
“ใช่ครับ เพราะไม่ว่าจะหาเหตุผลใดมันก็ไม่มี ผมจำเหตุการณ์ครั้งนั้นได้ติดตา ในวันที่เราสองพ่อลูกออกเดินทาง ลูกชายของผมตื่นเต้นดีใจมาก เพราะหลายครั้งที่แกออกปากขอตามผมไป แต่ผมก็ไม่เคยอนุญาตสักครั้ง กระทั่งวันนั้น ผมทนต่อการรบเร้าของแกไม่ไหว ประกอบกับอยากพาลูกชายไปฝึกความอดทน ผมจึงพาแกไปโดยที่ผมไม่เคยคาดคิดสักนิดเลยว่า ผืนป่าแห่งนั้นมันจะทำให้ชีวิตของลูกชายต้องเปลี่ยนไปตลอดกาล...”
ปิยะนัฐวางมือตนเองลงบนมือกร้าน เข้าใจถึงความรู้สึกที่ชายชราตรงหน้ากำลังได้รับเป็นอย่างดี
“ตั้งแต่เกิดเหตุการณ์ครั้งนั้นขึ้น ยี่สิบปีมาแล้ว ผมไม่เคยเฉียดขึ้นไปบนดอยผาครางแห่งนั้นอีกเลย ผมเลิกเป็นพรานป่า หันมาหาปลาอย่างเพื่อนบ้านทั่วๆ ไป”
“เพราะสิ่งที่เกิดกับลูกชายของลุงใช่มั้ยครับ ทำให้ผู้คนไม่กล้ามาแถบนี้กับแถวๆดอยสูงที่ชื่อผาครางนั่น”
“มันก็เป็นเหตุการณ์หนึ่งครับที่ทำให้ชาวบ้านกลัว”
ลุงอินทาตอบรับตามความจริง
ปิยะนัฐรู้สึกหนักอึ้งในสิ่งที่ชายชราบอกเล่า...
อาถรรพณ์ คำนั้นอยู่ๆก็จู่โจมเข้ามาในความคิด
จะเป็นไปได้หรือ ถ้าหากตนจะมองว่าสิ่งมหัศจรรย์ที่เกิดกับตน หะรินและภูวดล จะเกิดจากคำว่าอาถรรพณ์คำนั้น
ลุงอินทาขยับลุกขึ้น หากก่อนที่ชายชราจะนำปิยะนัฐเดินทางกลับไปยังแพพัก แกได้ทิ้งประโยคหนึ่งไว้กับเจ้านายหนุ่ม
“นายครับ จากวันที่เกิดอุบัติเหตุกับนายและเพื่อนอีกสองคนของนายตรงจุดนั้น ผมติดตามดูการทำงานของเจ้าหน้าที่ผู้ทำการค้นหาแทบทุกวัน ผมยืนยันได้ ในจุดที่ผมพบนาย ในตอนแรกที่เจ้าหน้าที่พากันค้นหาไม่มีร่องรอยใดๆ ของนายกับเพื่อนๆ เลย การมาที่นี่ของนาย ไม่ว่าจุดประสงค์คืออะไร ผมเต็มใจช่วยนายจนสุดความสามารถ และหากนายมีอะไรที่ไม่สามารถบอกเล่าให้ใครฟังได้ ผมยินดีรับฟังนะครับนาย”
ร่างของชายชราเดินดุ่มๆ นำหน้าไปแล้ว หากประโยคสุดท้ายของแกยังแว่วอยู่ในสมอง
ของปิยะนัฐ...
ใช่...ลุงอินทาเดาบางอย่างถูก เพราะบัดนี้ปิยะนัฐอึดอัดหัวใจเหลือเกินต่อสิ่งที่เกิดขึ้นกับตนและเพื่อนทั้งสองโดยที่ไม่อาจรู้สาเหตุของมัน!
ปิยะนัฐและลุงอินทากลับถึงแพพักตามเวลาที่ลุงอินทาได้บอกไว้กับทุกคน ไม่มีใครคิดสงสัยอะไรเมื่อปิยะนัฐบอกว่าตนเดินเล่นจนเพลินแล้วเผลอหลับอยู่ตรงผาหินในเนินหนึ่งของดอยม่วงคำ มีเพียงนราเท่านั้นที่คอยแอบสังเกตสีหน้าของเพื่อนอยู่ทุกระยะ เพราะแม้เพื่อนจะบอกกับทุกคนว่าเพียงไปเดินเล่นมา แต่บางสิ่งบางอย่างในดวงตาของเพื่อนก็ไม่อาจปิดบังนราได้เหมือนกับที่สามารถหลอกสายตาคนอื่นๆได้อย่างแนบเนียน
หลังอาหารเย็นผ่านพ้น ปิยะนัฐจึงได้รับฟังข่าวดีจากทุกคนที่มานั่งร่วมวงพูดคุย
“นัฐ พี่มีข่าวดีจะบอก”
คำนั้นของนพศูรย์ทำให้ปิยะนัฐหัวใจเต้นระรัว
“เกี่ยวกับการสำรวจใช่มั้ยครับพี่นพ”
นพศูรย์พยักหน้าให้ แล้วส่งสัญญาณไปยังวิศรุตที่กำลังส่งกระดาษแผ่นหนึ่งให้กับปิยะนัฐ ชายหนุ่มระสายตาไปตามข้อความในกระดาษแผ่นนั้น กระทั่งข้อความจบลง ทุกคนจึงได้เห็นรอยยิ้มที่บอกถึงความตื่นเต้นยินดีออกมาจากใบหน้าที่เคร่งเครียดมาแทบตลอดทั้งวัน
“โอ...เป็นข่าวดีจริงๆ ครับพี่รุต นี่ก็แสดงว่าเรายังมีหวังในการสำรวจสิครับ”
“ใช่นัฐ พี่ก็ดีใจกับข่าวนี้ พี่บอกกับทุกคนแล้วนะ รวมทั้งทีมประดาน้ำของพี่ด้วย ทุกคน ดีใจกันยกใหญ่ บอกว่าจะได้ทำงานกันมันๆ ละคราวนี้”
ชายหนุ่มทั้งสี่นั่งพูดคุยกันถึงข่าวดีที่ได้รับและการเตรียมงานสำรวจในวันต่อไปอยู่เป็นเวลานับชั่วโมง กระทั่งเวลาล่วงเลยจนเกือบสี่ทุ่มจึงต่างแยกย้ายเข้าพักในห้องนอนของตน
แม้เมื่อครู่ปิยะนัฐจะตื่นเต้นยินดีกับการได้รับข่าวดีจากวิศรุต หากบัดนี้เมื่อเข้ามายังห้องนอน แม้เพื่อนรักจะทอดตัวลงบนที่นอนเป็นเวลานานแล้ว หากบ่อยครั้งที่นรายังเห็นเพื่อนรักนอนเอามือก่ายหน้าผากราวตกอยู่ในอาการครุ่นคิด
อาการนั้นทำให้นราตัดสินใจสอบถามในสิ่งที่เฝ้าสงสัยนับจากที่เห็นเพื่อนรักกลับมากับลุงอินทาเมื่อเวลาเย็นของวัน
“นัฐ ทำไมไปหลับอยู่ที่ผาหินบนดอยนั่นได้ล่ะ”
นราเอ่ยประโยคแรกออกมากับเพื่อน
“นายคิดว่าเราโกหกเหรอนรา เราหลับอยู่บนนั้นจริงๆ”
ปิยะนัฐย้ำ หากอีกฝ่ายกลับยืนยันในความรู้สึกของตัวเองกับเพื่อน
“เราไม่ได้ว่านายโกหก แต่เราว่ามันน่าจะมีอะไรมากกว่านั้นนะนัฐ”
ปิยะนัฐส่งยิ้มเนือยๆ ให้เพื่อนก่อนจะบอกพร้อมด้วยอาการทอดถอนใจ
“เรานี่หลอกนายไม่ได้สักเรื่องจริงๆ นะนรา”
คำนั้นทำให้นราดีดตัวขึ้นจากที่นอน
“หมายความว่ามันมีอะไรเกิดขึ้นกับนายบนนั้นจริงๆ เหรอนัฐ”
“ใช่...ตอนแรกๆ ที่เราเดินขึ้นไปบนดอยลูกนั้นก็ไม่มีอะไรหรอกนรา แต่พอเราขึ้นไปถึงหน้าผาตรงลานหินใต้ต้นยางใหญ่ บางอย่างก็เกิดขึ้น...”
“บางอย่าง...อะไรนัฐ”
“เรารู้สึกล้าๆ ในการเดินขึ้นเนินชัน พอไปถึงที่ลานหินแห่งนั้นก็เลยนอนเหยียดยาวลงเพื่อให้คลายความเมื่อยล้า สายลมเย็นๆ ที่พัดมาเอื่อยๆ บวกกับความร่มรื่นของผาหินแห่งนั้นทำให้
เรารู้สึกเคลิ้มๆ เหมือนกำลังจะหลับ แต่เรายืนยันได้นะนราว่าตอนนั้นน่ะเรายังไม่หลับ แล้วอยู่ๆ เราก็ได้ยินเสียงอะไรแปลกๆ”
นราได้แต่จ้องมองเพื่อนอยู่เช่นนั้นโดยไม่ได้เอ่ยปากถาม ได้แต่สะกดใจรอฟัง
“เสียงนั้นมันคล้ายๆ เสียงสวดมนต์ของคนจำนวนมากที่แว่วดังขึ้น”
“นายแน่ใจนะนัฐ ว่านายไม่ได้หูฝาดไปเอง”
ปิยะนัฐส่ายหน้า เพราะเป็นเวลานานมากที่ตนได้ยินบทสวดนั้นดังแว่วขึ้นรอบๆ ตัว
“นัฐ เราอยากรู้เรื่องเทพศิลานครอีก นายช่วยเล่าต่ออีกได้มั้ย”
อยู่ๆ นราก็เปลี่ยนเรื่อง
“นายสนใจในสิ่งที่เราเล่าและไม่ได้มองว่าเป็นเรื่องเหลวไหลจริงๆ เหรอนรา”
นราส่งยิ้มให้เพื่อน ก่อนตอบด้วยสีหน้าจริงจัง
“เราบอกตรงๆ นะนัฐ แม้เราจะยังห้าสิบห้าสิบกับเรื่องที่นายเล่า แต่เรารู้สึกแปลกๆ ราวกับว่าบางอย่างที่เกิดกับนายในขณะนี้มันกำลังเชื่อมโยงอยู่กับสิ่งที่นายเล่า แต่จะเชื่อมโยงกันยังไงเราเองก็เดาไม่ถูกเหมือนกัน ที่สำคัญนะนัฐ เราอยากฟังเรื่องราวของรินกับภูมันด้วย เราคิดถึงมันสองคนเหลือเกิน...”
ปิยะนัฐได้เห็นดวงตาในกรอบแว่นสีทองหลุบต่ำลง และหลังจากที่ปิยะนัฐเอื้อมมือปิด สวิตช์โคมไฟลงเพียงครู่ เรื่องราวที่นราอยากรู้ก็พร่างพรูออกมาอีกเป็นฉากๆ
ผลงานอื่นๆ ของ สิริสวรส ดูทั้งหมด
ผลงานอื่นๆ ของ สิริสวรส
ความคิดเห็น