คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #4 : ผู้หลบหนีแห่งชรานเดรีย
สงครามละหว่างเผ่าพันธุ์อัลคาเดวิลกับพวกสีเหลืองมีมาแต่ช้านาน ตั้งแต่อัลคาเดวิลตั้งตัวได้จากการจู่โจมครั้งแรกของพวกมัน พวกเขาก็ทำสงครามกันมาตลอดห้าพันปี การสงครามทำให้อัลคาเดวิลต้องแตกแยกกันออกไปเป็นกลุ่มย่อยหลายกลุ่ม จนกลายเป็นหลายเผ่าในที่สุด
ว่ากันว่าในแต่ละเผ่านั้นจะมีการจัดการกับสงครามคนละแบบต่างกันไป แต่ก็มีอัลคาเดวิลบางกลุ่มที่ยอมนอบน้อมแก่พวกสีเหลือง พวกนั้นเรียกตัวเองว่า
S-T-E-L B-A-O-Z จากการนำของอัลคาเดวิลลึกลับทั้งเจ็ดแล้ว ยิ่งทำให้พวกนั้นแข็งแกร่ง การขุดเจาะแผ่งดินของสีเหลืองเพื่อค้นหาวัสถุลึกลับใต้ดิน มันอาจเป็นอะไรที่ร้ายแรง พวกเราอัลคาเดวิลเองคงต้องทำอะไรสักอย่าง ตอนนี้สิ่งที่อาจจะทำได้คงต้องหวังพึ่งอัลคาเดวิลรุ่นหลังช่วยปกป้องดาวดวงนี้ไว้ให้ได้
ชาจ เอ็กช์คาริบาส
"จดหมายฉับบนี้ มีได้อย่างไรกัน"
อัลคาเดวิลหนุ่มพึมพำอยู่คนเดียวในห้องหนังสืออันกว่างขวาง ก่อนที่จะเก็บจดหมายของ ชาจ เอ็กช์คาริบาส ใส่กระเป๋าสพายสีน้าตาลที่แขวนอยู่ที่บ่า จากนั้นเขาก็วื่งลงบันไดที่อยู่ด้ายซ้ายของห้อง ท่าทางเขารีบร้อนดูราวกับถูกน้ำร้อนลวก
เมื่อลงถึงชั้นล่าง เขาก็วิ่งผ่านสนามหญ้าด้านซ้าย เวลานี้เป็นเวลากลางคืนที่ทุกคนนอนหลับหมดแล้ว แต่ก็ยังมีอัลคาเดวิลทหารเฝ้าประตูปราศาจอยู่ตลอดเวลา อัลคาเดวิลหนุ่ม นาม เพนทีส โอคาริน ไม่อยากให้ใครก็ตามรู้ว่าเขาจะหนีออกจากปราศาจแห่งนี้
เพนทีส ที่ยีนอยู่ริมสนามหญ้าอีกฟากของห้องหนังสือกำลังหาทางหนีออกจากที่นี่ เหนทีสตัดสินใจที่จะจู่โจมทหารที่ยืนเผ่าประตู เขายกมือทำท่าทางตั้งท่าถือดาบสั้น เพียงเสี้ยววินานที ในมือที่ว่างเปล่าของเขาก็มือาวุธบางอย่างค่อยๆปรากฏขึ้นในมือเขา มันมีรูปร่างเป็นดินสอยาวห้าสิบเซนติเมตร เพนทิส มีความคล่องแคร่วว่องไวสูง เขาใช้เท้าถีบพื้นดันให้ตนเองลอยไปด้านหน้าอย่างรวดเร็ว ตัวเขาใกล้ทหารมากขึ้น พอได้ระยะเขาก็ขว้างดินสอยักษ์ทั้งสองด้ามเข้าใส่ทหารยามทั้งสองอย่างแรง
ดินสอสองด้ามนั้นกระแทกใส่หมวกเหล็กดังบ๊อง แรงกระแทกแรงพอที่จะทำให้พวกทหารยามสลบได้ ทหารยามล้มลงดั่งหุ่นที่ไร้คนเชิด ในเมื่อทหารยามทั้งสองสลบลง เพนทีสจึงไม่รอช้ารีบวิ่งผ่านประตูไปอย่างเงียบๆ
เมื่อเขาออกมาได้แล้ว เขาก็วิ่งลงบันไดร้อยขั้นที่อยู่หน้าปราสาท เขารู้สึกได้ถึงสายลมเย็นเฉียบที่กระทบผิวหนัง ด้านหน้าเป็นตัวเมืองชรานเดรีย เป็นเมืองที่ค่อนข้างใหญ่ บ้านเรือนส่วนใหญ่มีลักษณะรูปทรงหกเหลี่ยม และ หลังคาสีแดงสด
เมืองที่ห่างไกลสงคราม ที่อาจเผื่อไว้ชะมากกว่า แต่การป้องกันก็ไม่ได้ด้อยอะไร มีทั้งป้อมและกำแพง ชาวเมืองผู้ชายที่อยู่อย่างไม่มีสงครามก็ต้องถูกสงไปเป็นอัศวินที่เชฟานอยู่ดี
เพนทิสเดินไปเรื่อยๆตามทางถนน จนถึงทางออกเมือง ซึ่งมียามอย่างแน่นอน มากชะด้วย เพนทิสจำเป็นจะต้องปลอมตัวเพื่อปิดบังไม่ให้ใครรู้ว่าเขาคือเจ้าชายแห่งชรานเดรีย เขาชูมือขึ้นฟ้าขึ้นสองข้าง แล้วมีแสงสีฟ้าอ่อนสว่างขึ้นที่มือ จากนั้นเขาก็นำมันมะแตะที่ตัวเขา และแล้วเสื่อผ้าที่เขาใส่อยู่ก็เปลี่ยนไป
เนื้อผ้าที่ดูดีค่อยๆลดลงกลายเป็นเนื้อผ้าที่ไม่มีราคาธรรมดาทั่วไปใช้ เสิ้อสีแขนยาวสีเขียวอมฟ้าโทนสีครึมๆ สวมทับด้วยเสื้อแขนกุดไม่ติดกระดุมสีแดง กางเกงของเขาก็เปลี่ยนเป็นกางเกงขาบานสีฟ้าเข้มยาวถึงหัวเข่า เขาไส่หมวกแก็ปที่มีดินสออยู่บนยอด ไส่ถุงมือและถุงเท้าสีเทา แล้วรองเท้าก็เป็นสีน้ำตาล
ดูไปดูมา เพนทิสชักไม่แน่ใจว่าแต่งแบบนี้จะสะดุดตาร฿เปล่า แต่อันที่จริงแล้วมันไม่จำเป็นสักนิดกับการที่จะหนี เพนทิสคิดดูอีกที อยู่หลายตลบ จนคิดได้ว่า เขาควรจะออกไปได้ ลุยมันไปเลย
แล้วเขาก็วิ่งไปตามทางถนน จนไปเกือบถึงประตูเมืองเขากลับย่องไปชะเฉยๆ เมื่อเขาเห็นทหารยามคนหนึ่งที่ป้อมซ้ายของประตูกำลังเผลอหลับอยู่ เขาก็ค่อยๆ ย่อง......ย่อง......ย่องไปที่ป้อมทางขวาอย่างระวังและรักษาระห่าง จนไปถึงทางขวาที่เป็นกำแพง
.กำแพง. เพนทิสนึกในใจ
“เจ้าโง่เอ้ย...ทำไมไม่ปืนกำแพงไปก็สิ้นเรื่องแล้ว” เพนทิสเผลอหลุดปากด่าตนเองชะอย่างดัง ทหารทางป้อมขวาได้ยินเขาไปเต็มๆ จึงรีบเรียกทหารยามอีกคนไห้”ตื่นและดูไว้”
ทหารยามป้อมขวาไม่รอช้ารีบโดดจากป้อมลงไปด้านนอกกำแพงทันที ทหารยามเห็นเพนทิสกระโดดลงจากกำแพงและวิ่งไม่อย่างเร็ว
“เฮ้.......เดี๋ยวสิเจ้าหนุ่ม” ทหารบอกกับเพนทิส
แต่เพนทิสก็ไม่สนใจ แน่นอนอยู่แล้ว ก็เขาหนีพ้นแล้วนี่นา
ความคิดเห็น