ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    อดีตขุนนางสาวโสดกับชีวิตโลดโผนผจญภัยเพื่อลูกสาวสุดน่ารัก

    ลำดับตอนที่ #34 : อีกเพียงแค่เกือบเอื้อม

    • เนื้อหานิยายตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 2.61K
      195
      16 ต.ค. 65

    “ขอประทานโทษ มีเรื่องฉุกเฉิน ฉันขอตัวก่อนล่ะ”

    ปี๊---------- ปี๊------------ เสียงแปลกๆดังจากนาฬิกาพกที่ Shirley เก็บไว้ในร่องอก

    เธอลุกขึ้นจากโซฟา หลังจากที่ก้มคำนับอย่างเร็วให้กับพวกราชวงศ์ที่อยู่ในห้องแล้ว เธอก็กดปุ่มบนนาฬิกาพกแล้วก็หายตัวไปราวกับว่าเธอไม่ได้อยู่ตรงนั้นมาตั้งแต่แรก

    เมื่อใดก็ตามที่ Shirley เข้าร่วมปาร์ตี้กับนักผจญภัยคนอื่น เธอก็จะสร้างลูกคริสตัลที่อยู่ในสภาพสมบูรณ์ให้พวกเขาด้วย

    ――“ไม่ว่าจะตกอยู่ในสถานการณ์ไหนก็ตาม มันก็มีความเป็นไปได้ที่ฉันอาจจะต้องออกจากปาร์ตี้ชั่วคราวโดยไม่ต้องแจ้งนะ นั่นจะไม่เป็นไรหรือ?”

    นักผจญภัยหลายๆคนต่างก็สับสนตอนที่เธอพูดแบบนั้นไป แต่หลังจากที่คิดมาได้สักพักพวกเขาก็เข้าใจ ทำให้รู้สึกตัวได้โดยพิจารณาจากที่ดาบอสูรสีขาวเป็นอยู่

    ――“ถึงแม้ว่าคนในเมืองจะทำตัวหยาบคายไปบ้าง กฎหมายราชอาณาจักรก็ยังคงใช้อยู่และมันก็ไม่ได้มีความบังเอิญใดๆด้วย จึงไม่น่าจะเหมือนกับว่ามันจะเกิดขึ้น คุณไม่ควรคาดว่าฉันจะหายตัวไปอย่างกะทันหันหรอกนะ”

    เธอตอบรับคำชวนอยู่หลายปาร์ตี้ตั้งแต่สงครามมังกรแล้ว Shirley ก็เริ่มที่จะมีความผูกพันธ์กับนักผจญภัยในเมืองมากขึ้น แต่เธอก็ถือกฎทองนั่นอยู่ตลอด

    “เอิ่ม… แล้วพี่สาว- หมายถึงท่าน Shirley ไปไหนแล้วล่ะ?”

    Philia ถึงกับช็อคที่ Shirley ออกจากกิลด์ไป พอๆกับทุกคนที่อยู่ตรงนี้ยกเว้น Canary เธอไม่ได้ล่องหนหรือว่าอะไรแบบนั้น เธอหายตัวไปเลยจริงๆ

    นาฬิกาพกนั่นอาจจะเป็นอุปกรณ์เวทมนตร์สักอย่าง แต่ก็เกินกว่าที่ Philia กับ Lumiliana จะรู้ได้ว่าไม่มีอุปกรณ์แบบนั้นในจักรวรรดิที่จะเทเลพอร์ตคนได้ในทันที

    สองคนที่มาจากจักรวรรดิถึงกับตัวสั่นขณะที่นึกพลังเวทมนตร์ที่เปี่ยมล้นเช่นนี้ แต่ Edward ที่ค่อนข้างจะคุ้นเคยกว่าหันไปยัง Canary

    “นั่นอุปกรณ์เวทมนตร์พิเศษที่เธอสร้างขึ้นมาหรือ? แล้วเธอหายไปอยู่ที่ไหนกันล่ะ?”

    “ที่ไหนสักแห่งในเมืองนี้แหละ”

    “เธอบอกว่าเป็นเรื่องฉุกเฉิน… หรือว่าจะเกิดเรื่องอะไรขึ้นในเมืองล่ะ!?”

    “นายว่าเกิดเรื่องหรือ? ฉันว่าสำหรับ Shirley นั่นแล้ว นี่น่าจะเป็นเรื่องที่ค่อนข้างจะใหญ่โตเลยล่ะ รู้ปะ…”

    Canary หัวเราะออกมา แล้วก็พูดด้วยประโยคที่ไม่มีใครเข้าใจได้

    “ก็อย่างนั้นแหละ จะพูดยังไงดีน้า ก็เหมือนกับสัญญาณแจ้งเตือนนั่นแหละ”


    ก่อนที่จะเกิดเรื่องขึ้น

    ระวังของสัญญาณที่สิ้นสุดของวันดังขึ้นมา เหล่าเด็กๆที่เจี๊ยวจ๊าวต่างก็แห่กันออกไปยังหน้าประตูโรงเรียนแล้วก็เริ่มหาทางกลับบ้านกัน

    เด็กชายที่ออกไปวิ่งเล่นกับเพื่อน ส่วนเด็กหญิงที่ขยันก็กลับบ้านไปทบทวน ถึงแม้ทั้งคู่จะมีนิสัยและแผนการที่แตกต่างกัน สิ่งที่ผูกพวกเขาเอาไว้ด้วยกันขณะที่เดินกลับบ้านและคุยกันก็คือพวกเขาต่างก็ได้ปลดปล่อยจากความอึดอัดของวันในโรงเรียน

    “งืมมมー! ในที่สุดโรงเรียนก็เลิกแล้ววววววว…”

    “ก็ไม่ได้รู้สึกแบบนี้สักเท่าไรเนื่องจากยังต้องทำการบ้านนะ”

    “อืม ก็เข้าใจ การบ้านทั้งหมดในโลกนี้น่าจะถูกทำลายไปซะ”

    เด็กสาวสองคนที่มีผมขาวอันโดดเด่น Sophie กับ Tio กำลังเดินกลับบ้านกับเพื่อนอีกสามคน

    Chelsea ที่เดินอยู่ข้าง Tio เห็นด้วยกับเธอทันที ส่วนที่เดินอยู่ข้างพวกเธอก็เป็น Lisa ผู้หญิงตัวสูงที่ก้มหลังราวกับว่าจะเหนื่อย

    “อืมม เราไม่คุยเรื่องการบ้านได้มั้ย? จำการบ้านที่เราต้องทำเมื่อปิดเทอมฤดูร้อนคราวก่อนเยอะๆนั่นได้มั้ย? แล้วเราจะทำยังไงถ้าเกิดว่ามันจะแย่อีกแล้วล่ะ?”

    “ฮะๆๆ… พวกเธอทั้งสามนี่ขยันกันตอนปิดเทอมจริงๆ”

    ที่เดินอยู่ข้าง Sophie ก็คือ Mira เด็กสาวที่มีผมและดวงตาสีดำที่หายาก ที่ยิ้มเป็นครั้งเป็นคราวขณะที่เธอนึกถึงอีกสามคนที่ต้องมาดิ้นรนมากแค่ไหนในปิดเทอมคราวก่อน

    “แต่ รู้มั้ย…”

    “ฉันอยากจะเล่นเมื่อถึงวันหยุดนะ…”

    “ไม่แปลกไปหน่อยหรือไงที่พวกนั้นทำให้เราต้องมานั่งเรียนแม้แต่ในวันหยุดน่ะ?”

    “ก็เพราะพวกเธอมีวันหยุด เธอก็ไม่ควรที่จะลืมเรียนด้วยนะ”

    เด็กขยันสองคนกับขี้เกียจอีกสามคน ถึงแม้จะดูเหมือนว่าไม่ค่อยสมดุลกันสักเท่าไร พวกเธอทั้งห้าคนต่างก็เป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่เริ่มเข้าโรงเรียนแล้ว

    ถึงแม้จะอายุน้อย สายตาของ Sophie กับ Tio ก็มองไปยังใครก็ตามที่มองพวกเธออยู่ โดยปกติแล้ว คาดว่าจะทำให้ได้รับความอิจฉาจากเด็กสาวทุกคนในโรงเรียนด้วยซ้ำ แต่เพราะมีเด็กชายเอาแต่เห่าหอนและก็เป็นที่ชื่นชอบอย่างง่ายดาย ดูเหมือนว่าความสัมพันธ์กับเด็กสาวในชั้นจะลึกซึ้งเข้าไปอีก

    “…อย่างน้อยเธอก็ควรจะทำการบ้านให้เสร็จก่อนวันพรุ่งนี้นะ จะว่าไปแล้ววันนี้พวกเธอทั้งสามจะไปทำอะไรกันล่ะ?”

    “อ๊ะ พ่ออยากให้ฉันมาช่วยเฝ้าร้านในวันนี้นะ… ถึงฉันจะไม่มีการบ้าน ฉันก็ไม่มีเวลาว่างหรอกนะ…”

    “พี่ชายฉันก็กลับมาจากการผจญภัยในวันนี้ด้วย เขาน่าจะเหนื่อยมาก ฉันว่าคงจะต้องกลับไปดูแลน้องๆล่ะนะ”

    “พี่ชายฉันเองก็กลับมาในวันนี้ด้วย พ่อกับแม่ก็ทำงานอยู่ ฉันจึงต้องมาเตรียมอาหารเย็นนะ”

    “อ้อ โอเค”

    เธอหวังว่าจะชวนพวกนั้นมาเล่นสักหน่อย แต่เนื่องจากครอบครัวของ Lisa นั้นเปิดบ้านพัก ส่วน Chelsea ก็ต้องช่วยไปดูแลเด็กๆที่เธออาศัยอยู่ ก็เลยกลายแบบนี้ตอนที่พวกนั้นยุ่งเสียนี่

    “จะว่าไปแล้ว พี่ชายของ Chelsea กับ Mira เป็นนักผจญภัยในปาร์ตี้เดียวกันหรือ?”

    “ฉันก็คิดว่างั้น? ฉันไม่เคยเจอกับพี่ชายเลยนะ”

    “บางทีพวกเขาน่าจะอยู่ในปาร์ตี้ของคุณ Shirley นะ? เนื่องจากพวกเขาก็อยู่ในกิลด์เดียวกันด้วย”

    “ฮะๆๆ! ฉันไม่คิดอย่างงั้นหรอก? ตอนนั้นเธอก็บอกว่าจะเข้าร่วมปาร์ตี้เมื่อไม่นานมานี้นี่นา แต่หม่าม้าชอบที่จะผจญภัยด้วยตัวเองนะ”

    ขณะที่ Sophie พูดแบบนั้น Chelsea ก็เริ่มถอนคำพูดว่า ‘นึกถึงตัวเองเลย’

    “ไม่นานมานี้พี่บอกฉันเรื่องเกี่ยวกับนักผจญภัยในปาร์ตี้นะ… เขาได้พูดอะไรอีกมั้ย? คนแปลกๆหรือ? ยังไงก็เถอะ มันก็เป็นเรื่องที่แปลกอยู่ดี”

    “…แม่ก็พูดบางอย่างแบบนี้มาก่อน แต่บางครั้งปาร์ตี้ก็ไม่ได้ลุยตลอดนะ”

    “ใช่… หวังว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นนะ”

    พวกเธอคุยซุบซิบกันเกี่ยวกับเรื่องครอบครัวพวกนั้น งานอดิเรกพวกนั้น และก็เพื่อนร่วมชั้นคนอื่นๆ ขณะที่พวกเธอเปลี่ยนเรื่องคุยกันระหว่างเพื่อนร่วมชั้นกับครูและสิ่งที่กำลังจะมาภายหลังในปีนี้ กลุ่มพวกเธอค่อยๆน้อยลงทีละคน ขณะที่พวกเธอแยกย้ายกันไปคนละทางจนกระทั่งเหลือเพียงแค่ Sophie กับ Tio เท่านั้น

    “หืม?”

    ขณะที่พวกเธอใกล้จะกลับมายัง
    เรือนทาโอเร่อยู่นั้น พวกเธอก็คุยกันว่าจะเล่นหรือจะทำการบ้านเมื่อกลับไปถึง พวกเธอก็เห็นเหรียญทองเหรียญหนึ่งที่กลิ้งมาจากซอยหนึ่ง

    “เหรียญทองนี่มาทำอะไรตรงนี้เนี่ย?”

    “มีคนทำหายหรือ?”

    พอคิดแบบนั้น น่าจะเป็นของคนที่แต่งตัวสุภาพที่คิดว่าควรที่จะเอาคืนกลับไปให้เจ้าของเสีย พวกเธอจึงได้เก็บมันแล้วก็เดินเข้าไปยังในซอยเพื่อตามหาเจ้าของ แล้วพวกเธอก็เห็นชายที่มีผมดำที่สวมชุดบรรเจิดจากหัวจรดเท้าด้วยสีที่ดูคุ้นๆ

    “เอ่อ… เป็นของคุณหรือเปล่าคะ?”

    “ใช่แล้วล่ะ ขอบคุณมากที่เอามาคืนให้กระผมนะขอรับ… จะบอกความจริงให้ กระผมกลัวว่าจะไม่ได้มีโอกาสที่จะคุยกับพวกหนูทั้งสองคนที่อยู่ในเมืองที่เต็มไปด้วยความโหดร้ายป่าเถื่อนแบบนี้เป็นการส่วนตัวแล้วล่ะขอรับ”

    “…? หมายความว่ายังไงหรือคะ…?”

    ชายคนที่ดูเหมือนจะอายุยี่สิบปลายๆที่มีใบหน้าอันหล่อเหลาพอประมาณ ถึงแม้ว่าฝาแฝดนั้นจะไม่เคยเห็นเขามาก่อน เขาก็ปัดเสื้อโค้ทที่ไปข้างๆและก็คุกเข่าลงหนึ่งข้าง และก็มองพวกเธออย่างจริงจัง

    “กระผมมาที่นี่เพื่อจะรับตัวพวกเธอนะขอรับ ท่านเจ้าหญิงรัชทายาท Sophilea กับท่านเจ้าหญิง Tionissia”

    “ “…….ใครกันน่ะ?” ”

    Sophie กับ Tio ต่างก็สับสนในรอยยิ้มที่ชายคนนั้นพูดถึงพวกเธอด้วยชื่อที่ไม่เคยได้ยินมาก่อน

    “นี่เป็นครั้งแรกที่กระผมได้ยินดีอย่างยิ่งที่รู้จักกับพวกเธอนะ กระผมชื่อ Leblanc เป็นผู้รับใช้ของท่านจักรพรรดินีแห่งจักรวรรดิ Alice นะขอรับ นับจากวันนี้เป็นต้นไป กระผมหวังว่าเราน่าจะได้ทำการรู้จักกันนะขอรับ”

    Sophie เป็นคนที่มีปฏิกริยากับคำว่า ‘จักรวรรดิ’ ก่อน พวกเขาได้สอนที่โรงเรียนว่าเป็นประเทศที่ใหญ่ที่สุดในทวีป อยู่ทางตอนเหนือของราชอาณาจักร และก็ไม่เป็นมิตรกับประเทศที่เล็กกว่า

    “…ฉันว่าคุณมาหาผิดคนแล้วล่ะ นั่นไม่ใช่ชื่อของเราสักหน่อย”

    “มันก็เป็นธรรมดาที่พวกเธอจะสับสนนะขอรับ พวกเธอเติบโตอย่างนอบน้อมถ่อมตัว ทั้งๆที่เต็มไปด้วยพวกที่หยาบช้ากับนักผจญภัยชั้นต่ำมาตั้งแต่เกิดเลยนะขอรับ”

    Leblanc พูดต่อไปตามจังหวะที่ดูน่าสงสัยว่าเขาจะได้ยินสิ่งที่ Sophie พูดมาทั้งหมด

    “อย่างไรก็ตาม สายเลือดของตระกูลชั้นสูงยังคงไหลเวียนผ่านตัวของพวกเธออยู่นะขอรับ กระผมอุตส่าห์มารับพวกเธอตามคำสั่งของพ่อพวกเธอที่เป็นถึงท่านจักรพรรดิที่ดีพอๆกับน้าของเธอที่เป็นท่านจักรพรรดินี Alice นะขอรับ”

    “ม-ไม่ ไม่เห็นจะเข้าใจเลย… ทำไมจักรพรรดิถึงอยากได้ตัวพวกเรากันล่ะ!? เราไม่อยากไปไหนทั้งนั้น เมืองนี้คือบ้านของเรา!”

    ทั้งคูต่างก็ไม่เข้าใจสิ่งที่ Leblanc พูดมาทั้งหมด อย่างไรก็ตาม พวกเธอต่างก็รู้สึกถึงมีอะไรไม่ชอบมาพากลแน่ๆแล้วพวกเธอก็เริ่มถอยออกไป

    “พวกเธอไม่ได้ยินจากท่าน Shirley แม่ของพวกเธอหรือขอรับ? พวกเธอเป็นลูกสาวของคนที่ถือกำเนิดจากท่าน Shirley ลูกสาวคนพี่ของตระกูล Earlgrey ที่ทรงอำนาจกับท่านจักรพรรดิ Albert นะขอรับ?”

    “…หา?”

    ทันทีที่เปิดเผยชื่อของพ่อออกมา Sophie กับ Tio ถึงกับหยุดชะงัก

    ――――นี่ เรามีพ่อหรือว่าตากับยายด้วยหรือ?

    ครั้งหนึ่งทั้งสองเคยถามแม่แบบนั้นมาแล้ว ตอนที่ถามไปนั้นแม่ก็ดูเหมือนว่าเธอจะบีบน้ำตาออกมาและก็กอดพวกเธอเอาไว้โดยที่ไม่ได้พูดออกมา

    หลังจากนั้น ฝาแฝดก็ไม่ถามอีกเลย ถ้าเพียงแค่พูดถึงพ่อก็ถึงขนาดทำให้แม่ที่แข็งแกร่งต้องโกรธได้ พวกเธอก็ไม่สนใจที่จะรู้เรื่องเขาอีกต่อไป

    “ผลของความเข้าใจผิดอันน่าเศร้านี้ ทำให้ท่าน Shirley ต้องออกจากจักรวรรดิไปและก็ต้องมารับทำงานพื้นเพอย่างนักผจญภัยในราชอาณาจักรนะขอรับ”

    Leblanc พูดราวกับว่าเขาจะรู้เรื่องเกี่ยวกับพวกเธอ

    “แต่ มันจะจบลงในวันนี้แหละขอรับ ถึงเวลาที่พวกเธอจะต้องกลับไปยังที่ๆพวกเธอควรจะอยู่แล้วล่ะขอรับ ตอนนี้ก็กลับบ้านกันได้แล้วขอรับ”

    เงื้อมมือปีศาจได้เอื้อมมายังพวกเธอแล้ว ถึงแม้ว่าเธอจะจับสถานการณ์ไม่ได้ก็ตาม Tio ก็รู้ถึงสัญชาตญาณในการขัดขืนแล้วก็ปัดมือของ Leblanc ออกไปอย่างแรง

    “…เราเป็นลูกของนักผจญภัยและก็โตในเมืองของนักผจญภัย ฉันไม่รู้อะไรกับจักรวรรดิทั้งนั้น”

    ฝาแฝดหันกลับไปแล้วก็วิ่งหนีให้เร็วที่สุดเท่าที่ทำได้ แต่ทันทีที่ Leblanc เห็นแบบนั้น เขาก็หายใจออกแล้วก็ตบมือเรียกสองครั้ง

    “กระผมไม่อยากจะทำรุนแรงนักหรอก แต่ก็ไม่มีทางเลือกอื่นแล้ว… จับตัวเจ้าหญิงมาซะ!”

    ผู้ชายทั้งห้าคนโผล่ออกมาจากถนนใหญ่และก็ขวาง Sophie กับ Tio ไม่ให้หนีไปไหน ทำให้เด็กสาวสองคนต้องมาติดแหงกจนไม่มีทางไหนที่จะไปได้เลย แล้วพวกนั้นก็จับเท้ายกขึ้นมาอย่างง่ายๆ

    “ห-หยุดนะ! ปล่อยฉันไป!”

    “อ๊า…!”

    พวกเธอเหวี่ยงทั้งหมัดทั้งเตะด้วยแรงที่พวกเธอมี แต่ก็เป็นไปไม่ได้เลยที่เด็กอายุแค่นี้จะไปทำอะไรกับพวกผู้ชายได้

    “ไม่ต้องห่วง สุดท้ายแล้ว พวกเธอจะได้ซาบซึ้งในบุญคุณที่กระผมได้อุตส่าห์มารับพวกเธอไป เพราะพวกท่านบอกว่า ครอบครัวจะต้องอยู่ด้วยกันนะขอรับ”

    สัญลักษณ์เวทมนตร์ค่อยๆเริ่มปรากฏบนฝ่ามือของ Leblanc ถึงแม้จะไม่รู้ว่าเวทมนตร์ที่เขาร่ายเป็นแบบไหน สัญชาตญาณของ Sophie ก็รู้ว่านั่นต้องเป็นอะไรที่เธอไม่อยากเลยและก็หลับตาปี๋ขณะที่พยายามดิ้นหลุดออกไป

    “หวา!? ไอ้เด็กเปรตนี่มันเป็นใครกันวะ!?”

    ขณะนั้น Sophie กับ Tio ก็ได้ยินเสียงร้อง แล้วก็มีเสียงร้องของทั้งสองที่ถูกฟาดดังก้องไปทั่วทั้งซอย พวกเธอรู้สึกตัวตอนที่จะหล่นตกพื้น แต่ก่อนที่จะหล่นบนทางเท้า ก็ตกไปอยู่ในแขนของเด็กหนุ่มที่ดูเหมือนกับจะเข้าสู่วุฒิภาวะ

    “เอิ่ม พวกเธอเป็นลูกสาวของคุณ Shirley ใช่มั้ย? พวกนี้ดูเหมือนกับคนไม่ดี ฉันก็เพิ่งจะเข้ามา แต่นี่มันอะไรกันนิ?”

    เด็กหนุ่มคนนั้น… เป็นนักผจญภัยชื่อ Kyle ที่ไม่มีความคิดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นยืนอยู่ฝั่งตรงกันข้ามกับ Leblanc คนที่บ่นสาปแช่งภายใต้ลมหายใจ
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    นักเขียนเปิดให้แสดงความคิดเห็น “เฉพาะสมาชิก” เท่านั้น
    ×