ลำดับตอนที่ #25
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #25 : คำสาปย้อนกลับ - การประหาร
ณ เมืองหลวงจักรพรรดิในปราสาทอันเป็นบ้านของราชวงศ์และเก้าอี้ของผู้มีอำนาจ เป็นที่ๆจักรพรรดิ Albert ได้พบกับชายที่ถือไม้เท้า หน้ากับมือก็ถูกปกปิดไปด้วยเสื้อคลุมที่เก่าทั่วๆไปแบบจอมเวท
“แล้ว เตรียมการเวทมนตร์เสร็จแล้วหรือ?”
“ครับ ไม่มีปัญหา ด้วยเวทมนตร์นี้ องค์หญิงน้อยจะต้องไปหาฝ่าบาทได้ทุกเมื่อเลยครับ”
ชายที่ยืนอยู่ตรงกลางของสัญลักษณ์เวทมนตร์เป็นลูกจ้างของราชวงศ์… พูดอีกอย่างก็คือจอมเวทหลวงนั่นเอง
คอยรับสั่งทำตามความต้องการของจักรพรรดิในขณะต้องผูกขาดอย่างลอยๆท่ามกลางความนับถือชนชั้นสูงแห่งราชสำนัก… พูดอีกอย่างก็คือเป็นเบ๊ที่ต้องมาทำงานสกปรกๆอยู่เบื้องหลังนั่นแหละ
“ด้วยการทำแบบนี้ ก็ไม่ต้องให้ฝ่าบาทต้องออกเดินทางเองแล้ว ไม่ต้องพูดเลยว่ามันยากที่จะต้องเข้าไปให้ถึงราชอาณาจักรด้วยซ้ำ”
“ใช่ อย่างนั้นแหละ พูดอีกอย่างก็คือ เวทมนตร์นี้จะส่งไปยังตัวเป้าหมายที่ระบุเอาไว้ ถูกมั้ย?”
“แน่นอน”
ถึงแม้ว่าเขาจะคิดหนักในที่จะบอกถึงสายเลือดที่เกี่ยวข้องกับลูกสาวก็ตาม จอมเวทหลวงก็รู้ว่าต้องพูดอะไรสักอย่างที่นึกภาพสีหน้าของจักรพรรดิที่เดือดดาล แล้วเขาก็ขบลิ้นและพยักหน้ายืนยัน
จักรวรรดิกับราชอาณาจักรต่างก็ได้ลงสนธิสัญญาในสมัยของจักรพรรดิคนก่อน แต่เมื่อ Albert ได้ขึ้นครองราชย์และระบบเผด็จการก็เริ่มทำให้เปลี่ยนไป การประชุมภาคพื้นทวีปที่จะจัดขึ้นในทุกๆสี่ปีที่ทุกๆประเทศนอกจากดินแดนปีศาจ Albert ได้ทำให้เกิดเรื่องเลวร้ายขึ้นหลายอย่างตั้งแต่ความสนใจแรกเริ่มที่จะเป็นจักรพรรดิและทำให้เกิดความตึงเครียดมากขึ้นระหว่างสองประเทศนี้
“เมื่อเปรียบเทียบกับประเทศเราแล้ว พวกนั้นมันก็แค่สถานที่กระจอกๆเองแหละ”
คำพูดนี้พูดถึงราชอาณาจักรเจ้าภาพของการประชุมนี้
ถึงแม้ว่าเขาจะไม่ได้กะจะให้ใครได้ยินสิ่งที่เขาแอบพึมพำออกมา คำพูดของเขาก็ไม่อาจรอดพ้นหูของ ‘ราชาสิงโตดำ’ ไปได้
การประชุมจบลงอย่างไม่พอใจหลังจากนั้นไม่นาน ด้วยความสัมพันธ์ทางการค้าระหว่างสองประเทศที่ร้าวฉานขึ้นมาทันที จึงทำให้เต็มไปด้วยการป้องกันและภาษีนำเข้าที่สูงมาก
อย่างที่ว่ามา เวทตรวจจับที่ปกคลุมทั้งประเทศได้นั้นยังไม่ได้พัฒนาบนทวีปนี้และก็ยังไม่มีกำลังคนในแต่ละประเทศที่จะทุ่มเทค้นหาคนที่ลักลอบหลบหนีเข้าประเทศได้ ดังนั้นจึงยากมากที่จะใช้กำลังควบคุมกฎหมายชายแดนนี้
ที่จริงแล้ว มันก็ไม่ปกติสำหรับคนที่ลี้ภัยจากประเทศอื่นโดยง่ายๆแล้วก็กลายมาเป็นผู้อยู่อาศัยตรงนั้น
“ฉันมีคนที่รอที่จะเอาลูกสาวฉันมาแล้ว หลังจากที่นายร่ายเวทไปแล้ว พวกนั้นต้องจะมายังจุดรับแน่นอน”
“เมื่อฉันร่ายเวทมนตร์แล้ว จะไม่ใครคนใดนอกจากฉันที่แทรกแซงได้ ก็มีเรื่องเล่าถึงนักผจญภัยที่จัดการราชามังกร แต่เรื่องพวกนั้นมันก็มาจากพวกนักผจญภัยพื้นๆเองแหละ… ไม่มีอะไรนอกจากไร้สาระ ท่านจะตัดร่างใหญ่แบบนั้นกับเวทขั้นสูงด้วยดาบยังไง?”
“จริงอย่างยิ่ง ยังไงก็เหอะ นายรับหน้าที่เอาสองรัชทายาทนั่นกลับมายังจักรวรรดิซะ ฉันเชื่อว่าจะต้องไม่มีอะไรผิดพลาดแน่นะ?”
ขณะที่จักรพรรดิก้มมองลงที่ตัวเขา จอมเวทหลวงก็ลูบจมูกแล้วบอกว่า แน่นอน ไม่มีทางใดๆทั้งนั้น หลังจากนั้นจะมีตัวซื่อบื้อหน้าไหนที่จะเอาอาวุธดึกดำบรรพ์แบบนั้นหวังจะทำอะไรกับความรู้อันลึกลับของเขายังไงกัน?
จอมเวทหลวงที่ชอบดูแคลนไม่ใช่แค่นักผจญภัยแต่รวมไปถึงทหารใกล้ด้วยเหตุผลแบบนั้น เขาได้หัวเราะกับตัวเองขณะที่เขานึกถึงรางวัลที่เจ้าชายตามที่ได้สัญญากับเขาไว้
เมื่อแม่คนนั้นพยายามที่จะเอาลูกกลับไป เขาก็จะจับตัวเธอด้วยเวทแล้วก็ทำให้เป็นของเขาไปซะ
ตามที่รู้มา ผู้หญิงคนนั้นดูเกือบจะอยู่ในคนละโลกแล้ว ด้วยความงามอันไร้ที่ติที่จะทำให้หัวใจนั้นเต้นรัวไปเลย
“ฉันจะเริ่มละนะ ――――《ควบคุม・เสริมผนวก》”
สัญลักษณ์ได้ตัวเขาส่องแสงขึ้นมาขณะที่กำลังร่าย มือปีศาจปรากฏออกมาอย่างลึกลับเหนือสถานที่อันสงบสุขของครอบครัวนั้น
—
ในเมืองชายแดน ณ ลานฝึกของกิลด์นักผจญภัยท้องที่กำลังยุ่งอีกครั้งในวันนี้
ปกติ เสียงที่จะได้ยินเป็นเสียงแหกปากและเสียงร้องไห้จากศึกจำลอง แต่วันนี้ได้ยินเสียงเชียร์ดังขึ้นมาติดๆ
แม้แต่นักผจญภัยที่ฝึกด้วยคันธนูกับสลิงก็หันมามองยังลานฝึกที่อยู่ตรงนั้นเลย ใจกลางของลานฝึกนั้นล้อมรอบไปด้วยฝูงนักผจญภัย อัศวินเวทมนตร์หนุ่มผมน้ำตาลที่มีกระบองกับโล่เผชิญหน้ากับนักดาบหญิงผมขาวที่ควงดาบไม้อยู่
“เอาล่ะ ถ้าทำได้ก็เข้ามา”
“ค-ครับ!”
ไอ้หนุ่มไม่อาจหยุดเหงื่อที่ไหลได้ขณะที่ Shirley ยังยืนได้อย่างใจเย็นต่อหน้าเขา――――Kyle กวัดแกว่งสิ่งของที่เขาซื้อมาด้วยรางวัลจากสงครามมังกร ค่อยๆเข้าไปยัง Shirley โดยยกโล่ขึ้นมา
ที่จริงแล้ว Kyle ไม่ได้มีทักษะที่จะตัดสินคู่แข่งที่จะเปิดช่องตัวเองได้จริงๆหรอก ยิ่งกว่านั้น ช่วงที่เขาเข้ามาโจมตีนั้นก็ชัดเจนมาก เขาจึงรับการสวนกลับไปแบบเต็มๆ
ถึงแม้จะเป็นการฝึกและเขาก็เหมือนจะให้พุ่งเข้าไปโจมตีก่อน แต่ในฐานะเด็กหนุ่มแล้วเขายังกังวลที่อายตัวเองต่อหน้าหลายๆคนอยู่
(ก็น้า ฉันรู้ว่าฉันไม่อยากที่จะดูโง่ๆหรอก แต่ฉันคิดว่าเธอเองก็เหมือนกัน)
เขาไม่ได้มองตาไปยัง Shirley แต่เขาก็รู้ว่า Sophie กับ Tio นั้นต่างก็มองดูการฝึกด้วย
ถึงแม้ว่าลูกสาวเธอจะโด่งดังในบ้านพักที่พวกเธออาศัยอยู่ก็ตาม พวกเธอก็เริ่มที่จะรู้สึกกับพวกของกิลด์หลังจากงานฉลองชัยและกู้เกียรติอีกนิดหน่อย
(แต่… ฉันยังจะเข้าไปหาเธอล่ะนะ――――!)
ความตื่นเต้นของเหล่านักผจญภัยที่กำลังดูการต่อสู้จำลองนี้ เขาลดระยะระหว่างตัวเขากับ Shirley จนกระทั่งเธออยู่ในระยะ แล้วก็ใช้น้ำหนักยกกล้ามเนื้อเท้าขวา
“ย้ากกกกกกกกกกกกกกกก!!”
เขากระโดดและก็เหวี่ยงกระบองลงมาที่เธอด้วยมือขวา แม้จะเป็นแค่จำลองการต่อสู้ เขาก็ใส่เข้าไปเต็มแรงและซัดเข้าด้วยเต็มเหนี่ยว… แต่ ก็เหมือนกับสายน้ำที่เบี่ยงกระแสด้วยก้อนหิน เขาฟาด Shirley พลาดไปเพียงไม่กี่เซนติเมตร
“ห-หา!?”
เขายังเหวี่ยงกระบองอยู่ แต่ก้าวเบาๆของ Shirley ก็ทำให้เรารู้สึกเหมือนพยายามตัดใบไม้ที่ปลิวในสายลม
“………..”
“อุหวา!?”
หลังจากที่เธอทำให้กระบองหลุดออกจากมือด้วยดาบไม้ของเธอแล้ว Kyle จึงได้ตั้งรับการสวนกลับของเธอด้วยโล่
ร่างกาย Shirley พอที่จะบอกได้ว่าเคลื่อนไหวในความเร็วที่มิมนุษย์ธรรมดาอาจคิดได้ ถึงแม้ว่า Kyle น่าจะอยู่ได้มาสักพักแล้ว… เธอก็ค่อยๆเพิ่มจังหวะอย่างช้าๆ
“หวา… อ้าก อาา….! ห-หวาา!”
ถึงแม้การฟันของเธอจะนุ่มนวล ดาบที่ฟันต่อหน้าสายตาของ Kyle ก็ยังเร็วจนดูเหมือนจะกลายเป็นสองอันเลยล่ะ
ทีนี้เขาต้องอาศัยสัญชาตญาณดิบในการต่อสู้แทนทักษะหรือแท็กติก ชัดเจนว่าเขานั้นเริ่มที่จะเปี่ยมล้น… แต่ในช่วงที่ตื่นเต้นนั้น เขาก็สังเกตอะไรบางอย่าง
(นั่นคือ… ช่องว่างหรือ?)
ในช่วงเวลาสั้นๆระหว่างการจู่โจมของเธอ ด้านข้างของเธอนั้นอ่อน จะมีโอกาสเป็นไปได้มั้ยถ้าเขาฟาดกระบองเข้าตรงนั้น?
พอคิดถึงแบบนั้นได้ Kyle ก็เกร็งกล้ามเนื้อ แต่ด้วยเหตุผลบางอย่าง เขากลับลังเล การลังเลกะทันหันเป็นเครื่องพิสูจน์และด้วยฮึดใจ Shirley ก็ตวัดใส่ขา Kyle ที่อยู่ข้างล่างเขา
“อุหวา!?”
“จริงๆเลย นายนี่มัน…”
She เธอเอาดาบไม้ไปจ่อที่คอของนักผจญภัยมือใหม่ที่อยู่บนพื้น “โอออออ…!” เสียงเชียร์สั้นๆที่มาจากนักผจญภัยที่กำลังดูอยู่
“ถึงแม้ว่าฉันอุตส่าห์เปิดช่องให้นายแบบนี้แล้ว ทำไมนายถึงยังลังเลอย่างนั้นอยู่ล่ะ?”
“นั่น… นั่นเพราะว่า เอ่อ… เดี๋ยวนะ นี่คุณจงใจทำแบบนั้นหรือ!?”
ในการดวลกันระหว่างคน จะมีแท็กติกอยู่หลายอย่างที่สร้างขึ้นมาและใช้จัดการกับการโจมตีของคู่แข่ง
ดูเหมือนว่า Kyle นั้นจะตามกับดัก Shirley ไม่ได้เพราะความลังเลของตัวเขาเอง แต่สำหรับการฝึกต่อสู้นี้ ถือว่ายังล้มเหลวอยู่
“ถึงแม้ว่าบางครั้งนักผจญภัยจะสู้กับมนุษย์ก็ตาม ศัตรูส่วนใหญ่ที่จะเจอนั้นมักจะเป็นมอนสเตอร์ เนื่องจากมอนสเตอร์นั้นมีความแตกต่างจากเราอย่างมาก การใช้ทักษะการดวลไม่ใช่ทุกอย่าง นายต้องจดจ่อกับการอ่านการเคลื่อนไหวของศัตรูและทำการฟันเมื่อพวกมันเปิดช่องว่างอย่างนั้น”
ระหว่างคนแล้ว เพียงแค่ฟันเฉี่ยวๆสามารถนำพาสู่ความตายได้… แต่ถึงแม้จะฟันผ่ากลางหน้าอกของมอนสเตอร์ไป บางครั้งหัวใจก็อาจจะอยู่ที่อื่นได้ มอนสเตอร์ไม่ได้แค่ไม่ปกติในความแข็งแกร่งด้านกายภาพเท่านั้น
ในอุดมคติก็คือฆ่าเพียงแค่ดาบเดียว ถ้าการต่อสู้กันเริ่มยืดเยื้อออกไปศัตรูก็จะเริ่มได้เปรียบมากขึ้นและก็มากขึ้นเรื่อยๆ จึงไม่ควรมองข้ามโอกาสในการโจมตีใดๆทั้งนั้น
“ฉันสงสัยมาตั้งแต่การโจมตีแรกของนายแล้ว แต่นายก็มัวแต่ลังเลที่จะโจมตีคนอื่นถึงแม้จะเป็นแค่จำลองการต่อสู้เองหรือ? ถ้านายยังทำแบบนั้นในสนามรบอยู่ล่ะก็ นายนั่นแหละที่จะตายก่อนเป็นคนแรกเลยนะ Kyle”
“เปล่า ไม่ใช่อย่างนั้น… นั่นมันก็… เอ่อ…”
“?”
ผมไม่อยากทำร้ายเธอ… เป็นความรู้สึกที่ซึมซับเข้าในอก
เป็นไปได้ว่านั่นคือสิ่งที่เขาคิดไว้ในระหว่างการต่อสู้ บางทีเขาน่าจะอดกลั้นเอาไว้
แน่นอน เขาไม่ได้มีพื้นที่จะบอกว่าเย็นดีขณะที่นอนแผ่หลาเต็มแผ่นหลัง ถ้าหากบอกสิ่งที่แตกต่างในความสามารถแล้ว เธอน่าจะเป็นคนที่พูดแบบนั้น
ขณะที่ Kyle กำลังฝันกลางวันถึงสิ่งที่จะพูดออกมาจริงๆแบบนั้น… Shirley ก็เอียงหัวเธออย่างสับสน
“มาจบตรงนี้ในวันนี้กัน”
“ถ้าเธอเจ็บเกินกว่าจะลุกออกจากเตียงในวันพรุ่งนี้ได้ อย่าฝืนตัวเองออกไปผจญภัยนะ”
Shirley กับ Asterios ที่ไม่เสียเหงื่อเลยในระหว่างฝึกซ้อม หันไปยังนักผจญภัยมือใหม่ทั้งสามที่นอนแผ่กลางพื้น ทั้งๆที่ป้ายสีทองแดงยังแขวนอยู่ที่คอด้วยเสียงร้องครวญครางที่เขาทำให้ Kyle อาจจะถูกเข้าใจผิดว่าเป็นซอมบี้อีกครั้ง
“อ๊ะ หม่าม้า!”
“เสร็จแล้วหรือ?”
“จ้า เมื่อกี้นี้ หวังว่าไม่เบื่อเกินไปนะ?”
หลังจากที่เสร็จธุระกับกิลด์แล้ว Shirley ก็ลูบหัวของ Sophie กับ Tio ที่วิ่งมาหาเธออย่างอ่อนโยน
“อืม สนุกมากเลยล่ะ”
“อย่างนั้นหรือ?”
“งั้น เราก็กลับบ้านกันเลย! วันนี้เราจะทำสตูวนะ ใช่มั้ย?”
“ลูกไม่ต้องรีบขนาดนั้นก็ได้ แม่ยังต้องซื้อเครื่องปรุ-”
เธอตวัดดาบที่เรียกออกมาโดยใช้จินตนาแปรธาตุ ดาบอสูรสีขาวได้ตัดผ่าเข้ากลางแก่นเวทแล้วดาบก็หายไปทันที ไม่มีใครที่ตาดีพอที่จะมองเห็นสายฟ้าแลบตัดผ่านไปอย่างรวดเร็วถึงสามครั้งได้
“หม่าม้า? มีอะไรหรือคะ?”
“…เปล่า ไม่มีอะไร”
Shirley ช่วยไม่ได้นอกจากแสดงบนสีหน้าของเธอ
หมอกดำเมื่อกี้นี้เป็นเวทมนตร์ที่ Shirley มองเห็นได้คนเดียว เพราะความสามารถของเธอก็คือมองเห็นได้ ‘ทุกอย่าง’
เธอไม่รู้ว่าเป็นเวทหรือคำสาปแบบไหน สิ่งเดียวที่เกิดขึ้นก็คือมันได้เล็งไปยังที่ Sophie กับ Tio แน่นอน
(ใครบังอาจทำ…!?)
Shirley รู้สึกถึงความเกลียดชังที่ระงับไปตั้งนานได้ปะทุขึ้นมาเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ลูกสาวของเธอได้เกิดมา
‘ดาบอสูรสีขาว’ ถึงเวลาของเธอที่จะได้รับรู้ถึงลางสังหรณ์ที่แท้จริงนั่นแล้ว
—
ขณะเดียวกัน ในปราสาท เลือดได้กระเด็นไปยังกำแพงของห้องจอมเวทหลวง
“อั้ก….. อ้ากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก!?!?!”
“ฮ-เฮ้ย!? อะไรกันวะ!?”
ร่างกายของจอมเวทหลวงถูกผ่ากลางครึ่งส่วนและเลือดก็พุ่งเหมือนน้ำพุขณะที่มันล้มลงไปตาย ในขณะที่ Albert ล้มลงกับพื้นแล้วก็ถอยกรูดออกไปโดยลากท้ายบนพื้น
“นี่มัน… ล้มเหลวสินะ…? อ้าก ไร้ประโยชน์สิ้นดี!”
Albert ถึงกับด่าสบถผู้ตาย ถึงจะเรียกว่าล้มเหลวก็ถูกต้องตามความรู้สึก มันก็เกิดขึ้นจากความผิดพลาดอยู่แล้ว
ตั้งแต่ยุคโบราณ เมื่อคำสาปถูกระบุโดยผู้ใช้เวทมนตร์มันก็น่าจะลบล้างกันได้ แต่ความน่ากลัวที่แท้จริงในเรื่องก็คือคำสาปเหล่านี้สามารถย้อนกลับมาหาผู้ร่ายได้เช่นเดียวกัน
บางครั้งก็ทำให้เกิดผลแย่พอๆกับเสียสติ แต่เมื่อเวทมนตร์ที่แข็งแกร่งพิเศษเฉพาะมันก็จะสามารถลดเป้าหมายย้อนกลับยังถึงตัวได้
อย่างไรก็ตาม สำหรับคำสาปย้อนกลับที่ฟันฉับแบบนั้น… ไม่เคยได้ยินมาก่อน
“ขอพูดเลยล่ะกัน เสียเวลามากมายโดยเปล่าประโยชน์แท้ๆ คราวหน้า ฉันจะจ้างนักเวทที่มีพลังแกร่งกว่านี้”
ไม่ได้รู้ถึงความผิดปกติเลย Albert ยังคงเตรียมการในครั้งต่อไปอยู่
เขาไม่ได้รู้อะไรเลย รอยเฉือนที่ฟันใส่จอมเวทหลวงผ่าครึ่งนั้นมาจากนักดาบหญิงที่เล่นดาบอยู่นอกเหนือกฎของธรรมชาติ
เขาได้ดูถูกเธอ สำหรับเขาแล้วสิ่งที่เขาได้ยินเรื่องเกี่ยวกับมังกรทั้งหมดนั้น มันก็แค่เรื่องเล่าที่โม้เกินจริงเท่านั้นเอง
และเขาก็โง่เขลาเกินกว่าแม้แต่จะรู้ถึงความจริงในตอนนี้
――อ๊า ผู้นำของประเทศ ทำไมถึงได้ไปแหย่หมีเข้าล่ะ?
“แล้ว เตรียมการเวทมนตร์เสร็จแล้วหรือ?”
“ครับ ไม่มีปัญหา ด้วยเวทมนตร์นี้ องค์หญิงน้อยจะต้องไปหาฝ่าบาทได้ทุกเมื่อเลยครับ”
ชายที่ยืนอยู่ตรงกลางของสัญลักษณ์เวทมนตร์เป็นลูกจ้างของราชวงศ์… พูดอีกอย่างก็คือจอมเวทหลวงนั่นเอง
คอยรับสั่งทำตามความต้องการของจักรพรรดิในขณะต้องผูกขาดอย่างลอยๆท่ามกลางความนับถือชนชั้นสูงแห่งราชสำนัก… พูดอีกอย่างก็คือเป็นเบ๊ที่ต้องมาทำงานสกปรกๆอยู่เบื้องหลังนั่นแหละ
“ด้วยการทำแบบนี้ ก็ไม่ต้องให้ฝ่าบาทต้องออกเดินทางเองแล้ว ไม่ต้องพูดเลยว่ามันยากที่จะต้องเข้าไปให้ถึงราชอาณาจักรด้วยซ้ำ”
“ใช่ อย่างนั้นแหละ พูดอีกอย่างก็คือ เวทมนตร์นี้จะส่งไปยังตัวเป้าหมายที่ระบุเอาไว้ ถูกมั้ย?”
“แน่นอน”
ถึงแม้ว่าเขาจะคิดหนักในที่จะบอกถึงสายเลือดที่เกี่ยวข้องกับลูกสาวก็ตาม จอมเวทหลวงก็รู้ว่าต้องพูดอะไรสักอย่างที่นึกภาพสีหน้าของจักรพรรดิที่เดือดดาล แล้วเขาก็ขบลิ้นและพยักหน้ายืนยัน
จักรวรรดิกับราชอาณาจักรต่างก็ได้ลงสนธิสัญญาในสมัยของจักรพรรดิคนก่อน แต่เมื่อ Albert ได้ขึ้นครองราชย์และระบบเผด็จการก็เริ่มทำให้เปลี่ยนไป การประชุมภาคพื้นทวีปที่จะจัดขึ้นในทุกๆสี่ปีที่ทุกๆประเทศนอกจากดินแดนปีศาจ Albert ได้ทำให้เกิดเรื่องเลวร้ายขึ้นหลายอย่างตั้งแต่ความสนใจแรกเริ่มที่จะเป็นจักรพรรดิและทำให้เกิดความตึงเครียดมากขึ้นระหว่างสองประเทศนี้
“เมื่อเปรียบเทียบกับประเทศเราแล้ว พวกนั้นมันก็แค่สถานที่กระจอกๆเองแหละ”
คำพูดนี้พูดถึงราชอาณาจักรเจ้าภาพของการประชุมนี้
ถึงแม้ว่าเขาจะไม่ได้กะจะให้ใครได้ยินสิ่งที่เขาแอบพึมพำออกมา คำพูดของเขาก็ไม่อาจรอดพ้นหูของ ‘ราชาสิงโตดำ’ ไปได้
การประชุมจบลงอย่างไม่พอใจหลังจากนั้นไม่นาน ด้วยความสัมพันธ์ทางการค้าระหว่างสองประเทศที่ร้าวฉานขึ้นมาทันที จึงทำให้เต็มไปด้วยการป้องกันและภาษีนำเข้าที่สูงมาก
อย่างที่ว่ามา เวทตรวจจับที่ปกคลุมทั้งประเทศได้นั้นยังไม่ได้พัฒนาบนทวีปนี้และก็ยังไม่มีกำลังคนในแต่ละประเทศที่จะทุ่มเทค้นหาคนที่ลักลอบหลบหนีเข้าประเทศได้ ดังนั้นจึงยากมากที่จะใช้กำลังควบคุมกฎหมายชายแดนนี้
ที่จริงแล้ว มันก็ไม่ปกติสำหรับคนที่ลี้ภัยจากประเทศอื่นโดยง่ายๆแล้วก็กลายมาเป็นผู้อยู่อาศัยตรงนั้น
“ฉันมีคนที่รอที่จะเอาลูกสาวฉันมาแล้ว หลังจากที่นายร่ายเวทไปแล้ว พวกนั้นต้องจะมายังจุดรับแน่นอน”
“เมื่อฉันร่ายเวทมนตร์แล้ว จะไม่ใครคนใดนอกจากฉันที่แทรกแซงได้ ก็มีเรื่องเล่าถึงนักผจญภัยที่จัดการราชามังกร แต่เรื่องพวกนั้นมันก็มาจากพวกนักผจญภัยพื้นๆเองแหละ… ไม่มีอะไรนอกจากไร้สาระ ท่านจะตัดร่างใหญ่แบบนั้นกับเวทขั้นสูงด้วยดาบยังไง?”
“จริงอย่างยิ่ง ยังไงก็เหอะ นายรับหน้าที่เอาสองรัชทายาทนั่นกลับมายังจักรวรรดิซะ ฉันเชื่อว่าจะต้องไม่มีอะไรผิดพลาดแน่นะ?”
ขณะที่จักรพรรดิก้มมองลงที่ตัวเขา จอมเวทหลวงก็ลูบจมูกแล้วบอกว่า แน่นอน ไม่มีทางใดๆทั้งนั้น หลังจากนั้นจะมีตัวซื่อบื้อหน้าไหนที่จะเอาอาวุธดึกดำบรรพ์แบบนั้นหวังจะทำอะไรกับความรู้อันลึกลับของเขายังไงกัน?
จอมเวทหลวงที่ชอบดูแคลนไม่ใช่แค่นักผจญภัยแต่รวมไปถึงทหารใกล้ด้วยเหตุผลแบบนั้น เขาได้หัวเราะกับตัวเองขณะที่เขานึกถึงรางวัลที่เจ้าชายตามที่ได้สัญญากับเขาไว้
เมื่อแม่คนนั้นพยายามที่จะเอาลูกกลับไป เขาก็จะจับตัวเธอด้วยเวทแล้วก็ทำให้เป็นของเขาไปซะ
ตามที่รู้มา ผู้หญิงคนนั้นดูเกือบจะอยู่ในคนละโลกแล้ว ด้วยความงามอันไร้ที่ติที่จะทำให้หัวใจนั้นเต้นรัวไปเลย
“ฉันจะเริ่มละนะ ――――《ควบคุม・เสริมผนวก》”
สัญลักษณ์ได้ตัวเขาส่องแสงขึ้นมาขณะที่กำลังร่าย มือปีศาจปรากฏออกมาอย่างลึกลับเหนือสถานที่อันสงบสุขของครอบครัวนั้น
—
ในเมืองชายแดน ณ ลานฝึกของกิลด์นักผจญภัยท้องที่กำลังยุ่งอีกครั้งในวันนี้
ปกติ เสียงที่จะได้ยินเป็นเสียงแหกปากและเสียงร้องไห้จากศึกจำลอง แต่วันนี้ได้ยินเสียงเชียร์ดังขึ้นมาติดๆ
แม้แต่นักผจญภัยที่ฝึกด้วยคันธนูกับสลิงก็หันมามองยังลานฝึกที่อยู่ตรงนั้นเลย ใจกลางของลานฝึกนั้นล้อมรอบไปด้วยฝูงนักผจญภัย อัศวินเวทมนตร์หนุ่มผมน้ำตาลที่มีกระบองกับโล่เผชิญหน้ากับนักดาบหญิงผมขาวที่ควงดาบไม้อยู่
“เอาล่ะ ถ้าทำได้ก็เข้ามา”
“ค-ครับ!”
ไอ้หนุ่มไม่อาจหยุดเหงื่อที่ไหลได้ขณะที่ Shirley ยังยืนได้อย่างใจเย็นต่อหน้าเขา――――Kyle กวัดแกว่งสิ่งของที่เขาซื้อมาด้วยรางวัลจากสงครามมังกร ค่อยๆเข้าไปยัง Shirley โดยยกโล่ขึ้นมา
ที่จริงแล้ว Kyle ไม่ได้มีทักษะที่จะตัดสินคู่แข่งที่จะเปิดช่องตัวเองได้จริงๆหรอก ยิ่งกว่านั้น ช่วงที่เขาเข้ามาโจมตีนั้นก็ชัดเจนมาก เขาจึงรับการสวนกลับไปแบบเต็มๆ
ถึงแม้จะเป็นการฝึกและเขาก็เหมือนจะให้พุ่งเข้าไปโจมตีก่อน แต่ในฐานะเด็กหนุ่มแล้วเขายังกังวลที่อายตัวเองต่อหน้าหลายๆคนอยู่
(ก็น้า ฉันรู้ว่าฉันไม่อยากที่จะดูโง่ๆหรอก แต่ฉันคิดว่าเธอเองก็เหมือนกัน)
เขาไม่ได้มองตาไปยัง Shirley แต่เขาก็รู้ว่า Sophie กับ Tio นั้นต่างก็มองดูการฝึกด้วย
ถึงแม้ว่าลูกสาวเธอจะโด่งดังในบ้านพักที่พวกเธออาศัยอยู่ก็ตาม พวกเธอก็เริ่มที่จะรู้สึกกับพวกของกิลด์หลังจากงานฉลองชัยและกู้เกียรติอีกนิดหน่อย
(แต่… ฉันยังจะเข้าไปหาเธอล่ะนะ――――!)
ความตื่นเต้นของเหล่านักผจญภัยที่กำลังดูการต่อสู้จำลองนี้ เขาลดระยะระหว่างตัวเขากับ Shirley จนกระทั่งเธออยู่ในระยะ แล้วก็ใช้น้ำหนักยกกล้ามเนื้อเท้าขวา
“ย้ากกกกกกกกกกกกกกกก!!”
เขากระโดดและก็เหวี่ยงกระบองลงมาที่เธอด้วยมือขวา แม้จะเป็นแค่จำลองการต่อสู้ เขาก็ใส่เข้าไปเต็มแรงและซัดเข้าด้วยเต็มเหนี่ยว… แต่ ก็เหมือนกับสายน้ำที่เบี่ยงกระแสด้วยก้อนหิน เขาฟาด Shirley พลาดไปเพียงไม่กี่เซนติเมตร
“ห-หา!?”
เขายังเหวี่ยงกระบองอยู่ แต่ก้าวเบาๆของ Shirley ก็ทำให้เรารู้สึกเหมือนพยายามตัดใบไม้ที่ปลิวในสายลม
“………..”
“อุหวา!?”
หลังจากที่เธอทำให้กระบองหลุดออกจากมือด้วยดาบไม้ของเธอแล้ว Kyle จึงได้ตั้งรับการสวนกลับของเธอด้วยโล่
ร่างกาย Shirley พอที่จะบอกได้ว่าเคลื่อนไหวในความเร็วที่มิมนุษย์ธรรมดาอาจคิดได้ ถึงแม้ว่า Kyle น่าจะอยู่ได้มาสักพักแล้ว… เธอก็ค่อยๆเพิ่มจังหวะอย่างช้าๆ
“หวา… อ้าก อาา….! ห-หวาา!”
ถึงแม้การฟันของเธอจะนุ่มนวล ดาบที่ฟันต่อหน้าสายตาของ Kyle ก็ยังเร็วจนดูเหมือนจะกลายเป็นสองอันเลยล่ะ
ทีนี้เขาต้องอาศัยสัญชาตญาณดิบในการต่อสู้แทนทักษะหรือแท็กติก ชัดเจนว่าเขานั้นเริ่มที่จะเปี่ยมล้น… แต่ในช่วงที่ตื่นเต้นนั้น เขาก็สังเกตอะไรบางอย่าง
(นั่นคือ… ช่องว่างหรือ?)
ในช่วงเวลาสั้นๆระหว่างการจู่โจมของเธอ ด้านข้างของเธอนั้นอ่อน จะมีโอกาสเป็นไปได้มั้ยถ้าเขาฟาดกระบองเข้าตรงนั้น?
พอคิดถึงแบบนั้นได้ Kyle ก็เกร็งกล้ามเนื้อ แต่ด้วยเหตุผลบางอย่าง เขากลับลังเล การลังเลกะทันหันเป็นเครื่องพิสูจน์และด้วยฮึดใจ Shirley ก็ตวัดใส่ขา Kyle ที่อยู่ข้างล่างเขา
“อุหวา!?”
“จริงๆเลย นายนี่มัน…”
She เธอเอาดาบไม้ไปจ่อที่คอของนักผจญภัยมือใหม่ที่อยู่บนพื้น “โอออออ…!” เสียงเชียร์สั้นๆที่มาจากนักผจญภัยที่กำลังดูอยู่
“ถึงแม้ว่าฉันอุตส่าห์เปิดช่องให้นายแบบนี้แล้ว ทำไมนายถึงยังลังเลอย่างนั้นอยู่ล่ะ?”
“นั่น… นั่นเพราะว่า เอ่อ… เดี๋ยวนะ นี่คุณจงใจทำแบบนั้นหรือ!?”
ในการดวลกันระหว่างคน จะมีแท็กติกอยู่หลายอย่างที่สร้างขึ้นมาและใช้จัดการกับการโจมตีของคู่แข่ง
ดูเหมือนว่า Kyle นั้นจะตามกับดัก Shirley ไม่ได้เพราะความลังเลของตัวเขาเอง แต่สำหรับการฝึกต่อสู้นี้ ถือว่ายังล้มเหลวอยู่
“ถึงแม้ว่าบางครั้งนักผจญภัยจะสู้กับมนุษย์ก็ตาม ศัตรูส่วนใหญ่ที่จะเจอนั้นมักจะเป็นมอนสเตอร์ เนื่องจากมอนสเตอร์นั้นมีความแตกต่างจากเราอย่างมาก การใช้ทักษะการดวลไม่ใช่ทุกอย่าง นายต้องจดจ่อกับการอ่านการเคลื่อนไหวของศัตรูและทำการฟันเมื่อพวกมันเปิดช่องว่างอย่างนั้น”
ระหว่างคนแล้ว เพียงแค่ฟันเฉี่ยวๆสามารถนำพาสู่ความตายได้… แต่ถึงแม้จะฟันผ่ากลางหน้าอกของมอนสเตอร์ไป บางครั้งหัวใจก็อาจจะอยู่ที่อื่นได้ มอนสเตอร์ไม่ได้แค่ไม่ปกติในความแข็งแกร่งด้านกายภาพเท่านั้น
ในอุดมคติก็คือฆ่าเพียงแค่ดาบเดียว ถ้าการต่อสู้กันเริ่มยืดเยื้อออกไปศัตรูก็จะเริ่มได้เปรียบมากขึ้นและก็มากขึ้นเรื่อยๆ จึงไม่ควรมองข้ามโอกาสในการโจมตีใดๆทั้งนั้น
“ฉันสงสัยมาตั้งแต่การโจมตีแรกของนายแล้ว แต่นายก็มัวแต่ลังเลที่จะโจมตีคนอื่นถึงแม้จะเป็นแค่จำลองการต่อสู้เองหรือ? ถ้านายยังทำแบบนั้นในสนามรบอยู่ล่ะก็ นายนั่นแหละที่จะตายก่อนเป็นคนแรกเลยนะ Kyle”
“เปล่า ไม่ใช่อย่างนั้น… นั่นมันก็… เอ่อ…”
“?”
ผมไม่อยากทำร้ายเธอ… เป็นความรู้สึกที่ซึมซับเข้าในอก
เป็นไปได้ว่านั่นคือสิ่งที่เขาคิดไว้ในระหว่างการต่อสู้ บางทีเขาน่าจะอดกลั้นเอาไว้
แน่นอน เขาไม่ได้มีพื้นที่จะบอกว่าเย็นดีขณะที่นอนแผ่หลาเต็มแผ่นหลัง ถ้าหากบอกสิ่งที่แตกต่างในความสามารถแล้ว เธอน่าจะเป็นคนที่พูดแบบนั้น
ขณะที่ Kyle กำลังฝันกลางวันถึงสิ่งที่จะพูดออกมาจริงๆแบบนั้น… Shirley ก็เอียงหัวเธออย่างสับสน
“ยังไงก็ตาม… การประลองคือการอ่านคู่แข่ง ถ้านายเจอพวกโจรหรือนักเวทนอกรีตแล้วยังทำตัวแบบนั้น นายจะไม่มีทางเอาชนะพวกมันได้ต่อให้นายพยายามอีกเป็นนับพันครั้งก็ตาม …Asterios ฝั่งคุณเป็นยังไงบ้างล่ะ?”
“อืม… มันก็ยังมีอีกหลายๆอย่างที่น่าเป็นห่วงอยู่นะ”
แผ่นป้ายสีเงินของแรงค์ A ที่แขวนที่คอของนักผจญภัยมิโนทอร์อย่าง Asterios วางขวานรบบนบ่า มองดูนักผจญภัยหนุ่มสาวอีกสองที่ยังพะงาบๆอย่างหมดแรงต่อหน้าเขา
“เทพธิดาอวยพรเราด้วยแสงสว่างกับวันที่สวยงาม แต่ดูเหมือนจะฝากอนาคตให้กับเด็กสองคนนี่ในความมืดนะ”
ราวกับจะสวดภาวนาถึงอนาคตอันสดใสต่อเด็กเหล่านี้ Asterios ประสานมืออ้อนวอน ถ้าหากไม่ใช่เสื้อคลุมที่เขาสวมล่ะก็ สิ่งที่จะบอกตัวตนของเขาว่าเป็นบาทหลวงได้ก็คือระฆังที่แขวนไว้ที่คอ ที่สลักด้วยสัญลักษณ์ของเทพธิดา
“น-นี่มันเป็นไปไม่ได้…! แล้วนักธนูอย่างฉันจะทำอะไรได้ถ้าหากลูกธนูหมดแล้ว…!?”
“นี่มันส่วนของการฝึกหรือเปล่าเนี่ย…? เราจะต้องหยุดเขาก่อนที่จะร่ายออกมานะ”
“นี่เป็นการประยุกต์ของการฝึก ถ้าพวกเขาต้องร่ายเพื่อใช้เวทง่ายๆแบบนั้นแล้ว พวกเธอก็ต้องเข้าไปขัดขวางพวกนั้นซะ”
ผู้ที่ประจันหน้ากับนักผจญภัยระดับเทพคือกึ่งเอล์ฟที่มีความสูงไม่ต่างจากฮอบบิท ด้วยผมสีน้ำตาลแดงกับดวงตาสีทองอ่อน เธอเป็นนักธนูเวทที่ชื่อว่า Leia
ส่วนอีกคนหนึ่งนั้นก็เป็นหนุ่มที่มีผมและดวงตาสีดำ ซึ่งหายากในโลกนี้ สวมเกราะที่มีกระเป๋าเข็มขัดและควงมีดสั้น เป็นนักสอดแนมที่ชื่อว่า Cudd
“ยังไงก็เถอะ…! ถ้านายไม่ออกไปสู้กับเขาล่ะก็ ฉันก็ทำอะไรจากแนวหลังไม่ได้หรอกนะ รู้มั้ย…!”
“หนวกหูน่า…! ฉันไม่ได้ถูกใช้มาเพื่ออยู่แนวหน้าสักหน่อย อย่ามาถามอะไรบ้าๆนะ…!”
“โอ ดูท่าพวกเจ้าจะยังมีแรงเถียงกันได้อยู่สินะเนี่ย? งั้นก็มาฝึกกันต่อ”
“เราจะเริ่มอีกครั้ง ตอนนี้ก็เชิญก้าวออกมาได้”
“ค-ครับ!”
ขณะที่ Leia กับ Cudd กลับมาฝึกต่อถึงแม้จะยังอ้าปากพะงาบทั้งคู่ก็ตาม Kyle กับ Shirley ก็เริ่มตั้งท่าอีกครั้ง
นับตั้งแต่สงครามมังกร Shirley ก็ได้มีโอกาสมากขึ้นในการฝึกฝนกับนักผจญภัยปาร์ตี้หน้าใหม่ เธอยังได้จัดการกับมังกรโบราณ และไม่นานมานี้ Shirley ก็ได้รับเชิญให้เข้ามายังลานฝึกประลองอยู่บ่อยๆ
เธอเริ่มที่จะสนใจในขอมาเป็นผู้ฝึกสำหรับสถานที่ฝึกที่จะเปิดที่นี่ในปีหน้า Shirley เป็นห่วงว่ามันอาจจะกินเวลาที่จะเอาไปกับลูกสาวมากเกินไป
“มาจบตรงนี้ในวันนี้กัน”
“ถ้าเธอเจ็บเกินกว่าจะลุกออกจากเตียงในวันพรุ่งนี้ได้ อย่าฝืนตัวเองออกไปผจญภัยนะ”
Shirley กับ Asterios ที่ไม่เสียเหงื่อเลยในระหว่างฝึกซ้อม หันไปยังนักผจญภัยมือใหม่ทั้งสามที่นอนแผ่กลางพื้น ทั้งๆที่ป้ายสีทองแดงยังแขวนอยู่ที่คอด้วยเสียงร้องครวญครางที่เขาทำให้ Kyle อาจจะถูกเข้าใจผิดว่าเป็นซอมบี้อีกครั้ง
“อ๊ะ หม่าม้า!”
“เสร็จแล้วหรือ?”
“จ้า เมื่อกี้นี้ หวังว่าไม่เบื่อเกินไปนะ?”
หลังจากที่เสร็จธุระกับกิลด์แล้ว Shirley ก็ลูบหัวของ Sophie กับ Tio ที่วิ่งมาหาเธออย่างอ่อนโยน
“อืม สนุกมากเลยล่ะ”
“อย่างนั้นหรือ?”
“งั้น เราก็กลับบ้านกันเลย! วันนี้เราจะทำสตูวนะ ใช่มั้ย?”
“ลูกไม่ต้องรีบขนาดนั้นก็ได้ แม่ยังต้องซื้อเครื่องปรุ-”
ในเวลานั้นเอง มีแต่ Shirley เท่านั้นที่มองเห็นหมอกดำที่ลดระดับลงมาในสถานที่สงบสุข
มันไม่สนใจนักผจญภัยคนอื่นและค่อยๆขยับเข้าไปกลืน Sophie กับ Tio ในความมืด――――
“…ชิ”
เธอฟันลงไปทันทีแล้วก็กระจายหายไปราวกับก้อนเมฆ
เธอตวัดดาบที่เรียกออกมาโดยใช้จินตนาแปรธาตุ ดาบอสูรสีขาวได้ตัดผ่าเข้ากลางแก่นเวทแล้วดาบก็หายไปทันที ไม่มีใครที่ตาดีพอที่จะมองเห็นสายฟ้าแลบตัดผ่านไปอย่างรวดเร็วถึงสามครั้งได้
“หม่าม้า? มีอะไรหรือคะ?”
“…เปล่า ไม่มีอะไร”
Shirley ช่วยไม่ได้นอกจากแสดงบนสีหน้าของเธอ
หมอกดำเมื่อกี้นี้เป็นเวทมนตร์ที่ Shirley มองเห็นได้คนเดียว เพราะความสามารถของเธอก็คือมองเห็นได้ ‘ทุกอย่าง’
เธอไม่รู้ว่าเป็นเวทหรือคำสาปแบบไหน สิ่งเดียวที่เกิดขึ้นก็คือมันได้เล็งไปยังที่ Sophie กับ Tio แน่นอน
(ใครบังอาจทำ…!?)
Shirley รู้สึกถึงความเกลียดชังที่ระงับไปตั้งนานได้ปะทุขึ้นมาเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ลูกสาวของเธอได้เกิดมา
‘ดาบอสูรสีขาว’ ถึงเวลาของเธอที่จะได้รับรู้ถึงลางสังหรณ์ที่แท้จริงนั่นแล้ว
—
ขณะเดียวกัน ในปราสาท เลือดได้กระเด็นไปยังกำแพงของห้องจอมเวทหลวง
“อั้ก….. อ้ากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก!?!?!”
“ฮ-เฮ้ย!? อะไรกันวะ!?”
ร่างกายของจอมเวทหลวงถูกผ่ากลางครึ่งส่วนและเลือดก็พุ่งเหมือนน้ำพุขณะที่มันล้มลงไปตาย ในขณะที่ Albert ล้มลงกับพื้นแล้วก็ถอยกรูดออกไปโดยลากท้ายบนพื้น
“นี่มัน… ล้มเหลวสินะ…? อ้าก ไร้ประโยชน์สิ้นดี!”
Albert ถึงกับด่าสบถผู้ตาย ถึงจะเรียกว่าล้มเหลวก็ถูกต้องตามความรู้สึก มันก็เกิดขึ้นจากความผิดพลาดอยู่แล้ว
ตั้งแต่ยุคโบราณ เมื่อคำสาปถูกระบุโดยผู้ใช้เวทมนตร์มันก็น่าจะลบล้างกันได้ แต่ความน่ากลัวที่แท้จริงในเรื่องก็คือคำสาปเหล่านี้สามารถย้อนกลับมาหาผู้ร่ายได้เช่นเดียวกัน
บางครั้งก็ทำให้เกิดผลแย่พอๆกับเสียสติ แต่เมื่อเวทมนตร์ที่แข็งแกร่งพิเศษเฉพาะมันก็จะสามารถลดเป้าหมายย้อนกลับยังถึงตัวได้
อย่างไรก็ตาม สำหรับคำสาปย้อนกลับที่ฟันฉับแบบนั้น… ไม่เคยได้ยินมาก่อน
“ขอพูดเลยล่ะกัน เสียเวลามากมายโดยเปล่าประโยชน์แท้ๆ คราวหน้า ฉันจะจ้างนักเวทที่มีพลังแกร่งกว่านี้”
ไม่ได้รู้ถึงความผิดปกติเลย Albert ยังคงเตรียมการในครั้งต่อไปอยู่
เขาไม่ได้รู้อะไรเลย รอยเฉือนที่ฟันใส่จอมเวทหลวงผ่าครึ่งนั้นมาจากนักดาบหญิงที่เล่นดาบอยู่นอกเหนือกฎของธรรมชาติ
เขาได้ดูถูกเธอ สำหรับเขาแล้วสิ่งที่เขาได้ยินเรื่องเกี่ยวกับมังกรทั้งหมดนั้น มันก็แค่เรื่องเล่าที่โม้เกินจริงเท่านั้นเอง
และเขาก็โง่เขลาเกินกว่าแม้แต่จะรู้ถึงความจริงในตอนนี้
――อ๊า ผู้นำของประเทศ ทำไมถึงได้ไปแหย่หมีเข้าล่ะ?
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น