ใต้เงามนตรา ตอน 10
หนึ่งชีวิต...ครองความเป็นใหญ่ หนึ่งชีวิต...ความตายเป็นผู้พลัดพราก หนึ่งชีวิต...ต้องจากเทพศิลานครไปตลอดกาล นี่คือชะตากรรมของสามบุรุษผู้ล่วงผ่านมิติเวลา!
ผู้เข้าชมรวม
71
ผู้เข้าชมเดือนนี้
2
ผู้เข้าชมรวม
ข้อมูลเบื้องต้น
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ใต้เงามนตรา บท10
วันนี้...นับเป็นวันแรกที่ปิยะนัฐ หะริน และภูวดลรู้สึกมีความสุข เกิดความอบอุ่นใจด้วยความเมตตาที่ได้รับจากองค์พิงคะ มากมายหัวข้อที่ถูกหยิบยกมาพูดคุยขณะที่รับประทานอาหารไปด้วย
บ่อยครั้ง ที่ทั้งหะรินและภูวดลชำเลืองสายตาไปยังธิดาทั้งสองขององค์พิงคะ และบ่อยครั้งเช่นกัน ที่ทั้งหะรินและภูวดลต้องสะดุ้งกับแววตาดุดันของสมิงพันตาในยามที่จับนิ่งมายังพวกตน
อะไรเป็นสาเหตุให้สมิงพันตามีท่าทีเช่นนั้น?
ทั้งหะรินและภูวดลเฝ้าครุ่นคิด เพราะหากสมิงพันตาจะยังค้างคาในเรื่องความสามารถของภูวดลเพราะไม่ได้ประฝีมือกัน แต่นั่นก็ไม่น่าที่จะทำให้ใบหน้าของชายหนุ่มผู้นั้นเคร่งเครียดจนดูน่ากลัวได้ถึงเพียงนี้
แล้วความสงสัยของคนทั้งสองก็ค่อยๆ เกิดความกระจ่าง เมื่อมื้ออาหารเที่ยงผ่านไป ในขณะที่สมิงพันตาและสมิงพระนายเข้าไปลาองค์พิงคะ ประโยคหนึ่งที่หะรินและภูวดลได้ยินทำให้ทั้งสองต้องแอบสบตากัน
“วันนี้มีเรื่องยุ่งๆ มากมาย พันตากับพระนายไม่ได้มีโอกาสได้พูดคุยกับเจ้าน้องกันเลย ไม่เป็นไรนะ ไว้วันไหนพวกเจ้ามีเวลา จะนำเจ้าน้องไปฝึกขี่ม้า หรือไปท่องเที่ยวที่ใดก็หาโอกาสเหมาะๆ กันดู”
ประโยคขององค์พิงคะเรียกความสดชื่นให้กับสมิงพันตาได้ในฉบับพลัน ขณะที่หะริน และภูวดลเริ่มเอะใจ...เพราะจะว่าไป คำพูดเช่นนั้นจะออกมาได้ก็น่าจะกับคนที่ไว้วางใจเป็นที่สุดเท่านั้น
“เป็นพระกรุณาต่อข้าและน้องสมิงพระนายเป็นอย่างยิ่ง”
องค์พิงคะส่งยิ้มให้บุคคลทั้งสองก่อนที่จะย้ำถึงการสำคัญ
“อย่าลืมในสิ่งที่เราสั่งนะสมิงพันตา สมิงพระนาย ส่วนบ่ายวันนี้พวกเจ้าก็น่าจะนำคนทั้งสามไปดูสถานที่ต่างๆ รอบๆ กำแพงเมือง”
สมิงพันตาและสมิงพระนายกราบลาองค์พิงคะ แล้วนำชายหนุ่มทั้งสามออกมาจากตำหนักใน และโอกาสนี้เองที่ทั้งสามได้ชื่นชมกับความงดงามของสิ่งปลูกสร้างหนึ่งที่สร้างไว้นอกกำแพงตำหนัก
“พี่ท่าน นี่คือวัดหลวงของเมืองเรา”
ปิยะนัฐตกตะลึงต่อสถาปัตยกรรมทุกหลังภายในบริเวณวัดที่ปลูกสร้างและตกแต่งขึ้นด้วยหินเขี้ยวหนุมานหรือควอทซ์ทั้งสิ้น โดยเฉพาะตัวโบสถุ์ที่แกะสลักทุกส่วนได้งดงามอ่อนช้อยยิ่งนัก
ไม่ว่าจะเป็นตัวผนังโบสถุ์หรือแม้กระทั่งหลังคาจั่วที่ฉลุสลักลายอย่างประณีต และความงดงาม ของโบสถุ์แห่งนี้ยิ่งเพิ่มมากขึ้น ในยามที่แสงตะวันส่องกระทบตัวโบสถุ์ ดังเช่นขณะนี้ที่ทุกส่วน
ระยิบระยับราวยืนอยู่ในดินแดนเทพนิยายก็ไม่ปาน
และยิ่งเวลาต่อมาเมื่อทั้งสามเดินตามสองศิษย์แห่งครูบาผาเหมยเข้าสู่ด้านในของตัวโบสถุ์ ความตื่นตาตื่นใจก็ยิ่งเพิ่มเป็นเท่าทวี
เบื้องหน้าขณะนี้คือพระพุทธรูปปางสมาธิขนาดใหญ่ ที่กะด้วยสายตาน่าจะมีขนาดหน้า ตัก 4 ศอก และความสูงราว 5 ศอก หากที่ทำให้ทั้งสามมหัศจรรย์ใจเป็นอย่างยิ่งก็คือ องค์พระที่กำลังเห็นอยู่ขณะนี้แกะสลักมาจากหินสีขาวใส ด้านเนื้อในมีเส้นเงินเส้นทองปรากฏอยู่ให้เห็นทั่วทั้งองค์
“นัฐ ครอบครัวนายทำธุรกิจอัญมณี พอจะรู้มั้ยว่าองค์พระนี้ทำจากอะไร ทำไมถึงได้แวววาวงดงามขนาดนี้”
ภูวดลยังคงตื่นตะลึงกับความงดงามและฝีมือการแกะองค์พระที่ละเอียดประณีตจนไร้ที่ติไปทุกส่วน
“น่าจะเป็นหินเขี้ยวหนุมานนะภู เราเองยังงงเลยว่าทำไมมันถึงได้มีขนาดใหญ่มหึมาปานนี้ และยิ่งชนิดที่มีเส้นเงินเส้นทองอยู่ภายในแบบนี้ด้วยแล้ว ปัจจุบันคงหาไม่ได้แล้วละมั้ง”
“เอ...คนเมืองนี้เขาทำกันได้ยังไงนะ”
หะรินเองก็พิจารณาองค์พระด้วยความแปลกใจในความสามารถของผู้คนในดินแดนนี้ ก่อนที่จะได้ยินประโยคหนึ่งจากสมิงพันตาแว่วขึ้นมา
“นี่คือองค์พระเขี้ยวแก้ว อันเป็นศูนย์รวมจิตใจของผู้คนชาวเทพศิลา”
สามร่างพับเพียบลงตรงหน้าองค์พระที่มีพักตร์ยิ้มละไม แล้วก้มกราบด้วยความรู้สึกศรัทธาเลื่อมใสเป็นอย่างยิ่ง
“นี่คือสิ่งที่ชาวเมืองเราหวงแหนที่สุด”
สมิงพระนายเอ่ยบอกก่อนที่จะชักชวนคนทั้งสามให้ไปชมสถานที่อื่นๆ ต่อไป
“ท่านพี่ทั้งสาม เราไปดูรอบนอกของเมืองกันเถอะ”
หลังจากทั้งสามถูกนำออกมาจากบริเวณวัดหลวง สมิงพันตาและสมิงพระนายก็นำเดินไปในเส้นทางรอบๆ กำแพงของตัวตำหนัก
หลายสิ่งหลายอย่างที่เห็นทำให้สามหนุ่มทั้งแปลกใจและทึ่งในเวลาเดียวกันกับความ สามารถของผู้คนในด้านต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการวางระบบน้ำภายใน เขตเมือง ซึ่งเห็นได้จากสระน้ำ น้อยใหญ่จำนวนมากมายภายในตำหนักในที่สร้างความร่มเย็นให้กับทั่วทุกบริเวณ หรือแม้กระทั่ง
การสร้างกำแพงเมืองชั้นในที่เห็นอยู่ในขณะนี้ ล้วนบ่งบอกถึงความรอบคอบในการที่จะปกป้องบ้านเมืองให้พ้นภัยทั้งสิ้น
“สมิงพันตา กำแพงนี่ทำจากอะไรหรือ”
หลังจากสังเกตอยู่เป็นนานแต่ก็ยังไม่แน่ใจ ทำให้ปิยะนัฐถามข้อสงสัยขึ้น เพราะจากความรู้
ที่เคยได้ศึกษาจากตำราถึงการสร้างกำแพงเมืองในสมัยโบราณ และจากการที่ได้เคยไปสัมผัสกับเมืองโบราณต่างๆ มาแล้วหลายๆ สถานที่ ส่วนใหญ่การสร้างกำแพงเมืองจะใช้หินศิลาแลงสร้างกัน แต่กำแพงที่ตนกำลังพิจารณาอยู่ในขณะนี้นั้น มันไม่ได้ทำมาจากศิลาแลงเป็นแน่
“กำแพงนี้เกิดจากการนำหินภูเขาชนิดต่างๆ บนดอยหินแก้วนั่นแหละมาสกัดให้มีขนาดใกล้เคียงกันและนำมาสร้างเป็นกำแพงเมือง”
ปิยะนัฐพยักหน้ารับคำตอบ ขณะสายตายังคงจับพิจารณาแต่ละช่วงของกำแพงซึ่งห่างกันราว 3 เมตรที่มีแท่นดอกบัวตูมแกะสลักและประดับด้วยหินสีต่างๆ ไปตลอดแนว
“บนดอยหินแก้วมีของมีค่ามากมายขนาดนั้นเชียวหรือ”
ภูวดลอุทานด้วยไม่คาดคิดว่าในเมืองแห่งนี้จะอุดมไปด้วยสิ่งมีค่ามากมาย และที่แปลกใจ คนเมืองนี้ทำอย่างไรถึงสามารถสกัดหินก้อนใหญ่ให้มีขนาดที่ใกล้เคียงกันเพื่อนำมาสร้างเป็นกำแพงเมือง
ชายหนุ่มทั้งสามยังคงเดินมองกำแพงสีน้ำตาลอ่อนเหลือบชมพูด้วยความรู้สึกสนเท่ห์ใจ กระทั่งเวลาล่วงเข้าสู่ยามบ่าย สองศิษย์แห่งครูบาผาเหมยจึงนำออกมายังนอกกำแพงเมือง ซึ่งกำแพงชั้นนอกก็สร้างแบบเดียวกับกำแพงชั้นใน รวมทั้งสิ่งที่นำมาสร้างก็คือหินภูเขาแบบเดียวกัน
กำแพงชั้นนอกมีความยาวจากเหนือจรดใต้ราว 500 เมตร ส่วนตะวันออกและตะวันตกมีความยาว 250 เมตร ความสูงของกำแพงทั้งรอบนอกและรอบในไม่ต่างกันคือสูงราว 5 เมตร และจากการสังเกต ทั้งสามหนุ่มได้พบว่า ตัวกำแพงเมืองสร้างขนานไปกับลำน้ำที่มีการผันน้ำมาจาก แม่น้ำสายใหญ่พิงคนทีอีกทอดหนึ่ง
ความเป็นระเบียบของผังเมือง และความเย็นฉ่ำของสายน้ำ แสดงให้คนทั้งสามได้รู้ว่าการ วางผังเมืองของเทพศิลานครละเอียดลออเพียงใด
เวลาล่วงเลยจนตะวันบ่ายคล้อย หากปิยะนัฐ หะริน และภูวดล กลับรู้สึกสดชื่นกับบรรยากาศครึ้มๆ รอบๆ ตัว ตลอดเส้นทางเดินที่สมิงพันตาเดินนำมานั้น ทั้งสามสังเกตความเป็นอยู่ของผู้คนจนได้รู้ว่า ชาวเมืองเทพศิลานครแห่งนี้มีฝีมือทางด้านการแกะสลักและการทอผ้าที่เป็นเลิศ เพราะสังเกตได้จากบริเวณใต้ถุนของแต่ละบ้าน พวกผู้ชายจะทำงานฝีมือเกี่ยวกับการแกะสลักหิน
เขี้ยวหนุมานและหินสีนานาชนิดให้เป็นของประดับและตกแต่งในสถานที่ต่างๆ ขณะที่พวกผู้หญิงก็ง่วนอยู่กับการทอผ้าที่มีลวดลายงดงามแปลกตา
แม้ร่างกายจะเริ่มรู้สึกเมื่อยล้า โดยเฉพาะภูวดล หากความตื่นตาตื่นใจทำให้สามหนุ่มไม่ปริปากบ่นออกมาแม้คำ ไม่ว่าสมิงพันตาและสมิงพระนายจะนำไปในสถานที่ใด ทั้งสามก็ให้ความสนใจและเก็บเกี่ยวรายละเอียดต่างๆ ไว้ได้อย่างแม่นยำทั้งสิ้น
กระทั่งสมิงพันตาเดินนำทุกคนมาหยุดลงตรงจุดหนึ่งของที่ราบซึ่งเป็นท้องทุ่งนากว้างใหญ่ ทอดยาวจากเหนือจรดใต้ขนาบไปทั้งสองฝั่งน้ำที่ชายหนุ่มทั้งสามเคยเห็นแต่ไกลเมื่อครั้งที่บุกตะลุย
ฝ่าดงดิบกันออกมา
เมื่ออยู่ในระยะใกล้ แม่น้ำพิงคนทีสายนี้ยิ่งงดงามจนยากจะสรรหาคำใดมาบรรยาย เพราะ นับจากเหนือจรดใต้ สายน้ำเลี้ยวลดคดเคี้ยวเคียงคู่กันมากับเทือกเขาที่ตั้งตระหง่านอยู่อีกฟากฝั่ง ราวกำลังหยอกล้อกันและกันอย่างมีความสุข
จากความงดงามของภูมิประเทศ ทำให้ทั้งสามมีความรู้สึกราวตกอยู่ในห้วงภวังค์ หากยังมีบางสิ่งที่ทำให้ยิ่งทึ่งในความมหัศจรรย์ สิ่งนั้นคือแนวพนังกั้นน้ำทั้งสองฝั่งที่มีความสูงราว 2 เมตร ทำเป็นขั้นบันได มีความยาวตลอดสองฝั่งแม่น้ำสุดลูกหูลูกตา และเมื่อทั้งสามพากันมายืนอยู่บนสัน พนังกั้นน้ำและมองไปยังริมฝั่ง ในจุดนั้นยิ่งมีความงดงามตระการตาด้วยหาดหินและหาดทรายเม็ด ละเอียดขาวใสสลับกับลำธารน้ำสายเล็กๆ ที่ผันน้ำจากท้องทุ่งลงสู่สายน้ำพิงคนที เหมือนดั่งมีสาย น้ำตกๆเล็กๆ ลดหลั่นกันไป
“ภู ริน นายดูสิ ที่นี่สวยงามแทบไม่น่าเชื่อเลย”
ปิยะนัฐพยักหน้าไปยังทิวทัศน์ที่ตนกำลังจับตามอง
“พวกชาวเมืองเขาทำกันได้ยังไงนะ พวกสิ่งก่อสร้างต่างๆ เหล่านี้ สวยงามลงตัวและกลมกลืนกับธรรมชาติมากๆเลย” หะรินเองก็ให้รู้สึกทึ่งในความสามารถของชาวเมืองแห่งนี้ที่รู้จักวางผังต่างๆ อย่างเป็นระบบ
“พระนาย นี่เป็นพนังกั้นน้ำใช่ไหม มันยาวไปถึงไหนหรือ”
ปิยะนัฐยังคงให้ความสนใจต่อภูมิปัญญาของชาวเมือง
“ถูกแล้วท่านพี่ พนังกั้นน้ำแห่งนี้ชาวเมืองเทพศิลาช่วยกันสร้างไว้เพื่อกันน้ำเอ่อท่วม เมื่อ ถึงหน้าน้ำหลากจะได้ไม่ท่วมเรือกสวนไร่นา”
“แล้วช่วงฤดูน้ำหลากนานมั้ยพระนาย”
ภูวดลซึ่งสังเกตภูมิประเทศในทิศทางต่างๆ ถามขึ้นบ้าง
“ไม่นานหรอกท่านพี่ เมื่อถึงเดือนเก้า น้ำเหนือจะไหลบ่ามาเป็นจำนวนมหาศาล แต่มันก็ ผ่านไปอย่างรวดเร็ว กินเวลาไม่เกินหนึ่งเดือน”
คำตอบของสมิงพระนายทำให้ชายหนุ่มทั้งสามกวาดมองพนังกั้นน้ำจากเหนือจรดใต้ด้วย แววตาที่บอกถึงความทึ่ง ขณะสมิงพระนายก็อธิบายถึงสิ่งที่บุคคลทั้งสามกำลังให้ความสนใจ
“พนังกั้นน้ำนี้มีความยาวทั้งสิ้นหนึ่งร้อยห้าสิบ เส้น ทั้งสองฝั่ง เริ่มต้นทางเหนือบริเวณใต้แก่งขุนด่านลงมาทางใต้ จนสุดเขตที่ราบก่อนจะเข้าไปในระหว่างช่องเขาเหนือแก่งทับพญา”
ทั้งสามแม้จะงงๆ กับคำอธิบายของสมิงพระนาย หากก็พยายามคิดตามด้วยการเทียบบัญญัตไตรยางค์
“นัฐ หนึ่งร้อยห้าสิบเส้นนี่มันยาวเท่าไหร่กันวะ”
ภูวดลทำท่าเกาหัว เมื่อไม่มั่นใจกับความคิดของตัวเอง
“คำนวณเอาเองก็แล้วกันนะภู ไอ้ที่เราจำได้น่ะ สองศอกเท่ากับหนึ่งวา ยี่สิบวาเท่ากับหนึ่ง
เส้น สี่ร้อยเส้นเท่ากับหนึ่งโยชน์”
หะรินได้แต่ยิ้มๆ กับคำของปิยะนัฐและท่าทางงงๆ ของภูวดลจึงตอบให้เพื่อนหายข้องใจ
“สี่สิบเมตรเท่ากับหนึ่งเส้น หนึ่งร้อยห้าสิบเส้นก็หกกิโลเมตรน่ะภู”
“เท่าที่ดูคร่าวๆ ภูมิประเทศแบบนี้ และการวางผังเมือง ไม่น่าจะยากกับการจะป้องกันนะริน นัฐ พวกนายว่าไง”
หลังจากคำนวณอยู่พักใหญ่ ภูวดลก็หันมาพูดกับเพื่อนทั้งสองด้วยสีหน้าจริงจัง
“ภู...นัฐ เราไม่เข้าใจจริงๆ ทำไมนายสองคนไปเสนอความคิดแบบนั้นกับองค์พิงคะ ที่สำคัญพวกนายมั่นใจแค่ไหนว่าจะทำได้”
หะรินพูดขึ้นเมื่อเห็นสมิงพระนายแยกตัวออกไปหาสมิงพันตาที่ยืนห่างออกไปจากที่พวกตนกำลังพูดคุยกันอยู่
“ริน นายลืมไปแล้วเหรอว่าเราเป็นทหาร ถึงแม้เราจะอยู่ในสายของนักบิน แต่หลักสูตรต่างๆ ของกองทัพ เขาบรรจุไว้หมดทั้งในเรื่องของยุทธศาสตร์ ยุทธวิธี เราได้รับการเรียนรู้มาตั้งแต่ตอนเป็นนักเรียนนายเรืออากาศนั่นแหละ”
“โธ่...ภู แต่นี่มันของจริงนะ”
หะรินยังมีสีหน้ากังวล หากภูวดลกลับมีท่าทางเต็มไปด้วยความมั่นใจ ทำให้ปิยะนัฐต้องเบรกคนทั้งสองขึ้น
“เอาเถอะ ไหนๆ เรื่องมันก็มาลงเอยแบบนี้แล้ว เราอย่ามัวกังวลอะไรกันอยู่เลย มองไปข้างหน้าแล้วช่วยกันคิดดีกว่าว่าจะทำยังไง อย่างน้อยภูมันก็เป็นทหาร แม้จะไม่เคยออกสู้รบ แต่ตำราการรบ ภูมันก็ศึกษามาไม่น้อย และประวัติศาสตร์ที่ผ่านมาก็สอนเราได้เป็นอย่างดีนะริน ที่สำคัญ เมื่อเทียบกับคนพวกนี้ ขณะที่เราสามารถรู้ได้ทั้งการย้อนหลังกลับไป และรู้ถึงสิ่งต่างๆ ข้างหน้า แต่พวกเขาไม่รู้อะไรเลย”
ประโยคนั้นของปิยะนัฐทำให้สีหน้าภูวดลยิ่งเกิดความมั่นใจ
“ริน เรามั่นใจอย่างที่นัฐมันพูดนะ ไอ้คำที่ว่า รู้เขา รู้เรา รบร้อยครั้งก็ชนะร้อยครั้ง แต่นี่เรายิ่งกว่ารู้ ริน...ความรู้ความสามารถของคนที่ย้อนไปเจ็ดร้อยกว่าปีกับพวกเราที่อยู่ในโลกปัจจุบัน ใครมันจะเหนือกว่ากันล่ะเพื่อน”
หะรินได้แต่พยักหน้าให้เพื่อนทั้งสอง พร้อมกับบอกออกมายิ้มๆ
“ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้ว ว่าไงก็ว่าตามกัน อะไรจะเกิดก็ต้องเกิดละวะงานนี้”
ภูวดลกอดคอหะรินไว้ ก่อนจะย้ำในความมั่นใจ
“แต่เรามั่นใจและมีความหวังมากๆ นะริน นายจำคำพูดของครูบาผาเหมยที่ท่านเคยพูดให้พวกเราสามคนฟังในวันแรกได้มั้ยล่ะ”
“คำพูดไหนล่ะ”
“ก็ที่ท่านบอกว่า ที่พวกเราสามคนมายังดินแดนแห่งนี้ได้ ก็ด้วยชะตานำมาในขณะที่เมือง
เทพศิลานครกำลังมีปัญหา และครูบาท่านยังย้ำอีกว่า เราสามคนจะเป็นผู้ปกป้องเมืองนี้ไว้ไง”
หะรินพยักหน้าให้กับคำพูดของเพื่อน ก่อนเอ่ยอย่างยินยอมต่อโชคชะตา
“นั่นนะสิ หรือว่าเมื่อพวกเราช่วยปกป้องเมืองนี้ได้สำเร็จ ชะตาชีวิตอาจดลบันดาลให้เราได้กลับไปยังโลกปัจจุบันของพวกเรา”
หะรินและภูวดลส่งยิ้มให้แก่กัน หากปิยะนัฐกลับไม่ได้รู้สึกดังเช่นเพื่อนรักทั้งสอง
ด้วยบัดนี้ในความรู้สึกลึกๆ ประหนึ่งจะมีบางอย่างมาคอยตอกย้ำกับปิยะนัฐอยู่ตลอดเวลา ว่าทุกสิ่งทุกอย่างมันไม่ได้ง่ายอย่างที่เพื่อนรักทั้งสองกำลังคิดอยู่เลย
แม้ในส่วนลึกปิยะนัฐจะคิดเช่นนั้น หากสีหน้าสดชื่นเบิกบานของเพื่อนรักทั้งสองยามนี้ ทำให้ชายหนุ่มจำต้องสลัดสิ่งที่เป็นเงาบางๆ นั้นทิ้งไป ในเมื่อเพื่อนกำลังคิดไปในทางที่ดีและมีความสุขกับความคิดนั้น ตนก็ไม่ควรที่จะทำลายความรู้สึกดีๆ เหล่านั้นไม่ใช่หรือ ปล่อยให้ชะตาเป็นผู้กำหนดทุกสิ่งทุกอย่างไปตามทางของมันก็แล้วกัน
สามหนุ่มพูดคุยและชื่นชมกับธรรมชาติอันงดงามอยู่เช่นนั้นอย่างไม่รู้เบื่อ มาสะดุ้งกันอีกครั้งเมื่อเสียงหนึ่งดังขึ้นจากด้านหลัง
“ภูวะ ข้ารู้สึกว่าวันนี้เจ้าจะมีความสุขมากเหลือเกิน ถึงแม้เจ้าจะทำได้ดีในการประลองต่อหน้าองค์พิงคะ แต่คำคุยโวของเจ้าในเรื่องกลทางการศึก อย่างไรเสียข้าก็ยังมิอาจเชื่อถือเจ้าได้ ถ้าหากข้ายังไม่ประจักษ์แจ้งแก่สายตา แต่ที่แน่ๆ ณ เวลานี้ ข้ามีข้อกังขาอยากถาม...พวกเจ้าทั้งสามจับอาวุธหรือขี่ม้ากันเป็นหรือไม่ โดยเฉพาะเจ้า ภูวะ...”
ประโยคนั้นสำหรับปิยะนัฐกับหะรินไม่ได้มีความรู้สึกใด หากภูวดลกลับเดือดดาลเป็นที่สุด “เจ้าพูดแบบนี้ หมายความว่ายังไงสมิงพันตา”
“ก็หมายอย่างที่เจ้าได้ยินนั่นล่ะ”
วาจาโต้เถียงเริ่มดุดัน สมิงพระนายจึงต้องเข้ามาคั่นระหว่างกลาง
“พี่ท่าน ไยต้องมาโต้เถียงกันด้วยเล่า หากค้างคาใจก็พิสูจน์ให้เห็นกับตากันแค่นั้นก็สิ้นเรื่อง”
“เจ้าพูดได้ดีพระนาย ถ้าเช่นนั้น เรานำทั้งสามคนนี่ไปที่โรงฝึกม้ากันเถิด”
คำพูดนั้นของสมิงพันตาทำให้ภูวดลหันไปมองหน้าเพื่อนรักทั้งสองพร้อมยิ้มแหยๆ
“ภู ทำไมต้องทำหน้ายังงั้นด้วยล่ะ เมื่อกี้นี้ยังยิ้มหน้าบานกับเจ้ารินมันอยู่เลย จะไปกลัวอะไรกัน นายชอบการท้าทายไม่ใช่เหรอ นี่แหละเจอคู่ปรับตัวจริงเข้าให้แล้ว โชว์ให้เจ้าสมิงพันตามันเห็นอีกสักรอบจะเป็นไร”
“โธ่...เมื่อเช้าก็โดนไปรอบนึงแล้ว ยังพอทน เพราะถนัดเรื่องการต่อสู้ด้วยมือเปล่า แต่ไอ้รอบสองนี่สิ ไม่รู้ว่าจะเสียฟอร์มหรือเปล่า นายก็รู้นี่นัฐ ว่าไอ้เรื่องขี่ม้าน่ะเราไม่ค่อยจะเก่งสักเท่าไหร่ ไม่เหมือนนายกับรินมันนี่หว่า ตอนไปเรียนกันที่อังกฤษ ได้เรียนขี่ม้ากันมาจนช่ำชอง ไปแข่งบังคับม้าก็ได้ถ้วยกันมาคนละหลายใบ”
“ก็นายไปโม้ไว้กับเขาก่อนทำไมล่ะ”
ครั้งนี้หะรินหัวเราะออกมาเสียงดัง ขณะปิยะนัฐเดินเข้ามาตบไหล่เพื่อนรักแรงๆ พร้อมย้ำ ให้กำลังใจผู้ที่ยังมีสีหน้าลังเล
“มั่นใจเข้าไว้ สู้ตายเลยเพื่อน เราสองคนจะคอยเป็นกำลังใจให้”
ปิยะนัฐพูดยิ้มๆ หากภูวดลกลับสีหน้าเครียด...งานนี้ตนคงได้เสียฟอร์มให้กับสมิงพันตามันเป็นแน่
โรงม้าที่ศิษย์ทั้งสองของครูบาผาเหมยนำชายหนุ่มทั้งสามมานั้นตั้งอยู่ทางด้านเหนือนอกกำแพงตำหนักในออกมาไม่ไกลนัก ภายในคอก มีม้าผูกไว้นับสิบ ด้านนอกเป็นสนามฝึกซึ่งมีบริเวณกว้างขวาง ขณะปิยะนัฐและหะรินมองม้าแต่ละตัวด้วยความพึงพอใจ ภูวดลกลับมองด้วยสายตาแหยงๆ อยู่ในที ทั้งๆ ที่ความจริงภูวดลก็เคยฝึกขี่ม้ามาบ้าง แต่ระยะหลังๆ ห่างหายไปนาน ทำให้ไม่มั่นใจในตัวเอง
“พี่ท่านทั้งสามพอใจม้าเชือกใดจงชี้บอกมา ข้าจะนำมาให้ เว้นแต่สองตัวด้านในนั้นนะ ที่พวกเราไม่อาจไปแตะต้อง”
สมิงพระนายเริ่มให้ความสนิทสนมกับชายหนุ่มทั้งสามมากขึ้น จนขณะนี้เรียกขานทั้งสามว่าท่านพี่ได้อย่างเต็มปากเต็มคำ
“ทำไมม้าสองตัวนั้นพวกเราเลือกไม่ได้ล่ะพระนาย”
ปิยะนัฐถามขึ้นเพราะรู้สึกพอใจต่อลักษณะแข็งแกร่งของม้าสีหมอกที่เคียงคู่อยู่กับม้าสีขาวนวลเสียเหลือเกิน
“เจ้าสีหมอกเป็นม้าประจำของเจ้านางน้อย”
สมิงพระนายบอกชายหนุ่มด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม
“อ้อ...”
ปิยะนัฐรับคำพร้อมๆ กับที่ใบหน้าใสกระจ่างผุดแว่บขึ้นมา
“ส่วนเจ้าสีนวลนั่นก็เป็นม้าประจำของเจ้านางเอื้องงาม”
ปิยะนัฐและหะรินพยักหน้าอย่างเข้าใจ หากภูวดลต้องสะดุ้งโหยงกับเสียงเรียกของสมิงพันตาที่กำลังเดินตรงเข้ามาหาพร้อมม้าตัวหนึ่ง
“ภูวะ นี่ม้าของเจ้า ข้าเลือกให้”
หะรินได้เห็นสมิงพระนายส่ายหน้าราวจะห้ามปรามสมิงพันตาอยู่ในที หากอีกฝ่ายกลับไม่ยินดียินร้ายกับท่าทีของศิษย์น้อง
“คนเก่งๆ มีความสามารถเช่นเจ้า ต้องคู่กับม้าตัวนี้”
เพียงจับสังเกตลักษณะม้าและชำเลืองมองสีหน้าสมิงพระนายก็ทำให้ทั้งปิยะนัฐและหะรินพอจะคาดเดา...
งานนี้ภูวดลกำลังถูกสมิงพันตาลองของเข้าให้อีกแล้ว
“ภู...ระวังตัวด้วยนะ”
ปิยะนัฐกระซิบบอกเพื่อน หากภูวดลกลับตอบมาด้วยสีหน้ามั่นใจ
“เออน่ะ อย่างมากก็ตกลงมาแค่นั้นละวะนัฐ”
ภูวดลกระโดดขึ้นหลังม้าด้วยท่าทางคล่องแคล่ว ขณะที่สมิงพันตาก็กระโดดขึ้นบนหลังม้าของตนเช่นกัน ทั้งคู่นำม้ามายืนเทียบเคียง และเพียงครู่ม้าทั้งสองก็เริ่มเหยาะฝีเท้าไปตามทิศทางที่ผู้อยู่บนหลังบังคับ
จากครั้งแรกที่ปิยะนัฐและหะรินเริ่มโล่งอกเมื่อเห็นท่าทางการบังคับม้าของภูวดลเป็นไปด้วยดี หากขณะนี้เมื่อม้าสองตัวเริ่มห้อตะบึงอย่างสุดฝีเท้า สิ่งที่ทั้งปิยะนัฐและหะรินหวั่นๆ ก็เกิดขึ้น
ม้าพยศตัวนั้นกวัดแกว่งโผนทะยานไปเบื้องหน้าพร้อมๆ กับการสะบัดตัวราวรำคาญต่อร่างของผู้ที่กำลังบังคับอยู่บนหลังของมัน มันพยศอยู่เช่นนั้นเพียงครู่...ก่อนจะดีดส่งร่างของภูวดลลงมานอนกองอยู่กับพื้นดิน!
ปิยะนัฐ หะรินและสมิงพระนายวิ่งตรงไปยังร่างที่นอนกองแน่นิ่งด้วยความตกใจ ขณะที่สมิงพันตาเองก็ให้ตระหนกอยู่ไม่น้อย บังคับม้าของตนให้หยุดวิ่งแล้วกระโดดลงจากหลังม้าวิ่งตรงไปยังร่างของภูวดลด้วยสีหน้าที่บอกถึงความกังวลเป็นที่สุด...
“ภู...ภู...เป็นไงบ้างวะเพื่อน”
หะรินร้องเรียกพร้อมจับร่างของเพื่อนรักให้หงายขึ้น หากแทนที่ทุกคนจะได้เห็นบาดแผลหรือรอยเลือดตรงจุดไหนของร่างกาย สิ่งที่ทุกคนได้รับกลับกลายเป็นรอยยิ้มกว้างที่ภูวดลจงใจส่งมาให้กับทุกคน โดยเฉพาะสมิงพันตา
“โธ่...สมิงพันตา ทีหน้าทีหลังก็บอกกันหน่อยสิว่าม้ามันพยศ”
สมิงพันตาใบหน้าร้อนผ่าว ด้วยรู้...อีกฝ่ายก็เท่าทัน
ภูวดลค่อยๆ ลุกขึ้น แม้จะยอกไปทั้งบั้นเอว หากเจ้าตัวก็เก็บกิริยาไว้ได้อย่างดีเยี่ยม
หลังจากหะรินและปิยะนัฐทดลองฝึกบังคับม้าผ่านพ้นไป สองศิษย์แห่งครูบาผาเหมยจึงได้รู้...ทั้งสามหนุ่มผู้มาจากแดนไกลมีความสามารถในการขี่ม้าไม่แพ้พวกตน โดยเฉพาะหะรินทะ และนัฐถะ
หากที่ทั้งสมิงพันตาและสมิงพระนายไม่ได้รับรู้...
ในค่ำคืนนั้น...หลายครั้งหลายคราที่หะรินและปิยะนัฐต้องผลัดเปลี่ยนกันบีบนวดภูวดลที่นอนครางโอดโอยด้วยอาการขัดยอกไปทั้งตัว!
ผลงานอื่นๆ ของ สิริสวรส ดูทั้งหมด
ผลงานอื่นๆ ของ สิริสวรส
ความคิดเห็น