ลำดับตอนที่ #2
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : The winter of winter 01: Lost memory man
เสียงไซเรนของรถตำรวจดังกังวาน ไฟสีแดงกระพริบสาดส่องโกดังเก็บของตรงท่าเรือ ทุกอย่างสงบลงแล้ว...ตำรวจสามารถจับคนร้ายหลายคนที่เกี่ยวข้องกับคดียาเสพย์ติดครั้งนี้ได้ ยังผลให้นายตำรวจยศผู้กองอย่าง โฟเนติก ฟินิกันส์ ได้หน้าเป็นคดีที่ 4 แล้วในรอบ 1 ปีที่ผ่านมา
“ถามจริงเถอะ ผู้กอง คุณมีดีอะไรเนี่ย ถึงได้สืบข่าวพวกค้ายาเสพย์ติดได้ขนาดนี้”ผู้กำกับถามระหว่างรับสำนวนจากผู้กองคนเก่ง
“สายดีครับ”เขาตอบสั้นๆ
“แหม่ ถ้าผมไม่รู้ว่าคุณเป็นตำรวจ ผมคงคิดว่าคุณเป็นมือขวาของหัวหน้าแก๊งไปแล้ว”
โฟเนติกหัวเราะรับคำพูดเย้าหยอกของคนเป็นนาย
“แล้วจะไม่ให้ผมเจอสายของคุณหน่อยเหรอ? ฟินิกันส์”นายถาม ชายหนุ่มยิ้มรับคำถามนั้น แล้วเลี่ยงเสมองนาฬิกาข้อมือ ซึ่งบอกเวลาเกือบสี่ทุ่ม เจ้าตัวตาค้างรีบขอตัวกลับก่อน ทิ้งปมให้ผู้เป็นนายนั่งคิดเอาเอง
ประตูห้องปิดลง ไม่ทันถึง 3 วิ ก็ถูกเปิดอีกครั้งด้วยคนๆเดียวกับที่เพิ่งออกไป
“ขอโทษครับ ผมลืมคืนของของทอมสันที่ยืมไปเมื่อหลายวันก่อน”โฟเนติกหมายถึงของหัวหน้าแก๊งยาเสพย์ติดที่เพิ่งถูกจับได้วันนี้ ปากกาแท่งหนึ่งถูกวางลงบนโต๊ะ คราวนี้เขาลากลับจริงๆ สร้างความงุนงงให้คนยศสูงกว่านัก
มันเอาปากกาไปทำอะไรของมัน?
จะว่าไป ปกติโฟเนติกมักชอบยืมของติดตัวผู้ต้องสงสัยกลับไปตรวจสอบด้วยตัวเองเสมอ แต่ของแบบนี้จะบอกอะไรได้?
+ + + +
ผู้กำคำตอบทั้งหมดที่ผู้เป็นนายของโฟเนติกสงสัยนักหนานั่งยัดประทานแฮมเบอร์เกอร์อันที่ 5 เข้าปากอย่างหงุดหงิด คว้าแก้วน้ำกระดกดื่มตามพลางมองคนเพิ่งมาถึง
โฟเนติกมองเด็กหนุ่มที่อายุน้อยกว่าด้วยสายตาบอกเป็นนัยว่าขอโทษที่มาช้า แต่อีกฝ่ายไม่พูดอะไร นอกจากหยิบแฮมเบอร์เกอร์อันที่ 6 แกะกระดาษห่อออก
“ไปตายอดตายอยากมาจากไหนฮะ เอเรียส? อยู่กับฉันมันอดอยากนักเรอะไง?”โฟเนติก วางถาดที่มีแฮมเบอร์เกอร์ 4 อัน เฟรนด์ฟาย โค้ก 1 แก้วลงตรงหน้าเด็กหนุ่มที่เป็นเสมือนเพื่อน และน้องชาย
“ฉันก็กำลังกินอาหารมื้อหรูที่นายว่าจะเลี้ยงฉัน อย่างเอร็ดอร่อยอยู่นี่ไง”เอเรียสตอบแกมกัดเล็กๆ ให้รู้ว่าเขาไม่พอใจกับอาหารมื้อนี้ ไม่สนใจสักนิดว่าคนตรงหน้าจะอายุมากกว่าเป็นสิบปี
“ช่วยไม่ได้เฟ้ย ก็รู้อยู่ว่าเข้าใกล้ปลายเดือนยิ่งเงินช้อต”โฟเนติกเลี่ยง ทำทีเป็นหัวเสียที่พักนี้ตัวเองใช้เงินเปลือง คนอ่อนกว่าจ้องเงียบๆ ก่อนจะเอื้อมมือหมายจะแตะมือโฟเนติก แต่เจ้าตัวรู้ทัน รีบชักมือกลับทันควัน กลืนน้ำลายเอื้อกสบตาอีกฝ่าย...รู้สึกแหยงในใจ เพราะรู้ว่าคนตรงหน้าเดาพฤติกรรมเขาออกแล้ว
“คิดจะทำอะไรน่ะ เอเรียส?”โฟเนติกถามอย่างเกรงๆ ยกมือเกาผมสีทองของตัวเอง ไม่กล้าแม้แต่จะเอื้อมมือไปจับแก้วโค้ก
“ก็ถ้าไม่มีอะไร ทำไมต้องหลบล่ะ จริงมั้ย?”เอเรียสถามยิ้มๆ หยิบเฟรนด์ฟายส่งเข้าปาก
“เอาเงินไปซื้อของขวัญให้สาวล่ะสิ”คนอ่อนกว่าถามได้แทงใจดำ ตรงเป้าโป้ะเชะ แต่ดูเหมือนการได้ถล่มกระเป๋าเงินเขาวันนี้จะทำให้มันอารมณ์ดีขึ้นมาก ดวงตาสีแดงข้างขวาข้างเดียวนั่นจึงดูราวทับทิมที่เยือกเย็น ไม่เปลี่ยนเป็นไฟโหมกระหน่ำ
ถ้าหากมองผ่านๆ คงคิดว่าเอเรียสเป็นเพียงเด็กหนุ่มวัย 18 ปีที่มีใบหน้าก้ำกึ่งระหว่างเอเชียกับยุโรป เส้นผมสีดำสนิทตัดผิวขาวสะอาด ใบหน้าคมคายครึ่งหนึ่งถูกพันผ้าพันแผลปิดตาซ้าย เหลือเพียงดวงตาข้างขวา สีสันออกจะแปลกกว่าชาติใดๆในโลก เพราะมันเป็นสีแดงก่ำ ...แดงเหมือนเลือดจากกายมนุษย์
แต่ไม่มีใครคิดว่ามันเป็นของจริงเลยแม้สักคนเดียว
โฟเนติกเสมองตามสายตาของเอเรียสที่จ้องไปทางโทรทัศน์เครื่องหนึ่งในร้านอาหาร ผู้ประกาศข่าวรายงานพร้อมภาพประกอบรอยแตกสีฟ้าสว่างแปลกประหลาดบนอากาศ
....Time’s scar
มันเกิดขึ้นครั้งแรกราวปีก่อน เป็นที่ฮือฮากันมาก เกิดทั่วทุกมุมโลกโดยไม่ทราบสาเหตุ นักวิทยาศาสตร์ได้ทำการตรวจสอบและพบว่ารอบๆ รอยแตกกลางอากาศนั่นเกิดความผิดปกติของเวลา หากนำเอาสัตว์ เช่น ไก่ ไปไว้ใกล้ๆกับรอยแตก ไก่ตัวนั้นจะเติบโตอย่างรวดเร็ว และแก่ตายทันที หรือไม่ก็การเจริญเติบโตถดถอยให้กลับไปเป็นไข่อีกครั้งอย่างน่าอัศจรรย์ เหตุนี้ทำให้ไม่มีใครสามารถเข้าไปตรวจสอบมันอย่างถี่ถ้วน
พอคิดถึงตรงนี้ โฟเนติกอดขำไม่ได้.....ใครจะรู้ นั่นสินะ....ใครเล่าจะรู้อย่างที่เขารู้ ว่าคนตรงหน้าเขาเคยได้สัมผัสกับ Time’s scar มาแล้ว!
เขาจำภาพวันนั้นได้ติดตา วันที่หิมะตกไม่หนักมากแบบเดียวกับวันนี้..
รอยแตกสีฟ้าส่องแสงเรืองรอง เด็กหนุ่มคนหนึ่งยืนอยู่ที่นั่น หันหน้าเข้าหามันราวกับไม่แยแสสิ่งผิดปกติ ทั้งที่เลือดจากบาดแผลยาวลากผ่านดวงตาข้างซ้ายไหลไม่หยุด ในมือกำของสิ่งหนึ่งไว้มั่น แม้ยามที่รอยแตกหายไป หรือตอนล้มลงกองกับพื้น มือยังไม่ยอมปล่อยจากนาฬิกาพก..
โฟเนติกพาเด็กหนุ่มไปส่งโรงพยาบาล เขากับเด็กหนุ่มไม่จำเป็นต้องเกี่ยวข้องกันอีก หากไม่ใช่เพราะเอเรียสสูญเสียความทรงจำ รู้เพียงแค่ชื่อของตัวเอง แถมไม่มีใครมาแจ้งความตามหาคนที่มีลักษณะพิเศษอย่างเด็กหนุ่มเลยสักคน
เขาค้นพบว่าเด็กคนนี้มีความสามารถพิเศษบางอย่างที่ไม่มีใครเหมือน จึงนำตัวมาอยู่ด้วย ให้ช่วยงานตำรวจโดยใช้ “ความสามารถพิเศษ” นั้น ซึ่งมันก็ทำให้เขาปิดคดียาเสพย์ติดใหญ่ๆ ถึง 4 คดีในปีเดียว
อาจจะว่าเขาเห็นแก่ตัว หรือเล่นขี้โกง แต่ใช่ว่าอีกฝ่ายจะไม่เต็มใจ เอเรียสยินดีช่วยเขา แต่ไม่ขอเสนอตัวกับตำรวจทั้งกอง หากความสามารถนั้นรู้ถึงหูคนใหญ่คนโต เด็กหนุ่มคงถูกส่งตัวไปให้นาซ่าชำแหละไปนานแล้ว อย่างดี ก็คงถูกกักบริเวณ คุมตัว แทบกระดิกกระเดี้ยไปไหนไม่ได้
นั่นไม่ใช่สิ่งที่เจ้าตัวปรารถนา
“โฟเนติก”เสียงเรียกจากคนข้างตัวให้เขาหันกลับมามอง เห็นชีสเบอร์เกอร์ซึ่งน่าจะอยู่ในถาดของเขา ถูกยัดเข้าปากหมอนั่นหน้าตาเฉย พอก้มลงมองถาด กลับพบเพียงความว่างเปล่า นึกดีใจและเสียใจในเวลาเดียวกัน
ดี...ที่สั่งมา 4 อัน กะไว้แล้วว่าต้องเป็นแบบนี้
เสียใจ...ที่เดือนนี้ กระเป๋าตังค์เข้าขั้นวิกฤติขนาดหนักอีกแล้ว
เอเรียสยักคิ้วยียวนโฟเนติก อีกฝ่ายมองตอบด้วยสายตาเหมือนจะถามว่าเขาเอาแฮมเบอร์เกอร์ทั้ง 8 ชิ้นนั่นไปยัดไว้ตรงไหน ขนาดกินขนาดนี้พุงยังไม่ยื่นแผละออกมาเลย เลี้ยงตัวอะไรไว้ในท้องเนี่ย?
“เดี๋ยวฉันกลับไปทีหลัง นายกลับไปพักก่อนแล้วกัน”เด็กหนุ่มพูด
“....ได้ยินเสียงอีกแล้วเรอะไง”โฟเนติกถามอย่างรู้กัน เอเรียสยิ้มเซียวรับ หันมองหิมะที่กำลังตกนอกร้าน
“อาจจะเจอก็ได้ อดีตของฉัน”
“แล้วอย่าลืมไปหาหมอล่ะ” โฟเนติกขัดคนที่กำลังเอาใจไปฝากหิมะ ให้คนเริ่มเหม่อมองเขาอย่างงงๆ
“รู้ด้วยเหรอ?”
“เวลาคนอื่นเป็นไข้เขาจะกินอะไรไม่ลง แต่แกมันผิดกันว่ะ เห็นไม่สบายแต่ละทีนี่ฟาดแหลก”พูดไปแล้วโฟเนติกก็หัวเราะขำคำพูดตัวเอง เอเรียสเองก็เผลอหัวเราะตาม
+ + + +
ก้อนเย็นๆสีขาวกำลังโปรยปราย
รอยเท้าถูกกลบหายทันทีที่เดินผ่าน ราวกับไม่เคยมีใครเดินย่ำ
ผู้คนบางตาจนเรียกได้ว่าแทบไม่มี ถนนเส้นนี้จึงเงียบสงัด
ใครๆก็อยากอยู่ในบ้านใกล้เตาผิงอุ่นๆกันทั้งนั้น
เขาเองก็เช่นกัน เสียอย่างเดียวคือ เขาถูกพิษไข้เล่นงาน จนเดินหลงทางมาที่ไหนไม่รู้
ถ้าโฟเนติกรู้เข้า คงได้หัวเราะเยาะเขาไม่เลิกไป 3 วัน 4 วันแน่
เขาหยุดยืนข้างเสาไฟสัญญาณถนน พิษไข้ทำให้สติเบลอเลือน ร่างสูงจึงเซเกือบล้ม ดีที่ยกมือยันเสาไฟใกล้ตัวไว้ได้ทัน ขณะเดียวกัน ลูกบอลสีชมพูสดใสลูกหนึ่งกระดอนผ่านตัวเขา ตามด้วยร่างเด็กหญิงผู้เป็นเจ้าของ สู่ท้องถนนไร้ผู้คน ไม่มีวี่แววของรถขับผ่าน เธอจับบอลได้ตอนถึงกลางถนน กำลังเอี้ยวตัวหันกลับ แย้มรอยยิ้มใสๆดีใจ
เปรี้ยง!!!
รถยนต์พุ่งมาด้วยความเร็วสูง ชนโครมเข้าเสยร่างนั้น ยังผลให้เลือดสีแดงสดสาดกระจายบนหิมะ กับร่างน้อยกระเด็นมาหล่นตุบอยู่ตรงหน้าเขา เธอนอนคว่ำ แต่หัวหมุนบิด 180 องศา ดวงตาสีฟ้าเบิกโพลงมองเขาแน่วนิ่ง ไม่ต่างอะไรกับตุ๊กตา
เขามองด้วยความรู้สึก......เอือมระอา ยืดตัวตรง ก้าวเท้าเดินผ่านร่างเล็กๆไปไร้ซึ่งความสนใจ นัยน์ตาสีเดียวกับของเหลวซึ่งสาดกระจายเต็มถนนขาวโพลนบอกความเบื่อหน่ายอยู่ในๆ
เบื่อจริงๆ ..นั่นล่ะ สิ่งที่เขาคิด
เด็กหนุ่มหันหน้าเหล่ตาข้างเดียวมองเสาไฟสัญญาณ เมื่อเขาเดินข้ามมาอีกฝั่งเรียบร้อย เขาไม่แปลกใจสักนิด ที่เห็นว่าพื้นถนนยังคงเป็นสีขาวจากหิมะ ไม่มีศพ ไม่มีเลือด อันควรมีอยู่ตรงนั้น
“ความทรงจำของนายไม่น่าดูเลยนะ คุณเสาไฟ”เขากล่าวเช่นนั้น ก่อนเริ่มเดินต่อทางเดิม
เอเรียสมักรู้สึกอิจฉาเล็กน้อยเสมอ ทั้งผู้คน สัตว์ สิ่งของ ไม่ว่าอะไรต่างมีความทรงจำในตัวของมันเอง และด้วยความสามารถที่ไม่รู้จะเรียกว่าดีหรือเปล่าของเขาทำให้สามารถมองเห็นสิ่งเหล่านั้นได้ผ่านทางการสัมผัส
ดังนั้นโฟเนติกจึงนำสิ่งของที่ผู้ต้องสงสัยติดตัวประจำมาให้เขาสัมผัสเพื่อมองความทรงจำในอดีตของมัน บางครั้งโชคดีถึงขนาดเห็นแผนการที่เจ้าของมันวางไว้!
ทำไม แม้แต่เสาไฟ ก็ยังมีความทรงจำ แต่เขา กลับปราศจากความทรงจำ
เอเรียสควักนาฬิกาพก ซึ่งมักนำติดตัวตลอดเวลาออกมาจากกระเป๋าเสื้อสเวตเตอร์สีดำ มองมันอย่างไม่เข้าใจ...ทำไมมีเพียงมันกับตัวเขาเองเท่านั้นที่ไม่สามารถมองเห็นอดีต
สิ่งเดียวที่จำได้คือ ชื่อ ....เสียงของใครสักคนเรียกเขาด้วยชื่อนั้น...ฝังลึก...ติดตรึงในโสตประสาท..บางครั้ง เขาจะได้ยินเสียงนั่นลอยมาพร้อมกับสายลมหนาวในวันที่หิมะตก..ราวกับถูกสายลมหอบพัดมาด้วยกัน มีเพียงเขาเท่านั้นที่ได้ยิน
แม้จะรู้ว่า การเดินเตร็ดเตร่ภายนอกแบบนี้เป็นเรื่องอันตรายไม่น้อย ถ้า “มัน” โผล่มาอีกล่ะก็ เขาได้เรียนรู้มันโดยแลกความทรงจำกับดวงตาข้างซ้ายมาแล้ว
Time’s scar..
ขาเดินต่อไปไม่หยุด ประสาทหูตัดสรรพเสียงรอบข้างรอฟังเพียงเสียงเดียว เงยหน้ามองท้องฟ้าสีเทาหม่นหมอง ทัศนียภาพคุ้นตา คุ้นจนรู้สึกเจ็บ ปวดแผลเป็นที่ตาซ้ายฉับพลัน เช่นทุกครั้งเวลาเขาเหมือนจะจำอะไรได้
เจ็บ เจ็บมาก เจ็บลามมาครึ่งหน้า เจ็บแผลในใจ ปวดหัว ปวดหัวด้วยพิษไข้เล่นงาน ภาพเมืองไหววูบ ทั้งตัวล้มฟาดกับพื้นหิมะสีขาว
.นี่เขาล้มเรอะ ฮะฮะ..ทุเรศชะมัด
หากรวมเรื่องนี้เข้าไปด้วย...พนันได้เลยว่าโฟเนติกต้องตาย...เพราะหัวเราะมากเกินจนหายใจไม่ทัน
สติสุดท้ายดับวูบลง
+ + + +
ลมพ่นจากปากด้วยอาการหอบกลายเป็นไอสีขาว เธอวิ่งด้วยความเร็วช้าลง แต่ก็ยังคงวิ่งต่อไป 2 มือประคองขนมปังเต็มถุงอันเป็นค่าแรงของเธออย่างระมัดระวังเป็นที่สุด นั่นไง โบสถ์อยู่ข้างหน้าเธอแล้ว เด็กๆกำลังยืนรอขนมปังจากเธออยู่ เธอต้องเร่งความเร็วขึ้นอีกหน่อย พี่สาวคนดีกำลังเดินมารอต้อนรับ
โอ้เย้!! อีก อีกนิดเดียว!
“อะ ว้ายๆๆ!!!”
ตุบ!!
ริมฝีปากเธอ มอบจูบแรกให้กับ พื้นถนน..!! หิมะกระเด็นคลุ้งตามตัวเลอะเทอะไปหมด ขนมปังที่อุตส่าห์ประคับประคองอย่างดีลอยคว้างกลางอากาศ
เด็กๆวิ่งมาเต็มที่จนเธอซึ้งน้ำใจ นึกว่าคงอยากช่วยพยุงพี่ใหญ่คนนี้ให้ลุกขึ้น ที่ไหนได้!!
มันกระโดดคว้าขนมปังกันโหยงเหยง ไม่มีตกสักอัน!
นี่พวกแก ห่วงขนมปังมากว่าฉันเหรอ!!?
บ่นอยู่ในใจ โงหัวขึ้นมาสะบัดๆหิมะออก ส่งนัยน์ตาสีทองคมกริบหวังให้พวกมันรู้ความผิด เด็กๆก็ยิ้มซื่อรับแบบคนไม่รู้เรื่องรู้ราวให้โกรธไม่ลง เสบัดหิมะตามตัวออกดีกว่า
“ใครเอาท่อนไม้มาวางไว้ตรงนี้เนี่ย”เธอบ่นถาม เด็กๆส่ายหน้า
“ไม่ใช่ท่อนไม้ค่ะ พี่ฟีเซล”เด็กหญิงคนหนึ่งตอบ
“เป็นคนครับ!!”เด็กชายอีกคนตอบบ้าง ท่าทีแข็งขัน
“หา!”ฟีเซลสะดุ้ง
มีคนมาตายหน้าโบสถ์หรือเนี่ย! โอ้..ม่าย! เอ็งเลือกที่ตายได้ยอดมาก!!
"เด็กๆอย่าไปแตะศพนะ เดี๋ยวรอยนิ้วมือติด”ฟีเซลกางแขนกันไว้ พลางยกเท้าเขี่ยๆให้ร่างนั้นหงายหน้าขึ้น
เป็นผู้ชาย..ผิวซีดขาว คงเพราะอุณหภูมิร่างกายลดลงเสียมาก เส้นผมสีดำ..เกือบนึกว่าเป็นผู้หญิง ถ้าไม่ใช่เพราะรูปร่างสูงกับรูปหน้าคมคายผิดจากเพศหญิงถนัด แถมมีผ้าพันหน้าซะครึ่งหน้า ปล่อยตาข้างขวาหลับพริ้ม แพขนตาดำยาวสวย เหมือนเคยเห็นที่ไหน?
เอ..นี่มันไม่ใช่เวลามาพิจารณาศพนี่หว่า..ไม่สิ เกิดยังไม่ตายล่ะ?
เธอลองเอามืออังจมูกเขาดู ยังหายใจ แต่ก็อ่อนแรงสิ้นดี
“ยังไม่ตาย แต่ใกล้ๆแล้วล่ะ พี่เมซ”เธอรายงาน เด็กหญิงเด็กชายช่วยกันจูงมือหญิงสาวผู้มีเรือนผมสีน้ำตาลและใบหน้างดงามจนอาจคิดว่าเป็นเจ้าหญิงหลงแดนเข้ามาใกล้ๆ
“เราต้องพยุงเขาเข้าไปในโบสถ์ก่อนแล้วล่ะจ้ะ”เมไซอา(เมซ)ว่า ขยับรอยยิ้มอ่อนโยน “ฟีเซลลุกขึ้นเถอะนะจ้ะ”
เธอยื่นมือให้ฟีเซล และฟีเซลก็กำลังเอื้อมมือไปจับตอบ
“เฮ้ย!!”ฟีเซลสะดุ้งโหยงพร้อมกับร้องลั่น ก็ไอ้คนที่ควรนอนสลบอยู่ มันดันจับมือเมไซอาแทนเธอ
“นาย! นายจะทำอะไรน่ะ!”ฟีเซลตะโกนใส่คนไม่ได้สติ ถึงมันไม่ได้สติ ก็ไม่มีสิทธิ์มาแตะต้องพี่เมซของเธอ!
“ .ย่า..”มันพึมพำ เบาเสียแทบไม่ได้ยิน
“ย่า?..ย่าอะไร? ใครเป็นย่านาย!!พี่ฉันยังสาวเฟ้ย!”ฟีเซลทวนคำระคนด่า
“ฟีเซลจ้ะ..”เมไซอาปราม
“เฟร เฟรย่า..”ชื่อนั้นหลุดออกมาจากปากเขา ชายหนุ่มปรือตามองเจ้าของมือในมือหนา ตาสีแดงก่ำราวเลือดกำลังรื้นคลอน้ำใส แล้วชายหนุ่มก็สลบไปอีก ทั้งๆที่ยังไม่ได้ปล่อยมือ
“อะ อะไรของมัน?”
+ + + +
ต้นไม้สีเขียวชอุ่มหลากหลายพันธุ์ และดอกไม้หลากหลายสี ต่างเปล่งบานชูช่อสวยอยู่ 2 ข้างทาง บรรยากาศเหมือนเมืองร้อน ด้วยลำแสงแดดสีทองที่ส่องผ่านแมกไม้หนาแต่โปร่ง
ถนนกว้างเพียงเมตรโรยด้วยก้อนกรวดมนสีขาว กับน้ำตาลอ่อน ทอดสู่ซุ้มกลางสวนแบบยุโรป หญิงสาวคนหนึ่งกำลังล้อเล่นกับนกตัวน้อย เธอทิ้งเรือนผมสีทองรวงข้าวยาวกรอมเท้าไว้เบื้องหลัง ก่อนค่อยๆหันมามองผู้มาเยือน ดวงตาสีน้ำเงินไพลินเข้มลึกล้ำสบตอบเขา ใบหน้าหวานสร้างความสั่นสะท้านในใจ
เขาเห็นมือตัวเองเอื้อมไปหมายจะให้ถึงเธอ แล้วชะงักอยู่แค่นั้น....
เพราะเธอ... กุมสร้อยทองคำขาวประดับไพลินสีน้ำเงินน้ำงาม หยาดน้ำใสไหลจากดวงตาสีเดียวกัน ...
เขาลืมตาตื่นเพื่อรับรู้ว่าทุกอย่างเป็นเพียงความฝัน ใจเต้นระรัวเริ่มเบาลง จนกลับมาสงบเช่นเดิม เอเรียสกุมหัวปวดหนึบพลางยันตัวลุกขึ้น
กริ๊ง..
เสียงกังวานนั่นเรียกความสนใจจากเขา กระดิ่งสีทองมากมายห้อยแขวนตามเชือกหลายเส้นราวกับจะเชื่อมโยงไปถึงทุกเส้นทางภายใต้สถานที่แห่งนี้ เวลาลมพัด กระดิ่งจะส่งเสียงเบาบาง ฟังแล้วเย็นใจบอกไม่ถูก
เขาเริ่มสังเกตทัศนียภาพรอบข้างซึ่งเปลี่ยนไปแล้ว จากเมืองขาวโพลนเย็นเยียบ กลายเป็นโบสถ์ที่จุดเทียนสว่างโดยรอบ เปลวไฟสีเหลืองส้มแลให้สถานที่นี้ดูอบอุ่น
“ไง ยังไม่ตายอีกเหรอ?”
สายตามาหยุดที่เจ้าของเสียง เด็กหนุ่มทักด้วยท่าทางไม่ชอบใจ น้ำเสียงที่เปล่งยังไม่แตกหนุ่ม เจ้าตัวเว้นช่องว่างห่างเขาไว้อย่างระวังตัว ด้านหลังเจ้าของดวงตาสีทองมีเด็กๆตัวเล็กค่อนข้างแต่งตัวซอมซ่อ มองเขาด้วยสายตาระแวงไม่กล้าเข้าใกล้ แต่ก็เต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็นประสาเด็กๆ
“กินไอ้นี่แล้วกินยาซะ”เด็กหนุ่มยัดเยียดถ้วยข้าวต้ม กับยา 2 เม็ดให้เขา พร้อมกระแทกแก้วน้ำวางตรงเก้าอี้ใกล้ๆเขาเสียงดังพอให้อาการปวดหัวขึ้นมาเฉียบพลัน
“ขอบคุณ”เอเรียสกล่าวอย่างงงๆ จำไม่เห็นได้ว่าเคยพบเจอเด็กคนนี้มาก่อน เขาไปทำอะไรให้ถึงจงเกลียดจงชังกันขนาดนี้
จะช่วยให้หายดี หรือช่วยให้แย่ลงกันแน่?
“นายเป็นใคร ต้องการอะไร?”เด็กหนุ่มผมทองถาม จ้องมองตาไม่หลบ ไม่มีท่าทีแปลกใจดวงตาสีแดงสดของเขา
เอเรียสนั่งคิดทบทวนเหตุการณ์ ขณะจ้วงตักข้าวต้มคำใหญ่เข้าปาก สงสัยว่าเขาจะนั่งเรียบเรียงเหตุการณ์นานเกิน เจ้าหนูนั่นถึงได้โกรธจนตัวสั่น กระแทกกำปั้นทุบเก้าอี้ และเริ่มตะโกนใส่
“ฉันถาม ทำไมไม่ตอบหา?!”
“ที่บ้านสอน...ตอนกินไม่ให้พูด” อยากตอบไปอย่างนี้ใจจะขาด แต่ดูท่าสถานการณ์ไม่เอื้ออำนวยให้เขายียวนอีกฝ่ายมากนัก ประเดี๋ยวได้ปวดหัวหนักกว่าเดิม เพราะน้องแกคงตวาดกลับมายับ
“ฉัน...เอเรียส เป็นไข้เบลอจัด เลยหลงทาง”เอเรียสตอบ พยายามประนีประนอมกันที่สุด หวังให้อีกฝ่ายเลิกทำเสียงดังซะที “นี่อยู่ส่วนไหนของนิวยอร์กเหรอ?”
ถามเหมือนนิวยอร์กมันเล็กแค่ 4 เสื่อครึ่ง! ฟีเซลรู้สึกขัดใจหนักหนา ตั้งแต่ตอนที่นายคนนี้บังอาจจับต้องพี่สาวคนสวยของเธอ พอตื่นมาก็ทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้ รู้งี้แกล้งทำพริกไทยตกใส่ชามข้าวต้มซะก็ดี!
“ที่นี่โบสถ์มาริแอน เบลล์”ฟีเซลตอบเสียงเย็น นั่งกอดอกไขว่ห้าง
เอเรียสละความสนใจกิริยาเด็กตรงหน้า พยายามใช้ความคิดจากสมองปวดหนึบ
เหมือนเขาได้ยินชื่อนี้ที่ไหนมาก่อน...คำเล่าลือถึงโบสถ์ที่แขวนกระดิ่งไว้ทั่ว ถ้างั้นเขาก็มากันคนละทางกับทางไปบ้านโฟเนติก ไกลโขอยู่ เดินมาได้ไงหว่าเรา?
“ฟีเซล รับรองแขกของเราดีเหรอเปล่าจ้ะ?”
กริ๊ง....กริ๊ง กริ๊ง
เสียงกระดิ่งดังระรัวบอกให้รู้ว่ามีใครกำลังจับเชือกแขวนกระดิ่งนั่น เอเรียสมองตามร่างที่กำลังเดินมาพร้อมกับเด็กอีกกลุ่ม
ภาพนั้นทำให้ใจเขาแกว่งไกวหวั่นไหว
ใบหน้าสวยขาวผ่องล้อมกรอบด้วยเรือนผมสีน้ำตาลอ่อน ประดับไพลินสีน้ำเงินเข้มอันเป็นดวงตาของเธอ ริมฝีปากอมสีชมพูเลือดฝาดแย้มยิ้มเล็กน้อยส่งให้ ผิวพรรณเนียนน่าสัมผัส ราวกับพระเจ้าบรรจงปั้นมาทีละเล็กละน้อย
หากความสวยเป็นเพียงเสี้ยวหนึ่งที่ทำให้เขามองเธอตาค้าง คำพูดมันติดอยู่ตรงคอ อะไรบางอย่าง.... อะไรบางอย่างในใจกำลังตะโกนบอกเขาด้วยเสียงหัวใจเต้นแรง เสียงที่ฟังไม่ได้ศัพท์..
บาดแผลตรงตาซ้ายร้อนขึ้น สติเริ่มดับๆติดไม่คงที่ ภาพเธอคนนั้น ซ้อนทับกับใครบางคน ราวกับอยู่ ณ กึ่งกลางระหว่างความเป็นจริง กับ ความฝัน
ผู้หญิงอีกคนที่มีเรือนผมสีทองอ่อนรวงข้าว หากแต่ใบหน้าและสีตาเป็นสีเดียวกัน
ฟีเซลมองอาการคล้ายกำลังทรมานของเอเรียสอย่างชักระแวง ยกมือห้ามเมไซอาให้ถอยห่าง เมไซอาส่ายหน้าเชิงบอกไม่เป็นไร ก่อนจะหยุดยืนตรงข้ามเขา ยกมือสัมผัสเส้นผมสีดำเบาบาง แค่นั้นก็ทำให้คนถูกสัมผัสสะดุ้งโหยง
“เอเรียสสินะคะ”เธอกล่าวพลางแย้มยิ้ม ดวงตาสีแดงก่ำเบิ่งโพลงด้วยความตกใจ
“เธอ...รู้จักฉันเหรอ!?”เอเรียสถาม ลุกพวดขึ้นมาเขย่าร่างบางตรงหน้า ก่อนจะถูกเด็กหนุ่มคนเดิมที่ลุกตามแทบทันทีสะบัดมือหนาออกจากไหล่มน
“แกจะทำอะไรน่ะหา!!”ฟีเซลรั้งร่างเมไซอาไปไว้หลังเธอ ตั้งท่ากำหมัดเตรียมซัดไอ้โรคจิตบ้ากามคนนั้น
“ฉันแค่อยากถาม ว่าเธอรู้จักฉันมั้ย?”เอเรียสถามอีกครั้ง ทุกคนยืนนิ่งเงียบ รอเพียงคำตอบจากเมไซอา
“เอ่อ..ขอโทษด้วยนะคะ..ฉันไม่รู้จักคุณ แค่ได้ยินชื่อคุณจากพวกเด็กๆที่มาแอบฟัง”เธอค่อนข้างกระอักกระอ่วมใจ ตอนตอบคำถาม
“เธอ...มีฝาแฝดหรือเปล่า?”เขาถามต่อ ไม่ยอมลดละ แต่น้ำเสียงชักอ่อนแรง เธอส่ายหน้าเป็นคำตอบ
เอเรียสรู้สึกเหมือนเจอแสงสว่างในความมืด แล้วแสงนั่นก็ถูกลมพัดมอดไปทันที...หรือภาพเธอคนนั้นจะไม่ใช่เศษเสี้ยวอดีตของเขา?
เขาลดมือลง ก้มหน้า ซ่อนดวงตาไว้หลังม่านผมสีดำ สาวเท้าเดินผ่านเด็กชายซึ่งทำตัวต่างบิดี้การ์ดโดยไม่พูดอะไรต่อ หยุดฝีเท้าเล็กน้อยข้างเมไซอา เงยหน้าเพื่อมองเธออีกครั้ง พบว่าเธอนั้นไม่ได้แม้แต่จะมองตอบ...ไม่ได้มองเขาเลยด้วยซ้ำ มันยิ่งเจ็บปวดใจเหลือประมาณ ไม่เข้าใจความรู้สึกอุ่นร้อนในอกตัวเองนี่เลยสักนิด เนื่องด้วยไม่เคยรู้สึกแบบนี้กับใครมาก่อน
ชายหนุ่มกระตุกยิ้มตรงมุมปาก หันกลับมาประจันกับฟีเซลด้วยดวงตาสีแดงน่ากลัว ให้คนมองเผลอสะดุ้งเล็กน้อย ยกมือตั้งท่าป้องกันโดยอัตโนมัติ
“ขอบคุณสำหรับข้าวต้มกับยาแก้ปวดนะ ข้าวต้มอร่อยมากเลย”เอเรียสยิ้มได้ราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น ทำเอาเด็กหนุ่มรู้สึกงงอย่างคนปรับตัวตามไม่ทัน “แล้วก็ต้องขอโทษด้วย...ที่เสียมารยาทกับคุณ”
ประโยคหลังเขาส่งให้เมไซอา ก่อนจะเดินผ่านกลุ่มเด็กๆ สู่ประตูทางออก เสียงกระดิ่งดังก้องกังวานไปทั่วยามต้องลมหนาว และค่อยๆเงียบสงบลง หลังประตูโบสถ์ถูกปิดไล่หลังแขกท่าทางแปลกประหลาดคนนั้น
“พี่คงทำให้เขาโกรธ”เมไซอาใช้มือคลำหาเก้าอี้ ฟีเซลจึงจูงมือเธอมานั่งลงใกล้ๆ
“พี่ไม่ผิดหรอกค่ะ ก็พี่ไม่รู้จักเขาจริงๆนี่” ฟีเซลหมุนตัวเพื่อจะหันหน้าเข้าหาเมไซอา เสียงกริ๊งที่ไม่ใช่เสียงกระดิ่งดังขึ้นข้างตัว และพบกับนาฬิกาพกเรือนหนึ่งตกอยู่ จึงหยิบขึ้นมาดู ฝาของมันเปิดอ้า เผยให้เห็นหน้าปัดนาฬิกาที่มีเข็มสั้นๆเพียงเข็มเดียวชี้ไปยังเลข 12 แค่นาฬิกาพังๆเรือนหนึ่ง...คงไม่ใช่ว่าเข็มอื่นมันกระเด็นหายไปตอนตกเมื่อกี้หรอกนะ?
“หรือจะเป็นของหมอนั่น?”ฟีเซลขมวดคิ้วพึมพำ
“อะไรจ้ะ?”เมไซอาถาม
“อ้อ นาฬิกาพกค่ะ สงสัยของหมอนั่นทำตกไว้”ฟีเซลว่า พลางลุกขึ้นยืน “เดี๋ยวหนูเอาไปคืนเขาเอง คงยังไปได้ไม่ไกล พี่ไม่ต้องห่วงนะ หนูลูกสาวผู้กำกับคนเก่งอยู่แล้ว”
‘เธอ’ปรามเมไซอาเสร็จสรรพ ค่อยแหวกเด็กๆที่ห้อมล้อมตามคนที่เพิ่งออกไปเมื่อครู่
พอถึงหน้ารั้วโบสถ์ เธอหันซ้ายแลขวาส่งสายตามองหน้าร่างสูงสีดำอันน่าจะเด่นชัดในทัศนียภาพขาวโพลน แต่กลับไม่เห็นแม้แต่เงา เธอขาดการณ์ผิด ลืมนึกไปว่าช่วงก้าวขาของผู้ชายมันยาวกว่าของผู้หญิง
“ถ้านึกได้... คงกลับมาเอาเองมั้ง”
+ + + +
โฟเนติกยืนค้างตรงทางเข้าห้องในท่าคาบแปรงสีฟัน กวาดสายตามองผู้มาเยือนหัวจรดเท้า ซึ่งตามตัวมีแต่หิมะ เกือบนึกว่าสโนว์แมนเอาของขวัญคริสต์มาสมาให้ ดูดีๆกลับกลายเป็นเด็กในปกครองนั่นเอง
“หายหัวไปหนึ่งคืน นึกว่าเป็นไข้เดี้ยงไปแล้ว”โฟเนติกพูด เดินนำเข้าห้อง คว้าผ้าเช็ดตัวปาใส่หน้าเอเรียส “เช็ดตัวซะ เดี๋ยวได้โดนป้าแม่บ้านด่าอานหรอก”
เด็กหนุ่มรับไว้ทัน แล้วใช้มันเช็ดตัว สูดน้ำมูกด้วยสีหน้าเรียบเฉย
“แต่นายไม่ยักตามหาฉัน”เอเรียสพูดเหมือนตัดพ้อ
“ใครว่าไม่หา”โฟเนติกพูดพร้อมยกนิ้วชี้ขอบตาคล้ำของตัวเอง “เพิ่งกลับมาอาบน้ำ จะออกไปหาอีกรอบอยู่เนี่ย”
“คร้าบๆ ก็ผมมันตัวช่วยนี่เนอะ”เด็กหนุ่มยังทำทีกระแนะกระแหนไม่เลิก
“เออ จริงของแก”คนโตกว่าชักหมั่นไส้ เลยพูดออกไปแบบไม่รักษาน้ำใจ เอเรียสยักไหล่ไม่แคร์
ทั้งหมดตกอยู่ในความเงียบยาวนาน สักพักเสียงสะอื้นที่พยายามเก็บจึงค่อยหลุดแพร่งพรายเบาๆ มันดังขึ้นเรื่อยๆกลายเป็นเสียงหัวเราะตลกโบกฮาไม่สิ้นสุดของคนทั้งคู่
“ให้ฉันเดานะ”โฟเนติกทำทีนั่งคิด “แกคงน็อคแถวไหนสักแห่งมาล่ะสิ”
เอเรียสไม่ตอบ นึกในใจเพียงสาบานกับตนเอง เขาไม่มีวันให้โฟเนติกรู้เป็นอันขาด
“แล้ว....เจอมั้ย?”โฟเนติกถาม มือที่กำลังเช็ดตัวชะงักทันที
“เจอ ..”เอเรียสกล่าวสั้น ปล่อยผ้าเช็ดตัวไว้บนหัว เดินไปทิ้งตัวลงบนโซฟาแล้วเปิดโทรทัศน์ดู
“เจอนี่เจอญาติหรืออะไรทำนองนี้เหรอวะ?” โฟเนติกกระโดดเข้ามาซักต่อ
“เปล่า เขาบอกว่าไม่รู้จักฉัน...ไม่มองหน้าฉันด้วยซ้ำ หรือไม่ เขาก็แค่เหมือนผู้หญิงในความทรงจำของฉัน”เอเรียสยักไหล่ ทำเหมือนไม่ใส่ใจ กลับหวนนึกถึงเธอคนนั้น หัวใจมันเต้นโครมครามร้อนรุ่มในอก พร้อมกับความรู้สึกเจ็บแปลบลึกๆ
โฟเนติกมองอาการซึมของน้องชายบุญธรรมแล้วฉงน มันไม่เคยทำท่าผิดหวังมากเท่าวันนี้
“นาย...เคยมองผู้หญิงแล้วใจเต้นแรงมั้ย?”คำถามนั่นทำให้โฟเนติกแทบสะดุดขาตัวเองตอนเดินไปบ้วนปาก
“หา? หา?!! ว่าไงนะ”
เอเรียสเสมองทางอื่น ไม่ต้องการพูดซ้ำสิ่งที่พูดไปแล้ว
“เอเรียส หรือว่านาย!!”โฟเนติกพูดได้แค่นั้น ไม่รู้จะพูดอะไรต่อ มันน่าตกใจสุดจะบรรยายจริงๆ!
ไม่ใช่....ไม่แน่ใจ ไม่รู้...คำ สาม คำในหัวดังขึ้นพร้อมกัน เจ้าตัวผละหายเข้าห้องไปนอนก่อนโดยไม่ยอมปริปากพูดอะไรอีก ปล่อยให้ผู้ใหญ่นั่งตาค้างคนเดียว
หลังจัดการอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้ากับผ้าพันแผล เอเรียสล้มตัวลงนอนบนเตียง ซุกตัวกับผ้านวมหนานุ่มอุ่นสบาย เพียงหลับตา ภาพเธอคนนั้นก็ปรากฏขึ้น....ไม่ใช่ความฝัน...แต่เป็นมโนภาพจากความห่วงหาอาทร
แค่เห็นเธอ...หัวใจมันเต้นแรง
แค่มองเธอ...มันเจ็บปวดข้างในใจ
แค่สบตา...น้ำตามันอยากจะไหลออกมา
ยิ่งเธอไม่แล...
แม้รู้ว่า เกิดเป็นชาย ไม่ควรเสียน้ำตาง่ายๆก็ตาม
น้ำตาหนึ่งหยดกลับ ...ไหลล่วงจากดวงตาสีแดงมาตามแก้ม ตกสู่ฝ่ามือหนา เป็นประกายเหมือนดังหิมะ ซึ่งเริ่มโปรยปรายลงมาอีกครั้ง
“ถามจริงเถอะ ผู้กอง คุณมีดีอะไรเนี่ย ถึงได้สืบข่าวพวกค้ายาเสพย์ติดได้ขนาดนี้”ผู้กำกับถามระหว่างรับสำนวนจากผู้กองคนเก่ง
“สายดีครับ”เขาตอบสั้นๆ
“แหม่ ถ้าผมไม่รู้ว่าคุณเป็นตำรวจ ผมคงคิดว่าคุณเป็นมือขวาของหัวหน้าแก๊งไปแล้ว”
โฟเนติกหัวเราะรับคำพูดเย้าหยอกของคนเป็นนาย
“แล้วจะไม่ให้ผมเจอสายของคุณหน่อยเหรอ? ฟินิกันส์”นายถาม ชายหนุ่มยิ้มรับคำถามนั้น แล้วเลี่ยงเสมองนาฬิกาข้อมือ ซึ่งบอกเวลาเกือบสี่ทุ่ม เจ้าตัวตาค้างรีบขอตัวกลับก่อน ทิ้งปมให้ผู้เป็นนายนั่งคิดเอาเอง
ประตูห้องปิดลง ไม่ทันถึง 3 วิ ก็ถูกเปิดอีกครั้งด้วยคนๆเดียวกับที่เพิ่งออกไป
“ขอโทษครับ ผมลืมคืนของของทอมสันที่ยืมไปเมื่อหลายวันก่อน”โฟเนติกหมายถึงของหัวหน้าแก๊งยาเสพย์ติดที่เพิ่งถูกจับได้วันนี้ ปากกาแท่งหนึ่งถูกวางลงบนโต๊ะ คราวนี้เขาลากลับจริงๆ สร้างความงุนงงให้คนยศสูงกว่านัก
มันเอาปากกาไปทำอะไรของมัน?
จะว่าไป ปกติโฟเนติกมักชอบยืมของติดตัวผู้ต้องสงสัยกลับไปตรวจสอบด้วยตัวเองเสมอ แต่ของแบบนี้จะบอกอะไรได้?
+ + + +
ผู้กำคำตอบทั้งหมดที่ผู้เป็นนายของโฟเนติกสงสัยนักหนานั่งยัดประทานแฮมเบอร์เกอร์อันที่ 5 เข้าปากอย่างหงุดหงิด คว้าแก้วน้ำกระดกดื่มตามพลางมองคนเพิ่งมาถึง
โฟเนติกมองเด็กหนุ่มที่อายุน้อยกว่าด้วยสายตาบอกเป็นนัยว่าขอโทษที่มาช้า แต่อีกฝ่ายไม่พูดอะไร นอกจากหยิบแฮมเบอร์เกอร์อันที่ 6 แกะกระดาษห่อออก
“ไปตายอดตายอยากมาจากไหนฮะ เอเรียส? อยู่กับฉันมันอดอยากนักเรอะไง?”โฟเนติก วางถาดที่มีแฮมเบอร์เกอร์ 4 อัน เฟรนด์ฟาย โค้ก 1 แก้วลงตรงหน้าเด็กหนุ่มที่เป็นเสมือนเพื่อน และน้องชาย
“ฉันก็กำลังกินอาหารมื้อหรูที่นายว่าจะเลี้ยงฉัน อย่างเอร็ดอร่อยอยู่นี่ไง”เอเรียสตอบแกมกัดเล็กๆ ให้รู้ว่าเขาไม่พอใจกับอาหารมื้อนี้ ไม่สนใจสักนิดว่าคนตรงหน้าจะอายุมากกว่าเป็นสิบปี
“ช่วยไม่ได้เฟ้ย ก็รู้อยู่ว่าเข้าใกล้ปลายเดือนยิ่งเงินช้อต”โฟเนติกเลี่ยง ทำทีเป็นหัวเสียที่พักนี้ตัวเองใช้เงินเปลือง คนอ่อนกว่าจ้องเงียบๆ ก่อนจะเอื้อมมือหมายจะแตะมือโฟเนติก แต่เจ้าตัวรู้ทัน รีบชักมือกลับทันควัน กลืนน้ำลายเอื้อกสบตาอีกฝ่าย...รู้สึกแหยงในใจ เพราะรู้ว่าคนตรงหน้าเดาพฤติกรรมเขาออกแล้ว
“คิดจะทำอะไรน่ะ เอเรียส?”โฟเนติกถามอย่างเกรงๆ ยกมือเกาผมสีทองของตัวเอง ไม่กล้าแม้แต่จะเอื้อมมือไปจับแก้วโค้ก
“ก็ถ้าไม่มีอะไร ทำไมต้องหลบล่ะ จริงมั้ย?”เอเรียสถามยิ้มๆ หยิบเฟรนด์ฟายส่งเข้าปาก
“เอาเงินไปซื้อของขวัญให้สาวล่ะสิ”คนอ่อนกว่าถามได้แทงใจดำ ตรงเป้าโป้ะเชะ แต่ดูเหมือนการได้ถล่มกระเป๋าเงินเขาวันนี้จะทำให้มันอารมณ์ดีขึ้นมาก ดวงตาสีแดงข้างขวาข้างเดียวนั่นจึงดูราวทับทิมที่เยือกเย็น ไม่เปลี่ยนเป็นไฟโหมกระหน่ำ
ถ้าหากมองผ่านๆ คงคิดว่าเอเรียสเป็นเพียงเด็กหนุ่มวัย 18 ปีที่มีใบหน้าก้ำกึ่งระหว่างเอเชียกับยุโรป เส้นผมสีดำสนิทตัดผิวขาวสะอาด ใบหน้าคมคายครึ่งหนึ่งถูกพันผ้าพันแผลปิดตาซ้าย เหลือเพียงดวงตาข้างขวา สีสันออกจะแปลกกว่าชาติใดๆในโลก เพราะมันเป็นสีแดงก่ำ ...แดงเหมือนเลือดจากกายมนุษย์
แต่ไม่มีใครคิดว่ามันเป็นของจริงเลยแม้สักคนเดียว
โฟเนติกเสมองตามสายตาของเอเรียสที่จ้องไปทางโทรทัศน์เครื่องหนึ่งในร้านอาหาร ผู้ประกาศข่าวรายงานพร้อมภาพประกอบรอยแตกสีฟ้าสว่างแปลกประหลาดบนอากาศ
....Time’s scar
มันเกิดขึ้นครั้งแรกราวปีก่อน เป็นที่ฮือฮากันมาก เกิดทั่วทุกมุมโลกโดยไม่ทราบสาเหตุ นักวิทยาศาสตร์ได้ทำการตรวจสอบและพบว่ารอบๆ รอยแตกกลางอากาศนั่นเกิดความผิดปกติของเวลา หากนำเอาสัตว์ เช่น ไก่ ไปไว้ใกล้ๆกับรอยแตก ไก่ตัวนั้นจะเติบโตอย่างรวดเร็ว และแก่ตายทันที หรือไม่ก็การเจริญเติบโตถดถอยให้กลับไปเป็นไข่อีกครั้งอย่างน่าอัศจรรย์ เหตุนี้ทำให้ไม่มีใครสามารถเข้าไปตรวจสอบมันอย่างถี่ถ้วน
พอคิดถึงตรงนี้ โฟเนติกอดขำไม่ได้.....ใครจะรู้ นั่นสินะ....ใครเล่าจะรู้อย่างที่เขารู้ ว่าคนตรงหน้าเขาเคยได้สัมผัสกับ Time’s scar มาแล้ว!
เขาจำภาพวันนั้นได้ติดตา วันที่หิมะตกไม่หนักมากแบบเดียวกับวันนี้..
รอยแตกสีฟ้าส่องแสงเรืองรอง เด็กหนุ่มคนหนึ่งยืนอยู่ที่นั่น หันหน้าเข้าหามันราวกับไม่แยแสสิ่งผิดปกติ ทั้งที่เลือดจากบาดแผลยาวลากผ่านดวงตาข้างซ้ายไหลไม่หยุด ในมือกำของสิ่งหนึ่งไว้มั่น แม้ยามที่รอยแตกหายไป หรือตอนล้มลงกองกับพื้น มือยังไม่ยอมปล่อยจากนาฬิกาพก..
โฟเนติกพาเด็กหนุ่มไปส่งโรงพยาบาล เขากับเด็กหนุ่มไม่จำเป็นต้องเกี่ยวข้องกันอีก หากไม่ใช่เพราะเอเรียสสูญเสียความทรงจำ รู้เพียงแค่ชื่อของตัวเอง แถมไม่มีใครมาแจ้งความตามหาคนที่มีลักษณะพิเศษอย่างเด็กหนุ่มเลยสักคน
เขาค้นพบว่าเด็กคนนี้มีความสามารถพิเศษบางอย่างที่ไม่มีใครเหมือน จึงนำตัวมาอยู่ด้วย ให้ช่วยงานตำรวจโดยใช้ “ความสามารถพิเศษ” นั้น ซึ่งมันก็ทำให้เขาปิดคดียาเสพย์ติดใหญ่ๆ ถึง 4 คดีในปีเดียว
อาจจะว่าเขาเห็นแก่ตัว หรือเล่นขี้โกง แต่ใช่ว่าอีกฝ่ายจะไม่เต็มใจ เอเรียสยินดีช่วยเขา แต่ไม่ขอเสนอตัวกับตำรวจทั้งกอง หากความสามารถนั้นรู้ถึงหูคนใหญ่คนโต เด็กหนุ่มคงถูกส่งตัวไปให้นาซ่าชำแหละไปนานแล้ว อย่างดี ก็คงถูกกักบริเวณ คุมตัว แทบกระดิกกระเดี้ยไปไหนไม่ได้
นั่นไม่ใช่สิ่งที่เจ้าตัวปรารถนา
“โฟเนติก”เสียงเรียกจากคนข้างตัวให้เขาหันกลับมามอง เห็นชีสเบอร์เกอร์ซึ่งน่าจะอยู่ในถาดของเขา ถูกยัดเข้าปากหมอนั่นหน้าตาเฉย พอก้มลงมองถาด กลับพบเพียงความว่างเปล่า นึกดีใจและเสียใจในเวลาเดียวกัน
ดี...ที่สั่งมา 4 อัน กะไว้แล้วว่าต้องเป็นแบบนี้
เสียใจ...ที่เดือนนี้ กระเป๋าตังค์เข้าขั้นวิกฤติขนาดหนักอีกแล้ว
เอเรียสยักคิ้วยียวนโฟเนติก อีกฝ่ายมองตอบด้วยสายตาเหมือนจะถามว่าเขาเอาแฮมเบอร์เกอร์ทั้ง 8 ชิ้นนั่นไปยัดไว้ตรงไหน ขนาดกินขนาดนี้พุงยังไม่ยื่นแผละออกมาเลย เลี้ยงตัวอะไรไว้ในท้องเนี่ย?
“เดี๋ยวฉันกลับไปทีหลัง นายกลับไปพักก่อนแล้วกัน”เด็กหนุ่มพูด
“....ได้ยินเสียงอีกแล้วเรอะไง”โฟเนติกถามอย่างรู้กัน เอเรียสยิ้มเซียวรับ หันมองหิมะที่กำลังตกนอกร้าน
“อาจจะเจอก็ได้ อดีตของฉัน”
“แล้วอย่าลืมไปหาหมอล่ะ” โฟเนติกขัดคนที่กำลังเอาใจไปฝากหิมะ ให้คนเริ่มเหม่อมองเขาอย่างงงๆ
“รู้ด้วยเหรอ?”
“เวลาคนอื่นเป็นไข้เขาจะกินอะไรไม่ลง แต่แกมันผิดกันว่ะ เห็นไม่สบายแต่ละทีนี่ฟาดแหลก”พูดไปแล้วโฟเนติกก็หัวเราะขำคำพูดตัวเอง เอเรียสเองก็เผลอหัวเราะตาม
+ + + +
ก้อนเย็นๆสีขาวกำลังโปรยปราย
รอยเท้าถูกกลบหายทันทีที่เดินผ่าน ราวกับไม่เคยมีใครเดินย่ำ
ผู้คนบางตาจนเรียกได้ว่าแทบไม่มี ถนนเส้นนี้จึงเงียบสงัด
ใครๆก็อยากอยู่ในบ้านใกล้เตาผิงอุ่นๆกันทั้งนั้น
เขาเองก็เช่นกัน เสียอย่างเดียวคือ เขาถูกพิษไข้เล่นงาน จนเดินหลงทางมาที่ไหนไม่รู้
ถ้าโฟเนติกรู้เข้า คงได้หัวเราะเยาะเขาไม่เลิกไป 3 วัน 4 วันแน่
เขาหยุดยืนข้างเสาไฟสัญญาณถนน พิษไข้ทำให้สติเบลอเลือน ร่างสูงจึงเซเกือบล้ม ดีที่ยกมือยันเสาไฟใกล้ตัวไว้ได้ทัน ขณะเดียวกัน ลูกบอลสีชมพูสดใสลูกหนึ่งกระดอนผ่านตัวเขา ตามด้วยร่างเด็กหญิงผู้เป็นเจ้าของ สู่ท้องถนนไร้ผู้คน ไม่มีวี่แววของรถขับผ่าน เธอจับบอลได้ตอนถึงกลางถนน กำลังเอี้ยวตัวหันกลับ แย้มรอยยิ้มใสๆดีใจ
เปรี้ยง!!!
รถยนต์พุ่งมาด้วยความเร็วสูง ชนโครมเข้าเสยร่างนั้น ยังผลให้เลือดสีแดงสดสาดกระจายบนหิมะ กับร่างน้อยกระเด็นมาหล่นตุบอยู่ตรงหน้าเขา เธอนอนคว่ำ แต่หัวหมุนบิด 180 องศา ดวงตาสีฟ้าเบิกโพลงมองเขาแน่วนิ่ง ไม่ต่างอะไรกับตุ๊กตา
เขามองด้วยความรู้สึก......เอือมระอา ยืดตัวตรง ก้าวเท้าเดินผ่านร่างเล็กๆไปไร้ซึ่งความสนใจ นัยน์ตาสีเดียวกับของเหลวซึ่งสาดกระจายเต็มถนนขาวโพลนบอกความเบื่อหน่ายอยู่ในๆ
เบื่อจริงๆ ..นั่นล่ะ สิ่งที่เขาคิด
เด็กหนุ่มหันหน้าเหล่ตาข้างเดียวมองเสาไฟสัญญาณ เมื่อเขาเดินข้ามมาอีกฝั่งเรียบร้อย เขาไม่แปลกใจสักนิด ที่เห็นว่าพื้นถนนยังคงเป็นสีขาวจากหิมะ ไม่มีศพ ไม่มีเลือด อันควรมีอยู่ตรงนั้น
“ความทรงจำของนายไม่น่าดูเลยนะ คุณเสาไฟ”เขากล่าวเช่นนั้น ก่อนเริ่มเดินต่อทางเดิม
เอเรียสมักรู้สึกอิจฉาเล็กน้อยเสมอ ทั้งผู้คน สัตว์ สิ่งของ ไม่ว่าอะไรต่างมีความทรงจำในตัวของมันเอง และด้วยความสามารถที่ไม่รู้จะเรียกว่าดีหรือเปล่าของเขาทำให้สามารถมองเห็นสิ่งเหล่านั้นได้ผ่านทางการสัมผัส
ดังนั้นโฟเนติกจึงนำสิ่งของที่ผู้ต้องสงสัยติดตัวประจำมาให้เขาสัมผัสเพื่อมองความทรงจำในอดีตของมัน บางครั้งโชคดีถึงขนาดเห็นแผนการที่เจ้าของมันวางไว้!
ทำไม แม้แต่เสาไฟ ก็ยังมีความทรงจำ แต่เขา กลับปราศจากความทรงจำ
เอเรียสควักนาฬิกาพก ซึ่งมักนำติดตัวตลอดเวลาออกมาจากกระเป๋าเสื้อสเวตเตอร์สีดำ มองมันอย่างไม่เข้าใจ...ทำไมมีเพียงมันกับตัวเขาเองเท่านั้นที่ไม่สามารถมองเห็นอดีต
สิ่งเดียวที่จำได้คือ ชื่อ ....เสียงของใครสักคนเรียกเขาด้วยชื่อนั้น...ฝังลึก...ติดตรึงในโสตประสาท..บางครั้ง เขาจะได้ยินเสียงนั่นลอยมาพร้อมกับสายลมหนาวในวันที่หิมะตก..ราวกับถูกสายลมหอบพัดมาด้วยกัน มีเพียงเขาเท่านั้นที่ได้ยิน
แม้จะรู้ว่า การเดินเตร็ดเตร่ภายนอกแบบนี้เป็นเรื่องอันตรายไม่น้อย ถ้า “มัน” โผล่มาอีกล่ะก็ เขาได้เรียนรู้มันโดยแลกความทรงจำกับดวงตาข้างซ้ายมาแล้ว
Time’s scar..
ขาเดินต่อไปไม่หยุด ประสาทหูตัดสรรพเสียงรอบข้างรอฟังเพียงเสียงเดียว เงยหน้ามองท้องฟ้าสีเทาหม่นหมอง ทัศนียภาพคุ้นตา คุ้นจนรู้สึกเจ็บ ปวดแผลเป็นที่ตาซ้ายฉับพลัน เช่นทุกครั้งเวลาเขาเหมือนจะจำอะไรได้
เจ็บ เจ็บมาก เจ็บลามมาครึ่งหน้า เจ็บแผลในใจ ปวดหัว ปวดหัวด้วยพิษไข้เล่นงาน ภาพเมืองไหววูบ ทั้งตัวล้มฟาดกับพื้นหิมะสีขาว
.นี่เขาล้มเรอะ ฮะฮะ..ทุเรศชะมัด
หากรวมเรื่องนี้เข้าไปด้วย...พนันได้เลยว่าโฟเนติกต้องตาย...เพราะหัวเราะมากเกินจนหายใจไม่ทัน
สติสุดท้ายดับวูบลง
+ + + +
ลมพ่นจากปากด้วยอาการหอบกลายเป็นไอสีขาว เธอวิ่งด้วยความเร็วช้าลง แต่ก็ยังคงวิ่งต่อไป 2 มือประคองขนมปังเต็มถุงอันเป็นค่าแรงของเธออย่างระมัดระวังเป็นที่สุด นั่นไง โบสถ์อยู่ข้างหน้าเธอแล้ว เด็กๆกำลังยืนรอขนมปังจากเธออยู่ เธอต้องเร่งความเร็วขึ้นอีกหน่อย พี่สาวคนดีกำลังเดินมารอต้อนรับ
โอ้เย้!! อีก อีกนิดเดียว!
“อะ ว้ายๆๆ!!!”
ตุบ!!
ริมฝีปากเธอ มอบจูบแรกให้กับ พื้นถนน..!! หิมะกระเด็นคลุ้งตามตัวเลอะเทอะไปหมด ขนมปังที่อุตส่าห์ประคับประคองอย่างดีลอยคว้างกลางอากาศ
เด็กๆวิ่งมาเต็มที่จนเธอซึ้งน้ำใจ นึกว่าคงอยากช่วยพยุงพี่ใหญ่คนนี้ให้ลุกขึ้น ที่ไหนได้!!
มันกระโดดคว้าขนมปังกันโหยงเหยง ไม่มีตกสักอัน!
นี่พวกแก ห่วงขนมปังมากว่าฉันเหรอ!!?
บ่นอยู่ในใจ โงหัวขึ้นมาสะบัดๆหิมะออก ส่งนัยน์ตาสีทองคมกริบหวังให้พวกมันรู้ความผิด เด็กๆก็ยิ้มซื่อรับแบบคนไม่รู้เรื่องรู้ราวให้โกรธไม่ลง เสบัดหิมะตามตัวออกดีกว่า
“ใครเอาท่อนไม้มาวางไว้ตรงนี้เนี่ย”เธอบ่นถาม เด็กๆส่ายหน้า
“ไม่ใช่ท่อนไม้ค่ะ พี่ฟีเซล”เด็กหญิงคนหนึ่งตอบ
“เป็นคนครับ!!”เด็กชายอีกคนตอบบ้าง ท่าทีแข็งขัน
“หา!”ฟีเซลสะดุ้ง
มีคนมาตายหน้าโบสถ์หรือเนี่ย! โอ้..ม่าย! เอ็งเลือกที่ตายได้ยอดมาก!!
"เด็กๆอย่าไปแตะศพนะ เดี๋ยวรอยนิ้วมือติด”ฟีเซลกางแขนกันไว้ พลางยกเท้าเขี่ยๆให้ร่างนั้นหงายหน้าขึ้น
เป็นผู้ชาย..ผิวซีดขาว คงเพราะอุณหภูมิร่างกายลดลงเสียมาก เส้นผมสีดำ..เกือบนึกว่าเป็นผู้หญิง ถ้าไม่ใช่เพราะรูปร่างสูงกับรูปหน้าคมคายผิดจากเพศหญิงถนัด แถมมีผ้าพันหน้าซะครึ่งหน้า ปล่อยตาข้างขวาหลับพริ้ม แพขนตาดำยาวสวย เหมือนเคยเห็นที่ไหน?
เอ..นี่มันไม่ใช่เวลามาพิจารณาศพนี่หว่า..ไม่สิ เกิดยังไม่ตายล่ะ?
เธอลองเอามืออังจมูกเขาดู ยังหายใจ แต่ก็อ่อนแรงสิ้นดี
“ยังไม่ตาย แต่ใกล้ๆแล้วล่ะ พี่เมซ”เธอรายงาน เด็กหญิงเด็กชายช่วยกันจูงมือหญิงสาวผู้มีเรือนผมสีน้ำตาลและใบหน้างดงามจนอาจคิดว่าเป็นเจ้าหญิงหลงแดนเข้ามาใกล้ๆ
“เราต้องพยุงเขาเข้าไปในโบสถ์ก่อนแล้วล่ะจ้ะ”เมไซอา(เมซ)ว่า ขยับรอยยิ้มอ่อนโยน “ฟีเซลลุกขึ้นเถอะนะจ้ะ”
เธอยื่นมือให้ฟีเซล และฟีเซลก็กำลังเอื้อมมือไปจับตอบ
“เฮ้ย!!”ฟีเซลสะดุ้งโหยงพร้อมกับร้องลั่น ก็ไอ้คนที่ควรนอนสลบอยู่ มันดันจับมือเมไซอาแทนเธอ
“นาย! นายจะทำอะไรน่ะ!”ฟีเซลตะโกนใส่คนไม่ได้สติ ถึงมันไม่ได้สติ ก็ไม่มีสิทธิ์มาแตะต้องพี่เมซของเธอ!
“ .ย่า..”มันพึมพำ เบาเสียแทบไม่ได้ยิน
“ย่า?..ย่าอะไร? ใครเป็นย่านาย!!พี่ฉันยังสาวเฟ้ย!”ฟีเซลทวนคำระคนด่า
“ฟีเซลจ้ะ..”เมไซอาปราม
“เฟร เฟรย่า..”ชื่อนั้นหลุดออกมาจากปากเขา ชายหนุ่มปรือตามองเจ้าของมือในมือหนา ตาสีแดงก่ำราวเลือดกำลังรื้นคลอน้ำใส แล้วชายหนุ่มก็สลบไปอีก ทั้งๆที่ยังไม่ได้ปล่อยมือ
“อะ อะไรของมัน?”
+ + + +
ต้นไม้สีเขียวชอุ่มหลากหลายพันธุ์ และดอกไม้หลากหลายสี ต่างเปล่งบานชูช่อสวยอยู่ 2 ข้างทาง บรรยากาศเหมือนเมืองร้อน ด้วยลำแสงแดดสีทองที่ส่องผ่านแมกไม้หนาแต่โปร่ง
ถนนกว้างเพียงเมตรโรยด้วยก้อนกรวดมนสีขาว กับน้ำตาลอ่อน ทอดสู่ซุ้มกลางสวนแบบยุโรป หญิงสาวคนหนึ่งกำลังล้อเล่นกับนกตัวน้อย เธอทิ้งเรือนผมสีทองรวงข้าวยาวกรอมเท้าไว้เบื้องหลัง ก่อนค่อยๆหันมามองผู้มาเยือน ดวงตาสีน้ำเงินไพลินเข้มลึกล้ำสบตอบเขา ใบหน้าหวานสร้างความสั่นสะท้านในใจ
เขาเห็นมือตัวเองเอื้อมไปหมายจะให้ถึงเธอ แล้วชะงักอยู่แค่นั้น....
เพราะเธอ... กุมสร้อยทองคำขาวประดับไพลินสีน้ำเงินน้ำงาม หยาดน้ำใสไหลจากดวงตาสีเดียวกัน ...
เขาลืมตาตื่นเพื่อรับรู้ว่าทุกอย่างเป็นเพียงความฝัน ใจเต้นระรัวเริ่มเบาลง จนกลับมาสงบเช่นเดิม เอเรียสกุมหัวปวดหนึบพลางยันตัวลุกขึ้น
กริ๊ง..
เสียงกังวานนั่นเรียกความสนใจจากเขา กระดิ่งสีทองมากมายห้อยแขวนตามเชือกหลายเส้นราวกับจะเชื่อมโยงไปถึงทุกเส้นทางภายใต้สถานที่แห่งนี้ เวลาลมพัด กระดิ่งจะส่งเสียงเบาบาง ฟังแล้วเย็นใจบอกไม่ถูก
เขาเริ่มสังเกตทัศนียภาพรอบข้างซึ่งเปลี่ยนไปแล้ว จากเมืองขาวโพลนเย็นเยียบ กลายเป็นโบสถ์ที่จุดเทียนสว่างโดยรอบ เปลวไฟสีเหลืองส้มแลให้สถานที่นี้ดูอบอุ่น
“ไง ยังไม่ตายอีกเหรอ?”
สายตามาหยุดที่เจ้าของเสียง เด็กหนุ่มทักด้วยท่าทางไม่ชอบใจ น้ำเสียงที่เปล่งยังไม่แตกหนุ่ม เจ้าตัวเว้นช่องว่างห่างเขาไว้อย่างระวังตัว ด้านหลังเจ้าของดวงตาสีทองมีเด็กๆตัวเล็กค่อนข้างแต่งตัวซอมซ่อ มองเขาด้วยสายตาระแวงไม่กล้าเข้าใกล้ แต่ก็เต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็นประสาเด็กๆ
“กินไอ้นี่แล้วกินยาซะ”เด็กหนุ่มยัดเยียดถ้วยข้าวต้ม กับยา 2 เม็ดให้เขา พร้อมกระแทกแก้วน้ำวางตรงเก้าอี้ใกล้ๆเขาเสียงดังพอให้อาการปวดหัวขึ้นมาเฉียบพลัน
“ขอบคุณ”เอเรียสกล่าวอย่างงงๆ จำไม่เห็นได้ว่าเคยพบเจอเด็กคนนี้มาก่อน เขาไปทำอะไรให้ถึงจงเกลียดจงชังกันขนาดนี้
จะช่วยให้หายดี หรือช่วยให้แย่ลงกันแน่?
“นายเป็นใคร ต้องการอะไร?”เด็กหนุ่มผมทองถาม จ้องมองตาไม่หลบ ไม่มีท่าทีแปลกใจดวงตาสีแดงสดของเขา
เอเรียสนั่งคิดทบทวนเหตุการณ์ ขณะจ้วงตักข้าวต้มคำใหญ่เข้าปาก สงสัยว่าเขาจะนั่งเรียบเรียงเหตุการณ์นานเกิน เจ้าหนูนั่นถึงได้โกรธจนตัวสั่น กระแทกกำปั้นทุบเก้าอี้ และเริ่มตะโกนใส่
“ฉันถาม ทำไมไม่ตอบหา?!”
“ที่บ้านสอน...ตอนกินไม่ให้พูด” อยากตอบไปอย่างนี้ใจจะขาด แต่ดูท่าสถานการณ์ไม่เอื้ออำนวยให้เขายียวนอีกฝ่ายมากนัก ประเดี๋ยวได้ปวดหัวหนักกว่าเดิม เพราะน้องแกคงตวาดกลับมายับ
“ฉัน...เอเรียส เป็นไข้เบลอจัด เลยหลงทาง”เอเรียสตอบ พยายามประนีประนอมกันที่สุด หวังให้อีกฝ่ายเลิกทำเสียงดังซะที “นี่อยู่ส่วนไหนของนิวยอร์กเหรอ?”
ถามเหมือนนิวยอร์กมันเล็กแค่ 4 เสื่อครึ่ง! ฟีเซลรู้สึกขัดใจหนักหนา ตั้งแต่ตอนที่นายคนนี้บังอาจจับต้องพี่สาวคนสวยของเธอ พอตื่นมาก็ทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้ รู้งี้แกล้งทำพริกไทยตกใส่ชามข้าวต้มซะก็ดี!
“ที่นี่โบสถ์มาริแอน เบลล์”ฟีเซลตอบเสียงเย็น นั่งกอดอกไขว่ห้าง
เอเรียสละความสนใจกิริยาเด็กตรงหน้า พยายามใช้ความคิดจากสมองปวดหนึบ
เหมือนเขาได้ยินชื่อนี้ที่ไหนมาก่อน...คำเล่าลือถึงโบสถ์ที่แขวนกระดิ่งไว้ทั่ว ถ้างั้นเขาก็มากันคนละทางกับทางไปบ้านโฟเนติก ไกลโขอยู่ เดินมาได้ไงหว่าเรา?
“ฟีเซล รับรองแขกของเราดีเหรอเปล่าจ้ะ?”
กริ๊ง....กริ๊ง กริ๊ง
เสียงกระดิ่งดังระรัวบอกให้รู้ว่ามีใครกำลังจับเชือกแขวนกระดิ่งนั่น เอเรียสมองตามร่างที่กำลังเดินมาพร้อมกับเด็กอีกกลุ่ม
ภาพนั้นทำให้ใจเขาแกว่งไกวหวั่นไหว
ใบหน้าสวยขาวผ่องล้อมกรอบด้วยเรือนผมสีน้ำตาลอ่อน ประดับไพลินสีน้ำเงินเข้มอันเป็นดวงตาของเธอ ริมฝีปากอมสีชมพูเลือดฝาดแย้มยิ้มเล็กน้อยส่งให้ ผิวพรรณเนียนน่าสัมผัส ราวกับพระเจ้าบรรจงปั้นมาทีละเล็กละน้อย
หากความสวยเป็นเพียงเสี้ยวหนึ่งที่ทำให้เขามองเธอตาค้าง คำพูดมันติดอยู่ตรงคอ อะไรบางอย่าง.... อะไรบางอย่างในใจกำลังตะโกนบอกเขาด้วยเสียงหัวใจเต้นแรง เสียงที่ฟังไม่ได้ศัพท์..
บาดแผลตรงตาซ้ายร้อนขึ้น สติเริ่มดับๆติดไม่คงที่ ภาพเธอคนนั้น ซ้อนทับกับใครบางคน ราวกับอยู่ ณ กึ่งกลางระหว่างความเป็นจริง กับ ความฝัน
ผู้หญิงอีกคนที่มีเรือนผมสีทองอ่อนรวงข้าว หากแต่ใบหน้าและสีตาเป็นสีเดียวกัน
ฟีเซลมองอาการคล้ายกำลังทรมานของเอเรียสอย่างชักระแวง ยกมือห้ามเมไซอาให้ถอยห่าง เมไซอาส่ายหน้าเชิงบอกไม่เป็นไร ก่อนจะหยุดยืนตรงข้ามเขา ยกมือสัมผัสเส้นผมสีดำเบาบาง แค่นั้นก็ทำให้คนถูกสัมผัสสะดุ้งโหยง
“เอเรียสสินะคะ”เธอกล่าวพลางแย้มยิ้ม ดวงตาสีแดงก่ำเบิ่งโพลงด้วยความตกใจ
“เธอ...รู้จักฉันเหรอ!?”เอเรียสถาม ลุกพวดขึ้นมาเขย่าร่างบางตรงหน้า ก่อนจะถูกเด็กหนุ่มคนเดิมที่ลุกตามแทบทันทีสะบัดมือหนาออกจากไหล่มน
“แกจะทำอะไรน่ะหา!!”ฟีเซลรั้งร่างเมไซอาไปไว้หลังเธอ ตั้งท่ากำหมัดเตรียมซัดไอ้โรคจิตบ้ากามคนนั้น
“ฉันแค่อยากถาม ว่าเธอรู้จักฉันมั้ย?”เอเรียสถามอีกครั้ง ทุกคนยืนนิ่งเงียบ รอเพียงคำตอบจากเมไซอา
“เอ่อ..ขอโทษด้วยนะคะ..ฉันไม่รู้จักคุณ แค่ได้ยินชื่อคุณจากพวกเด็กๆที่มาแอบฟัง”เธอค่อนข้างกระอักกระอ่วมใจ ตอนตอบคำถาม
“เธอ...มีฝาแฝดหรือเปล่า?”เขาถามต่อ ไม่ยอมลดละ แต่น้ำเสียงชักอ่อนแรง เธอส่ายหน้าเป็นคำตอบ
เอเรียสรู้สึกเหมือนเจอแสงสว่างในความมืด แล้วแสงนั่นก็ถูกลมพัดมอดไปทันที...หรือภาพเธอคนนั้นจะไม่ใช่เศษเสี้ยวอดีตของเขา?
เขาลดมือลง ก้มหน้า ซ่อนดวงตาไว้หลังม่านผมสีดำ สาวเท้าเดินผ่านเด็กชายซึ่งทำตัวต่างบิดี้การ์ดโดยไม่พูดอะไรต่อ หยุดฝีเท้าเล็กน้อยข้างเมไซอา เงยหน้าเพื่อมองเธออีกครั้ง พบว่าเธอนั้นไม่ได้แม้แต่จะมองตอบ...ไม่ได้มองเขาเลยด้วยซ้ำ มันยิ่งเจ็บปวดใจเหลือประมาณ ไม่เข้าใจความรู้สึกอุ่นร้อนในอกตัวเองนี่เลยสักนิด เนื่องด้วยไม่เคยรู้สึกแบบนี้กับใครมาก่อน
ชายหนุ่มกระตุกยิ้มตรงมุมปาก หันกลับมาประจันกับฟีเซลด้วยดวงตาสีแดงน่ากลัว ให้คนมองเผลอสะดุ้งเล็กน้อย ยกมือตั้งท่าป้องกันโดยอัตโนมัติ
“ขอบคุณสำหรับข้าวต้มกับยาแก้ปวดนะ ข้าวต้มอร่อยมากเลย”เอเรียสยิ้มได้ราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น ทำเอาเด็กหนุ่มรู้สึกงงอย่างคนปรับตัวตามไม่ทัน “แล้วก็ต้องขอโทษด้วย...ที่เสียมารยาทกับคุณ”
ประโยคหลังเขาส่งให้เมไซอา ก่อนจะเดินผ่านกลุ่มเด็กๆ สู่ประตูทางออก เสียงกระดิ่งดังก้องกังวานไปทั่วยามต้องลมหนาว และค่อยๆเงียบสงบลง หลังประตูโบสถ์ถูกปิดไล่หลังแขกท่าทางแปลกประหลาดคนนั้น
“พี่คงทำให้เขาโกรธ”เมไซอาใช้มือคลำหาเก้าอี้ ฟีเซลจึงจูงมือเธอมานั่งลงใกล้ๆ
“พี่ไม่ผิดหรอกค่ะ ก็พี่ไม่รู้จักเขาจริงๆนี่” ฟีเซลหมุนตัวเพื่อจะหันหน้าเข้าหาเมไซอา เสียงกริ๊งที่ไม่ใช่เสียงกระดิ่งดังขึ้นข้างตัว และพบกับนาฬิกาพกเรือนหนึ่งตกอยู่ จึงหยิบขึ้นมาดู ฝาของมันเปิดอ้า เผยให้เห็นหน้าปัดนาฬิกาที่มีเข็มสั้นๆเพียงเข็มเดียวชี้ไปยังเลข 12 แค่นาฬิกาพังๆเรือนหนึ่ง...คงไม่ใช่ว่าเข็มอื่นมันกระเด็นหายไปตอนตกเมื่อกี้หรอกนะ?
“หรือจะเป็นของหมอนั่น?”ฟีเซลขมวดคิ้วพึมพำ
“อะไรจ้ะ?”เมไซอาถาม
“อ้อ นาฬิกาพกค่ะ สงสัยของหมอนั่นทำตกไว้”ฟีเซลว่า พลางลุกขึ้นยืน “เดี๋ยวหนูเอาไปคืนเขาเอง คงยังไปได้ไม่ไกล พี่ไม่ต้องห่วงนะ หนูลูกสาวผู้กำกับคนเก่งอยู่แล้ว”
‘เธอ’ปรามเมไซอาเสร็จสรรพ ค่อยแหวกเด็กๆที่ห้อมล้อมตามคนที่เพิ่งออกไปเมื่อครู่
พอถึงหน้ารั้วโบสถ์ เธอหันซ้ายแลขวาส่งสายตามองหน้าร่างสูงสีดำอันน่าจะเด่นชัดในทัศนียภาพขาวโพลน แต่กลับไม่เห็นแม้แต่เงา เธอขาดการณ์ผิด ลืมนึกไปว่าช่วงก้าวขาของผู้ชายมันยาวกว่าของผู้หญิง
“ถ้านึกได้... คงกลับมาเอาเองมั้ง”
+ + + +
โฟเนติกยืนค้างตรงทางเข้าห้องในท่าคาบแปรงสีฟัน กวาดสายตามองผู้มาเยือนหัวจรดเท้า ซึ่งตามตัวมีแต่หิมะ เกือบนึกว่าสโนว์แมนเอาของขวัญคริสต์มาสมาให้ ดูดีๆกลับกลายเป็นเด็กในปกครองนั่นเอง
“หายหัวไปหนึ่งคืน นึกว่าเป็นไข้เดี้ยงไปแล้ว”โฟเนติกพูด เดินนำเข้าห้อง คว้าผ้าเช็ดตัวปาใส่หน้าเอเรียส “เช็ดตัวซะ เดี๋ยวได้โดนป้าแม่บ้านด่าอานหรอก”
เด็กหนุ่มรับไว้ทัน แล้วใช้มันเช็ดตัว สูดน้ำมูกด้วยสีหน้าเรียบเฉย
“แต่นายไม่ยักตามหาฉัน”เอเรียสพูดเหมือนตัดพ้อ
“ใครว่าไม่หา”โฟเนติกพูดพร้อมยกนิ้วชี้ขอบตาคล้ำของตัวเอง “เพิ่งกลับมาอาบน้ำ จะออกไปหาอีกรอบอยู่เนี่ย”
“คร้าบๆ ก็ผมมันตัวช่วยนี่เนอะ”เด็กหนุ่มยังทำทีกระแนะกระแหนไม่เลิก
“เออ จริงของแก”คนโตกว่าชักหมั่นไส้ เลยพูดออกไปแบบไม่รักษาน้ำใจ เอเรียสยักไหล่ไม่แคร์
ทั้งหมดตกอยู่ในความเงียบยาวนาน สักพักเสียงสะอื้นที่พยายามเก็บจึงค่อยหลุดแพร่งพรายเบาๆ มันดังขึ้นเรื่อยๆกลายเป็นเสียงหัวเราะตลกโบกฮาไม่สิ้นสุดของคนทั้งคู่
“ให้ฉันเดานะ”โฟเนติกทำทีนั่งคิด “แกคงน็อคแถวไหนสักแห่งมาล่ะสิ”
เอเรียสไม่ตอบ นึกในใจเพียงสาบานกับตนเอง เขาไม่มีวันให้โฟเนติกรู้เป็นอันขาด
“แล้ว....เจอมั้ย?”โฟเนติกถาม มือที่กำลังเช็ดตัวชะงักทันที
“เจอ ..”เอเรียสกล่าวสั้น ปล่อยผ้าเช็ดตัวไว้บนหัว เดินไปทิ้งตัวลงบนโซฟาแล้วเปิดโทรทัศน์ดู
“เจอนี่เจอญาติหรืออะไรทำนองนี้เหรอวะ?” โฟเนติกกระโดดเข้ามาซักต่อ
“เปล่า เขาบอกว่าไม่รู้จักฉัน...ไม่มองหน้าฉันด้วยซ้ำ หรือไม่ เขาก็แค่เหมือนผู้หญิงในความทรงจำของฉัน”เอเรียสยักไหล่ ทำเหมือนไม่ใส่ใจ กลับหวนนึกถึงเธอคนนั้น หัวใจมันเต้นโครมครามร้อนรุ่มในอก พร้อมกับความรู้สึกเจ็บแปลบลึกๆ
โฟเนติกมองอาการซึมของน้องชายบุญธรรมแล้วฉงน มันไม่เคยทำท่าผิดหวังมากเท่าวันนี้
“นาย...เคยมองผู้หญิงแล้วใจเต้นแรงมั้ย?”คำถามนั่นทำให้โฟเนติกแทบสะดุดขาตัวเองตอนเดินไปบ้วนปาก
“หา? หา?!! ว่าไงนะ”
เอเรียสเสมองทางอื่น ไม่ต้องการพูดซ้ำสิ่งที่พูดไปแล้ว
“เอเรียส หรือว่านาย!!”โฟเนติกพูดได้แค่นั้น ไม่รู้จะพูดอะไรต่อ มันน่าตกใจสุดจะบรรยายจริงๆ!
ไม่ใช่....ไม่แน่ใจ ไม่รู้...คำ สาม คำในหัวดังขึ้นพร้อมกัน เจ้าตัวผละหายเข้าห้องไปนอนก่อนโดยไม่ยอมปริปากพูดอะไรอีก ปล่อยให้ผู้ใหญ่นั่งตาค้างคนเดียว
หลังจัดการอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้ากับผ้าพันแผล เอเรียสล้มตัวลงนอนบนเตียง ซุกตัวกับผ้านวมหนานุ่มอุ่นสบาย เพียงหลับตา ภาพเธอคนนั้นก็ปรากฏขึ้น....ไม่ใช่ความฝัน...แต่เป็นมโนภาพจากความห่วงหาอาทร
แค่เห็นเธอ...หัวใจมันเต้นแรง
แค่มองเธอ...มันเจ็บปวดข้างในใจ
แค่สบตา...น้ำตามันอยากจะไหลออกมา
ยิ่งเธอไม่แล...
แม้รู้ว่า เกิดเป็นชาย ไม่ควรเสียน้ำตาง่ายๆก็ตาม
น้ำตาหนึ่งหยดกลับ ...ไหลล่วงจากดวงตาสีแดงมาตามแก้ม ตกสู่ฝ่ามือหนา เป็นประกายเหมือนดังหิมะ ซึ่งเริ่มโปรยปรายลงมาอีกครั้ง
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น