คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : บทที่ 1 Fashionista
อากาศเย็นชื้นยามเช้าทำให้ร่างกายปวดเกร็งเล็กน้อย แต่ถึงกระนั้นเพื่องานพิเศษแลกเงินเพียงเล็กน้อยแล้วเขายอมสวมเสื้อผ้าหนาๆ ใช้กำลังขาทั้งหมดในการปั่นจักรยานส่งหนังสือพิมพ์ตามบ้านเพื่อให้ร่างกายอบอุ่น เด็กหนุ่มส่งหนังสือพิมพ์แม้จะรู้สึกหนาวแต่ก็ยังคงทำหน้าที่ได้เป็นอย่างดี แต่มีเพียงบ้านหลังเดียวเท่านั้นที่ต่อให้เขาทำงานนี้มากกว่าหนึ่งเดือนเขาก็ยังคงทำใจให้ชินไม่ได้เสียที
การปั่นจักรยานไปตามแนวรั้วหินสูงยาวล้อมอาณาเขตบ้านห่างจากบ้านหลังอื่นๆ สร้างความหวาดหวั่นให้กับเด็กหนุ่มไม่ยากนัก บรรยากาศโดยรอบเหมือนกับเย็นลงเฉียบพลัน เขามองรอบตัวอย่างหวาดระแวงแม้จะรู้อยู่แก่ใจว่าไม่มีใครอยู่ในรัศมีสายตาของเขาเลยก็ตาม แต่ด้วยความเงียบและเสียงหมู่ไม้เสียดสีสั่นไหวเพียงแค่นั้นก็เรียกให้ประสาททั่วทั้งร่างตื่นตัว จนกระทั่งเขาปั่นจักรยานมาถึงหน้ารั้วบ้านที่ต้องส่งหนังสือพิมพ์ มือผอมแห้งขาวซีดเพราะอากาศรีบล้วงเข้าไปในกระเป๋าย่ามด้านหลังเพื่อหยิบหนังสือพิมพ์โยนเข้าไปแล้วรีบออกจากพื้นที่นี้โดยด่วน จังหวะที่เขากำลังจะหันไปเงื้อหนังสือพิมพ์ขึ้นปา ร่างของชายวัยกลางคนผอมแห้งใสชุดสูทหางแมลงสาบแบบพ่อบ้านยุคกลางก็ปรากฏขึ้นอยู่อีกฝั่งหนึ่งของรั้ว รอยยิ้มที่ดูเป็นมิตรนั้นไม่ได้ช่วยให้เด็กหนุ่มใจชื้นขึ้นแม้แต่น้อยเมื่อเขาแทบไม่รู้สึกตัวเลยว่าคนคนนี้มายืนส่งยิ้มให้เขาตั้งแต่เมื่อไหร่
“มาส่งหนังสือพิมพ์สินะขอรับ ขอบคุณที่ช่วย...”
“วะ...ว้ากกกกกก !!!!!” เด็กหนุ่มแหกปากร้องลั่นแล้วหันกลับไปปั่นจักรยานด้วยกำลังขาทั้งหมดทันทีโดยไม่สนว่าหนังสือพิมพ์ที่ว่านั้นจะส่งถึงมือผู้รับหรือไม่ พ่อบ้านร่างผอมยืนมองส่งด้วยรอยยิ้มครู่หนึ่งก่อนจะก้มตัวลงหยิบหนังสือพิมพ์ที่ตกอยู่ใกล้กับรั้วเหล็ก เมื่อเขาเดินเข้าไปในคฤหาสน์ก็พบกับชายหนุ่มร่างสูงโปร่งในชุดเสื้อคลุมกำมะหยี่สีดำเรียบลื่นเดินลงบันไดยาวเอื่อยเฉื่อยเพราะความง่วงงุน ใบหน้าเรียวได้รูปล้อมกรอบด้วยเรือนผมสีดำสนิทยาวระต้นคอ สันจมูกโด่งรับกับดวงตาสีดำสนิทคู่คม ใบหน้าครึ่งล่างถูกฝ่ามือขาวซีดยกขึ้นเพื่อปิดปากหาว
“นี่เจ้าสร้างความหวาดหวั่นให้กับมนุษย์อีกแล้วหรือ...ซิลเวสเตอร์” น้ำเสียงแหบทุ้มเรียบเรื่อยอย่างคนไม่ตื่นดีดังขึ้นแผ่วเบา แต่สำหรับคฤหาสน์โล่งกว้างกลับสะท้อนเสียงนั้นให้ฟังชัดขึ้นได้ไม่ยากนัก พ่อบ้านวัยกลางคนนาม ซิลเวสเตอร์ โค้งกายลงก่อนเอ่ยตอบ
“กระผมเองก็ส่งยิ้มอย่างที่นายท่านเคยแนะนำไว้ แต่เหมือนว่าเด็กมนุษย์ผู้นั้นจะยังไม่ชินเสียที ตัวกระผมเองก็จนด้วยปัญญาจะหาทางแสดงความเป็นมิตรแล้วขอรับ” ผู้เป็นนายหยุดยืนมองอีกฝ่ายบนทางเดินพักบันไดราวกับคิดอะไรบางอย่างเงียบๆ ครู่หนึ่งเขาจึงพยักหน้ารับแล้วก้าวเดินลงบันไดต่อ
“หืม...สงสัยเจ้าคงต้องหัดพูดจาด้วยมุขตลกเสียหน่อยแล้วกระมัง” ว่าแล้วเขาก็เดินตรงไปนั่งที่โซฟาสีแดงเข้มหนานุ่มตัวใหญ่ก่อนเอนกายลงนอนในท่าที่สบายที่สุดโดยมีซิลเวสเตอร์เดินตามมาวางถาดพร้อมขวดไวน์แดงและแก้วไวน์ประกอบกับหนังสือพิมพ์ฉบับวันนี้วางไว้ข้างกัน
“หากนายท่านต้องการอะไรเพิ่มเติมเรียกกระผมได้ตลอดเวลานะขอรับ” เสียงรับคำงึมงำในลำคอของผู้เป็นนายเพียงพอแล้วสำหรับการรับรู้ของข้ารับใช้ ยังไม่ทันที่ซิลเวสเตอร์จะได้โค้งกายลงเพื่อลาไปทำหน้าที่อื่นต่อ เสียงกดกริ่งก็ดังขึ้นทั่วคฤหาสน์ เพื่อไม่ให้เป็นการรบกวนเวลานอนเขาจึงรีบออกไปรับแขกอีกครั้ง และเสียงหวีดร้องด้วยความตกใจก็ดังแว่วเข้ามาถึงในตัวคฤหาสน์
ไม่ทันไรก็ทำให้ตกใจเหมือนเดิมอีกแล้วนะซิลเวสเตอร์...
ความง่วงที่จู่โจมเข้ามาทำให้เจ้าตัวคร้านเกินกว่าจะลืมตาขึ้นมองข้ารับใช้คนสนิทของตน การนอนหลับบนโซฟาแม้จะไม่สบายตัวเท่าเตียงขนเป็ดขนาดคิงไซส์ในห้อง แต่ไหนๆ ก็ลุกขึ้นมาขนาดนี้แล้วเขาก็ขอนอนที่โซฟานี้เป็นการชั่วคราวไปก่อน จนกว่าจะไม่ไหวจริงๆ แล้วค่อยเคลื่อนตัวไปนอนที่ห้องก็ยังไม่สาย อีกอย่างในวันที่อากาศสลัวเย็นสบายแบบนี้เขาขอออกมานอนนอกห้องมืดทึบอุดอู้เป็นการเปลี่ยนบรรยากาศดีกว่า
ถึงแม้ว่าตอนสายจะอึดอัดเพราะไอแดดไปหน่อยก็เถอะ...
แล้วก็เป็นดังคาด เมื่อถึงเวลาคล้อยบ่ายแสงอาทิตย์จัดจ้าจากข้างนอกแม้จะส่องแสงลอดผ่านผ้าม่านผืนหนาเข้ามาไม่ได้ แต่ไอร้อนของแสงอาทิตย์ก็สร้างความอึดอัดให้กับผู้นิทราอยู่ดี เปลือกตาค่อยๆ เปิดออกแล้วกระพริบปริบ ถึงจะไม่ใช่เวลาที่ควรจะตื่นมาแต่การได้ยืดเส้นยืดสายบ้างแล้วค่อยนอนต่อก็คงจะดีไม่น้อย
“ตื่นแล้วหรือขอรับนายท่าน” คำทักของซิลเวสเตอร์เรียกความสนใจให้กับผู้เป็นนายต้องหันไปมอง พ่อบ้านวัยกลางคนผู้มีรอยยิ้มประดับอยู่บนใบหน้าตลอดเวลายกขวดไวน์เทของเหลวสีแดงเข้มใส่แก้ว เมื่อได้ปริมาณที่พอเหมาะแล้วเขาก็วางขวดลงและยืนรออยู่ด้านข้างราวกับรอรับคำสั่ง
“วันนี้มีเรื่องอะไรบ้างล่ะ ?” ชายหนุ่มยกแก้วไวน์ขึ้นละเลียดชิมรสหลังเอ่ยถามข้ารับใช้ของตน ซิลเวสเตอร์ค้อมกายลงก่อนยื่นซองพัสดุพลาสติกสีขาวขุ่นให้
“หลังจากหนังสือพิมพ์ยามเช้ามาส่ง ก็มีไปรษณีย์มาส่งสิ่งนี้ให้ขอรับนายท่าน”
ผู้ฟังพยักหน้ารับพลางพลิกหน้าซองพัสดุไปมา เพียงแค่นั้นเขาก็รู้แล้วว่าเป็นพัสดุของตนไม่ผิดแน่ เมื่อได้ดูที่มาของผู้ส่งเขาก็ทราบสิ่งที่อยู่ในซองพลาสติกนี้ได้ไม่ยาก แต่เมื่อเหลือบไปเห็นชื่อผู้รับที่หน้าซองแล้วเขาก็อดไม่ได้ที่ยกยิ้มขบขัน
ผู้รับ ‘ เซธ ทีปส์’...
“นี่...ซิลเวสเตอร์ เจ้าว่าชื่อผู้รับนี้มันฟังดูแปลกๆ หรือเปล่า หืม...?” คนถามเอื้อมมือไปหยิบมีดสั้นเรียวเล็กจากข้ารับใช้ข้างตัวเพื่อทำการกรีดซองหยิบของภายในออกมา ซิลเวสเตอร์แย้มยิ้มแล้วเอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงสบายๆ
“เซธ คือนามอันหมายถึง เทพแห่งความรักในอียิปต์ แม้กระผมจะรู้สึกขัดกับ ‘ทีปส์’ ไม่น้อย…แต่โดยรวมก็ถือว่าไม่ดูแปลกอะไรขอรับนายท่าน”
“ทีปส์ ข้าใช้เวลาคิดตั้งนานเลยนะ ช่วยเออออไปกับข้าคิดว่ามันเป็นชื่อที่ดีหน่อยสิ” เซธพูดกลั้วหัวเราะอย่างไม่ถือโทษขุ่นเคืองอะไรกับคำตอบตรงๆ แบบนั้น หน้าปกนิตยสารเล่มบางมีรูปของหญิงสาวในชุดผ้ารุ่ยร่ายทับซ้อนกันไปมาแนบผิวกายผอมบางคล้ายกับรูปวาดผนังพีระมิดในอียิปต์ การโพสท่าไขว้ขาวาดมือเพื่อแสดงความอ่อนช้อยนั้นช่วยให้เสื้อผ้าที่สวมใส่ราวกับมีชีวิต ดวงตาสีดำสนิทจ้องมองภาพบนหน้าปกราวกับซึมซับความงามจนอิ่มเอิบใจแล้วค่อยๆ พลิกหน้ากระดาษดูภาพสีข้างใน
“ข้าไม่เคยคิดเลยนะว่าเจ้ากล่องเหลี่ยมๆ พิลึกๆ นั่นเมื่อผ่านวิทยาการนับร้อยปีแล้วจะสร้างงานศิลปะที่สวยงามไม่แพ้จิตรกรสีน้ำมันคนโปรดของข้าได้เลยน่ะ” น้ำเสียงที่แสดงความพึงพอใจเมื่อได้ชมผลงานสวยๆ สร้างรอยยิ้มให้กับผู้ฟังเช่นกัน
“กระผมทราบมาว่ากล่องสี่เหลี่ยมนั้นถูกพัฒนาจนย่อขนาดลงเหลือเพียงแค่สองมือถือ แต่การสร้างผลงานที่งดงามมิได้มาจากตัวของมันเพียงอย่างเดียว สุดท้ายแล้วมนุษย์ผู้หยิบใช้เครื่องมือชิ้นนี้จำต้องมีรสนิยมความงามในแบบของตนเองที่จะถ่ายทอดออกมาด้วยขอรับ”
“จริงของเจ้านะ แต่ว่า...” เมื่อพลิกดูกระดาษแต่ละหน้าจนหมดเซธก็ปิดหน้านิตยสารแล้ววางมันลงบนโต๊ะก่อนหันไปจิบไวน์แดงเลิศรสตามเดิม “...อย่างไรก็ดี ข้ายังคงชอบสีน้ำมันมากที่สุด เพราะข้ารู้มาว่ากว่าจะได้เป็นภาพที่สวยงามเช่นนี้ต้องไปยืนตากแสงไฟร้อนๆ ในห้องที่ปรับอุณหภูมิเย็นๆ ดีไม่ดีก็ต้องออกไปกลางแจ้งเพื่อรับแสงอาทิตย์ธรรมชาติ อาห์...แค่คิดตามข้าก็รู้สึกได้กลิ่นเนื้อไหม้ของตัวเองแล้วล่ะ” พูดจบเซธก็ส่ายหน้าไปมา ซิลเวสเตอร์ที่ยืนมองอยู่นั้นหัวเราะในลำคอเบาๆ ก่อนยื่นขวดไวน์รินเครื่องดื่มเพิ่ม
“มื้อเย็นนายท่านจะรับเป็นสิ่งใดดีขอรับ หากท่านปรารถนา...”
“เหมือนเดิมนั่นล่ะดีแล้ว เจ้าจะให้ความพยายามตลอดสามร้อยปีที่ผ่านมาของข้าเสียเปล่าหรือไร...อีกอย่างรสชาติของไวน์แดงบ่มหลายร้อยปีชั้นดีแบบนี้ก็พอช่วยให้ข้าหายคอแห้งได้ไม่น้อยเหมือนกันนะ” เซธโบกมือปฏิเสธพร้อมกับยกยอสรรพคุณรสชาติที่ตนใฝ่หามานาน โดยปกติแล้วเขาไม่ใช่พวกนักชิมสุราตัวยงหรือหนุ่มคอแข็งคอทองแดงก็ตามที แต่ระยะเวลาที่ถูกสั่งสมประสบการณ์ความอดทนนั้นก็ถือว่าไม่น้อยเลย สายเลือดเข้มข้นแห่งเผ่าพันธุ์ชนชั้นสูงในกายช่วยให้สภาวะกระหายเลือดนั้นไม่แสดงออกอย่างโจ่งแจ้งเมื่อได้รับเครื่องดื่มหรืออาหารมีระดับ แต่สำหรับเหล่าอสูรกายที่ไม่เคยได้รับการฝึกฝนเช่นนี้ ย่อมทนไม่ได้ที่จะออกล่าเป็นแน่
และมันก็เป็นหน้าที่ของเขาที่ต้องควบคุมความประพฤติหรือกำจัดอสูรร้ายเหล่านี้...
เป็นเวลากว่าสามร้อยปีที่เขาทิ้งนามเดิมแห่งเผ่าพันธุ์เพื่อออกมาใช้ชีวิตแสนสงบในหมู่เกาะอังกฤษ จากที่แรกๆ ถูกก่อกวนจากเหล่าอสูรร้ายทำให้เมืองที่ควรสงบ ไม่สงบอย่างที่คิดจนเขาต้องออกมาลงมือเอง บัดนี้เมืองทั้งเมืองก็กลับเข้าสู่สภาพปกติ ความเป็นอยู่แบบนั่งๆ นอนๆ ทำงานอดิเรกไปวันๆ สร้างความเบื่อหน่ายให้กับเซธไม่น้อย แต่เพื่อไม่ต้องทนกับกลิ่นเนื้อไหม้ยามออกไปเดินเล่นด้านนอกแล้วเขายอมเก็บตัวนั่งเดิมพันตัวเลขเด้งขึ้นเด้งลงดีกว่า
แต่ไม่รู้ทำไมกับแค่วางเงินให้กับตัวเลขเหล่านั้นกลับสร้างเม็ดเงินตอบแทนให้อย่างมหาศาล...
เซธนั่งคิดหาเหตุผลไปเรื่อยเปื่อยขณะที่เปิดแผ่นพับเหล็กสีเหลี่ยมมองหน้าจอที่ฉายแสงสว่างวาบออกมาจนเขาต้องหรี่ตาลง มือใหญ่เอื้อมไปคว้าแว่นกันแดดมาสวมเพื่อกันรังสีสาดสะท้อนเข้าดวงตาเขาจนแสบพร่า ตัวเลขที่ผันแปรไปตามกาลเวลาไม่ถึงนาทีสามารถพลิกวิกฤติให้เป็นโอกาสหรือสร้างหายนะคว่ำเรือสำเภาได้ไม่ยาก หลังจากตั้งสมาธิจับจ้องไปยังตัวเลขเหล่านั้นอยู่นานเซธก็กดแลกเปลี่ยนเงินตรากับตัวเลขจำนวนหนึ่งก่อนจะวางเจ้าแผ่นพับเหล็กนั้นไว้กับโต๊ะ แล้วเดินเล่นรอบคฤหาสน์ของตัวเองแทน
คฤหาสน์หลังใหญ่สไตล์ยุโรปยุคกลางประดับด้วยภาพวาดสีน้ำมันหรือรูปปั้นตามระเบียงทางเดิน การได้เดินชมงานศิลปะที่ตัวเองเลือกสรรมาเป็นความอภิรมย์อย่างหนึ่งของเซธ เพราะช่วงเวลาที่เป็นอยู่นั้นช่างยาวนาน คนที่ชื่นชอบงานศิลปะเป็นทุนเดิมอย่างเขาย่อมถือว่าเป็นเรื่องดีที่ได้มองเห็นงานศิลปะหลากหลายรูปแบบจากศิลปินมากหน้าหลายตาสร้างสรรค์ขึ้น เรียกได้ว่าการใช้ชีวิตอยู่นับร้อยๆ ปีเป็นกำไรอย่างหนึ่งที่น้อยคนนักจะทำได้อย่างเขา
หลังจากที่เดินชมรอบคฤหาสน์จนเป็นที่พอใจแล้วเขาก็เดินไปหยิบหนังสือรายเดือนหรือที่มนุษย์เรียกกันว่า นิตยสาร ออกมาดู เขายอมรับเลยว่ามนุษย์มีความสามารถในการรวบรวมข่าวสารได้อย่างน่าอัศจรรย์ใจ พวกเขาสามารถใช้เวลาได้ไม่ถึงเดือนในการทำข้อมูลต่างๆ แล้วรวบรวมตีพิมพ์ออกมาเป็นเล่มได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการสร้างสรรค์งานด้านเสื้อผ้าเครื่องแต่งกายที่เรียกกันว่า แฟชั่น สร้างความสนใจให้กับเซธได้ไม่น้อยทีเดียว และเมื่อยิ่งสนใจมากๆ เข้าพักหลังนี้เขาก็เริ่มกลับมาย้อนคิดกับตัวเองว่า เครื่องแต่งกายของเขาล้าสมัยไปเสียแล้วหรือเปล่า...
“ซิลเวสเตอร์...ข้าขอถามอะไรเจ้าหน่อยสิ” เซธเอ่ยขึ้นเมื่อเดินมานั่งที่เก้าอี้สูงหัวโต๊ะทานข้าวยาวแบบยี่สิบคนนั่ง ซิลเวสเตอร์ที่กำลังเสิร์ฟออเดิร์ฟมื้อเย็นหยุดมือแล้วค้อมกายลงรอรับคำถาม
“หากท่านประสงค์สิ่งใดเชิญถามจนกว่าจะเป็นที่พึงพอใจได้เลยขอรับ”
“เจ้าคิดว่าการแต่งกายของข้าเป็นอย่างไรหรือ ?”
สิ้นคำถามซิลเวสเตอร์ถึงกับใช้เวลานานในการครุ่นคิดหาคำตอบ ดวงตาสีเทาซีดหลุบมองเครื่องแต่งกายของผู้เป็นนาย หากเทียบด้วยยุคสมัยที่ผู้เป็นนายของเขาได้ใช้ชีวิต การแต่งกายด้วยเสื้อผ้ามีระบายตัวหลวมด้วยเนื้อผ้าบางเบาโปร่งสบาย กับกางเกงขายาวเข้ารูป นิ้วมือประดับด้วยวงแหวนสีทองฝังพลอยหรืออัญมณีหลากหลายสูงค่า เช่นเดียวกับใบหูข้างซ้ายที่ถูกเจาะเพื่อติดต่างหูสีทองฉลุลายห้อยระย้าเกือบระบ่า โดยรวมแล้วถือว่าสมบูรณ์แบบสำหรับชนชั้นขุนนาง แต่ถ้าหากเทียบกับยุคสมัยนี้ที่เขาได้ออกไปเดินดูผู้คนสัญจรไปมาตามท้องถนนแล้ว...
“เป็นการแต่งกายที่ฟุ้งเฟ้อและล้าหลังไม่น้อยเลยขอรับ”
เห็นทีเขาคงต้องนำเม็ดเงินมากมายเหล่านั้นมาละลายดูเสียบ้าง...
“เอาล่ะ ! วันนี้พอแค่นี้ ขอบคุณมากทุกคน !” เสียงที่ดังก้องมาพร้อมกับเสียงปรบมือส่งสัญญาณในห้องสตูดิโอถ่ายภาพมืดๆ ที่ถูกคุมแสงไว้ในระดับพอเหมาะไม่รบกวนกับแสงไฟ แฟลช ฉากหลังและนางแบบนายแบบทั้งหลายที่เดินไปเปลี่ยนชุดพลางส่งยิ้มให้กับผู้คนเบื้องหลัง ชายหนุ่มร่างสูงในชุดเสื้อเชิ้ตพับแขนสามส่วน กางเกงยีนส์เข้ารูปกับรองเท้าหนังสีน้ำตาลเข้ม เส้นผมสีน้ำตาลทองตัดสั้นถูกเสยไปด้านหลังเซ็ตทรงอย่างดีเพื่อไม่ให้ผมหน้าระดวงตารบกวนการทำงาน ดวงตาสีบลูสกายหลุบลงมองจอมอนิเตอร์กล้องของตนพลางเลือกรูปที่ถ่ายด้วยรอยยิ้ม
“เอ้าๆ ไม่เก็บอาการหน่อยเลยนะ งานวันนี้ออกมาพอใจน่าดูเลยล่ะสิ” คำเอ่ยทักตามมาด้วยสัมผัสหนักๆ ตบเข้าที่ไหล่ทำให้ตากล้องหนุ่มอุทานเล็กน้อยก่อนพยักหน้ารับ
“มาแชลเป็นคนมีเสน่ห์อยู่แล้วน่ะครับ แต่งอะไรหรือถ่ายออกมาแบบไหนก็ใช้ได้อยู่แล้ว”
“ถึงนายจะมองว่าเธอเป็นคนมีเสน่ห์ขนาดไหนนะ แต่พออยู่หน้ากล้องนายทีไรที่ว่ามีเสน่ห์ๆ เป็นอันต้องประหม่าทุกทีไปสิน่า...อ้อ ! แต่หมายถึงกับคนอื่นนะ สำหรับคุณมาแชลคงเป็นกรณียกเว้นพิเศษ” ถ้อยคำแฝงนัยนั้นสร้างความงุนงงให้กับชายหนุ่มได้ไม่น้อย ยังไม่ทันที่จะได้ถามอะไรต่อ น้ำเสียงแผ่วหวานก็เอ่ยขัดขึ้นมาเสียก่อน
“ขอบคุณสำหรับรูปสวยๆ ในวันนี้นะคะ ลอเรนซ์” หญิงสาวรูปร่างอรชรในชุดเดรสผ้าไหมเรียบลื่นส่งยิ้มด้วยริมฝีปากอวบอิ่มและทอดมองด้วยสายตาหวานหยดเยิ้มสีน้ำผึ้ง ตากล้องหนุ่มเจ้าของผลงานพยักหน้าพลางยิ้มรับไมตรีจากอีกฝ่าย
“เช่นกันครับมาแชล” หลังจากรับคำชมเชยจากหญิงสาวพอหอมปากหอมคอแล้ว สาวเจ้าก็เป็นฝ่ายขอแยกตัวกลับก่อน คล้อยหลังได้ไม่ทันไรสหายข้างกายก็ตบไหล่เขาอีกรอบ
“โถๆ ก่อนจะไปไม่วายยังส่งสายตาหยาดเยิ้มให้นายอีกนะ ชื่นใจไหมล่ะ คุณตากล้องผู้มีเสน่ห์”
“ได้ยินนายเรียกแบบนี้แล้วผมขนลุกนะ” ชายหนุ่มแสร้งทำตัวยุกยิกสร้างเสียงหัวเราะให้กับคนแกล้งแซวทันที
“โอเคๆ วันนี้นายจะไปกินเลี้ยงกับหัวหน้ารึเปล่าลอเรนซ์”
“ไม่ล่ะ นายไปเถอะ พรุ่งนี้เป็นวันหยุดสุดสัปดาห์ด้วย ผมอยากถ่ายรูปสวยๆ ยามค่ำคืนเสียหน่อยน่ะ” ลอเรนซ์ส่ายหน้าปฏิเสธพลางถอดอุปกรณ์แฟลชและเลนส์ออกจากกล้องจัดใส่กระเป๋ากันกระแทกให้เรียบร้อย ในขณะที่คนชวนทำไหล่ตกสีหน้าร่าเริงเมื่อครู่ห่อเหี่ยวลงทันใด
“โธ่...ถ้านายไม่มาแบบนี้ นางแบบสาวๆ หน้าใหม่หวังแจ้งเกิดกับนายก็ไม่ไปน่ะสิ”
“ฝีมือนายก็ดีนะ บางทีถ้าผมไม่ไปยังจะเป็นการช่วยให้นายได้แจ้งเกิดในฐานะตากล้องกับนางแบบคู่ใจก็ได้ครับ” ลอเรนซ์กล่าวทั้งรอยยิ้มแล้วตบบ่าเพื่อนร่วมงานเป็นกำลังใจ
“เฮ่อ...ฉันก็หวังว่าจะมีวันนั้นบ้างล่ะนะ ตามใจนายแล้วกัน ไว้เจอกันล่ะลอเรนซ์” ชายหนุ่มโบกมือลาอีกฝ่ายที่วิ่งเหยาะๆ เข้าไปช่วยเก็บอุปกรณ์เตรียมตัวไปงานปาร์ตี้คืนนี้ ลอเรนซ์สะพายกระเป๋ากล้องเดินก้าวยาวๆ ออกจากตึกสำนักงาน อากาศช่วงหัวค่ำเย็นสบายต่างจากอากาศที่เต็มไปด้วยไอร้อนช่วงเที่ยงจนไม่อยากออกไปไหน เขาเดินไปตามทางเข้าสู่ย่านการค้าที่มีร้านอาหารตั้งโต๊ะบ้างแล้วประปราย การถ่ายรูปพักผ่อนหลังมื้ออาหารเป็นสิ่งที่ชายหนุ่มโปรดปรานไม่น้อย หลังจากจัดการมื้อเย็นเป็นที่เรียบร้อยแล้วเขาก็หยิบกล้องออกมาจากกระเป๋าคล้องคอก่อนจะเดินเอื่อยไปตามทางที่ปูพื้นด้วยแผ่นหินก้อนใหญ่
“คุณคะ ! ลืมของค่ะ !” เสียงเรียกของพนักงานร้านขายเสื้อผ้าดังขึ้นไม่ไกลนักเรียกสายตาของลอเรนซ์ให้หันไปมอง หญิงสาวในเครื่องแบบพนักงานร้านหันมองซ้ายขวาเลิ่กลั่กก่อนจะรีบวิ่งไปหาชายหนุ่มคนหนึ่งที่กำลังจะข้ามถนน เขาอดยิ้มขันกับท่าทางที่ใส่ใจในการบริการของหญิงสาวไม่ได้ แต่ทว่ารอยยิ้มนั้นกลับชะงักค้างเมื่อได้เห็นใบหน้าของลูกค้าผู้หลงลืมที่หันมาพยักหน้าขอบคุณรับถุงกระดาษจากหญิงสาว สีผิวที่จัดว่าขาวเกือบซีดตัดกับเส้นผมและดวงตาสีดำสนิท จมูกเป็นสันโด่งได้รูปรับกับดวงตา ประสานกับริมฝีปากนิ่งสนิทเดาอารมณ์ไม่ออก บุคคลิกโดยรวมเรียกได้ว่าเฉยชาแต่ด้วยบรรยากาศเฉพาะตัวบางอย่างกลับดึงดูดชายหนุ่มให้ละสายตาไปไม่ได้
“อ่ะ...เดี๋ยว ! เดี๋ยวก่อน !” เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายกำลังก้าวข้ามถนน ลอเรนซ์ก็ตะโกนเรียกด้วยความลืมตัว แต่เหมือนว่าอีกฝ่ายจะไม่ได้ยินหรือไม่สนใจด้วยสักเหตุผลหนึ่ง ทำให้เขาต้องรีบวิ่งตามอีกฝ่าย เขารู้สึกประหลาดใจเพราะตากล้องมีฝีมือเช่นเขามีแต่คนเสนอตัวที่จะให้เขาถ่ายภาพให้ เว้นแต่บุคคลตรงหน้านี้ที่เขายอมวิ่งไล่ตามเพื่อให้ได้ถ่ายภาพดีๆ สักภาพก็ยังดี
ท่ามกลางผู้คนที่เดินขวักไขว่ดวงตาสีบลูสกายจับจ้องไปยังเป้าหมายของตนไม่ละสายตา จนกระทั่งอีกฝ่ายเลี้ยวผ่านหัวโค้งถนนออกจากย่านพลุกพล่านได้ ลอเรนซ์ก็เร่งฝีเท้าเอื้อมมือคว้าต้นแขนของคนที่ไล่ตามไว้อย่างรวดเร็ว
“จะ...จับได้...”
ตึง !
“เจ้าเป็นใคร ? กล้าดีอย่างไรถึงแตะต้องตัวข้าโดยมิได้รับความเห็นชอบจากข้า” ลอเรนซ์ที่โดนฝ่ามือคว้าเข้าที่คอดันร่างกระแทกกำแพงในเพียงพริบตาถึงกับมึนงง ดวงตาสีดำสนิทค่อยๆ ส่องสว่างเป็นสีแดงขึ้นเล็กน้อยก่อนจะกลับเป็นสีดำเช่นเดิมสร้างความประหลาดใจให้กับชายหนุ่มไม่น้อย แต่เขากลับเลือกที่จะคิดไปว่าคงจะตาฝาดไปเองเพราะถูกกระแทกเมื่อครู่
“เอ่อ...ผมอาจจะเสียมารยาทไป ผมขอโทษ...ช่วยปล่อยผมก่อนได้หรือเปล่าครับ ?” ตากล้องหนุ่มคลี่ยิ้มหวังให้อีกฝ่ายผ่อนคลายลง ซึ่งแรงที่ผ่อนลงจนคลายออกสร้างความโล่งใจให้กับเขา ลอเรนซ์ยกมือขึ้นนวดลำคอของตัวเองพลางเหลือบมองพิจารณาท่าทางของอีกฝ่าย แม้ว่าคำพูดคำจาจะดูแปลกแปร่งไปบ้าง แต่ด้วยรูปลักษณ์และการแต่งกายแล้วถือว่าน่าสนใจ
“...ขอโทษที่ผมรีบร้อนจนทำให้คุณไม่พอใจนะครับ ผม ลอเรนซ์ ไลล์ ยินดีที่ได้รู้จักนะครับ” ว่าแล้วก็ยื่นมือให้พร้อมรอยยิ้มไมตรี แต่ทว่ามิตรภาพเหล่านั้นกลับถูกปฏิเสธด้วยความเงียบ
“เอ่อ...ถ้าคุณไม่พอใจจะให้ผมเลี้ยงน้ำชาก็ได้นะครับ”
ของแบบนั้นมันลวกลิ้น...น่าจะหัดใช้สมองก่อนผูกมิตรเสียบ้าง...
เซธมองหน้าอีกฝ่ายอย่างพิจารณาพลางคิดคำตอบโต้ในใจ ตอนแรกที่ถูกจับตัวไว้เขาตกใจไม่น้อยที่การออกมาเดินเล่นครั้งแรกในรอบสามร้อยปีเพื่อหาซื้อเสื้อผ้าใหม่ๆ จะถูกคนแปลกหน้าจ้องมอง วิ่งไล่ตาม จนมาถึงขั้นที่คว้าแขนเขาไว้แบบนี้ แต่การวางตัวให้เหนือกว่าได้ผลดีกับคนตรงหน้า เมื่อคำพูดแต่ละประโยคกำลังสรรหาของล่อเพื่อให้เขาอารมณ์ดีขึ้น
“เอาเถอะ แล้วเจ้ามีธุระอะไรกับข้า...ไม่สิ แล้วคุณมีธุระอะไรกับเรา” สำหรับเซธแล้วการเลือกคำแทนตัวในยุคสมัยนี้เป็นอะไรที่ยากพอสมควร เพราะคำแทนตัวนั้นจะแสดงถึงตัวตนและความนอบน้อมต่อคู่สนทนา แต่คนที่มียศระดับท่านเคาท์อย่างเขา ย่อมไม่มีทางเลือกคำแทนตัวที่แสดงความอ่อนน้อมอย่างคำว่า ‘ผม’ แน่นอน
“ขอบคุณที่ช่วยรับฟังนะครับ คือว่าผมจะขอรบกวนเวลาพักผ่อนของคุณสักนิด ช่วยเป็นนายแบบถ่ายรูปให้ผมสักรูปได้ไหมครับ ?” คำขอร้องที่มาพร้อมกับรอยยิ้มสดใสเปี่ยมด้วยไมตรีจิตอย่างไม่มีอะไรแอบแฝง สร้างความพึงพอใจให้กับเซธ แต่ทว่าสิ่งที่อีกฝ่ายร้องขอกับเรื่องที่เขาชมชอบท่าทีการแสดงออกนั้นเป็นคนละเรื่องกัน...
“ไม่มีทาง”
“โธ่...ผมขอแค่รูปเดียวตรงนี้เองนะครับ ผมจะไม่เรียกร้องอะไรเลย ขอแค่ให้ผมได้ถ่ายภาพคุณเก็บไว้เป็นผลงานเถอะครับ ขอร้องล่ะ” เพราะเพิ่งเคยโดนปฏิเสธแบบเต็มปากเต็มคำแบบนี้ลอเรนซ์จึงอดไม่ได้ที่จะใช้นิสัยลูกอ้อนส่วนตัวที่น้อยคนนักจะได้เห็นนอกจากคนในครอบครัว อากัปกริยาที่ไม่คุ้นเคยนั้นทำให้เซธประหลาดใจ จะเรียกว่าขอร้องก็ไม่ใช่ จะว่าอ้อนวอนก็ไม่เชิง เขาเคยชินกับการร่ำร้องอ้อนวอนขอชีวิต ทว่าบุคคลตรงหน้านี้ไม่ได้กำลังร้องขอชีวิต แล้วทำไมเขาถึงรู้สึกว่าหากกล่าวปฏิเสธเช่นเดิมอีกฝ่ายคงจะน่าสงสารไม่น้อย
สงสาร...เป็นความรู้สึกที่ไม่คุ้นเสียเลย
“แต่เราไม่มีเหตุจำเป็นใดๆ ที่จะช่วยเหลือคุณนี่...” แม้กระนั้นเซธก็ยังคงยืนกรานคำปฏิเสธต่อไป เขาชื่นชอบงานศิลปะ แต่ในขณะเดียวกันเขาก็ไม่ได้ชอบที่จะไปเป็นงานศิลปะให้คนอื่นๆ เชยชมเท่าไหร่ เพื่อเป็นการตัดบทสนทนาเซธเลือกที่จะหมุนตัวเดินจากไปโดยไม่ต้องเอ่ยคำลาใดๆ ก่อน แต่ทว่าการตัดสินใจที่เต็มไปด้วยช่องว่างนั้นเป็นสิ่งที่ผิด
แชะ !
ลอเรนซ์ฉวยโอกาสกดชัตเตอร์กล้องอย่างรวดเร็ว ก่อนจะเบิกตากว้างตะลึงกับภาพที่ปรากฏบนจอมอนิเตอร์ เสี้ยวหน้าของชายหนุ่มเรือนผมสีดำยาวระต้นคอกับเนื้อผ้าชั้นดีสีดำสนิทเข้ารูป ผิวกายขาวจัดเกือบซีดยิ่งขับให้องค์ประกอบบนร่างเด่นชัดกว่าคนทั่วไป ดวงตาสีดำสนิทเฉยชาไม่แยแสต่อสิ่งใดนั้นกลับเป็นจุดดึงดูดอย่างหนึ่งที่น่าอัศจรรย์
การได้เป็นเจ้าของดวงตาเฉยชาให้จับจ้องมายังตัวเราคนเดียวนั้นจะทำให้รู้สึกดีขนาดไหนนะ...
“ผมว่า...คุณมาเป็นนายแบบประจำตัวของผมเถอะครับ”
ความคิดเห็น