ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    อดีตขุนนางสาวโสดกับชีวิตโลดโผนผจญภัยเพื่อลูกสาวสุดน่ารัก

    ลำดับตอนที่ #49 : ปัญหาของกรงนก

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 1.18K
      72
      19 ต.ค. 65

    มีสองอย่างที่ช่วยให้คลายความกังวลให้ Shirley ได้บ้าง อย่างแรกคือนกที่ดูเหมือนจะติดกับตัว Sophie กับ Tio แน่นนั้นหลุดออกได้ในเช้าวันต่อมา

    มันน่าจะเป็นอุปสรรคต่อชีวิตประจำวันของพวกเธอถ้าพวกนั้นยังติดกับตัวเธอและนี่ก็ได้ช่วย Shirley ไม่ต้องอธิบายให้ยุ่งยากที่โรงเรียน แต่เธอก็ยังคงเป็นห่วงว่าทำไมนกถึงที่ดูดติดตัวลูกสาวนั้นถึงได้หลุดออกมาเองในวันต่อมาได้ล่ะ

    เธอเริ่มที่จะกังวลมากขึ้นเมื่อเธอพิจารณาถึงความเป็นไปได้ที่ลูกสาวนั้นจะเจ็บป่วย เธอจึงได้ปรึกษากับนักสอดแนมที่อยู่ใน
    เรือนทาโอเร่… แต่ตามที่เขาว่ามา ลูกนกนั้นเป็นพวกวิญญาณนกจึงไม่น่ามีปัญหากับพฤติกรรมของพวกนั้น

    “มันก็เป็นธรรมดาทั่วไปของพวกนกวิญญาณนั่นแหละ ลูกนกที่ฟักตัวออกมาใหม่ๆจะดูดติดกับตัวของพ่อแม่มันจนกว่าพลังเวทมนตร์ในตัวมันจะเสถียรภาพนะ”

    ความต้องการพอประมาณในมุมตัวลูกคือใช้สิ่งมีชีวิตร่วมกันทั้งหมด ตัวอย่างก็เช่นพลังเวทมนตร์ กรณีที่พลังเวทมนตร์ที่ไหลผ่านมากเกินไปจะทำให้จิตใจอ่อนล้าหรือสภาพร่างกายเสียหาย ซึ่งไม่ได้อันตรายแค่สัตว์เวทมนตร์เท่านั้น มนุษย์เองก็เช่นกัน

    Sophie กับ Tio นั้นอันที่จริงก็เกิดมาด้วยพลังเวทมนตร์ที่เป็นส่วนเกิน แต่ขณะที่พวกเธอโตขึ้นพลังนั้นก็อยู่คงตัว แม้จะถึงจุดที่พวกเธอสามารถใช้พลังเวทถึงขอบเขตก็ตาม

    อย่างไรก็ตาม ไม่เหมือนกับมนุษย์ที่ต้องกระตือรือร้นอยากมากตั้งแต่อายุน้อย ความผิดปกติภายนอกอย่างเช่นพลังเวทมนตร์ส่วนเกินนั้นเหมือนจะไม่ได้รู้ว่านำไปสู่การบาดเจ็บหรือเสียชีวิตได้

    จำนวนการตายของมอนสเตอร์ตัวอ่อนและสัตวเวทมนตร์นั้นเทียบเท่าได้พอๆกับจำนวนการตายจากเจ็บไข้และถูกปล้นสะดม

    ในโลกที่ป่าเถื่อนเช่นนี้ วิวัฒนาการก้าวกระโดดของพวกนกวิญญาณนั้นจึงมีความสำคัญอย่างเหลือเชื่อ เห็นได้จากการโกงความตายของนกตัวอ่อน

    มันไม่ได้มีตัวเลี้ยงหรือนกวิญญาณตัวอื่น… สิ่งมีชีวิตใดๆจะมีรอยเส้นเวทมนตร์ที่น่าจะทำได้… นกวิญญาณทุกสายพันธุ์มีชีวภาพที่จะให้พวกมันดูดซึมด้วยรอยเส้นเวทมนตร์ของสิ่งมีชีวิตอื่นเพื่อบังคับให้พลังงานเวทมนตร์ของตัวมันเสถียรภาพ

    “เข้าใจล่ะ นั่นคือสิ่งที่เกิดขึ้นสินะ… ขอบคุณมากที่ให้ความช่วยเหลือนะ”

    “ไม่ต้องถึงขนาดนั้นหรอก ถ้าเธอไม่คำถามใดๆล่ะก็มาถามฉันได้เลย ฉันเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านนก ฉันใช้มากว่าสิบปีแล้วล่ะ”

    “งั้น คุณพอจะรู้มั้ยว่านกสองตัวนี่มันเป็นแบบไหนกันล่ะ?”

    “……………”

    Shirley ไม่ได้กดดันชายขี้โม้ที่ได้แต่ผิวปากและก็หลบตาไปทางอื่น

    “และในวันนี้ เราจะต้องไปซื้อของที่จำเป็นอย่างอาหาร ไม่ต้องพูดถึงกรงเลย…”

    นั่นคือสิ่งที่ Shirley บอกกับลูกสาวที่ต้องรีบกลับบ้านหลังเลิกเรียนเพื่อกลับไปดูนกโดยเร็วที่สุด แต่ Sophie กับ Tio ต่างก็เริ่มสนทนาในเรื่องอื่น

    “มันก็ไม่ดีหรอกที่จะตั้งชื่อแปลกๆไป ไม่ใช่ว่าเราควรจะตั้งชื่อที่มันน่ารักแทนหรือ? ที่จริง แม้แต่ตอนที่เราจะคิดชื่อก็ต้องมีความหมายที่สำคัญด้วย!”

    “อย่างไหนหรือ?”

    “อย่างเช่น… พุดดิ้งจัง?”

    “เซนส์ในการตั้งชื่อของเธอนี่แย่ชะมัด ต่อให้พวกนั้นนุ่มนิ่มเหมือนพุดดิ้ง คิดว่าพวกนั้นจะอยู่แบบนั้นตอนที่โตขึ้นหรือเปล่าล่ะ?”

    “ย-อย่างน้อยมันก็ดีกว่าชื่อ Gengollow นั่นใช่มั้ยล่ะ!?”

    พวกเธอถกเถียงเรื่องชื่อมาตั้งแต่เมื่อวานและก็ยังไม่มีอะไรออกมาเลยสักอย่าง ขณะที่เธอมอง Sophie กับ Tio ต่างก็โต้เถียงอย่างไม่ลดละนั้น Shirley ก็นึกเรื่องเหตุการณ์เมื่อสิบปีก่อน

    หลังจากที่ลูกสาวที่น่ารักทั้งสองคนได้เกิดมา ก็เหมือนอย่างที่พวกเธอกำลังทำอยู่ในตอนนี้ Shirley ได้พยายามคิดชื่อให้มากที่สุดเท่าที่เป็นไปได้

    ชื่อเป็นสิ่งที่ต้องติดตัวไปตลอดชีวิต ในฐานะตัวคนเดียวที่จะต้องตั้งชื่อให้พวกเธอ ไม่ว่าเธอจะนึกย้อนกลับยังไงมันก็ไม่พอ ขณะที่เธอมองดูลูกสาวผ่านอะไรบางอย่างตอนอายุสิบขวบ เธอก็คิดว่าบางทีการเลี้ยงสัตว์อาจจะมีประโยชน์ต่อการศึกษาของพวกนั้นได้

    วันหนึ่งพวกเธอจะต้องกลายเป็นผู้ใหญ่และจะต้องแยกจากเธอไป บางทีมันคงจะเร็วไปที่จะคิดถึงเรื่องแบบนี้ แต่ถ้าพวกนั้นสามารถสร้างสำนึกรับผิดชอบในการดูแลนกพวกนี้ได้ แล้ว Shirley จะมีความสุขเลยล่ะ

    “นี่ หม่าม้า? หม่าม้าได้ตั้งชื่อพวกเรายังไงหรือคะ?”

    “ตอนที่ตั้งชื่อพวกเรานั้น แม่มีมาตรฐานแบบไหนมั้ย?”

    พวกเธอดูเหมือนจะจนปัญญากับตัวซะแล้ว ก็เลยหาตัวช่วยภายนอก แต่เมื่อ Sophie กับ Tio มองไปยัง Shirley เพื่อขอคำใบ้ เธอจึงได้พูดบางอย่างที่พวกนั้นไม่ได้คาดการณ์เอาไว้

    “ก็นะ… ที่จริง ตอนที่แม่ตั้งชื่อให้พวกลูกนั้น แม่ก็ไม่ได้นึกถึงความหมายมากนักหรอกนะ”

    “หา? จริงหรือ?”

    คนที่รู้แค่จอมเห่ออย่าง Shirley ที่น่าจะเปิดเผยเรื่องอันน่าช็อคยังไงนั้น สำหรับลูกสาวแล้ว เธอที่ได้จัดการกับราชามังกรด้วยตัวเองจนกลายเป็นเรื่องเล่าไปทั่วทั้งประเทศนั้น มันยากที่จะมโนได้ว่า Shirley นั้นไม่ได้ใส่ใจกับความสำคัญสุดขั้วในการตั้งชื่อให้ลูกสาวเธอเลย

    “ชื่อที่แม่ให้ลูกนั้นก็ไม่ได้มีความหมายหรอก สิ่งที่สำคัญก็คือการชี้นำชีวิตของบุคคลที่มีชื่อต่างหาก ตัวชื่อนั้นไม่มีอะไรมากไปกว่ารอยเท้าที่ประทับทิ้งเอาไว้… ตราบใดที่ชื่อนั้นพูดได้ง่ายและไม่มีอะไรที่ต้องอายที่จะถูกเรียกจากผู้ใหญ่ ก็ไม่มีอะไรมากนักหรอก”

    “หืมมมมม แล้วนั่นเป็นอย่างนั้นด้วยหรือ?”

    “จ้า อย่างที่ว่านั่นแหละ มันน่ายังดีที่สุดที่จะตั้งชื่อที่เธอคิดว่ามันจะชอบด้วยนะ”

    และ ถึงแม้ Shirley จะพูดแบบนั้นไป――――

    “บางที Sylvara ที่เป็นนักบุญโบราณจากหนังสือหรือว่า Sylvia ที่หมายถึงเด็กที่ปรารถนาดี? …ไม่สิ เดี๋ยวนะ แล้วชื่อ Fio ที่หมายความว่าอนาคตในภาษานั้นล่ะ… หรือจะเป็นชื่อของอัญมณีที่อยู่ตรงกลางของเม็ดแดงที่มีความหมายถึงนำพาซึ่งความโชคดี Carnelia… อึก! ถ้าฉันรู้ว่ามันจะยากขนาดนี้ ฉันน่าจะรวบรวมชื่อก่อนที่พวกนั้นจะเกิดล่ะนะ!”

    หลังจากที่คลอดออกมาแล้ว เธอก็ต้องฝืนทนไปอีกสามเดือนกว่าจะหาชื่อที่เหมาะสมกับทั้งสองคนนั้น ที่จริงนั้น Shirley ไม่ได้บอกด้วยจิตวิญญาณเลย

    “เอาล่ะ ถ้าเราไม่ไปยังที่ร้านขายเครื่องมือล่ะก็ มันจะปิดก่อนที่เราจะไปถึงนะ รู้มั้ย? แม่จะช่วยเธอคิดชื่อให้เองนะ”

    “อืม ตกลง”

    หลังจากที่การช่วยเหลือทั้งสองได้พร้อมแล้ว Shirley ก็เปลี่ยนชุดเป็นเสื้อชุดเดียว Sophie กับ Tio ก็สวมหมวกฟางเพื่อปกป้องจากแสงแดดแล้วก็หิ้วนกที่อยู่ในกล่องฟางเล็กๆที่ให้มาโดยนักผจญภัยที่เชี่ยวชาญด้านนก

    “เอาล่ะ ทั้งสองคน ยืนอยู่ตรงนั้นนะ”

    “ค่าาาา”

    ขณะที่เธอรับเงินมา Shirley ก็ร่ายเวทลงบนตัว Sophie, Tio และตัวเธอเอง เป็นเวทป้องกันที่เรียกว่า 《ปกป้องผิว》ที่จะปกคลุมร่างกายและป้องกันการทะลุใดๆเข้าไป

    “โอ้ ทั้งสามจะออกไปแล้วหรือ?”

    “จ้า! เราจะไปซื้อกรงนะ!”

    “อืม แล้วเจอกันนะ”

    หลังจากที่แม่กับลูกสาวโบกมือลา Martha แล้ว Shirley ก็จับมือลูกทั้งสองเดินผ่านกลางเมือง ภายใต้ท้องฟ้าที่ปลอดโปร่ง แสงแดดที่ส่องสะท้อนบนถนนจนเห็นสีที่ตัดกันอย่างชัดเจน

    มีของอยู่หลากหลายมากมายในร้านขายเครื่องมือที่ขายให้กับนักผจญภัยอยู่เสมอ จากโพชั่นรักษายันเชือกที่สามารถใช้ได้ในทุกๆสถานการณ์ อุปกรณ์เวทมนตร์ที่สามารถจุดไฟได้ แผ่นม้วนที่สามารถใช้เวทมนตร์ได้โดยไม่ต้องร่าย นักผจญภัยต้องการเครื่องมือแบบต่างๆเพื่อให้งานสำเร็จและร้านนี้ก็มีของที่ให้ลูกค้าพึงพอใจ

    โดยเฉพาะเครื่องมือจำพวกกรงเวท ที่ตามปกติจะใช้กับภูติรับใช้ โดยส่วนใหญ่กรงจะมีขนาดกะทัดรัด สำหรับสัตว์ที่ตัวเล็กๆ แต่นั่นก็จะมีปัญหาอื่นตามมา

    “เราเองก็ไม่อยากจะนึกหรอกว่ามันจะใหญ่แค่ไหนเมื่อโตขึ้นมานะ”

    “บางทีเราน่าจะไปยังห้องสมุดก่อนที่จะมานี่มั้ย?”

    ที่จริง Shirley ก็ได้อ่านมาเยอะเท่าที่จะทำได้แล้ว แต่เธอกลับไม่พบบันทึกใดๆที่มีลักษณะตรงกับรูปร่างพวกนั้นเลย ดังนั้น ถ้าพวกเธอซื้อกรงเล็กๆล่ะก็ พวกเธออาจจะต้องเอามาเปลี่ยนใหม่เมื่อนกนั้นโตขึ้น

    “แต่ยิ่งกว่านั้น พวกนั้นอาจจะไม่ค่อยมีความสุขสักเท่าไรที่จะต้องมาอยู่ในที่แคบๆ ดังนั้นจึงต้องทำกรงที่ใหญ่ที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้นะ”

    “…จริงด้วย”

    นักผจญภัยคนอื่นๆต่างก็บอกเธอว่าเป็นสิ่งที่สำคัญที่จะสร้างสภาวะที่ไม่ให้นกต้องเกิดความเครียด Shirley ไม่อาจทนต่อการเสียเงินไปอย่างเปล่าประโยชน์ได้ แต่เนื่องจากเธอยังหาเงินได้ดีอยู่ บางทีมันก็ไม่ใช่การลงทุนแย่ๆที่จะต้องซื้อกรงที่ใหญ่กว่าที่จำเป็น――――

    “จิ๊?”

    “จิ๊บ”

    (ดูท่าไม่ค่อยจะเครียดเลยแฮะ… พวกนั้นต้องการจริงๆหรือ?)

    พอเห็นว่านกพวกนี้ทำสีหน้าไม่ค่อยกังวล ความคิดนั้นบางทีไม่จำเป็นก็ได้ นกสองตัวนั่นไม่ได้ดูเหมือนจะคิดอะไรที่จะหลับในกรงเล็กๆถึงแม้ว่าพวกมันจะเล็กแค่ไหนก็ตาม

    “อะไรกันเนี่ย Shirley วันนี้เจ้าพาเด็กมาด้วยหรือ?”

    ขณะที่พวกเธอมองไปยังที่กรงนกที่วางอยู่บนชั้นเรียงรายจนสงสัยว่าจะเลือกเอาอันไหนดีนั้น หญิงชราที่มีเสียงแหบก็เดินเข้ามาหลังพวกเธอ แกสวมเสื้อคลุมยาวสีดำและมีจมูกยาวที่ยื่นจากใบหน้า แกดูเหมือนแม่มดที่มาจากป่าแห่งภูติ

    “ใช่ ก็แค่วันนี้แหละ… ผู้หญิงคนนี้ชื่อคุณ Aurora แกเป็นเจ้าของร้านนะ สวัสดีแกสิ”

    “ย-ยินดีที่ได้รู้จักค่ะ”

    “…สวัสดี”

    ทำเอาเด็กถึงกับหวาดกลัวจากสายตาของหญิงชรา บรรยากาศที่อยู่รอบๆตัว Aurora แตกต่างจากคนธรรมดาอย่างเห็นได้ชัด

    “เหะๆๆ นี่เป็นเด็กสาวที่เขาลือกันหรือ? ไม่ต้องกลัว ข้าไม่กินพวกเจ้าหรอก ข้าใส่ส่วนผสมเอาไว้ในหม้อเรียบร้อยแล้วล่ะ”

    “…เธอใช้หม้อสินะ”

    ขณะที่ Tio พูดกับตัวเองนั้น Aurora ก็ได้ยินเธอพึมพำแล้วก็ขยับปากให้ยิ้มบาน

    “ถูกแล้ว ตอนนี้ข้ากำลังแปลงเวทมนตร์คำสาปให้เป็นของเหลวแล้วข้าก็จะใส่ลงในแอปเปิ้ล ข้าจะต้มมันจนกว่าจะเดือดแล้วก็จะฉีดเข้าใส่มัน แล้วเมื่อเสร็จแล้วข้าก็จะเอาไปให้หญิงสาวพรหมจรรย์และทำให้เธอตกอยู่ในห้วงนิทราตลอดกาล”

    “อ-เอ๋-----!?”

    “ฉันว่าเธอไม่ควรเล่าเรื่องแปลกๆให้ลูกสาวฉันนะ ขอร้องล่ะ”

    ที่จริงสิ่งที่แกกำลังทำในหม้อนั้นก็แค่โพชั่นธรรมดาเองแหละ แต่เมื่อแกบอกพวกนั้นไป Sophie ถึงกับตอบไปว่า “น-น่า รู้แล้วล่ะ มันก็แค่เรื่องตลกเอง” ด้วยสีหน้าที่โล่งอก Aurora ถึงกับหัวเราะ

    “งั้น ธุระที่เจ้าถ่อมายังที่นี่ก็คือเรื่องนกพวกนี้สินะ?”

    “ใช่ ฟูกฟางและก็เอาที่มันจัดการได้สะดวกพอนะ แต่เนื่องจากเราไม่รู้ว่านกจะใหญ่แค่ไหนตอนที่มันโต จึงไม่แน่ใจว่าจะซื้อกรงขนาดไหนดี”

    “นั่นเป็นปัญหาเลย… งั้น แล้วนี่ล่ะ?”

    ขณะที่แกพูดนั้น แกก็เอาบางอย่างมาจากหลังร้าน แวบแรกดูเหมือนกับกรงนกทั่วไป แต่กลับมีสัญลักษณ์เวทมนตร์วางอยู่บนพื้นที่มองดูแล้วน่าสงสัย

    “เป็นกรงคำสาปที่สร้างมาเพื่อเศรษฐีเห่ยๆที่ไม่อยากให้หมาน้อยหรือแมวน้อยต้องการเป็นผู้ใหญ่นะ มันจะหยุดยั้งการเจริญเติบโตของสัตว์นะ ดังนั้นพวกเจ้าจึงไม่ต้องกังวลเรื่องขนาดแล้วล่ะ?”

    “จิ๊บ!?”

    “เปล่า ข้าหมายถึง ก็แค่นิดหน่อยนะ…”

    ขณะที่ Aurora พูดอะไรบางอย่างที่ดูชั่วร้ายนั้น Sophie ก็ผลักกรงนั้นให้ห่างออกไปช้าๆ

    “หืมม… แล้วอันนี้ล่ะเป็นไง? มันใหญ่พอที่จะใส่เหยี่ยวได้นะ แต่นกจะถูกเวทกึ่งหลับเข้าไป จนทำไม่ไม่รู้สึกตัวว่ากรงนั้นเล็กแค่ไหนนะ”

    “จี๊บ!?”

    “อืม ต่อไป”

    คงจะต้องเป็นกรงนกสุดพิลึกอย่างอื่นอีกแหงๆเลย Tio ถึงกับผละมันออกไปด้วยท่าทางไร้เดียงสา

    “เป็นกรงที่ดูดีพอแล้วล่ะ แล้วกรงที่ใหญ่ที่สุดที่มีอยู่ล่ะคืออะไรหรือ?”

    “อย่างงั้นหรือ? นั่นสิน้า งั้นอันนี้ล่ะ”

    Aurora ถึงกับทำสีหน้าผิดหวังเล็กน้อยขณะที่แกกวักมือเรียกพวกเธอตามแกไปยังหลังร้านและในหลังของห้องเก็บของ แกชี้ไปยังที่ไม้กระดานและเส้นลวด

    “ถ้าเจ้าอยากจะได้กรงใหญ่ที่สุดที่ข้ามี ก็นี่แหละ”

    “หือ? มันก็แค่ไม้เองไม่ใช่หรือคะ?”

    ทำเอา Sophie นั่นถึงกับสงสัยออกมาเนื่องจากกองไม้กับลวดนั้นไม่ได้ทำให้เธอคิดว่าจะเป็นกรงนกได้เลย อย่างไรก็ตาม Aurora ก็พยักหน้ายืนกรานว่าเป็นกรงสัตว์แน่นอน

    “มันแยกชิ้นส่วนไงล่ะ ลูกค้าที่ซื้อไปจะต้องเอาไปประกอบเอง แล้วพวกเขาก็จะใช้งานมันในบ้านได้ จึงเหมาะกับคนแน่นอน ดังนั้นจึงน่าจะเหมาะกับนกของเจ้าถึงแม้ว่ามันจะโตขึ้นมาอีกสิบเท่าก็ตาม”

    “เอ่อ มันไม่เหมือนเล้าไก่มากกว่ากรงนกหรือคะ…?”

    “มันก็คล้ายพอๆกันเลยใช่มั้ย?”

    “กะจะให้แตกต่างกันบ้างอยู่แล้วล่ะ”

    “แล้วเราจะต้องประกอบมันขึ้นมาก่อนได้มั้ยล่ะ?”

    นี่ถือว่าแตกต่างจากที่พวกเธอคาดเอาไว้อยู่บ้าง นี่คือพื้นฐานบางอย่างที่ใกล้เคียงกับกระท่อมมากกว่ากรง ถ้ามีของใหญ่ๆแบบนั้นมันก็ไม่น่าจะเอาไปวางในร้านโดยที่ไม่แยกชิ้นส่วนได้นะ บางทีมันก็เกินไปหน่อยมั้ย?

    ในตอนแรก ดูเหมือนกับว่าจะต้องการช่างไม้มาทำ จนสงสัยว่ามือสมัครเล่นจะประกอบมันได้หรือเปล่า Shirley ไม่มีความรู้ในด้านช่างไม้ใดๆเลย แต่ Aurora ยืนยันว่าทำได้

    “มองดูใกล้ๆสิ ไม่เห็นรูที่เจาะในไม้หรือ? มันทำขึ้นมาเฉพาะที่แม้แต่มือสมัครเล่นก็ยังสามารถประกอบได้นะ… แต่มันก็ทำให้ข้าผิดหวังที่ต้องมาปล่อยทิ้งไว้อยู่ตรงนี้เนื่องจากไม่มีผู้ใดมาซื้อเลย”

    “นึกภาพออกเลยล่ะ”

    เถียงกลับไม่ออกเลยถ้าพวกเขาสร้างบ้านนกที่ใหญ่แบบนี้ ไม่ว่านกจะเติบโตจนใหญ่แค่ไหน มันก็จะอยู่ได้สะดวก แต่ปัญหาก็คือ――――

    “ไม่รู้จะเอาไปวางไว้ตรงไหนดีล่ะ?”

    “ที่จริง นี่มันไม่ได้กว้างกว่าห้องเราไปหน่อยหรือ?”

    ครอบครัวนั้นอาศัยอยู่ที่เรือนทาโอเร่ จึงไม่มีที่ไหนเลยที่กว้างพอที่จะติดตั้งอะไรที่มันใหญ่ๆในห้องได้ ถึงแม้ Shirley จะมีความสัมพันธ์กับ Martha มานาน ก็คงไม่มีทางที่เธอจะอนุญาตให้เอามาไว้ในหลังบ้านของบ้านพักแน่ แต่ก่อนที่ Shirley จะยอมแพ้แล้วซื้อกรงนกธรรมดานั้น เธอก็นึกอะไรบางอย่างออก

    “รอสักแป๊บนะ ที่จริงเราก็ใช้อันนี้ซะ มันก็ไม่น่าจะเป็นปัญหาแล้วล่ะ”
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    นักเขียนเปิดให้แสดงความคิดเห็น “เฉพาะสมาชิก” เท่านั้น
    ×