ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Chrono Breaker

    ลำดับตอนที่ #2 : The winter of winter 01: Lost memory man

    • อัปเดตล่าสุด 25 ต.ค. 49


    เสียงไซเรนของรถตำรวจดังกังวาน ไฟสีแดงกระพริบสาดส่องโกดังเก็บของตรงท่าเรือ ทุกอย่างสงบลงแล้ว...ตำรวจสามารถจับคนร้ายหลายคนที่เกี่ยวข้องกับคดียาเสพย์ติดครั้งนี้ได้ ยังผลให้นายตำรวจยศผู้กองอย่าง โฟเนติก ฟินิกันส์ ได้หน้าเป็นคดีที่ 4 แล้วในรอบ 1 ปีที่ผ่านมา

    “ถามจริงเถอะ ผู้กอง คุณมีดีอะไรเนี่ย ถึงได้สืบข่าวพวกค้ายาเสพย์ติดได้ขนาดนี้”ผู้กำกับถามระหว่างรับสำนวนจากผู้กองคนเก่ง

    “สายดีครับ”เขาตอบสั้นๆ

    “แหม่ ถ้าผมไม่รู้ว่าคุณเป็นตำรวจ ผมคงคิดว่าคุณเป็นมือขวาของหัวหน้าแก๊งไปแล้ว”

    โฟเนติกหัวเราะรับคำพูดเย้าหยอกของคนเป็นนาย

    “แล้วจะไม่ให้ผมเจอสายของคุณหน่อยเหรอ? ฟินิกันส์”นายถาม ชายหนุ่มยิ้มรับคำถามนั้น แล้วเลี่ยงเสมองนาฬิกาข้อมือ ซึ่งบอกเวลาเกือบสี่ทุ่ม เจ้าตัวตาค้างรีบขอตัวกลับก่อน ทิ้งปมให้ผู้เป็นนายนั่งคิดเอาเอง

    ประตูห้องปิดลง ไม่ทันถึง 3 วิ ก็ถูกเปิดอีกครั้งด้วยคนๆเดียวกับที่เพิ่งออกไป

    “ขอโทษครับ ผมลืมคืนของของทอมสันที่ยืมไปเมื่อหลายวันก่อน”โฟเนติกหมายถึงของหัวหน้าแก๊งยาเสพย์ติดที่เพิ่งถูกจับได้วันนี้ ปากกาแท่งหนึ่งถูกวางลงบนโต๊ะ คราวนี้เขาลากลับจริงๆ สร้างความงุนงงให้คนยศสูงกว่านัก
    มันเอาปากกาไปทำอะไรของมัน?

    จะว่าไป ปกติโฟเนติกมักชอบยืมของติดตัวผู้ต้องสงสัยกลับไปตรวจสอบด้วยตัวเองเสมอ แต่ของแบบนี้จะบอกอะไรได้?

    + + + +

    ผู้กำคำตอบทั้งหมดที่ผู้เป็นนายของโฟเนติกสงสัยนักหนานั่งยัดประทานแฮมเบอร์เกอร์อันที่ 5 เข้าปากอย่างหงุดหงิด คว้าแก้วน้ำกระดกดื่มตามพลางมองคนเพิ่งมาถึง

    โฟเนติกมองเด็กหนุ่มที่อายุน้อยกว่าด้วยสายตาบอกเป็นนัยว่าขอโทษที่มาช้า แต่อีกฝ่ายไม่พูดอะไร นอกจากหยิบแฮมเบอร์เกอร์อันที่ 6 แกะกระดาษห่อออก

    “ไปตายอดตายอยากมาจากไหนฮะ เอเรียส? อยู่กับฉันมันอดอยากนักเรอะไง?”โฟเนติก วางถาดที่มีแฮมเบอร์เกอร์ 4 อัน เฟรนด์ฟาย โค้ก 1 แก้วลงตรงหน้าเด็กหนุ่มที่เป็นเสมือนเพื่อน และน้องชาย

    “ฉันก็กำลังกินอาหารมื้อหรูที่นายว่าจะเลี้ยงฉัน อย่างเอร็ดอร่อยอยู่นี่ไง”เอเรียสตอบแกมกัดเล็กๆ ให้รู้ว่าเขาไม่พอใจกับอาหารมื้อนี้ ไม่สนใจสักนิดว่าคนตรงหน้าจะอายุมากกว่าเป็นสิบปี

    “ช่วยไม่ได้เฟ้ย ก็รู้อยู่ว่าเข้าใกล้ปลายเดือนยิ่งเงินช้อต”โฟเนติกเลี่ยง ทำทีเป็นหัวเสียที่พักนี้ตัวเองใช้เงินเปลือง คนอ่อนกว่าจ้องเงียบๆ ก่อนจะเอื้อมมือหมายจะแตะมือโฟเนติก แต่เจ้าตัวรู้ทัน รีบชักมือกลับทันควัน กลืนน้ำลายเอื้อกสบตาอีกฝ่าย...รู้สึกแหยงในใจ เพราะรู้ว่าคนตรงหน้าเดาพฤติกรรมเขาออกแล้ว

    “คิดจะทำอะไรน่ะ เอเรียส?”โฟเนติกถามอย่างเกรงๆ ยกมือเกาผมสีทองของตัวเอง ไม่กล้าแม้แต่จะเอื้อมมือไปจับแก้วโค้ก

    “ก็ถ้าไม่มีอะไร ทำไมต้องหลบล่ะ จริงมั้ย?”เอเรียสถามยิ้มๆ หยิบเฟรนด์ฟายส่งเข้าปาก

    “เอาเงินไปซื้อของขวัญให้สาวล่ะสิ”คนอ่อนกว่าถามได้แทงใจดำ ตรงเป้าโป้ะเชะ แต่ดูเหมือนการได้ถล่มกระเป๋าเงินเขาวันนี้จะทำให้มันอารมณ์ดีขึ้นมาก ดวงตาสีแดงข้างขวาข้างเดียวนั่นจึงดูราวทับทิมที่เยือกเย็น ไม่เปลี่ยนเป็นไฟโหมกระหน่ำ

    ถ้าหากมองผ่านๆ คงคิดว่าเอเรียสเป็นเพียงเด็กหนุ่มวัย 18 ปีที่มีใบหน้าก้ำกึ่งระหว่างเอเชียกับยุโรป เส้นผมสีดำสนิทตัดผิวขาวสะอาด ใบหน้าคมคายครึ่งหนึ่งถูกพันผ้าพันแผลปิดตาซ้าย เหลือเพียงดวงตาข้างขวา สีสันออกจะแปลกกว่าชาติใดๆในโลก เพราะมันเป็นสีแดงก่ำ ...แดงเหมือนเลือดจากกายมนุษย์

    แต่ไม่มีใครคิดว่ามันเป็นของจริงเลยแม้สักคนเดียว

    โฟเนติกเสมองตามสายตาของเอเรียสที่จ้องไปทางโทรทัศน์เครื่องหนึ่งในร้านอาหาร ผู้ประกาศข่าวรายงานพร้อมภาพประกอบรอยแตกสีฟ้าสว่างแปลกประหลาดบนอากาศ

    ....Time’s scar

    มันเกิดขึ้นครั้งแรกราวปีก่อน เป็นที่ฮือฮากันมาก เกิดทั่วทุกมุมโลกโดยไม่ทราบสาเหตุ นักวิทยาศาสตร์ได้ทำการตรวจสอบและพบว่ารอบๆ รอยแตกกลางอากาศนั่นเกิดความผิดปกติของเวลา หากนำเอาสัตว์ เช่น ไก่ ไปไว้ใกล้ๆกับรอยแตก ไก่ตัวนั้นจะเติบโตอย่างรวดเร็ว และแก่ตายทันที หรือไม่ก็การเจริญเติบโตถดถอยให้กลับไปเป็นไข่อีกครั้งอย่างน่าอัศจรรย์ เหตุนี้ทำให้ไม่มีใครสามารถเข้าไปตรวจสอบมันอย่างถี่ถ้วน

    พอคิดถึงตรงนี้ โฟเนติกอดขำไม่ได้.....ใครจะรู้ นั่นสินะ....ใครเล่าจะรู้อย่างที่เขารู้ ว่าคนตรงหน้าเขาเคยได้สัมผัสกับ Time’s scar มาแล้ว!

    เขาจำภาพวันนั้นได้ติดตา วันที่หิมะตกไม่หนักมากแบบเดียวกับวันนี้..

    รอยแตกสีฟ้าส่องแสงเรืองรอง เด็กหนุ่มคนหนึ่งยืนอยู่ที่นั่น หันหน้าเข้าหามันราวกับไม่แยแสสิ่งผิดปกติ ทั้งที่เลือดจากบาดแผลยาวลากผ่านดวงตาข้างซ้ายไหลไม่หยุด ในมือกำของสิ่งหนึ่งไว้มั่น แม้ยามที่รอยแตกหายไป หรือตอนล้มลงกองกับพื้น มือยังไม่ยอมปล่อยจากนาฬิกาพก..

    โฟเนติกพาเด็กหนุ่มไปส่งโรงพยาบาล เขากับเด็กหนุ่มไม่จำเป็นต้องเกี่ยวข้องกันอีก หากไม่ใช่เพราะเอเรียสสูญเสียความทรงจำ รู้เพียงแค่ชื่อของตัวเอง แถมไม่มีใครมาแจ้งความตามหาคนที่มีลักษณะพิเศษอย่างเด็กหนุ่มเลยสักคน

    เขาค้นพบว่าเด็กคนนี้มีความสามารถพิเศษบางอย่างที่ไม่มีใครเหมือน จึงนำตัวมาอยู่ด้วย ให้ช่วยงานตำรวจโดยใช้ “ความสามารถพิเศษ” นั้น ซึ่งมันก็ทำให้เขาปิดคดียาเสพย์ติดใหญ่ๆ ถึง 4 คดีในปีเดียว

    อาจจะว่าเขาเห็นแก่ตัว หรือเล่นขี้โกง แต่ใช่ว่าอีกฝ่ายจะไม่เต็มใจ เอเรียสยินดีช่วยเขา แต่ไม่ขอเสนอตัวกับตำรวจทั้งกอง หากความสามารถนั้นรู้ถึงหูคนใหญ่คนโต เด็กหนุ่มคงถูกส่งตัวไปให้นาซ่าชำแหละไปนานแล้ว อย่างดี ก็คงถูกกักบริเวณ คุมตัว แทบกระดิกกระเดี้ยไปไหนไม่ได้

    นั่นไม่ใช่สิ่งที่เจ้าตัวปรารถนา

    “โฟเนติก”เสียงเรียกจากคนข้างตัวให้เขาหันกลับมามอง เห็นชีสเบอร์เกอร์ซึ่งน่าจะอยู่ในถาดของเขา ถูกยัดเข้าปากหมอนั่นหน้าตาเฉย พอก้มลงมองถาด กลับพบเพียงความว่างเปล่า นึกดีใจและเสียใจในเวลาเดียวกัน

    ดี...ที่สั่งมา 4 อัน กะไว้แล้วว่าต้องเป็นแบบนี้

    เสียใจ...ที่เดือนนี้ กระเป๋าตังค์เข้าขั้นวิกฤติขนาดหนักอีกแล้ว

    เอเรียสยักคิ้วยียวนโฟเนติก อีกฝ่ายมองตอบด้วยสายตาเหมือนจะถามว่าเขาเอาแฮมเบอร์เกอร์ทั้ง 8 ชิ้นนั่นไปยัดไว้ตรงไหน ขนาดกินขนาดนี้พุงยังไม่ยื่นแผละออกมาเลย เลี้ยงตัวอะไรไว้ในท้องเนี่ย?

    “เดี๋ยวฉันกลับไปทีหลัง นายกลับไปพักก่อนแล้วกัน”เด็กหนุ่มพูด

    “....ได้ยินเสียงอีกแล้วเรอะไง”โฟเนติกถามอย่างรู้กัน เอเรียสยิ้มเซียวรับ หันมองหิมะที่กำลังตกนอกร้าน

    “อาจจะเจอก็ได้ อดีตของฉัน”

    “แล้วอย่าลืมไปหาหมอล่ะ” โฟเนติกขัดคนที่กำลังเอาใจไปฝากหิมะ ให้คนเริ่มเหม่อมองเขาอย่างงงๆ

    “รู้ด้วยเหรอ?”

    “เวลาคนอื่นเป็นไข้เขาจะกินอะไรไม่ลง แต่แกมันผิดกันว่ะ เห็นไม่สบายแต่ละทีนี่ฟาดแหลก”พูดไปแล้วโฟเนติกก็หัวเราะขำคำพูดตัวเอง เอเรียสเองก็เผลอหัวเราะตาม

    + + + +

    ก้อนเย็นๆสีขาวกำลังโปรยปราย

    รอยเท้าถูกกลบหายทันทีที่เดินผ่าน ราวกับไม่เคยมีใครเดินย่ำ

    ผู้คนบางตาจนเรียกได้ว่าแทบไม่มี…ถนนเส้นนี้จึงเงียบสงัด

    ใครๆก็อยากอยู่ในบ้านใกล้เตาผิงอุ่นๆกันทั้งนั้น

    เขาเองก็เช่นกัน เสียอย่างเดียวคือ เขาถูกพิษไข้เล่นงาน จนเดินหลงทางมาที่ไหนไม่รู้

    ถ้าโฟเนติกรู้เข้า คงได้หัวเราะเยาะเขาไม่เลิกไป 3 วัน 4 วันแน่

    เขาหยุดยืนข้างเสาไฟสัญญาณถนน พิษไข้ทำให้สติเบลอเลือน ร่างสูงจึงเซเกือบล้ม ดีที่ยกมือยันเสาไฟใกล้ตัวไว้ได้ทัน ขณะเดียวกัน ลูกบอลสีชมพูสดใสลูกหนึ่งกระดอนผ่านตัวเขา ตามด้วยร่างเด็กหญิงผู้เป็นเจ้าของ สู่ท้องถนนไร้ผู้คน ไม่มีวี่แววของรถขับผ่าน เธอจับบอลได้ตอนถึงกลางถนน กำลังเอี้ยวตัวหันกลับ แย้มรอยยิ้มใสๆดีใจ

    เปรี้ยง!!!

    รถยนต์พุ่งมาด้วยความเร็วสูง ชนโครมเข้าเสยร่างนั้น ยังผลให้เลือดสีแดงสดสาดกระจายบนหิมะ กับร่างน้อยกระเด็นมาหล่นตุบอยู่ตรงหน้าเขา เธอนอนคว่ำ แต่หัวหมุนบิด 180 องศา ดวงตาสีฟ้าเบิกโพลงมองเขาแน่วนิ่ง ไม่ต่างอะไรกับตุ๊กตา

    เขามองด้วยความรู้สึก......เอือมระอา ยืดตัวตรง ก้าวเท้าเดินผ่านร่างเล็กๆไปไร้ซึ่งความสนใจ นัยน์ตาสีเดียวกับของเหลวซึ่งสาดกระจายเต็มถนนขาวโพลนบอกความเบื่อหน่ายอยู่ในๆ

    เบื่อจริงๆ ..นั่นล่ะ สิ่งที่เขาคิด

    เด็กหนุ่มหันหน้าเหล่ตาข้างเดียวมองเสาไฟสัญญาณ เมื่อเขาเดินข้ามมาอีกฝั่งเรียบร้อย เขาไม่แปลกใจสักนิด ที่เห็นว่าพื้นถนนยังคงเป็นสีขาวจากหิมะ ไม่มีศพ…ไม่มีเลือด อันควรมีอยู่ตรงนั้น

    “ความทรงจำของนายไม่น่าดูเลยนะ…คุณเสาไฟ”เขากล่าวเช่นนั้น ก่อนเริ่มเดินต่อทางเดิม

    เอเรียสมักรู้สึกอิจฉาเล็กน้อยเสมอ ทั้งผู้คน สัตว์ สิ่งของ ไม่ว่าอะไรต่างมีความทรงจำในตัวของมันเอง และด้วยความสามารถที่ไม่รู้จะเรียกว่าดีหรือเปล่าของเขาทำให้สามารถมองเห็นสิ่งเหล่านั้นได้ผ่านทางการสัมผัส

    ดังนั้นโฟเนติกจึงนำสิ่งของที่ผู้ต้องสงสัยติดตัวประจำมาให้เขาสัมผัสเพื่อมองความทรงจำในอดีตของมัน บางครั้งโชคดีถึงขนาดเห็นแผนการที่เจ้าของมันวางไว้!

    ทำไม…แม้แต่เสาไฟ ก็ยังมีความทรงจำ…แต่เขา…กลับปราศจากความทรงจำ

    เอเรียสควักนาฬิกาพก ซึ่งมักนำติดตัวตลอดเวลาออกมาจากกระเป๋าเสื้อสเวตเตอร์สีดำ มองมันอย่างไม่เข้าใจ...ทำไมมีเพียงมันกับตัวเขาเองเท่านั้นที่ไม่สามารถมองเห็นอดีต

    สิ่งเดียวที่จำได้คือ ชื่อ ....เสียงของใครสักคนเรียกเขาด้วยชื่อนั้น...ฝังลึก...ติดตรึงในโสตประสาท..บางครั้ง เขาจะได้ยินเสียงนั่นลอยมาพร้อมกับสายลมหนาวในวันที่หิมะตก..ราวกับถูกสายลมหอบพัดมาด้วยกัน มีเพียงเขาเท่านั้นที่ได้ยิน

    แม้จะรู้ว่า การเดินเตร็ดเตร่ภายนอกแบบนี้เป็นเรื่องอันตรายไม่น้อย ถ้า “มัน” โผล่มาอีกล่ะก็…เขาได้เรียนรู้มันโดยแลกความทรงจำกับดวงตาข้างซ้ายมาแล้ว

    Time’s scar..

    ขาเดินต่อไปไม่หยุด ประสาทหูตัดสรรพเสียงรอบข้างรอฟังเพียงเสียงเดียว เงยหน้ามองท้องฟ้าสีเทาหม่นหมอง…ทัศนียภาพคุ้นตา…คุ้นจนรู้สึกเจ็บ ปวดแผลเป็นที่ตาซ้ายฉับพลัน เช่นทุกครั้งเวลาเขาเหมือนจะจำอะไรได้

    เจ็บ…เจ็บมาก เจ็บลามมาครึ่งหน้า เจ็บแผลในใจ ปวดหัว…ปวดหัวด้วยพิษไข้เล่นงาน…ภาพเมืองไหววูบ ทั้งตัวล้มฟาดกับพื้นหิมะสีขาว

    ….นี่เขาล้มเรอะ…ฮะฮะ..ทุเรศชะมัด…

    หากรวมเรื่องนี้เข้าไปด้วย...พนันได้เลยว่าโฟเนติกต้องตาย...เพราะหัวเราะมากเกินจนหายใจไม่ทัน

    สติสุดท้ายดับวูบลง

    + + + +
    ลมพ่นจากปากด้วยอาการหอบกลายเป็นไอสีขาว เธอวิ่งด้วยความเร็วช้าลง แต่ก็ยังคงวิ่งต่อไป  2 มือประคองขนมปังเต็มถุงอันเป็นค่าแรงของเธออย่างระมัดระวังเป็นที่สุด นั่นไง…โบสถ์อยู่ข้างหน้าเธอแล้ว เด็กๆกำลังยืนรอขนมปังจากเธออยู่ เธอต้องเร่งความเร็วขึ้นอีกหน่อย พี่สาวคนดีกำลังเดินมารอต้อนรับ

    โอ้เย้!! อีก…อีกนิดเดียว!

    “อะ…ว้ายๆๆ!!!”

    ตุบ!!

    ริมฝีปากเธอ…มอบจูบแรกให้กับ…พื้นถนน..!! หิมะกระเด็นคลุ้งตามตัวเลอะเทอะไปหมด ขนมปังที่อุตส่าห์ประคับประคองอย่างดีลอยคว้างกลางอากาศ

    เด็กๆวิ่งมาเต็มที่จนเธอซึ้งน้ำใจ นึกว่าคงอยากช่วยพยุงพี่ใหญ่คนนี้ให้ลุกขึ้น ที่ไหนได้!!

    มันกระโดดคว้าขนมปังกันโหยงเหยง ไม่มีตกสักอัน!

    นี่พวกแก…ห่วงขนมปังมากว่าฉันเหรอ!!?

    บ่นอยู่ในใจ โงหัวขึ้นมาสะบัดๆหิมะออก ส่งนัยน์ตาสีทองคมกริบหวังให้พวกมันรู้ความผิด เด็กๆก็ยิ้มซื่อรับแบบคนไม่รู้เรื่องรู้ราวให้โกรธไม่ลง เสบัดหิมะตามตัวออกดีกว่า

    “ใครเอาท่อนไม้มาวางไว้ตรงนี้เนี่ย”เธอบ่นถาม เด็กๆส่ายหน้า

    “ไม่ใช่ท่อนไม้ค่ะ พี่ฟีเซล”เด็กหญิงคนหนึ่งตอบ

    “เป็นคนครับ!!”เด็กชายอีกคนตอบบ้าง ท่าทีแข็งขัน

    “หา!”ฟีเซลสะดุ้ง

    มีคนมาตายหน้าโบสถ์หรือเนี่ย!…โอ้..ม่าย! เอ็งเลือกที่ตายได้ยอดมาก!!

    "เด็กๆอย่าไปแตะศพนะ เดี๋ยวรอยนิ้วมือติด”ฟีเซลกางแขนกันไว้ พลางยกเท้าเขี่ยๆให้ร่างนั้นหงายหน้าขึ้น

    เป็นผู้ชาย..ผิวซีดขาว คงเพราะอุณหภูมิร่างกายลดลงเสียมาก เส้นผมสีดำ..เกือบนึกว่าเป็นผู้หญิง ถ้าไม่ใช่เพราะรูปร่างสูงกับรูปหน้าคมคายผิดจากเพศหญิงถนัด แถมมีผ้าพันหน้าซะครึ่งหน้า ปล่อยตาข้างขวาหลับพริ้ม แพขนตาดำยาวสวย…เหมือนเคยเห็นที่ไหน?

    เอ..นี่มันไม่ใช่เวลามาพิจารณาศพนี่หว่า..ไม่สิ เกิดยังไม่ตายล่ะ?

    เธอลองเอามืออังจมูกเขาดู …ยังหายใจ แต่ก็อ่อนแรงสิ้นดี

    “ยังไม่ตาย แต่ใกล้ๆแล้วล่ะ พี่เมซ”เธอรายงาน เด็กหญิงเด็กชายช่วยกันจูงมือหญิงสาวผู้มีเรือนผมสีน้ำตาลและใบหน้างดงามจนอาจคิดว่าเป็นเจ้าหญิงหลงแดนเข้ามาใกล้ๆ

    “เราต้องพยุงเขาเข้าไปในโบสถ์ก่อนแล้วล่ะจ้ะ”เมไซอา(เมซ)ว่า ขยับรอยยิ้มอ่อนโยน “ฟีเซลลุกขึ้นเถอะนะจ้ะ”

    เธอยื่นมือให้ฟีเซล และฟีเซลก็กำลังเอื้อมมือไปจับตอบ

    “เฮ้ย!!”ฟีเซลสะดุ้งโหยงพร้อมกับร้องลั่น ก็ไอ้คนที่ควรนอนสลบอยู่ มันดันจับมือเมไซอาแทนเธอ

    “นาย! นายจะทำอะไรน่ะ!”ฟีเซลตะโกนใส่คนไม่ได้สติ ถึงมันไม่ได้สติ ก็ไม่มีสิทธิ์มาแตะต้องพี่เมซของเธอ!

    “….ย่า..”มันพึมพำ เบาเสียแทบไม่ได้ยิน

    “ย่า?..ย่าอะไร? ใครเป็นย่านาย!!พี่ฉันยังสาวเฟ้ย!”ฟีเซลทวนคำระคนด่า

    “ฟีเซลจ้ะ..”เมไซอาปราม

    “เฟร…เฟรย่า..”ชื่อนั้นหลุดออกมาจากปากเขา ชายหนุ่มปรือตามองเจ้าของมือในมือหนา ตาสีแดงก่ำราวเลือดกำลังรื้นคลอน้ำใส แล้วชายหนุ่มก็สลบไปอีก ทั้งๆที่ยังไม่ได้ปล่อยมือ

    “อะ…อะไรของมัน?”

    + + + +
    ต้นไม้สีเขียวชอุ่มหลากหลายพันธุ์ และดอกไม้หลากหลายสี ต่างเปล่งบานชูช่อสวยอยู่ 2 ข้างทาง บรรยากาศเหมือนเมืองร้อน ด้วยลำแสงแดดสีทองที่ส่องผ่านแมกไม้หนาแต่โปร่ง

    ถนนกว้างเพียงเมตรโรยด้วยก้อนกรวดมนสีขาว กับน้ำตาลอ่อน ทอดสู่ซุ้มกลางสวนแบบยุโรป หญิงสาวคนหนึ่งกำลังล้อเล่นกับนกตัวน้อย เธอทิ้งเรือนผมสีทองรวงข้าวยาวกรอมเท้าไว้เบื้องหลัง ก่อนค่อยๆหันมามองผู้มาเยือน ดวงตาสีน้ำเงินไพลินเข้มลึกล้ำสบตอบเขา ใบหน้าหวานสร้างความสั่นสะท้านในใจ

    เขาเห็นมือตัวเองเอื้อมไปหมายจะให้ถึงเธอ แล้วชะงักอยู่แค่นั้น....

    เพราะเธอ... กุมสร้อยทองคำขาวประดับไพลินสีน้ำเงินน้ำงาม หยาดน้ำใสไหลจากดวงตาสีเดียวกัน ...

    เขาลืมตาตื่นเพื่อรับรู้ว่าทุกอย่างเป็นเพียงความฝัน ใจเต้นระรัวเริ่มเบาลง จนกลับมาสงบเช่นเดิม เอเรียสกุมหัวปวดหนึบพลางยันตัวลุกขึ้น

    กริ๊ง..

    เสียงกังวานนั่นเรียกความสนใจจากเขา กระดิ่งสีทองมากมายห้อยแขวนตามเชือกหลายเส้นราวกับจะเชื่อมโยงไปถึงทุกเส้นทางภายใต้สถานที่แห่งนี้ เวลาลมพัด กระดิ่งจะส่งเสียงเบาบาง ฟังแล้วเย็นใจบอกไม่ถูก

    เขาเริ่มสังเกตทัศนียภาพรอบข้างซึ่งเปลี่ยนไปแล้ว จากเมืองขาวโพลนเย็นเยียบ กลายเป็นโบสถ์ที่จุดเทียนสว่างโดยรอบ เปลวไฟสีเหลืองส้มแลให้สถานที่นี้ดูอบอุ่น

     “ไง ยังไม่ตายอีกเหรอ?”

    สายตามาหยุดที่เจ้าของเสียง เด็กหนุ่มทักด้วยท่าทางไม่ชอบใจ น้ำเสียงที่เปล่งยังไม่แตกหนุ่ม เจ้าตัวเว้นช่องว่างห่างเขาไว้อย่างระวังตัว ด้านหลังเจ้าของดวงตาสีทองมีเด็กๆตัวเล็กค่อนข้างแต่งตัวซอมซ่อ มองเขาด้วยสายตาระแวงไม่กล้าเข้าใกล้ แต่ก็เต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็นประสาเด็กๆ

    “กินไอ้นี่แล้วกินยาซะ”เด็กหนุ่มยัดเยียดถ้วยข้าวต้ม กับยา 2 เม็ดให้เขา พร้อมกระแทกแก้วน้ำวางตรงเก้าอี้ใกล้ๆเขาเสียงดังพอให้อาการปวดหัวขึ้นมาเฉียบพลัน 

    “ขอบคุณ”เอเรียสกล่าวอย่างงงๆ จำไม่เห็นได้ว่าเคยพบเจอเด็กคนนี้มาก่อน เขาไปทำอะไรให้ถึงจงเกลียดจงชังกันขนาดนี้
    จะช่วยให้หายดี หรือช่วยให้แย่ลงกันแน่?

    “นายเป็นใคร ต้องการอะไร?”เด็กหนุ่มผมทองถาม จ้องมองตาไม่หลบ ไม่มีท่าทีแปลกใจดวงตาสีแดงสดของเขา

    เอเรียสนั่งคิดทบทวนเหตุการณ์ ขณะจ้วงตักข้าวต้มคำใหญ่เข้าปาก สงสัยว่าเขาจะนั่งเรียบเรียงเหตุการณ์นานเกิน เจ้าหนูนั่นถึงได้โกรธจนตัวสั่น กระแทกกำปั้นทุบเก้าอี้ และเริ่มตะโกนใส่

    “ฉันถาม ทำไมไม่ตอบหา?!”

    “ที่บ้านสอน...ตอนกินไม่ให้พูด” อยากตอบไปอย่างนี้ใจจะขาด แต่ดูท่าสถานการณ์ไม่เอื้ออำนวยให้เขายียวนอีกฝ่ายมากนัก ประเดี๋ยวได้ปวดหัวหนักกว่าเดิม เพราะน้องแกคงตวาดกลับมายับ

    “ฉัน...เอเรียส เป็นไข้เบลอจัด เลยหลงทาง”เอเรียสตอบ พยายามประนีประนอมกันที่สุด หวังให้อีกฝ่ายเลิกทำเสียงดังซะที “นี่อยู่ส่วนไหนของนิวยอร์กเหรอ?”

    ถามเหมือนนิวยอร์กมันเล็กแค่ 4 เสื่อครึ่ง! ฟีเซลรู้สึกขัดใจหนักหนา ตั้งแต่ตอนที่นายคนนี้บังอาจจับต้องพี่สาวคนสวยของเธอ พอตื่นมาก็ทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้ รู้งี้แกล้งทำพริกไทยตกใส่ชามข้าวต้มซะก็ดี!

    “ที่นี่โบสถ์มาริแอน เบลล์”ฟีเซลตอบเสียงเย็น นั่งกอดอกไขว่ห้าง

    เอเรียสละความสนใจกิริยาเด็กตรงหน้า พยายามใช้ความคิดจากสมองปวดหนึบ

    เหมือนเขาได้ยินชื่อนี้ที่ไหนมาก่อน...คำเล่าลือถึงโบสถ์ที่แขวนกระดิ่งไว้ทั่ว ถ้างั้นเขาก็มากันคนละทางกับทางไปบ้านโฟเนติก ไกลโขอยู่ เดินมาได้ไงหว่าเรา?

    “ฟีเซล รับรองแขกของเราดีเหรอเปล่าจ้ะ?”

    กริ๊ง....กริ๊ง กริ๊ง

    เสียงกระดิ่งดังระรัวบอกให้รู้ว่ามีใครกำลังจับเชือกแขวนกระดิ่งนั่น เอเรียสมองตามร่างที่กำลังเดินมาพร้อมกับเด็กอีกกลุ่ม

    ภาพนั้นทำให้ใจเขาแกว่งไกวหวั่นไหว

    ใบหน้าสวยขาวผ่องล้อมกรอบด้วยเรือนผมสีน้ำตาลอ่อน ประดับไพลินสีน้ำเงินเข้มอันเป็นดวงตาของเธอ ริมฝีปากอมสีชมพูเลือดฝาดแย้มยิ้มเล็กน้อยส่งให้ ผิวพรรณเนียนน่าสัมผัส ราวกับพระเจ้าบรรจงปั้นมาทีละเล็กละน้อย

    หากความสวยเป็นเพียงเสี้ยวหนึ่งที่ทำให้เขามองเธอตาค้าง คำพูดมันติดอยู่ตรงคอ อะไรบางอย่าง.... อะไรบางอย่างในใจกำลังตะโกนบอกเขาด้วยเสียงหัวใจเต้นแรง เสียงที่ฟังไม่ได้ศัพท์..   

     บาดแผลตรงตาซ้ายร้อนขึ้น สติเริ่มดับๆติดไม่คงที่ ภาพเธอคนนั้น ซ้อนทับกับใครบางคน ราวกับอยู่ ณ กึ่งกลางระหว่างความเป็นจริง กับ ความฝัน

    ผู้หญิงอีกคนที่มีเรือนผมสีทองอ่อนรวงข้าว หากแต่ใบหน้าและสีตาเป็นสีเดียวกัน

    ฟีเซลมองอาการคล้ายกำลังทรมานของเอเรียสอย่างชักระแวง ยกมือห้ามเมไซอาให้ถอยห่าง เมไซอาส่ายหน้าเชิงบอกไม่เป็นไร ก่อนจะหยุดยืนตรงข้ามเขา ยกมือสัมผัสเส้นผมสีดำเบาบาง แค่นั้นก็ทำให้คนถูกสัมผัสสะดุ้งโหยง

    “เอเรียสสินะคะ”เธอกล่าวพลางแย้มยิ้ม ดวงตาสีแดงก่ำเบิ่งโพลงด้วยความตกใจ

    “เธอ...รู้จักฉันเหรอ!?”เอเรียสถาม ลุกพวดขึ้นมาเขย่าร่างบางตรงหน้า ก่อนจะถูกเด็กหนุ่มคนเดิมที่ลุกตามแทบทันทีสะบัดมือหนาออกจากไหล่มน

    “แกจะทำอะไรน่ะหา!!”ฟีเซลรั้งร่างเมไซอาไปไว้หลังเธอ ตั้งท่ากำหมัดเตรียมซัดไอ้โรคจิตบ้ากามคนนั้น

    “ฉันแค่อยากถาม ว่าเธอรู้จักฉันมั้ย?”เอเรียสถามอีกครั้ง ทุกคนยืนนิ่งเงียบ รอเพียงคำตอบจากเมไซอา

    “เอ่อ..ขอโทษด้วยนะคะ..ฉันไม่รู้จักคุณ แค่ได้ยินชื่อคุณจากพวกเด็กๆที่มาแอบฟัง”เธอค่อนข้างกระอักกระอ่วมใจ ตอนตอบคำถาม

    “เธอ...มีฝาแฝดหรือเปล่า?”เขาถามต่อ ไม่ยอมลดละ แต่น้ำเสียงชักอ่อนแรง เธอส่ายหน้าเป็นคำตอบ

    เอเรียสรู้สึกเหมือนเจอแสงสว่างในความมืด แล้วแสงนั่นก็ถูกลมพัดมอดไปทันที...หรือภาพเธอคนนั้นจะไม่ใช่เศษเสี้ยวอดีตของเขา?

    เขาลดมือลง ก้มหน้า ซ่อนดวงตาไว้หลังม่านผมสีดำ สาวเท้าเดินผ่านเด็กชายซึ่งทำตัวต่างบิดี้การ์ดโดยไม่พูดอะไรต่อ หยุดฝีเท้าเล็กน้อยข้างเมไซอา เงยหน้าเพื่อมองเธออีกครั้ง พบว่าเธอนั้นไม่ได้แม้แต่จะมองตอบ...ไม่ได้มองเขาเลยด้วยซ้ำ มันยิ่งเจ็บปวดใจเหลือประมาณ ไม่เข้าใจความรู้สึกอุ่นร้อนในอกตัวเองนี่เลยสักนิด เนื่องด้วยไม่เคยรู้สึกแบบนี้กับใครมาก่อน

    ชายหนุ่มกระตุกยิ้มตรงมุมปาก หันกลับมาประจันกับฟีเซลด้วยดวงตาสีแดงน่ากลัว ให้คนมองเผลอสะดุ้งเล็กน้อย ยกมือตั้งท่าป้องกันโดยอัตโนมัติ

    “ขอบคุณสำหรับข้าวต้มกับยาแก้ปวดนะ ข้าวต้มอร่อยมากเลย”เอเรียสยิ้มได้ราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น ทำเอาเด็กหนุ่มรู้สึกงงอย่างคนปรับตัวตามไม่ทัน “แล้วก็ต้องขอโทษด้วย...ที่เสียมารยาทกับคุณ”

    ประโยคหลังเขาส่งให้เมไซอา ก่อนจะเดินผ่านกลุ่มเด็กๆ สู่ประตูทางออก เสียงกระดิ่งดังก้องกังวานไปทั่วยามต้องลมหนาว และค่อยๆเงียบสงบลง หลังประตูโบสถ์ถูกปิดไล่หลังแขกท่าทางแปลกประหลาดคนนั้น

    “พี่คงทำให้เขาโกรธ”เมไซอาใช้มือคลำหาเก้าอี้ ฟีเซลจึงจูงมือเธอมานั่งลงใกล้ๆ

    “พี่ไม่ผิดหรอกค่ะ ก็พี่ไม่รู้จักเขาจริงๆนี่” ฟีเซลหมุนตัวเพื่อจะหันหน้าเข้าหาเมไซอา เสียงกริ๊งที่ไม่ใช่เสียงกระดิ่งดังขึ้นข้างตัว และพบกับนาฬิกาพกเรือนหนึ่งตกอยู่ จึงหยิบขึ้นมาดู ฝาของมันเปิดอ้า เผยให้เห็นหน้าปัดนาฬิกาที่มีเข็มสั้นๆเพียงเข็มเดียวชี้ไปยังเลข 12 แค่นาฬิกาพังๆเรือนหนึ่ง...คงไม่ใช่ว่าเข็มอื่นมันกระเด็นหายไปตอนตกเมื่อกี้หรอกนะ?

    “หรือจะเป็นของหมอนั่น?”ฟีเซลขมวดคิ้วพึมพำ

    “อะไรจ้ะ?”เมไซอาถาม

    “อ้อ นาฬิกาพกค่ะ สงสัยของหมอนั่นทำตกไว้”ฟีเซลว่า พลางลุกขึ้นยืน “เดี๋ยวหนูเอาไปคืนเขาเอง คงยังไปได้ไม่ไกล พี่ไม่ต้องห่วงนะ หนูลูกสาวผู้กำกับคนเก่งอยู่แล้ว”

    ‘เธอ’ปรามเมไซอาเสร็จสรรพ ค่อยแหวกเด็กๆที่ห้อมล้อมตามคนที่เพิ่งออกไปเมื่อครู่

    พอถึงหน้ารั้วโบสถ์ เธอหันซ้ายแลขวาส่งสายตามองหน้าร่างสูงสีดำอันน่าจะเด่นชัดในทัศนียภาพขาวโพลน แต่กลับไม่เห็นแม้แต่เงา เธอขาดการณ์ผิด ลืมนึกไปว่าช่วงก้าวขาของผู้ชายมันยาวกว่าของผู้หญิง

    “ถ้านึกได้... คงกลับมาเอาเองมั้ง”

    + + + +

    โฟเนติกยืนค้างตรงทางเข้าห้องในท่าคาบแปรงสีฟัน กวาดสายตามองผู้มาเยือนหัวจรดเท้า ซึ่งตามตัวมีแต่หิมะ เกือบนึกว่าสโนว์แมนเอาของขวัญคริสต์มาสมาให้ ดูดีๆกลับกลายเป็นเด็กในปกครองนั่นเอง

    “หายหัวไปหนึ่งคืน นึกว่าเป็นไข้เดี้ยงไปแล้ว”โฟเนติกพูด เดินนำเข้าห้อง คว้าผ้าเช็ดตัวปาใส่หน้าเอเรียส “เช็ดตัวซะ เดี๋ยวได้โดนป้าแม่บ้านด่าอานหรอก”

    เด็กหนุ่มรับไว้ทัน แล้วใช้มันเช็ดตัว สูดน้ำมูกด้วยสีหน้าเรียบเฉย

    “แต่นายไม่ยักตามหาฉัน”เอเรียสพูดเหมือนตัดพ้อ

    “ใครว่าไม่หา”โฟเนติกพูดพร้อมยกนิ้วชี้ขอบตาคล้ำของตัวเอง “เพิ่งกลับมาอาบน้ำ จะออกไปหาอีกรอบอยู่เนี่ย”

    “คร้าบๆ ก็ผมมันตัวช่วยนี่เนอะ”เด็กหนุ่มยังทำทีกระแนะกระแหนไม่เลิก

    “เออ จริงของแก”คนโตกว่าชักหมั่นไส้ เลยพูดออกไปแบบไม่รักษาน้ำใจ เอเรียสยักไหล่ไม่แคร์

    ทั้งหมดตกอยู่ในความเงียบยาวนาน สักพักเสียงสะอื้นที่พยายามเก็บจึงค่อยหลุดแพร่งพรายเบาๆ มันดังขึ้นเรื่อยๆกลายเป็นเสียงหัวเราะตลกโบกฮาไม่สิ้นสุดของคนทั้งคู่

    “ให้ฉันเดานะ”โฟเนติกทำทีนั่งคิด “แกคงน็อคแถวไหนสักแห่งมาล่ะสิ”

    เอเรียสไม่ตอบ นึกในใจเพียงสาบานกับตนเอง เขาไม่มีวันให้โฟเนติกรู้เป็นอันขาด

    “แล้ว....เจอมั้ย?”โฟเนติกถาม มือที่กำลังเช็ดตัวชะงักทันที

    “เจอ ..”เอเรียสกล่าวสั้น ปล่อยผ้าเช็ดตัวไว้บนหัว เดินไปทิ้งตัวลงบนโซฟาแล้วเปิดโทรทัศน์ดู

    “เจอนี่เจอญาติหรืออะไรทำนองนี้เหรอวะ?” โฟเนติกกระโดดเข้ามาซักต่อ

    “เปล่า เขาบอกว่าไม่รู้จักฉัน...ไม่มองหน้าฉันด้วยซ้ำ หรือไม่ เขาก็แค่เหมือนผู้หญิงในความทรงจำของฉัน”เอเรียสยักไหล่ ทำเหมือนไม่ใส่ใจ กลับหวนนึกถึงเธอคนนั้น หัวใจมันเต้นโครมครามร้อนรุ่มในอก พร้อมกับความรู้สึกเจ็บแปลบลึกๆ

    โฟเนติกมองอาการซึมของน้องชายบุญธรรมแล้วฉงน มันไม่เคยทำท่าผิดหวังมากเท่าวันนี้

    “นาย...เคยมองผู้หญิงแล้วใจเต้นแรงมั้ย?”คำถามนั่นทำให้โฟเนติกแทบสะดุดขาตัวเองตอนเดินไปบ้วนปาก

    “หา? หา?!! ว่าไงนะ”

    เอเรียสเสมองทางอื่น ไม่ต้องการพูดซ้ำสิ่งที่พูดไปแล้ว

    “เอเรียส หรือว่านาย!!”โฟเนติกพูดได้แค่นั้น ไม่รู้จะพูดอะไรต่อ มันน่าตกใจสุดจะบรรยายจริงๆ!

    ไม่ใช่....ไม่แน่ใจ ไม่รู้...คำ สาม คำในหัวดังขึ้นพร้อมกัน เจ้าตัวผละหายเข้าห้องไปนอนก่อนโดยไม่ยอมปริปากพูดอะไรอีก ปล่อยให้ผู้ใหญ่นั่งตาค้างคนเดียว

    หลังจัดการอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้ากับผ้าพันแผล เอเรียสล้มตัวลงนอนบนเตียง ซุกตัวกับผ้านวมหนานุ่มอุ่นสบาย เพียงหลับตา ภาพเธอคนนั้นก็ปรากฏขึ้น....ไม่ใช่ความฝัน...แต่เป็นมโนภาพจากความห่วงหาอาทร

    แค่เห็นเธอ...หัวใจมันเต้นแรง

    แค่มองเธอ...มันเจ็บปวดข้างในใจ

    แค่สบตา...น้ำตามันอยากจะไหลออกมา

    ยิ่งเธอไม่แล...

    แม้รู้ว่า เกิดเป็นชาย ไม่ควรเสียน้ำตาง่ายๆก็ตาม

    น้ำตาหนึ่งหยดกลับ ...ไหลล่วงจากดวงตาสีแดงมาตามแก้ม ตกสู่ฝ่ามือหนา เป็นประกายเหมือนดังหิมะ ซึ่งเริ่มโปรยปรายลงมาอีกครั้ง
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×