คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : Introduction
Introduction
“ลูก ตื่นได้แล้ว จะสายแล้วนะ!” เสียงจากนอกประตูแล่นเข้ามาในโสตประสาท ตามด้วยเสียงเคาะประตูห้องดังขึ้นรัวๆ
“ตื่นแล้วครับ” อัลเทอร์ตะโกนไปส่งๆ ก่อนจะเอาผ้าห่มขึ้นคลุมหัวแล้วหลับต่ออย่างไม่ไยดีกับสิ่งแวดล้อมภายนอกที่เร่งรีบ ไม่กี่วินาทีต่อมา นาฬิกาปลุกข้างหัวเตียงก็แผดเสียงลั่น มือทำงานอัตโนมัติโดยควานหาปุ่มปิดเสียงที่แสนจะน่ารำคาญไปให้พ้นๆ
สมองเขาหมุนติ้วเพื่อหาเวลาที่ควรจะตื่น อีกห้านาที ไม่สิ ควรจะสิบนาที แต่ตอนนี้กี่โมงกันหว่า? เขาตั้งเวลาไว้เจ็ดโมงครึ่งนี่
หา!!! เจ็ดโมงครึ่ง สายแล้วน่ะสิ ร่างกายเด้งขึ้นโดยไร้คำสั่ง วิ่งเข้าห้องน้ำไปอย่างรวดเร็ว เปิดให้สายน้ำเย็นรินรดทั่วร่างกายให้ได้สดชื่นในยามเช้า ยาสระผมถูกเทลงบนฝ่ามือ ก่อนจะขยี้บนผมที่เริ่มจะยาวอย่างรวดเร็ว แล้วเป็นหน้าที่ของน้ำอีกครั้ง ที่จะต้องพาสารเคมีออกไป
วันนี้เขาตั้งใจเลือกชุดที่มั่นใจว่าจะต้องดูดีที่สุดเมื่ออยู่บนตัว เสื้อแขนยาวกึ่งสูท และกางเกงสีดำ ใช่แล้ว เขาจะไปสัมภาษณ์งานนั่นเอง หลังจากที่จบมาได้เดือนกว่าๆ ก็มีการประกวดออกแบบภายในขึ้น ซึ่งอัลเทอร์ก็คว้าที่หนึ่งไปอย่างง่ายดาย ทำให้บริษัทออกแบบภายในจำนวนมาก รวมถึงบริษัทออกแบบภายในชื่อดังอันดับต้นๆของประเทศติดต่อให้ไปสัมภาษณ์เข้าทำงาน เขาไม่รีรอที่จะรับงานนั้นในทันที ซึ่งตามจดหมาย วันที่นัดคือวันนี้ ในเวลา 9:00 น.
กลิ่นหอมฉุยของอาหารบนโต๊ะลอยมาแตะจมูก ผู้เป็นแม่หันมายิ้มให้ผมบางๆ ในมือถือทัพพีอยู่ เขายังคงถามคำถามเดิมที่ถามซ้ำมาหลายปีอย่างไม่มีวันเบื่อ
“พ่อละครับ?”
“เดี๋ยวก็กลับมาจ้ะ”
เขาไม่รู้หรอกนะว่า ‘เดี๋ยว’ ของแม่ยาวนานเท่าไหร่ เพราะนี่ก็สามปีแล้วที่เขาไม่เห็นหน้าพ่อ ถึงแม้บางครั้งจะได้ยินเสียงคนคุยกัน แต่ก็ไม่อาจเข้าข้างตัวเองได้อีกว่าเสียงนั้นคือพ่อ บางทีเขาก็กลัวที่จะผิดหวังหากเราคาดหวังไว้เต็มเปี่ยม มันเหมือนตกลงมาในเหวสูงๆ.....เจ็บจนชา
เขาลงมือทานอาหารเช้าที่แม่ลงทุนตื่นมาทำให้อย่างรวดเร็ว เป็นอาหารเบาๆอย่างไข่ดาว เบค่อน และไส้กรอก ตบท้ายด้วยน้ำส้มคั้นสดใหม่ รสเปรี้ยวแล่นผ่านลิ้นไปยังโพรงปาก แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่ใช่เวลาที่จะต้องใส่ใจเรื่องพวกนี้ นาฬิกาชี้บอกเวลาแปดโมงตรง ดังนั้นเขาไม่ควรเถลไถล
“แม่ครับ ผมไปแล้วนะครับ” อัลเทอร์พูดพร้อมกับเดินไปหอมแก้มแม่ฟอดใหญ่
“จ้า โชคดีนะ” แม่ตอบ พลางเดินไปเก็บจานที่วางไว้บนโต๊ะ ความจริงเขาจะช่วยแม่ล้างจานทุกครั้ง แต่วันนี้เขากลับไม่สามารถทำอย่างนั้นได้ ก็คำว่า ‘กำลังจะสาย’ แปะอยู่บนหน้าเสียตัวเบ้อเริ่ม
มือหนาปิดประตูบ้านลง แล้วเดินไปตามถนนหน้าบ้านที่จะพาไปยังถนนใหญ่ แท็กซี่สีเหลืองเป็นคันแรกที่ผมเห็น เขาโบกมือเรียก และมันก็กำลังมาจอดที่เขา
“พี่ครับ ไปบริษัท xxx มั้ยครับ”
“อ๋อ ทางนั้นพี่ไม่ไปน่ะ รถติด”
“เอ่อ งั้นไม่เป็นไรครับ”
ทำไมเดี๋ยวนี้แท็กซี่ไม่รับผู้โดยสารเลย วันอื่นไม่เห็นเจอ ทีวันนี้ตอนรีบๆละ เจอกันได้เจอกันดี รถแท็กซี่สีชมพูที่ขับเข้ามาในสายตาเป็นอีกคันที่เล็งไว้ แล้วโบกมือเรียก รถค่อยๆเข้ามาจอดใกล้ๆให้คุยได้สะดวกขึ้น… ตามด้วยการถูกปฏิเสธแบบเดียวกับคันแรก
ผ่านไปราวๆ 5 นาที รถแท็กซี่สีเหลืองอีกคันกำลังขับอยู่บนท้องถนน เขาโบกมือเรียกด้วยความหวังเต็มเปี่ยม เพราะนั่นหมายความว่า ถ้าไม่ได้คันนี้ก็เท่ากับสาย
“พี่ครับ ไปบริษัท xxx ครับ”
“อ๋อ ได้ครับ แต่ทางนั้นรถติดนิดนึงนะ”
“ไม่เป็นไรครับ”
อัลเทอร์ตอบคนขับ แล้วแทรกตัวขึ้นไปนั่งในรถ มองตัวเลขบนมิเตอร์ที่ขึ้นตามระยะทาง ตามด้วยการเหลือบตาไปมองเวลาบนนาฬิกาของแท็กซี่
8: 52 น.
ชิบหา_! แบบนี้ก็เกือบสายแล้วน่ะสิ
“เอ่อ…พี่ครับ เร่งหน่อยได้มั้ย คือ ผมต้องสัมภาษณ์เก้าโมงอ่ะครับ”
“อ่อ ได้ๆ แต่พี่เร่งเร็วมากเกินไม่ได้นะ จะพยามละกัน” คนขับแท็กซี่ตอบก่อนจะหันไปเหยียบคันเร่ง หน้าปัดแสดงความเร็วถูกปรับระดับจนเป็น 90 กม./ชม. ส่งผลให้ในเวลาต่อมา เขาก็สามารถมายืนหน้าตึกสูงตระหง่านของบริษัทได้อย่างฉิวเฉียด
“ขอบคุณครับพี่” อัลเทอร์เอ่ยคำขอบคุณ มือล้วงกระเป๋าสตางค์ แล้วยื่นธนบัตรสีแดงสองใบให้คนขับ
ตึกของบริษัทออกแบบชื่อดังเป็นตึกสูงตระหง่าน มีประมาณสิบห้าชั้น ตัวตึกถูกทาสีฟ้าอ่อนๆ แล้วทาสีเงินประกบด้านนอก บนสุดถูกตกแต่งด้วยโดมดอกไม้ที่สามารถมองเห็นได้แม้อยู่จากด้านล่าง ทุกอย่างดูกลมกลืนไปหมด สมกับเป็นบริษัทอันดับต้นๆของประเทศ
แอร์เย็นฉ่ำปะทะผิวกายทันทีที่เขาเดินเข้ามาในตัวตึก พนักงานรวมไปถึงลูกค้าจำนวนมากเดินกันให้วุ่น เวลาเหลือน้อยเต็มที อัลเทอร์เดินตรงเข้าไปถามที่เคาน์เตอร์ประชาสัมพันธ์เพื่อสอบถามรายละเอียดของสถานที่
“ขอโทษครับ คือผมมาสัมภาษณ์งาน ไม่ทราบว่าต้องไปทางไหนครับ”
“ใช่คุณอัลเทอร์ ปนาธกิจ รึเปล่าคะ”
“ใช่ครับ”
“ถ้าอย่างนั้นเชิญตามดิฉันมานะคะ” พนักงานสาวพูด ก่อนจะลุกขึ้น และเดินนำทางไปที่ชั้น 5 ซึ่งเธอบอกว่าเป็นชั้นของผู้บริหาร
“…”
“ท่านผู้บริหารรอยู่ด้านในค่ะ”
“ขอบคุณครับ” เขากล่าวขอบคุณก่อนจะผลักประตูเข้าไป
ภายในเป็นห้องที่เป็นโทนสีขาว สลับกับไม้สีอ่อน แซมด้วยสีเทา ดูโมเดิร์น ทว่าแฝงด้วยความลึกลับ เหมือนมีอะไรซ่อนอยู่
กลางห้องเป็นผู้บริหารหนุ่ม หน้าตาจัดว่าดีเลยทีเดียวนั่งอยู่ แก้วกาแฟที่เหลือเพียงของเหลวก้นถ้วยเป็นสิ่งหนึ่งที่บอกได้ว่าคนนั่งเองก็คงจะรอมาได้สักพักแล้ว
“สวัสดีครับ”
“สวัสดี เชิญนั่งก่อนครับ” ผู้บริหารหนุ่มเอ่ย พลางผายมือไปยังเก้าอี้ว่างที่อยู่ตรงข้ามเป็นการเชื้อเชิญให้นั่งลง
“ครับ” เขาตอบด้วยน้ำสียงที่สั่น และประหม่าเล็กน้อย ก็นี่เป็นการสัมภาษณ์ทำงานครั้งแรกนี่นา
“เอาละ คุณคืออัลเทอร์ ปนาธกิจใช่ไหมครับ?”
“ครับ”
“งั้นผมขอถามหน่อย จากการชนะการประกวดออกแบบภายใน คุณได้แรงบันดาลใจจากอะไรครับ ขอเหตุผลด้วยก็ดี” ผู้บริหารหนุ่มหมุนเก้าอี้นิดหน่อย ก่อนจะจ้องหน้าผม
อัลเทอร์นึกถึงแบบที่ผมได้ออกแบบไป บ้านหลังขนาดกลาง แต่งในโทนสีขาว และสีดำ แซมด้วยสีครีมและน้ำตาลดูลงตัว สิ่งหนึ่งก็แวบเข้ามาในหัว
“ด้านมืด และด้านสว่างของจิตใจคนครับ เพราะในปัจจุบัน คนเรามีมากมายนับพันล้าน แต่ไม่มีใครเลยที่เอนไปด้านหนึ่งด้านเดียว ทุกคนมีความดี และความเลวอยู่ในตัวเอง ถ้าเปรียบเทียบความดีกับสีขาวบริสุทธิ์ และความเลวกับสีดำมืด ก็จะมีบุคคลหลากหลายเฉดสี โดยในที่นี้ ผมขอเปรียบสีเทากับผู้ใหญ่ และสีครีมกับเด็ก ดังนั้นผู้ใหญ่จึงเป็นเสมือนเสาบ้านที่คอยค้ำยันเอาไว้ ให้เกิดภยันอันตรายน้อยที่สุด ส่วนเด็กก็เป็นฝาบ้านที่คอยเฝ้าดูผู้ใหญ่ทั้งหลาย และรอวันเติบโตขึ้น โดยตั้งอยู่บนพื้นฐานแห่งความดี ซึ่งเปรียบดังพื้นบ้าน และความเลว ซึ่งควรมีให้น้อย เลยเปรียบดังเพดาน เพราะบางครั้งความเลวเล็กๆน้อยๆก็อาจป้องกันการทำร้ายจากเพื่อนมนุษย์ด้วยกันเองได้ครับ” เขาตอบอย่างฉะฉานเสียยืดยาว ถึงขั้นผู้บริหารหนุ่มแอบมึนไปนิดหน่อย แต่จากสีหน้าแล้วก็น่าจะเข้าใจทั้งหมด
“อืมม์…ตอบได้ดี ถึงดีมากโดยทีเดียว” ผู้บริหารหนุ่มวางมือไว้บนโต๊ะไม้อย่างดี “แต่ทางเราจะขอแจ้งให้ทราบก่อนว่า คุณจะต้องได้รับการฝึกงานก่อน โดยการออกแบบภายในตามที่รีเควส อย่างน้อยก็หนึ่งงาน ก่อนออกงานจริง ซึ่งทางเราจะจัดรีเควสที่เหมาะสมกับคุณ และถูกตัดสินใจจากคำตอบเมื่อสักครู่ ไม่ทราบว่าคุณสนใจจะรับงานนี้อีกไหม”
“สนใจครับ”
“เอาละ ถ้าอย่างนั้นก็เชิญไปในห้องนั้นได้เลยครับ ห้องนั้นจะเป็นที่ที่คุณใช้ฝึกงาน” ผู้บริหารหนุ่มว่า ผายมือไปทางประตูสีขาวที่อยู่มุมห้อง “ทำตัวดีๆละ เขาให้ทำอะไรก็ทำ เข้าใจมั้ย”
“ครับ” อัลเทอร์ขานรับเบาๆ แม้จะสงสัยนิดหน่อยกับคำพูดของผู้บริหาร แล้วผลักประตูเข้าไป
“ขอให้โชคดี”
.
.
.
มืด…นี่คือสิ่งเดียวที่เขารับรู้ วินาทีต่อมา ให้ความรู้สึกเหมือนตัวผมหนนักอึ้งจนกลายเป็นหิน และสิ่งสุดท้ายคือ ผืนน้ำสีน้ำเงิน
หา!!! นี่เขาอยู่ใต้ทะเลเหรอ???!
ไอ้ผู้บริหารนรกคนนั้นส่งเขามาทำอะไรใต้ทะเลวะ นี่แกล้งกันชัดๆเลย แล้วประตูห้องในตึกแบบนั้นมาเชื่อมกันได้ยังไง? เห้ยๆ ไม่สิ แล้วอะไรคือทำตัวดีๆเนี่ย คำถามมากมายผุดขึ้นมาในหัว และเมื่อหันกลับไปมอง ก็เห็นประตูสีขาวบานนั้นอยู่ห่างไปประมาณห้าเมตร ไม่รอช้า อัลเทอร์รีบว่ายเข้าไปให้ใกล้ประตูที่สุด
ฟุบ!
ร่างของเขาจมลงไปใต้น้ำเหมือนอยู่ๆตัวก็หนักขึ้นมาเสียเฉยๆ แรงโน้มถ่วงกดร่างของอัลเทอร์ให้ลึกลงไปอีก แต่ก็มันก็ทำงานได้ไม่ดีนักเมื่ออยู่ใต้ผืนน้ำ มือสองข้างตะเกียกตะกายขึ้นสู่ผิวน้ำตามสัญชาติญาณของมนุษย์
ทันใดนั้น ชายร่างกำยำสองคน ไม่สิ ไม่ใช่คน! ควรเป็นพวกกึ่งคนกึ่งปลามากกว่า กำลังจับไหล่เขาสองข้าง โดยส่วนบนเป็นร่างกายกำยำอย่างมนุษย์ แล้วส่วนล่างที่เป็นปลาก็ค่อยๆขยับไปมาเพื่อพาขึ้นข้างบน
“ขออภัยที่ทำให้ตกใจ เรากำลังนำท่านเข้าสู่ห้วงมิติกลาง เพื่อเดินทางสู่มิติเฟย์ริน โปรดอยู่นิ่งๆ” หนึ่งในชายร่างกำยำหันมาบอก
“หะ หา…เฟย์รินอะไรกัน ฉันไม่เห็นรู้เรื่อง… แล้วฉันมายังไง” เขาเริ่มดีดดิ้นอีกครั้ง หลังตั้งสติได้ และพบว่าทุกอย่างมันน่าอัศจรรย์เกินกว่าที่จะเป็นความจริง
“ท่านเป็นคนเดินทางผ่านประตูมาเองนะครับ” ชายคนเดิมว่าอย่างใจเย็น พลางชี้ไปยังประตูสีขาว
“….” ถึงตอนนี้อัลเทอร์ได้แต่นิ่งอึ้งอย่างไม่รู้จะทำอะไรดี “แล้….”
“นี่ก็อยู่ระหว่างมิติ ท่านอย่าเพิ่งพูดอะไรดีกว่าครับ เกิดผิดพลาดเหมือนเมื่อสักครู่แล้วแก้ไขยากนะครับ รอให้ผ่านประตูบานนั้นไปก่อนดีกว่า” ชายคนนั้นเว้นวรรคไปพักนึงก่อนพึมพำเบาๆ “และถึงท่านกลับไป สถานที่หลังประตูสีขาวก็ไม่ใช่สถานที่ที่คุณจากมาแล้วล่ะ”
เมื่อชายคนนั้นพูดเป็นเชิงตำหนิ เขาจึงได้แต่นั่งหุบปากหุบคำไป ส่วนประตูบานที่ว่า เป็นประตูที่ทำจากแร่ชนิดหนึ่ง น่าจะเป็นแพลทินัม สังเกตได้จากแสงที่เปล่งออกมารอบๆจนดูเหมือนออรา อีกทั้งยังสะท้อนแสงน้ำจนเป็นประกายอีก
ไม่ทันที่เขาจะได้คิดหรือพูดไปมากกว่านี้ ประตูแพลทินัมที่ว่าก็ดูดอัลเทอร์หายเข้าไปพร้อมๆกับแสงสีแดงสว่างจ้า
….โดยไม่เปิดโอกาสได้เห็นใบหน้าที่แสดงความตกใจของชายกำยำสองคนนั้น
หลังจากถูกดูดเข้ามาแล้ว ก็พบว่าเขากำลังต่อแถวรวมกับคนประมาณสิบคน โดยแต่ละคนก่อนหน้าเดินเข้าไปในกล่องสี่เหลี่ยมสีขาวขนาดพอดีตัว ข้างๆมีพนักงานคนหนึ่งนั่งอยู่หน้าอะไรบางอย่าง(?)ที่มีลักษณะเป็นวงกลมขนาดกลางๆ หนาประมาณสองเซนติเมตรเห็นจะได้ น่าจะเป็นหน้าจอแสดงผลล่ะมั้ง อัลเทอร์เบนสายตาไปที่คนที่ยืนหน้าผม ก็เหมือนคนปกตินี่นา เขาตัดสินใจเลยสะกิดคนที่อยู่ข้างหน้า…..หันมาด้วยแฮะ
“มีอะไรรึเปล่า” คนที่หันมาเป็นผู้ชายตัวเล็ก หน้าหวาน และดูเป็นมิตร ทำให้อัลเทอร์กล้าถามเรื่องที่ยังค้างคาใจ
“เอ่อ…นี่ที่ไหนเหรอ แล้วมาได้ยังไงอ่ะครับ”
“อ้าว นี่นายมาครั้งแรกหรอกเหรอ ฉันจะช่วยอธิบายคร่าวๆละกัน ที่นี่ คือห้วงมิติกลาง ใช้ตรวจสอบความปลอดภัยให้กับคนที่จะเดินทางไปมิติต่างๆ โดยคนที่เดินทางผ่านมิติได้จะต้องมีเอกสารการข้ามมิติที่ถูกรับรองโดยสำนักงานกาลเวลาอย่างถูกต้อง ส่วนกรณียกเว้นคือพวกชนชั้นสูง ซึ่งเป็นพวกที่มีพลังธาตุในระดับสูง กับพวกราชนิกูล ราชนิกูลจะมีพลังมากอยู่แล้ว แต่บางคนก็ไม่มีเลยน่ะ เอาละ ส่วนกล่องนั่นจะเป็นการสแกนร่างกายและปรับสภาพให้เข้ากับสิ่งแวดล้อมได้ แล้วก็จะมีคนพาเราไปมิติที่บอกไว้ในตอนแรกน่ะ”
“อ่า ขอบคุณมากๆครับ” เขามึนไปหลายวินาทีกับสิ่งที่ผู้ชายคนนี้พูด เอ…เหมือนต้องมีเอกสารเดินทาง แล้วจะหาได้จากที่ไหนวะ เวรกรรมแล้วไง เนียนๆเข้าไปก่อนแล้วกัน = = เดี๋ยวพนักงานเขาก็บอกเองแหละ
ผ่านไปประมาณสองนาที เป็นคราวของเขาที่จะต้องเข้าไปในกล่องเหลี่ยมๆนั่น เหมือนสแกนร่างกายเลยแฮะ พอเดินเข้าไปปุ๊บ ก็มีเลเซอร์สีฟ้ามาวิ่งผ่านตั่งแต่หัวจรดเท้า ก่อนประตูที่อยู่อีกด้านจะเปิดให้เขาเดินออกมา พนักงานคนหนึ่งก็เดินเข้ามาทันที พร้อมกับเข็มฉีดยาอันหนึ่ง ภายในเต็มไปด้วยของเหลวสีขาวใส แล้วปักลงไปบนแขนของเขา
“เห้ยๆๆๆๆๆ พี่ ทำอะไร อย่านะเว้ย!” อัลเทอร์พยายามดึงแขนออกจากเข็มนั่น แต่ไม่เป็นผล ของเหลวถูกฉีดเข้าไปเรียบร้อย ทุกอย่างเริ่มพร่ามัว พนักงานคนนั้นรีบพาผมไปนั่งที่เก้าอี้ตัวหนึ่ง……..พร้อมๆกับความมืดที่ครอบงำอีกครั้ง
จ๋อม !
เสียงของเหลวกระเพื่อมเบาๆเมื่อมีวัตถุบางอย่างตกลงมา เขาลืมตาขึ้นภายใต้ของเหลวสีเดียวกับของเหลวในหลอดฉีดยา พยายามกระดิกนิ้วชี้เพื่อพิสูจน์ว่าอย่างน้อยก็ยังไม่เป็นอัมพาต ให้ตาย ตอนนี้เขาอยู่ในหลอดแก้วขนาดเท่าตัวคน ผู้หญิงคนหนึ่งเดินมา ก่อนจะเลื่อนบานกระจกแก้วออก พยักหน้าเป็นเชิงว่า ‘ออกมาได้แล้ว นายจะแช่อยู่อย่างนั้นรึไง?’
“เฮ้ นายก็มาที่นี่นี่ ไม่เห็นบอกกันเลย”
ผู้ชายหน้าหวานคนนั้นนี่เอง เขายืนหน้าห่างจากหลอดทดลองของอัลเทอร์ไปประมาณสองเมตร และกำลังโบกมือทักทายอย่างร่าเริง เขาไม่รอที่จะรีบวิ่งไปหาชายหน้าหวานทันที (โดยไม่สนใจหลอดแก้วอีกต่อไป) ค่อนข้างแปลกใจนิดหน่อยที่ร่างกายไม่อยู่ในสภาพเปียก
“พี่มาที่นี่ด้วยเหรอ”
“อื้อ ฉันขอแนะนำตัวก่อน ฉันชื่อเลอา มาร์นีฟ”
“ผมชื่ออัลเทอร์ ปนาธกิจ”
“เอางี้ นายมาครั้งแรกใช่มั้ยล่ะ เดี๋ยวฉันพาเที่ยวเอง ไป เราเดินไปคุยไปกันดีกว่า จะได้ไม่เสียเวลา”
“รบกวนพี่เปล่าเนี่ย” เขาถามไปอย่างเกรงใจ ยังไม่รู้จักพี่เขาเลยนะ แล้วจะให้พี่เขาช่วยได้ยังไงละเนี่ย
“ไม่หรอกน่า นายคิดว่าฉันชอบไปไหนมาไหนคนเดียวรึไง มีเพื่อนสนุกกว่ากันเยอะเลย” ชายหน้าหวานหัวเราะอย่างร่าเริง
“มันก็จริงครับ”
“ถ้างั้นฉันพานายไปโถงเมืองดีกว่า เออ ว่าแต่นายมีพลังอะไรละ” เลอาหยุดอยู่หน้าตึกที่เพิ่งออกมา ก่อนจะหันหน้ามาหาอย่างใคร่รู้
“เอ่อ ไม่น่าจะมีอ่ะครับ”
“ไม่ต้องน่า อย่างนายมีพลังแหงๆดูออกง่ายๆเลยนะ แถมพลังสูงซะด้วย” เลอาพูด แล้วหรี่ตามองเขา “เอาเถอะ ถ้าไม่รู้จริงๆแล้วฉันจะช่วย”
“???!”
“นายลองทำตัวสบายๆเหมือนกับว่าไม่มีอะไรสักอย่างบนโลกดูสิ” จบเสียงของเลอา อัลเทอร์ก็ลองหลับตา และปล่อยทุกอย่างในความคิดลง
“ลืมตาซิ” เขาลืมตาขึ้นตามคำสั่งของชายหน้าหวาน ก็ไม่ได้มีอะไรเปลี่ยนแปลงนี่นา เขาหันมองซ้ายขวา ก่อนจะต้องหยุด เพราะมือบางๆของเลอาหันมาล็อกคาง ตาหวานๆจ้องเข้ามาในดวงตาของเขา
“เฮ้ นายมีธาตุดิน ธาตุไฟ ธาตุลม แล้วก็ธาตุไม้ นายนี่ตัวประหลาดชัดๆ แถมแต่ละพลังก็สูงอีกต่างหาก เกิดมาฉันยังไม่เคยเห็นใครพลังมากเท่านายเลย”
“พี่รู้ได้ยังไงอ่ะ”
“ฉันมีพลัง ’จำแลงกาย’ น่ะ” เขาว่า คิ้วสีน้ำตาลอ่อนๆ ไม่สิ มันเรียกว่าผสมกันหลายสีจนกลายเป็นสีน้ำตาลอ่อนขมวดเข้าหากัน “ทักษะจำแลงกาย คือสามารถปลอมแปลงร่างกายของคนนั้นๆได้ และสามารถบังคับให้คนอื่นแสดงพลังโดยที่เจ้าตัวไม่รู้ด้วย แต่พลังแบบนี้ น้อยคนมากที่จะทำได้โดยไม่เป็นอะไร”
“โห พี่สุดยอดอ่ะ” อัลเทอร์พูดอย่างทึ่งๆหลังฟังคุณสมบัติของทักษะที่ว่า
“เดี๋ยวฉันสอนนายให้ก็ได้ ระดับนายน่ะ ทำได้แบบไม่ระคายมือเลยด้วยซ้ำ” เลอาหยุดไปนิดนึง ก่อนจะพูดต่อ พร้อมกับยื่นกระจกสีดำบานเล็กๆมาให้ “ฉันลืมบอกว่าสีตาของนายมันเปลี่ยนตามพลังที่มีน่ะ ดูเอาเองละกัน อ้อ ชุดก็ถูกเปลี่ยนด้วยนะ”
อัลเทอร์ถือกระจกบานเล็กไว้ในมือ และก้มดูชุดที่สวมใส่อยู่ เป็นเสื้อหนังสีดำแขนกุด กางเกงขายาวขนาดพอดี กับรองเท้าบู๊ตที่เลยขึ้นมาหนึ่งคืบจากข้อเท้า
เขาถือกระจกสีดำไว้ให้มั่น แล้วส่องเข้าไปในตาตัวเอง แต่กลับพบดวงตาสีน้ำตาลเฮเซล ปนสีเขียวแกมแดง สีเงินอ่อนๆล้อมรอบดวงตาจ้องตอบมา แทนที่จะเป็นดวงตาสีน้ำตาลเข้มอย่างแต่ก่อน
“สวยไปอีกแบบแฮะ” อัลเทอร์พูดกับตัวเองเบาๆ
“ใช่ สีตาของนายสวยมาก…แต่เอาเถอะ มันคงไม่เป็นประโยชน์กับตัวนายสักเท่าไหร่ อ่ะนี่…” เลอาพูด พลางยื่นคอนแทคเลนส์สีเฮเซลมาให้
“พี่ไปเอามาจากไหนเนี่ย”
“ฉันเห็นสีสวยดีเลยซื้อมา ตอนเที่ยวมิติเทนาเลย์ เอ่อ…มิติที่นายอยู่น่ะแหละ”
“นี่พี่ไม่ได้มาจากโลกเหรอ?!” อัลเทอร์ทำตาโตอย่างสงสัย พร้อมๆกับใช้กระจกสีดำช่วยในการใส่คอนแทคเลนส์
“ฉันก็มาจากโลกนั่นแหละ แค่คนละมิติ” เลอายักไหล่อย่างไม่ยี่หระอะไร “ฉันมาจากมิติที่สาม
เทราเนย์ มิติพลังแห่งมนุษย์…..มิติที่มนุษย์มีพลังจากเหล่าเทพทั้งหลาย”
Talk with
สวัสดีค่ะ นี่เป็นแฟนตาซีเรื่องแรกของเรานะคะ เราพยามแต่งให้ดีที่สุดแล้วนะคะ ผิดพลาดตรงไหนแจ้งได้ค่ะ
ฝากติชมเรื่องนี้ด้วยนะคะ (เราจะอัพทุกวัน หรือสองวันนะคะ)
*แก้คำผิดค่ะ
Warn
- อย่าด่าพ่อล่อแม่กันนะคะ T^T
Knight
ความคิดเห็น