ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    อดีตขุนนางสาวโสดกับชีวิตโลดโผนผจญภัยเพื่อลูกสาวสุดน่ารัก

    ลำดับตอนที่ #44 : บทนำ 3 - ฤดูร้อนเดือด

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 2.53K
      141
      12 ส.ค. 63



    แกรนมาสเตอร์อัศวินหลวง Gran Wolff ก็เป็นอีกคนที่มีชื่อเสียง

    เขาคือมาร์ควิซจากขุนนางชั้นนำของอัศวินหลวงที่เป็นคู่แข่งกับตระกูล Regnard มาหลายรุ่น ผู้นำของเหล่าตระกูลจะถูกเรียกว่าแกรนมาสเตอร์

    ในฐานะลูกชายคนแรกของตระกูล Wolff เขาเกี่ยวข้องกับราชวงศ์อย่างลึกซึ้ง เขาได้ศึกษาเล่าเรียนอย่างหนักเพื่อสืบทอดตระกูล เขาจึงไม่ทำให้เพื่อนสมัยเด็กอย่าง Albert ต้องขายหน้า คอยอยู่เคียงข้างกับผู้นำในอนาคตของชาติที่ดูเหมือนจะคอยอวยพรโดยตัวเทพีให้

    รวมไปถึง เขามีเสน่ห์อันหล่อเหลาและรูปร่างที่เพรียวงาม ในขณะที่เขาก็ไม่ได้หลงพวกสาวๆเอาง่ายๆ เขาได้แบกตัวเองด้วยพวกเพศตรงข้ามที่หลงใหลในตัวเขา ด้วยความกล้าหาญและใบหน้าอันเกลี้ยงเกลากับผมที่มีสีเดียวกับสีของชาทำให้เขาเป็นที่โด่งดังมาก

    เขาจึงกลายเป็นตัวตนในอุดมคติของคนที่เคร่งครัดในหน้าที่อัศวิน

    เพื่อปกป้อง Albert คนที่เขาเชิดชู เขาผลักดันตนเองทุกวันในการแข่งขันกับลูกชายของนายกรัฐมนตรีที่เป็นเพื่อนสมัยเด็กที่ดีพอๆกับลูกของจอมเวทหลวง แต่เมื่อเขาอายุสิบเอ็ดขวบ ผู้หญิงคนนั้นก็ปรากฏตัวขึ้น

    “ย-ยินดีที่ได้รู้จัก… ฉันชื่อ Shirley Earlgrey ได้รับเกียรติให้มาเป็นคู่หมั้นของมุกุฏราชกุมารค่ะ”

    ผู้หญิงที่มีผมขาวและดวงตาสีแปลกได้ทำตัวมีมารยาทที่สุด แต่ก็เห็นได้ชัดเจนเลยว่าเธอนั้นยังผวาอยู่ เธอพยายามที่จะพูดกับคนอื่นให้ได้สินะ

    เขาได้ยินเรื่องของเธอมา ตอนที่ Albert ไปเยี่ยมตระกูล Earlgrey กับจักรพรรดินั้น เขาดูท่าจะไปตกหลุมรักกับลูกสาวของดยุคที่เห็นแวบแรกแล้วก็ประกาศหมั้นกันเลย เนื่องจากเธอก็มาจากตระกูลดยุคซึ่งมีระดับที่น่าจะเข้ากันได้อย่างสมบูรณ์ อย่างไรก็ตามการปรากฏตัวของเธอนั้นก็กลายเป็นปัญหาหลัก

    เพื่อนของ Albert ทุกคนรวมทั้ง Gran ต่างก็เป็นสายเลือดแท้ของขุนนาง ความหวาดกลัวของการปฏิวัติที่เรียกว่า ‘ปีศาจผมขาว’ ผู้ที่ล้มล้างระบอบสิทธิพิเศษของขุนนางในจักรวรรดิได้ฝังรากลึกไปถึงพวกเขา ผมขาวและดวงตาสองสีนั้นเป็นเหมือนสัญลักษณ์ของการต่อต้านชนชั้นสูง

    ถึงแม้ว่าผู้หญิงที่มีลักษณะแบบนั้นที่จะขึ้นมาเป็นจักรพรรดินีคนต่อไปนั้นมันเลวร้ายเหลือทน Gran ได้สงสัยว่ามกุฏราชกุมารจะต้องถูกหลอกด้วยความงามของเธอ เขาจึงคอยจับตาดูว่าเธอนั้นพยายามใช้เล่ห์เหลี่ยมแบบไหนเพื่อที่เข้าไปแฝงในราชวงศ์หวังเจตนาอันชั่วร้าย

    “ขอโทษนะ Shirley พวกเขาไม่ใช่คนไม่ดีหรอก พวกเขาก็แค่เป็นห่วงฉันเอง พวกเขาเป็นห่วงถึงความปลอดภัยของฉันตลอดนั่นแหละ”

    “ไม่หรอก โอเคแล้วล่ะ ฉันมั่นใจเลยว่า… วันหนึ่งจะได้เป็นผู้หญิงที่ยอดเยี่ยมที่คุณต้องภูมิใจแน่”

    อย่างที่เธอบอก ตั้งแต่วันนั้น Shirley ก็อุทิศความพยายามทั้งหมดเพื่อเป้าหมาย โดยไม่มีการบ่นใดๆ เธอรับเอาทุกอย่างเพื่อที่จะได้เป็นเจ้าหญิงด้วยตัวเล็กๆโดยหวังที่จะเป็นประโยชน์กับเจ้าชายของเธอ ตรงจุดนี้เองที่ Gran สงสัยว่าเธออุทิศตัวได้มากกว่าเขาหรือเปล่า

    ในขณะที่แต่เดิม Gran ก็เริ่มยอมรับว่าเธอมีความกล้าถึงแม้จะเป็นผู้หญิงก็ตาม ขณะที่ Shirley ก็มีทักษะและความรู้มากขึ้นเรื่อยๆ อารมณ์มืดมัวที่เขาไม่เข้าใจอย่างถ่องแท้ก็เริ่มเข้าไปจับในใจเขา

    “ย้ากกกกกกก….!”

    “หวา-!?”

    เมื่อเขามีอายุได้ 13 ปี Gran จึงได้เข้าใจความรู้สึกเหล่านั้นอย่างแท้จริง

    เหล่าขุนนางและสมาคมชนชั้นสูงทั่วทั้งทวีปไม่ใช่เพียงแค่ในจักรวรรดิ ต่างก็พึงพอใจกับความสามารถของตัวนักรบ Shirley ที่เพิ่งจะฝึกดาบในช่วงที่กำลังศึกษา… แต่เธอกลับเก่งเกินอัจฉริยะราวกับจะเป็นที่ชื่นชอบของเทพสงคราม

    เธอเอาชนะเขามาสิบครั้งรวด Gran ไม่มีโอกาสได้คุยโวเลยสักครั้ง แต่เขาก็ยังจับดาบขณะที่เดินอยู่ โดยหวังไว้ว่าสักวันหนึ่งเขาน่าจะปกป้องจักรพรรดิในอนาคตได้

    ที่ผู้หญิงที่ดูเปราะบางต้องทำแบบนั้น… เนื่องจากเธอได้รับการดูแลที่ย่ำแย่ในบ้านเดิม ครั้งแรกที่เธอได้จับดาบก็ตอนที่เธอเริ่มเข้ารับการศึกษาเมื่อสองปีก่อน

    “แฮ่กกก… แฮ่กกก… ท่าน Gran คะ? ….เอ่อ ฉันไม่ได้ทำให้คุณเจ็บ ใช่มั้ยคะ….?”

    เธอแทบจะหมดลมหายใจ แต่ก็ยังเป็นห่วงคู่แข่งอยู่ Gran ไม่ได้ยินคำพูดที่หวังดีของเธอเลย ขณะที่เขารู้สึกถึงความอิจฉาครอบงำ

    หลังจากนั้น เขาก็ฝึกให้หนักขึ้นกว่าเดิม อย่างแรก ตั้งแต่ Shirley ได้ฝึกพิเศษกับนักดาบเทียบกับความตั้งใจฝึกฝนของ Gran แล้ว เธอไม่อาจเทียบกับเขาได้เลย แต่ทุกบทเรียนที่พวกนั้นเรียนด้วยกันช่องว่างในทักษะระหว่างพวกนั้นก็แคบลง

    Gran ไม่ได้ไร้ความสามารถ แต่ Shirley นั้นเหนือกว่าต่างหาก ถ้าบุคคลที่มีทักษะเช่นนั้นยืนอยู่เคียงข้าง Albert ในฐานะจักรพรรดินีได้ แล้วเขาจะถูกใช้เป็นอะไรล่ะ? ขณะที่เขาจมปลักในสิ่งที่น่ากลัว อารมณ์ที่มืดมนก็อึดอัดแน่นอกยิ่งขึ้น

    ――――ยัยผู้หญิงนั่นน่าจะหายไปซะ

    ห้าปีหลังจากที่เขาต้องทนทุกข์ทรมาน ก็มีนางฟ้ายื่นมือมาให้เขา

    “สุดยอดเลย! ท่าน Gran แข็งแกร่งจริงๆ! แค่นอนดูก็รู้ได้ง่ายๆเลยว่ายังมีคนที่เหลือเชื่อพอๆกับคุณที่คอยปกป้องประเทศได้ด้วย!”

    น้องสาว Shirley ที่ชื่อ Alice Earlgrey เป็นคนที่ใจกว้างและแจ่มใส และก็ยังดูไร้เดียงสามากๆ ขณะที่เขาบอกปัญหาให้กับเธอ เขาก็รู้สึกถึงความปรารถนาที่ลุกโชนมากขึ้นที่จะทำทุกอย่างเพื่อปกป้องเธอ

    “เข้าใจล่ะ… มีบางอย่างเกิดขึ้นกับพี่สาวสินะ…”

    “ใช่ นั่นทำไมฉันถึงไม่ยอมสรรเสริญไง”

    “แต่ ท่าน Gran กับพี่สาวนั้นเป็นคนละคนกันนะ คุณไม่ควรที่จะเอาตัวเองไปเทียบกับพี่สาวหรอก ใช่มั้ย? เท่าที่คุณยังมีทุกอย่างก็ดีอยู่แล้ว! เพราะเท่าที่ท่าน Gran ทำก็ดีที่สุดแล้ว ฉันรู้ว่าคุณจะต้องได้รับรางวัลอย่างแน่นอนสักวัน!”

    และด้วยแบบนั้นเอง เธอก็จับมือของ Gran

    “งั้น ทำไมถึงไม่เอาเวลามาอยู่กับฉันล่ะ? เมื่อไรก็ตามที่คุณรู้สึกว่ามันยากเกินไป เราก็จะมาใช้เวลาอยู่ด้วยกันแล้วจะได้สดชื่นขึ้นไง!”

    เธอเป็นคนเดียวที่เขาได้พูดถึงการดิ้นรนของเขา ความอบอุ่นของ Alice เหมือนเป็นแสงสว่างของ Gran

    เปรียบเทียบ Alice กับ Shirley แล้ว เธอไม่มีความสามารถด้านดาบเลย แต่เมื่อเขาเริ่มมองไปยังชุดพวกนั้นแล้ว เขาน่าจะเทใจให้กับเธอมากกว่าสิ่งอื่นใดตรงไหนกันล่ะ?

    ดาบที่เขาคอยเป็นคมดาบให้กับ Albert นั้นก็ค่อยๆกลายเป็นของ Alice อย่างช้าๆ และเขาก็ไม่ได้รู้ตัวหรือใส่ใจในการฝึกฝนจนเสื่อมถอยลงทุกครั้งที่เขานึกถึงการนัดพบคราวต่อไป เขาเริ่มทุ่มเทสุดใจให้กับ Alice อย่างสิ้นเชิง

    เมื่อเขาอายุได้ 19 ปี Gran ก็เริ่มที่จะอิจฉาต่อ Albert ที่เริ่มเข้าใกล้ Alice มากกว่าตัวเขา และเมื่อ Shirley นั้นถูกกดขี่ข่มเหงจาก Alice มันรู้สึกเหมือนกับเขาได้กดขี่ขยะที่น่าสะเอียนที่สุดขณะที่ได้กดเธอลงพื้นเป็นการตราหน้าเธอ

    ถึงแม้ Shirley จะหลบหนีไปได้หลังจากที่ถูกทรมานมาหนึ่งเดือนก็ตาม Gran ก็ยังคิดถึงแต่ Alice เท่านั้น เมื่อเธอได้แต่งงานกับ Albert หมอกดำในใจเขาก็กลายเป็นขี้โคลนไปเลย แต่เนื่องจาก Alice นั้นใจกว้างเธอจึงใกล้ชิดกับผู้ชายอีกหลายๆคนถึงแม้จะแต่งงานไปแล้ว รวมทั้ง Gran ด้วย

    “Albert จะหึงแน่ถ้าเขาจับได้ เพราะงั้นก็คอยเก็บไว้เป็นความลับก็ล่ะกัน โอเคนะ?”

    การพบปะอย่างลับๆได้ดึง Gran ให้หลงรักเธอมากขึ้นเรื่อยๆ ถึงแม้จะผิดศิลธรรมกับภรรยาของเพื่อนสมัยเด็กเพื่อเติมเต็มในชีวิตก็ตาม

    สองปีหลังจากที่ Albert ได้เป็นจักรพรรดิ Gran ก็ได้เป็นแกรนมาสเตอร์อัศวินหลวงอย่างสมใจขณะที่มีอายุ 25 ปี แล้วเขาก็ได้อยู่บนจุดสูงที่สุดของชีวิต ทว่าสี่ปีหลังจากนั้นเขาก็รู้สึกถึงความสิ้นหวังอีกครั้ง

    ลูกสาววัยเยาว์ของตระกูล Regnard ที่ชื่อ Lumiliana นั้น ในงานแข่งขันประจำเมืองที่จัดขึ้นทุกๆปีซึ่งเขาเป็นผู้ชนะเลิศโดยตลอด มีเด็กสาวหน้าด้านที่เรียกตัวเองว่า ‘ดาบเจ้าหญิง’ เข้ามาร่วมด้วย

    หลังจากที่เขาได้พ่ายแพ้กับเด็กสาววัยสิบสามปี ชื่อเสียงที่เขาน่าจะได้รับการยกย่องก็กลายเป็นความผิดหวังและการเหยียดหยาม ขณะที่จำนวนการเชิญจาก Alice ที่เขาได้มาก็ได้เลือนหายไปด้วย เขาเริ่มรู้สึกถึงความเกลียดชังต่อ Lumiliana แล้ว

    “บ้าเอ้ยยยยยย! ทำไมพระเจ้าถึงไม่ยุติธรรม ถึงให้ยัยเด็กบ้ามีทักษะดาบที่เหลือเชื่อแบบนี้ด้วยวะ!?”

    หากเขายังเป็นคนที่ขยันขันแข็งอยู่ เขาก็น่าจะเอามันไปใช้เพื่อพัฒนาทักษะของเขาเพื่อในภายหน้าสิ แต่ Gran กลับจมปลักกับการโอดครวญ และก็ยังมั่นใจว่า Lumiliana จะต้องโกงหรือเล่นไม่ซื่อกับเขาแน่

    “ร-รู้มั้ย ในตอนนั้นฉันรู้สึกว่ามันแปดเปื้อนนิดหน่อย ฉันแค่ประเมินยัยอัศวินนั้นต่ำไปเนื่องจากอายุน้อยก็แค่นั้นแหละ!”

    แน่นอนว่าข้อแก้ตัวแบบนั้นฟังไม่ขึ้นหรอก เมื่อเขารู้สึกถึงสายตาที่ผิดหวังจากอัศวินเพื่อนฝูง ความภูมิใจของ Gran ก็ได้กลายเป็นบาดแผลลึก

    ปีต่อมา หลังจากที่ต้องอึดอัดด้วยสายตาที่ถูกเหยียดหยามในตอนนั้น ความภูมิใจในฐานะอัศวินก็ป่นปี้ในที่สุด

    มันเป็นช่วงระหว่างการประลองที่บัญญัติโดยเทพีเพื่อตัดสินชะตากรรมของลูกสาว Albert สามัญสำนึกของเขาก็ได้พังทลายไปอย่างสิ้นเชิงขณะที่เขามอง Shirley สู้กับ Lumiliana ซึ่งเป็นตัวแทนของจักรวรรดิในการดวลนี้

    เขารู้ดีว่าเธอนั้นมีพรสวรรค์ด้านเพลงดาบที่เหลือเชื่อ อย่างไรก็ตามนักดาบหญิงนั้นอยู่เหนือกว่า Lumiliana อย่างห่างชั้นได้อย่างไรกัน เด็กสาวที่ได้เอาชนะเขาด้วยตัวเธอเองเนี่ยนะ?

    “ยัยพวกบ้านี่… ยัยผู้หญิงพวกนี้ยังอยู่เหนือฉันหรือเนี่ย…! นี่มันจะจบเห่หรือยังเนี่ย…!?”

    เขาสูญเสียความเชื่อถือในความแข็งแกร่งของตัวเองไปแล้ว เพลิงของความริษยาที่อยู่ในใจ Gran เริ่มเข้าใกล้ความขุ่นเคืองเข้าไปทุกที

    สองคนนั่นน่าจะแกร่งด้วยอะไรสักอย่างที่นอกจากเลือดและเหงื่อ หลังจากที่เขามั่นใจตัวเองว่าสองคนนั่นแข็งแกร่งเพราะโชคช่วยหรือไม่ก็ใช้เล่ห์เหลี่ยมซ่อนเร้นเอาไว้ นั่นหมายความว่า――――

    “ฉันก็ต้องแกร่งขึ้นด้วย จะทำทุกวิถีทางเท่าที่ทำได้เลย…!”

    นั่นเป็นทางเดียวที่เขาจะสามารถฟื้นฟูความรักของ Alice ที่จางหายไป อัศวินที่ลืมวินัยในตัวเองอย่างเคร่งครัดและความมุมานะที่เขาควรจะมีตอนที่ยังหนุ่ม และเขาก็ได้โทษความผิดของตัวเองใส่คนอื่น เขาได้เปิดประตูภายในตัวเข้าไปสู่สิ่งต้องห้ามแล้ว



    ภูติรับใช้นั้นเป็นที่นิยมมากในหมู่ของนักเวท พวกมันเป็นสัตว์ที่คล้ายกับนกหรือหนูที่ใช้ประโยชน์ได้หลายอย่าง ชอบมองดูห่างๆผ่านสายตาของมัน คอยสาปศัตรูที่อยู่ไกลหรือแม้แต่คอยเป็นการ์เดียนเพื่อปกป้องมาสเตอร์ของพวกนั้น

    ภูติรับใช้ของชายผู้ที่ทำให้จักรวรรดิมีปัญหาไม่จบสิ้นเป็นนกวิญญาณสองตัว ทั้งคู่นั้นต่างก็เกิดมาจากไข่ใบเดียวกัน เป็นนกฝาแฝดขนสีน้ำเงินและขนสีแดง

    คอยอยู่ข้างเคียงกับคนผู้มีเบื้องหลังที่ลึกลับซ่อนเร้นอยู่ พวกนั้นได้ต่อสู้กับศัตรูของเขา และถึงแม้ว่าเขาจะกลับไปยังฝั่งของเทพีคราวที่บรรลุจุดประสงค์แล้ว พวกนั้นก็ยังคงอยู่เป็นเบื้องหลัง ความละโมบของมนุษย์ไม่เพียงแค่จะทำให้พวกนั้นปรากฏตัวให้เห็นได้ยาก แต่ก็ยังมีพลังเวทที่มหาศาลด้วย

    มันเป็นโลกที่อาจจะสร้างมาได้เหมาะสม พวกนั้นใช้เวลาเป็นร้อยๆปีในการบินและต่อสู้ คอยอาศัยผลเบอร์รี่และเมล็ดจากต้นไม้เป็นอาหาร ขณะที่พวกนั้นได้ระลึกถึงวันที่พวกนั้นได้ใช้เวลาอยู่ข้างเคียงกับมาสเตอร์ของพวกนั้น

    วันหนึ่งหลังจากที่ปีกได้รับบาดเจ็บระหว่างที่เผชิญหน้ากับมังกรโบราณ ขณะที่พวกนั้นอยู่บนเส้นของความตายในป่าที่อยู่ห่างไกลจากเมือง พวกนั้นก็ได้พบกับบุคคลต้องชะตา

    ด้วยสิ่งที่แตกต่างกันระหว่างพวกนั้นทั้งผมและดวงตา เด็กสาวฝาแฝดทั้งสองคนนั้นช่างคล้ายคลึงกับนกสองตัวนี้จริงๆ พวกเธอไม่ได้มองพวกนั้นด้วยความละโมบใดๆในดวงตา จึงไม่มีทีท่าว่าจะทำร้ายหรือจับพวกนั้นไว้ พวกเธอได้ทำการรักษาปีกที่หักโดยใช้ยา

    พวกนั้นบินจากไปโดยไม่มีแม้แต่แสดงความขอบคุณเลย แต่ขณะที่พวกนั้นหันกลับมามองหลังของพวกเด็กสาวขณะที่จากไป ความรู้สึกแปลกๆก็ได้ก่อตัวขึ้นกับพวกนั้น พยายามที่จะมองหาพวกเธอให้มากขึ้นอีก พวกนั้นได้มองหาเด็กสาวมาหลายต่อหลายครั้ง แล้วในที่สุดพวกนั้นก็ได้คำตอบมา

    “สักวัน เมื่อเด็กที่มีดวงตาเหมือนข้าปรากฏตัวขึน เจ้าจะคอยมองพวกนั้นเหมือนกับที่เจ้าทำเพื่อข้ามั้ย?”

    นกฝาแฝดจำคำพูดที่มาสเตอร์ของพวกนั้นบอกขณะที่เขาลูบคอพวกนั้นด้วยนิ้วที่มีรอยย่น

    “เด็กนั้นจะต้องผ่านความยากลำบากแน่ๆ แต่ผู้ที่จะอดทนต่อมาตรฐานของอนาคตนั้นจะต้องได้รับการปกป้อง แล้วโลกจะไม่ตกเข้าสู่ความมืด”

    ความรู้สึกแปลกๆนั้นเป็นผลของเวทมนตร์ที่มาสเตอร์ได้ร่ายใส่พวกนั้นด้วยลมหายใจสุดท้าย เวทมนตร์นั้นจะลากพวกนั้นไปหามาสเตอร์คนใหม่

    ตราบเท่าที่เวทมนตร์ยังทำงานอยู่ พวกนั้นไม่มีโอกาสที่จะได้พบเลย มันต้องเป็นพรหมลิขิตแน่ ถึงแม้ว่าเด็กสาวพวกนั้นจะได้รับการปกป้องอย่างดีก็ตาม ถ้าวันหนึ่งมีสัตว์ประหลาดพยายามที่จะเอื้อมตัวพวกเธอล่ะก็ พวกนั้นก็จะคอยเป็นปีกให้ปกป้องเอง

    มองดูเด็กสาวพวกนี้ พวกนั้นเริ่มที่จะเข้าใจว่าสิ่งที่ทำให้มาสเตอร์รู้สึกกังวลมากก็คือจำเป็นต้องเดินทางด้วยระยะเวลาที่นานขนาดนั้น แล้วทำไมเด็กสาวพวกนี้ถึงได้ตกเป็นเป้าหมายจากคนไม่ดีล่ะ?

    เพื่อที่จะเข้าใจปมของเรื่องนั้น พวกนั้นจึงยังไม่ปรากฏตัว ไม่ช้าก็เร็วเมื่อพวกนั้นมากับเด็กสาวด้วยกันก็จะต้องใช้ให้คุ้นเคย… และนั่นคือสิ่งที่บอกได้ง่ายกว่าทำ

    เด็กสาวพวกนั้นที่อยู่อย่างสงบสุขต่างก็ไม่ได้เรียนรู้ในการควบคุมเวทมนตร์เลย ดังนั้นเพื่อที่จะทำให้ตัวพวกนั้นมีความเหมาะสมกับผู้ฝึกหัดให้มากกว่านี้ วิญญาณนกสองตัวจึงได้เปลี่ยนร่างเป็นไข่และก็ส่องแสงประกายออกมา

    พวกนั้นได้เล็งไปยังเมืองชายแดนของราชอาณาจักรที่เด็กสาวผมขาวสองคนกำลังคุยกับเพื่อนทั้งสามอย่างสนุกสนานอยู่ ตัวสีน้ำเงินเล็งไปที่หัวของเด็กสาวที่มีตาสีน้ำเงิน ส่วนตัวสีแดงก็เล็งที่เด็กสาวตาสีแดง

    “โอ๊ย!?”

    “อะ…. อะไรหรือ…!?”

    ใช้แรงโน้มถ่วงเป็นตัวชี้ทาง แสงนั้นก็พุ่งลงเข้ากับหัวของพวกเธอ
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    นักเขียนเปิดให้แสดงความคิดเห็น “เฉพาะสมาชิก” เท่านั้น
    ×