ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [Role-Playing] Seus Allevia

    ลำดับตอนที่ #1 : [Role Test Carnivore] ประวัติ

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 100
      0
      18 ก.ย. 56

    Unprivacy Life.

                   จุดเริ่มต้นความเปลี่ยนแปลง...มันเริ่มจากที่นี่หรือเปล่านะ...

                    หวอ...หวอ...

                    เสียงไซเรนรถตำรวจดังแจ่มชัดท่ามกลางสติที่เลือนราง เงาผู้คนวูบไหวแทบจับสังเกตไม่ได้ว่าใครเป็นใครหรือมีอยู่เยอะเท่าไหร่ ทว่าสิ่งที่ชัดเจนที่สุดในความทรงจำคือแรงกอดรัดรอบตัวเคล้าด้วยเสียงหวนไห้ปานจะขาดใจ สัมผัสบางเบาจากเรือนผมและผิวกายอ่อนนุ่มที่คุ้นเคยราวกับฉุดสติส่วนหนึ่งขึ้นมาได้ มือเล็กสั่นไร้แรงยกขึ้นกอดตอบอีกฝ่ายช้าๆ

                    “...พี่...”

                    “ซะ...เซส ! ไม่เป็นไรแล้วนะ ! พี่ขอโทษ ! ถ้าพี่อยู่ด้วยล่ะก็...พี่...พี่...” น้ำเสียงแหลมเล็กแหบสั่นเอ่ยถ้อยคำต่างๆ อย่างร้อนรน ดวงหน้าเล็กเต็มไปด้วยคราบน้ำตา ดวงตากลมโตแดงช้ำจากการร้องไห้อย่างหนัก ทว่าเด็กชายที่อยู่ตรงหน้าไร้แรงเกินกว่าจะเอ่ยปลอบอีกฝ่ายได้จึงทำเพียงแค่ส่ายหน้าเบาๆ ไม่ถือโทษใดๆ ทั้งนั้น กลับกลายเป็นว่าการกระทำนั้นยิ่งทำให้เด็กหญิงร้องไห้หนักกว่าเดิม

                    “พี่ขอโทษ ! ฮือออ...”

                    “หยุดร้องได้แล้วลูก...เซสปลอดภัยแล้วนะ ยิ่งลูกร้องไห้เซสจะยิ่งตกใจนะ...” เสียงทุ้มอ่อนโยนดังขึ้นพร้อมกับโอบกอดเด็กชายและเด็กหญิงไว้ในอ้อมแขนเพื่อปลอบโยน ความวุ่นวายที่อยู่รอบกายเริ่มเบาบางลงพร้อมกับสติที่จางหาย...

                    ...คดีผู้ร้ายโรคจิตลักพาตัวเด็กผู้ชายได้สิ้นสุดลงแล้ว...

     

    +++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

     

                    “นี่ ! เซส ! พี่บอกกี่ครั้งแล้วว่าอย่าลืมข้าวกล่องน่ะ” หญิงสาวในชุดนักเรียนมัธยมปลายเอ่ยขึ้นหน้าประตูห้องเรียนของชั้นมัธยมต้น เด็กหนุ่มวัย 13 ปี หันมองตามเสียงเรียกก่อนจะลุกขึ้นจากที่นั่งเดินไปยังต้นเสียง ใบหน้าเรียวมนล้อมกรอบด้วยเรือนผมสีน้ำตาลเข้มหยักศกยาวถึงกลางหลัง ดวงตากลมโตสีดำสนิทเช่นเดียวกับเด็กหนุ่มมองผู้เป็นน้องชายด้วยแววตาขุ่นเคือง

                    “ขอโทษครับ...ผมรีบไปหน่อยน่ะ...” คำตอบกลับเรียบนิ่งอย่างขอไปทียิ่งทำเอาหญิงสาวตรงหน้าทำหน้าไม่ชอบใจกว่าเดิม

                    “ถึงจะรีบแค่ไหนก็ไม่ควรลืมนะจ๊ะ บอกแล้วไงว่ามาพร้อมพี่ก็ได้นี่นา...จะรีบมาเช้ากว่าทำไมก็ไม่รู้...” คำบ่นแบบไม่จริงจังของผู้เป็นพี่เรียกสายตาของเซสให้จ้องมองก่อนที่ริมฝีปากจะขยับขึ้น

                    “ก็พี่ตื่นสาย...”

                    หมับ !

                    “หยุดพูดเดี๋ยวนี้เลยนะยะ...” มือเรียวบางยกขึ้นบีบข้างแก้มของเด็กหนุ่มอย่างแรงพร้อมกับกล่าวต่อด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบ ทว่าแทนที่เด็กหนุ่มจะรู้สึกขลาดกลัว เขากลับเพียงแค่ยักไหล่แล้วจับมืออีกฝ่ายออกก่อนเดินนำออกไปจากห้อง

                    “เสียเวลากินข้าวน่ะ...” แม้ว่าจะถูกน้องชายทำเย็นชาใส่เป็นกิจวัตร แต่สำหรับหญิงสาวผู้เป็นพี่แล้วเธอเพียงแค่ส่ายหัวแล้วยิ้มหน่ายใจ เธอรู้ดีว่ารอบตัวน้องชายคนนี้มีคนจ้องมองมากแค่ไหน เรื่องในอดีตยิ่งเป็นข้อพิสูจน์ว่าหากการจ้องมองอย่างอดทนนั้นอยู่ในขั้นที่ถึงขีดสุด ความต้องการที่กดอยู่ส่วนลึกจะปะทุออกมา คดีลักพาตัวในครั้งนั้นไม่ใช่แค่ครั้งเดียว ตลอดช่วงวัยประถมเธอต้องคอยไปรับไปส่งอยู่เสมอ เธอไม่คิดว่าตัวเองเป็นหญิงสาวผู้แข็งแกร่งนัก  แต่อย่างน้อยหากเกิดอะไรขึ้นน้องชายเพียงคนเดียวก็ยังคงอยู่ในสายตาของเธอเสมอ

                    น้องชายคนเดียวที่แสนสำคัญ...เธอมีหน้าที่ต้องปกป้องเขาจากภยันตรายทั้งปวง...

                    โรงเรียนที่รวมระดับชั้นมัธยมต้นและปลายไว้ด้วยกันยิ่งทำให้กิจวัตรในการตามดูแลน้องชายเป็นไปอย่างราบรื่น ด้วยท่าทางของพี่สาวผู้อ่อนโยนกับน้องชายแสนเย็นชาทำให้หลายคนมักให้ความสนใจ อาจด้วยรูปลักษณ์ที่คล้ายกับอุดมคติของใครหลายๆ คน ทั้งสองจึงตกเป็นเป้าสายตาทุกครั้งที่ไปไหนมาไหนด้วยกัน

                    “นี่ๆ เซส พรุ่งนี้แล้วนะ อยากได้อะไรไหมเอ่ย ?”

                    พรุ่งนี้...วันเกิดสินะ...

                    “พี่อยากให้อะไรผมก็ตามใจเถอะ...” เซสตอบอย่างไม่ใส่ใจพลางแกะกล่องข้าว หญิงสาวข้างกายพองแก้มขัดใจเล็กน้อยก่อนแย้มรอยยิ้มบางเบา

                    “งั้นกลับบ้านเร็วๆ นะ พี่สาวคนนี้จะทำอาหารเตรียมไว้ให้เยอะๆ เลย !” การตอบรับเพียงแค่การพยักหน้าสร้างรอยยิ้มและเสียงหัวเราะให้กับหญิงสาวได้เป็นอย่างดี มือเรียวดูบอบบางยกขึ้นยีผมน้องชายของตัวเองอย่างหมั่นเขี้ยว การหยอกล้อระหว่างพี่น้องผ่านไปได้ครู่หนึ่งก็ถูกรบกวนจากอีกบุคคลหนึ่ง

                    “เอ่อ...ขอโทษนะคะ...” หญิงสาวชะงักมือก่อนหันมองเด็กสาวสองคนที่คนใดคนหนึ่งเป็นคนเอ่ยขัดขึ้นมา ท่วงท่าเหนียมอายแบบวัยเพิ่งเป็นสาวแสดงแจ่มชัดต่อสายตา ริมฝีปากสวยแย้มยิ้มขบขันก่อนจะลุกขึ้นยืนโดยมีสายตางุนงงของน้องชายมองตาม

                    “อยู่ตรงนี้ล่ะเซส ทำธุระอะไรเสร็จแล้วก็รีบเข้าห้องล่ะ พี่ขอกลับก่อนแล้วกัน” ยังไม่ทันที่อีกฝ่ายจะได้หายสงสัย หญิงสาวก็ยกมือขึ้นโบกมือแล้วหันไปส่งยิ้มให้กับสองสาวที่มองอยู่ เด็กสาวทั้งสองสะดุ้งตัวก่อนจะรีบโค้งตัวนิดๆ ด้วยสีหน้าแดงก่ำ ร่างเพรียวระหงในชุดนักเรียนถูกระเบียบเดินห่างออกมาซักพักเธอก็ตัดสินใจบางอย่างได้...

                    ...พี่นึกของขวัญทำมือชิ้นแรกให้เธอออกแล้วล่ะเซส...

     

    ++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

     

                    แคว่ก !...

                    ดวงตากลมโตเปี่ยมด้วยหยาดน้ำใสคลอหน่วง ใบหน้าหวานน่ารักแสดงความไม่เข้าใจออกมาทั้งสีหน้า ซองจดหมายที่ถูกปิดผนึกอย่างดีถูกฉีกทิ้งลงต่อหน้าต่อตาของเธอ ยิ่งได้สบตาสีดำสนิทเย็นชานั้นยิ่งทำให้เธอไม่สามารถกักเก็บน้ำตาได้อีกต่อไป ซองจดหมายและกระดาษข้างในกลายเป็นเศษกระดาษกองอยู่แทบเท้าโดยที่ผู้ลงมือกระทำหาได้สนใจไม่

                    “ใจร้าย...ถ้าจะปฏิเสธกันล่ะก็แค่บอกมาฉัน...”

                    “คุณแน่ใจแล้วเหรอครับที่จะให้ผมพูดออกมาน่ะ...” น้ำเสียงเรียบนิ่งไร้อารมณ์ดังขึ้น คำถามย้อนกลับยิ่งทำให้หญิงสาวที่เคยเปี่ยมด้วยความกล้าถูกถอนกำลังใจเสียจนไร้เรี่ยวแรง เธอพยายามค้นหาคำตอบจากใบหน้านิ่งเฉยนั้น แต่ไม่ว่าจะมองสักแค่ไหนเธอยิ่งไม่พบอะไรนอกเสียจากกำแพงน้ำแข็งหนาชั้น

                    “ฉะ...ฉัน...ฉัน...อึ่ก...ฮือ...” แล้วหญิงสาวก็หมุนตัวกลับยกมือปิดหน้าเพื่อระบายความเสียใจออกมาทั้งหมดโดยไม่สนว่าสองขานั้นจะก้าวเร็วแค่ไหน ชายหนุ่มร่างสูงวัย 17 ปี เพียงแค่มองตามร่างเล็กนั้นเงียบๆ ริมฝีปากขยับขึ้นราวกับจะพูดอะไรบางอย่างแต่ก็นิ่งไปแล้วปิดสนิทเหมือนเดิม เขาขยับสายกระเป๋าเป้ให้กระชับขึ้นแล้วก้าวขาเดินแยกไปอีกทาง สองข้างทางมีทั้งบ้านพักและร้านค้าประปรายชินตา หลายสิ่งหลายอย่างที่ผ่านมาในช่วงไม่กี่ปีมานี้หากนับเป็นวัตถุธาตุแล้วคงมีการเปลี่ยนแปลงบ้างไม่มากก็น้อย แต่ทว่าสำหรับจิตใจของผู้คนแล้วเขาไม่อาจรู้ได้ว่าเปลี่ยนไปมากแค่ไหน...

                    เขารู้เพียงแค่บางอย่างในใจนั้นผิดแปลกไปจากเดิมอย่างยากที่จะเชื่อ...

                    ปึ้ง !...

                    “กลับมาแล้วเหรอจ๊ะ...” เสียงหวานใสดังขึ้นพร้อมกับการปรากฏตัวของหญิงสาวในชุดกระโปรงยาวด้วยเนื้อผ้าบางเบาซ้อนทับกันหลายชั้น ฝ่ามือบอบบางยกตุ๊กตาผ้ารูปแมวน้ำขึ้นมาบังใบหน้าของตัวเองราวกับจะใช้เสียงของตนแทนเสียงของสิ่งไร้ชีวิตในมือ

                    “รอผมนานแล้วเหรอครับ...” เซสพูดพร้อมกับเดินเข้าไปหาอีกฝ่าย ตุ๊กตาน่ารักถูกลดลงเล็กน้อยเผยให้เห็นรอยยิ้มหวานเพียงแว่บหนึ่ง ท่อนแขนบอบบางก็ยกขึ้นโอบรอบคอชายหนุ่มแล้วซุกหน้าลงกับบ่ากว้าง ผู้ถูกพึ่งพิงนิ่งไปสักพักก่อนยกมือขึ้นลูบกลุ่มผมหยักศกยาวที่ค่อนข้างยุ่งเหยิงไม่เป็นทรง

                    “อื้อๆ...ไม่นานเท่าไหร่หรอก พี่รู้ว่าอีกไม่นานเซสก็จะถึงบ้าน พี่เลยรีบเตรียมมื้อเย็น...พอเห็นว่าเวลายังเหลือเลยนั่งทำเจ้าตัวนี้ไว้รอเธอน่ะจ้ะ” ถ้อยคำหวานหูดังขึ้นแผ่วเบา เซสพยักหน้ารับรู้ก่อนจะช้อนตัวหญิงสาวขึ้นอุ้มแล้วเดินไปตามทางเข้าห้องครัว เมื่อไปถึงก็พบกับชายหนุ่มท่าทางสุภาพอีกคนหนึ่งกำลังจัดเรียงของบนโต๊ะอยู่ เซสค้อมศีรษะแทนคำทักทายนิดๆ โดยที่อีกฝ่ายเพียงแค่ยิ้มรับเท่านั้นแล้วเลื่อนสายตาจับจ้องไปยังหญิงสาวในอ้อมแขน เซสวางร่างบางลงนั่งบนเก้าอี้ก่อนจะขยับเก้าอี้อีกตัวที่อยู่ข้างกันมานั่ง

                    “มากันครบแล้วก็เริ่มมื้อเย็นกันเถอะนะ”

                    ...เสียงทุ้มแหบพร่าพยายามเหลือเกินที่จะประคองเสียงไม่ให้สั่น...

                    หลังจากจัดการมื้อเย็นกันเป็นที่เรียบร้อยแล้วเซสก็แยกตัวเข้าห้องส่วนตัวของตัวเอง เขาวางตุ๊กตาผ้ารูปแมวน้ำไว้บนชั้นวางของที่เต็มไปด้วยของประดับจุกจิก เซสคลายชุดนักเรียนของตัวเองออกเพื่อเปลี่ยนชุดให้สบายตัว ทว่าประตูห้องที่ยังไม่ได้ล็อคลูกบิดไว้ถูกเปิดออก ชายหนุ่มผู้มีดวงตาแสนอ่อนโยนเดินเข้ามาในห้องพร้อมกับกระเป๋าใส่อุปกรณ์ซ่อมแซม เจ้าของห้องเหลือบมองผู้มาเยือนเพียงเล็กน้อยขณะที่อีกฝ่ายก้าวเร็วๆ ไปยังชั้นวางของแล้วหยิบตุ๊กตาปูนปลาสเตอร์ตัวหนึ่งขึ้นมายกสุดแขนทันที !

                    หมับ !...

                    “คุณทำแบบนั้นไม่เกิดผลดีแน่ครับ...พี่เขย...” เซสยึดข้อมืออีกฝ่ายไว้ไม่ให้ทิ้งของในมือลงพื้น เขาหยิบตุ๊กตาปูนปลาสเตอร์ออกจากมือแล้ววางไว้ที่เดิมเงียบๆ ชายหนุ่มผู้ถูกเรียกว่า พี่เขย ได้แต่มองการกระทำนั้นอย่างอดกลั้นอะไรบางอย่าง ทว่าสุดท้ายริมฝีปากที่เม้มแน่นอยู่นานก็เปิดออก

                    “นายทนเข้าไปได้อย่างไรกัน ! ถึงผู้หญิงคนนั้นจะเป็นภรรยาที่ฉันรักมาก แต่นายเองก็เป็นน้องชายที่ฉันห่วงเหมือนกันนะ ! แล้วยิ่งการกระทำแบบนั้นมันทำให้ฉัน...เหมือนกำลังจะเป็นบ้าเข้าไปทุกที...” เสียงทุ้มดังก้องในตอนแรกเริ่มแผ่วลงในตอนท้ายพร้อมกับยกมือขึ้นกุมศีรษะตนเอง เซสมองอีกฝ่ายด้วยสีหน้าเฉยเมยก่อนจะยกมือขึ้นบีบไหล่ผู้เป็นพี่เขยอย่างแรง

                    “ตอนนี้คุณคือเสาหลักของบ้านครับ...ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นกรุณาเข้มแข็งไว้เพราะในบ้านหลังนี้มีคุณเพียงคนเดียวที่ยังมีสติเป็นคนปกติอยู่...” คำกล่าวนั้นหาใช่คำเปรียบที่เกินเลย ใครจะรู้ว่าความรักที่มีมากเกินไปกำลังส่งผลต่อจิตใจที่ยึดติดอย่างเชื่องช้า ความเปลี่ยนแปลงนั้นเริ่มจากของขวัญทำมือชิ้นแรกที่ได้รับ จนบัดนี้ภายในห้องที่เต็มไปด้วยของประดับจุกจิกกว่าร้อยชิ้น และมุมอับอีกนับไม่ถ้วนเต็มไปด้วยกล้องสอดแนมขนาดเล็กที่สามารถมองเห็นได้ทุกมุมจนไร้ที่ซ่อน

                    “จะให้ผมขอร้องก็ได้ครับ...อย่าให้ความพยายามของผมที่ผ่านมาต้องสูญเปล่า พี่เขยเป็นชายเพียงคนเดียวที่พี่สาวผมให้การยอมรับ...เป็นเพียงคนเดียวที่ให้ความไว้วางใจ...เป็นคนเดียวในบ้านหลังนี้ที่มีอิสระ...” คำพูดนั้นส่งผลต่อจิตใจของอีกฝ่ายอย่างมหาศาลเพียงเพราะได้ยินคำว่า อิสระ...

                    “เซส...ฉัน...” อาจจะด้วยแรงผลักดันหรือความไม่ระมัดระวังตัวที่ปล่อยให้เงาดำนั้นทาบทับสัมผัสที่ริมฝีปาก ดวงตาสีดำสนิทเบิกกว้างไม่ใช่เพราะเหตุการณ์ไม่คาดฝันนี้ แต่เป็นแสงสะท้อนสีขาวที่พาดข้ามไหล่เข้าสู่สายตาของเซสเพียงแว่บเดียว ด้วยสัญชาติญาณเขารีบดันตัวคนตรงหน้าออกไปด้านข้างแล้วรับลำแสงสีขาวนั้นด้วยไหล่ของตน

                    “อย่ามาขวางนะ ! ฉันจะฆ่าเขา !!! คิดจะทำลายความรักของฉันไม่พอ...ยังมาทำให้เซสที่น่ารักของฉันต้องสกปรก !!!” เสียงเล็กแผดร้องลั่นไม่สนใจว่าโลหะปลายแหลมกำลังฝังลึกแยกผิวกายอีกฝ่ายขนาดไหน ความเจ็บปวดจนกลายเป็นด้านชาส่งผลให้มือใหญ่ที่กำรอบข้อมือบางนั้นเกร็งขึ้นยึดไว้ไม่ปล่อย ก่อนจะใช้แขนอีกข้างโอบรอบตัวหญิงสาวตรงหน้าแน่น

                    “ไม่มีอะไรสกปรกครับ...ใจเย็นๆ...ผมไม่เป็นไร...” ร่างเล็กดิ้นรนขัดขืนอย่างรุนแรงยิ่งสร้างบาดแผลให้กว้างขึ้น โลหิตสีแดงไหลย้อมเสื้อนักเรียนสีขาวจนเริ่มเปรอะชุดหญิงสาวที่กอดไว้ ขณะที่ชายหนุ่มอีกคนมองภาพตรงหน้าอย่างตื่นตะลึง หลังจากที่รวบรวมสติได้เขาก็ตะโกนก้อง

                    “หยุดขัดขืนสักทีแล้วมองให้เต็มตาว่าเธอทำอะไรลงไป ! ไม่ใช่เวลาที่จะมาฆ่าฉัน แต่เราต้องรีบพาเซสไปโรงพยาบาลนะ !!!” สิ้นเสียงร่างบางก็ชะงัก ดวงตากลมโตหลุบมองมีดที่อยู่ในมือชุ่มโชกไปด้วยเลือด ชุดกระโปรงสีขาวย้อมด้วยสีแดงฉาน มือบางสั่นระริกอย่างคนได้สติแต่ไม่ทันที่เธอจะได้กล่าวอะไรออกมามือใหญ่ก็ดึงให้อีกฝ่ายซบหน้าลงกับไหล่ตัวเอง

                    “ผมไม่เป็นไร...ไม่ต้องโทษตัวเองครับ...พี่เป็นพี่สาวที่รักผมเสมอ...พี่ไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าให้เรียบร้อยส่วนผมก็จะไปหาหมอ...เดี๋ยวผมก็หายครับ...” คำกระซิบปลอบโยนดังแผ่วราวกับเพลงกล่อมเด็ก หญิงสาวที่เคยอาละวาดกอดตอบอีกฝ่ายพร้อมกับพยักหน้ารับอย่างว่าง่าย ดวงตาสีดำสนิทเหลือบมองชายผู้ยุติเหตุการณ์ทั้งหมดที่กำลังผ่อนลมหายใจยาวอย่างโล่งอก

                    ซักวันหนึ่งชายคนนี้จะเป็นคนที่ทำให้พี่สาวผู้อ่อนโยนของเขากลับมาเป็นปกติได้อย่างแน่นอน...

     

    +++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

     

                    ช่วงเวลาเร่งด่วนในย่านการค้า ร้านอาหารจานด่วนในเวลาเที่ยงเกือบคล้อยบ่ายยิ่งคึกคัก มีทั้งผู้คนที่ต้องรีบกลับไปทำงานในช่วงบ่ายต่อ หรือแม้กระทั้งคนหนุ่มสาวที่มีเวลาว่างจากการเรียนเข้ามานั่งสั่งของกินเล่นเพลินๆ พูดคุยกับเพื่อนฝูงร่วมโต๊ะไปพลาง ทว่าช่วงเวลาแบบนี้ใช่ว่าจะมีแค่ความคึกครื้นวุ่นวายบนโต๊ะอาหาร ความวุ่นวายที่เกิดขึ้นจากตัวบุคคลเองก็เกิดขึ้นได้เช่นกัน

                    “เฮ้ย ! นี่แกพล่ามบ้าอะไรวะ !!

                    “ยังต้องให้พูดซ้ำสองอีกเหรอครับว่ามันอุจาดตารบกวนมื้อเที่ยงของลูกค้าโต๊ะอื่นน่ะครับ...” คำพูดพร้อมสีหน้านิ่งเฉยยิ่งจุดไฟเดือดให้กับชายร่างท้วม เขาลุกขึ้นจ้องหน้าชายหนุ่มร่างสูงในชุดบริกรสีขาว ดวงตาสีดำสนิทไร้อารมณ์จ้องมองอีกฝ่ายอย่างไม่สะทกสะท้าน ผู้คนในร้านต่างมองบรรยากาศมาคุที่มีชายสองคนยืนจ้องหน้ากันโดยมีหญิงสาวทรงโตนั่งกอดอกปิดช่วงตัวที่เปียกน้ำจนเห็นเนินสัดส่วนใต้ร่มผ้า

                    “ยัยนี่มันอยากอ่อยฉันเองนี่หว่า !

                    “ว่าไงนะไอ้ผู้ชายหื่นกาม ! นายนั่นแหละที่จงใจทำน้ำหกใส่เสื้อฉันน่ะ !

                    “แล้วใครใช้ให้เอาก้อนเนื้อนั่นมาถูแขนฉันซ้ำๆ อยู่นั่นน่ะ !!

                    “นะ...นะ...นั่นมัน...”

                    “เพราะอย่างนั้นผมถึงได้บอกว่ามันอุจาดตาไงครับ...” เซสเอ่ยต่อเสียงเรียบเช่นเคย คำพูดที่เมื่อได้รับการแปลความดีๆ แล้วหญิงสาวที่เคยอารมณ์เสียถึงกับหน้าชา ใบหน้าสวยแดงรื้นขึ้นก่อนที่เจ้าตัวจะสะบัดมือฟาดข้างแก้มชายหนุ่มแล้วกระทืบเท้าเดินออกจากร้านโดยมีชายร่างท้วมละล้าละลังเดินตามไป ท่ามกลางความเงียบของคนทั้งร้าน เสียงทุ้มแผดขึ้นตวาดก้อง

                    “สมองแกทึบไปหมดแล้วเรอะ !!! ใครสั่งใครสอนให้พูดจากับลูกค้าแบบนี้ !! ฉันไล่แกออก !!!!

                    เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไม่ถึงสิบนาทีเท่านั้น เซสก็ออกมายืนอยู่หลังร้านในชุดไปรเวทธรรมดาที่ใส่มาทำงานวันนี้ เขาหยิบสมุดออกมาจดชื่อร้านและระบุจำนวนครั้งที่ถูกไล่ออกจากงานพิเศษในเดือนนี้ จำนวนครั้งและร้านที่ไล่ยาวลงมาถึงสามหน้ากระดาษน่าตกใจไม่น้อยสำหรับบุคคลอื่นที่ไม่รู้จักเขา มือใหญ่ยกขึ้นยีผมตัวเองนิดๆ ก่อนหมุนตัวเดินออกจากตรอกร้านอย่างไม่รีบร้อนนัก ในระหว่างที่เขากำลังคิดหางานใหม่อยู่นั่นเองก็มีเสียงหนึ่งทักขึ้น

                    “เฮ้ น้องชาย...” ด้วยไม่คิดว่าเสียงปริศนานั้นเรียกตนอยู่ เขาจึงเดินต่อไปเรื่อยๆ โดยไม่หันมอง จนกระทั่งถูกบีบไหล่จากข้างหลังอย่างแรงเขาจึงหันไปมองอย่างเลี่ยงไม่ได้ ชายหนุ่มร่างสูงส่งยิ้มอวดฟันขาวทั้งที่ยังคาบบุหรี่ไว้ในปาก ดวงตาสีน้ำตาลเข้มจ้องมองตัวเขาด้วยแววตาพราวระยับ เส้นผมสีดำสนิทปัดข้างแล้วเสยขึ้นให้เป็นทรง รูปร่างสันทัดไหล่กว้างสวมชุดสูทสีดำสนิทโดยมีเสื้อโค้ทตัวนอกคลุมไหล่

                    “ผมไม่มีเงิน...” ว่าแล้วเซสก็หมุนตัวเดินกลับไปทางเดิมต่อ คนทักถึงกับอ้าปากค้างก่อนจะละล่ำละลักรีบดึงแขนอีกฝ่ายไว้เสียก่อน

                    “เฮ้ๆ ถึงฉันจะเป็นหัวหน้าแก๊งแต่ฉันก็ไม่บ้าไถเงินเด็กเพิ่งโดนไล่ออกจากงานหรอกน่ะ !” ข้อแก้ตัวของชายปริศนาไม่ได้สร้างความสนใจให้กับเซสแม้แต่น้อย เขาเพียงแค่ยืนฟังคนที่บอกว่าตัวเองเป็นหัวหน้าแก๊งเงียบๆ เมื่อเห็นว่าเซสไม่มีที่ท่าว่าจะเดินหนีชายหนุ่มก็แย้มยิ้มกว้างแล้วตบไหล่อีกฝ่าย

                    “ฮ่า ๆ นายนี่มันแจ๋วจริงๆ น้องชาย ปกติคนทั่วไปเจอฉันพูดแบบนั้นไม่หน้าซีดก็วิ่งหนีไปแล้ว ไม่นึกว่านายจะยังยอมยืนฟังฉันพูดอยู่นะ...”

                    “ถ้ายังไร้สาระอยู่ผมจะกลับครับ...” น้ำเสียงเรียบนิ่งไร้เยื่อใยทำเอาหัวหน้าแก๊งผู้ยิ่งใหญ่ต้องเสียบุหรี่ฟรีไปหนึ่งมวนเมื่อเขาอ้าปากค้างเพราะคำพูดตัดรอนเมื่อครู่

                    “โอเค...ก็ได้ๆ ฉันจะไม่นอกเรื่องก็ได้น้องชาย คืออย่างนี้นะ ฉันเห็นในร้านอาหารเมื่อกี้นายเจ๋งมากเลย ! ฉันเลยอยากให้นายมาร่วมงานกับฉันหน่อยน่ะ...โอเคนะ ?...ได้รึเปล่าๆ ?” คำพูดทาบทามของคนตรงหน้าไม่ได้ทำให้เซสรู้สึกคล้อยตามสักนิด แต่ด้วยสถานการณ์ตอนนี้เรียกได้ว่าจะให้หางานใหม่คงยาก ปัญหาทางการเงินของบ้านเขาไม่ได้ถึงขั้นวิกฤติ เพียงแต่การได้ออกมาหางานทำมันมีเหตุผลบางอย่าง...

                    “อยากให้ผมช่วยงานอะไร...” ท่าทางที่ยอมรับง่ายๆ สร้างความประหลาดใจให้กับผู้ทาบทามได้เป็นอย่างดี แต่ส่วนตัวเขาก็ไม่ใช่พวกคิดอะไรมาก รอยยิ้มอวดฟันขาวก็แย้มขึ้นอีกรอบขณะที่คนมองได้แต่มองรอยยิ้มนั้นแล้วพิพาทในใจเงียบๆ

                    ยิ้มแบบเดียวกับพวกสมองน้อยเลย...

                    หลังจากวันนั้นหน้าที่การงานในช่วงวัยแค่เพียงหนุ่มรุ่น 20 ปี ไม่ได้มีอะไรมากไปกว่าการใช้กำลัง ทั้งการทวงหนี้ ชกต่อยอริ ดูแลจัดการลูกจ้างในผับ หรือแม้กระทั่งเจ้ามือบ่อน สิ่งเหล่านี้เซสต้องรับหน้าที่ตามแต่โอกาสและคำสั่งของคนที่เรียกตัวเองว่า “หัวหน้าแก๊ง” ระยะเวลาผ่านมาได้ครึ่งปีแม้จะชาชินกับความวุ่นวายที่เกิดขึ้นรอบตัว แต่หากสบโอกาสเหมาะเขากลับเลือกที่จะหามุมเงียบๆ ใช้ความคิดอยู่กับตัวเอง หรือแม้กระทั่งในตอนนี้...

                    ตรอกเล็กชื้นใกล้กับสถานเริงรมย์ที่พากันปิดตัวเพราะใกล้รุ่งสาง ท้องฟ้ามืดมิดเริ่มมีแสงสลัวพอมองเห็นเพียงเล็กน้อย เสียงหนักๆ ของกระดูกและเนื้อกระทบกันดังอยู่ไม่ไกลนัก เซสยืนพิงตรอกมืดราวกับแยกตัวจากเรื่องวุ่นวายที่หน้าร้าน เขาหยิบบุหรี่มินต์ออกมาคาบไว้ในปากแล้วจุดไฟแช็คจ่อปลายบุหรี่จนเกิดกลุ่มควันบางๆ ลอยอ้อยอิ่งอยู่ในอากาศ ดวงตาสีดำสนิทมองควันเหล่านั้นราวกับครุ่นคิดอะไรบางอย่าง

                    “คาบไว้เฉยๆ มันเปลืองยาสูบออกนา...ไหนๆ ก็จุดแล้วสูบมันเข้าไปสักหน่อยสิ” ดวงตาสีดำสนิทเหลือบมองตามเสียงที่ถือวิสาสะมายืนพิงกำแพงขนาบข้างตน ประกายไฟสีส้มสว่างวาบเมื่อคนตัวสูงกว่าราวหนึ่งกำปั้นเริ่มจุดบุหรี่สูบบ้าง เขาสูดควันเข้าเต็มปอดแล้วผ่อนออกมาปล่อยควันคละคลุ้งในอากาศก่อนหันมามองคนที่มองอยู่ด้วยรอยยิ้ม

                    “อายุนายก็ไม่ใช่พวกหัดสูบนี่นา เอ้า ! เต็มที่สักเฮือกให้ดูสิ !

                    “เก็บปากสูบบุหรี่ต่อเถอะครับคุณหัวหน้า...” ดวงตาสีดำสนิทเลื่อนกลับไปมองกลุ่มควันอ้อยอิ่งตรงหน้าอีกรอบพร้อมกับเอ่ยเสียงเรียบ ผู้เป็นหัวหน้าถึงกับส่งเสียงหัวเราะร่วน

                    “ฮ่า ๆ ! คำพูดของนายนี่มันไม่น่าฟังเลยให้ตายสิ !” คนพูดส่ายหน้าไปมาพร้อมกับแย้มรอยยิ้มระอาในนิสัยของอีกฝ่ายแต่หาได้รู้สึกรังเกียจไม่ เขากลับรู้สึกว่ายิ่งอีกฝ่ายพูดจาแย่มากขึ้นเท่าไหร่ยิ่งเหมือนกับว่าให้ความใส่ใจกับคู่สนทนามากขึ้นเท่านั้น

                    “เป็นถึงหัวหน้าอย่ามาหลบตรงนี้เลยครับ...คุณออกไปดูเจ้าพวกนั้นก่อนดีกว่าว่ายั้งเท้า ยั้งมือกันบ้ายหรือเปล่าน่ะ...” น้ำเสียงเรียบเรื่อยที่กล่าวออกมาโดยไม่หันไปมองคนฟังสร้างรอยยิ้มขันให้เขาได้อีกรอบ ชายหนุ่มพยักหน้าก่อนหยิบบุหรี่ออกทิ้งลงพื้นแล้วใช้เท้าเหยียบเพื่อดับไฟให้สนิท ขณะที่เซสยกมือขึ้นจะหยิบบุหรี่มินต์ออกจากปากกลับถูกชิงบุหรี่ตัดหน้าไปเสียก่อน ยังไม่ทันที่เขาจะได้หันมองคนหยิบเงาดำก็ทาบทับลงมาพร้อมกับสัมผัสอุ่นร้อนที่ริมฝีปาก เพียงครู่หนึ่งเงาดำนั้นก็ผละออกแล้วส่งเสียงหัวเราะในลำคอแผ่วเบา

                    “บุหรี่มินต์ก็รสชาติไม่เลวเหมือนกันนะ...”

                    “ข้ออ้างหลังจากลวนลามลูกน้องฟังไม่ขึ้นครับ...” พูดจบผู้กระทำการอุกอาจก็ต้องส่งเสียงร้องสั้นๆ ออกมาเมื่อถูกชกเข้าลิ้นปี่ไปเต็มหมัด ซึ่งผู้กระทำเพียงแค่เบี่ยงตัวออกโดยที่สีหน้าไม่เปลี่ยนแม้แต่น้อยถึงจะผ่านเหตุการณ์ไม่คาดฝันนั้นมาแล้วกลับไปรวมกับกลุ่มลูกน้องอีกครั้งโดยมีคุณหัวหน้าแก๊งเดินตามพร้อมรอยยิ้มขัน

                    การรวมกลุ่มกับแก๊งนักเลงเป็นเรื่องยากที่จะหลีกเลี่ยงเรื่องเจ็บตัว ถ้าหากเป็นบาดแผลเล็กๆ เซสก็พร้อมที่จะกลับบ้านและหาข้อแก้ต่างบ่ายเบี่ยงถึงที่มาของบาดแผลเหล่านั้นให้กับพี่สาวและพี่เขยฟังถึงแม้จะรู้ว่าหลอกพี่เขยไม่ได้ก็ตามที ตราบใดที่อีกฝ่ายพร้อมที่จะเก็บเรื่องอาชีพในปัจจุบันไว้เป็นความลับ เซสก็ไม่มีเรื่องอะไรที่ต้องห่วง แต่ใช่ว่าสถานการณ์ชกต่อยจะให้ผลในรูปแบบเดิมเสมอไป...

                    แอ๊ด...

                    “โฮ่...วันนี้หนักน่าดูเลยนี่” ชายหนุ่มเปิดประตูรับผู้มาเยือนที่อยู่ในสภาพคลุกฝุ่นมอมแมมไปทั้งตัว มุมปากมีรอยเขียวช้ำและเลือดไหลซิบ แขนเสื้อขาดเป็นแนวยาวคาดว่าอริในครั้งนี้จะเป็นพวกเล่นไม่ซื่อเสียด้วย ข้อสันนิษฐานเหล่านั้นยิ่งกระจ่างชัดเมื่อเจ้าของห้องได้เห็นรอยรองเท้าที่กลางหลังเสื้อของอีกฝ่ายที่เดินผ่านไปนั่งบนพื้นห้องนั่งเล่น

                    “ฉันไม่อยากจะนึกเลยว่าพี่สาวนายจะคลั่งแค่ไหนถ้าเห็นนายสะบักสะบอมขนาดนี้น่ะ” คำพูดกลั้วหัวเราะเอ่ยขึ้นพร้อมกับวางกล่องปฐมพยาบาลให้ เซสพยักหน้ารับแทนคำขอบคุณแล้วเปิดกล่องพยาบาลทำแผลให้ตัวเองเงียบๆ หัวหน้าแก๊งผู้เป็นเจ้าของห้องนั่งพิงพนักโซฟาแล้วเริ่มต้นบทสนทนารอบใหม่

                    “หนักขนาดนี้คิดจะกลับบ้านเลยรึเปล่าน่ะ ?”

                    “...” เซสส่ายศีรษะแทนการพูดตอบพร้อมกับทำแผลที่แขน

                    “เห...งั้นนายก็จะค้างที่นี่น่ะสิ ?”

                    “ยังคิดจะถามอีกเหรอครับ...” คำพูดป่วนประสาทสร้างเสียงหัวเราะให้กับคนถาม เขาพยักหน้าเข้าใจก่อนแกล้งแหย่ด้วยการหยอดประโยคต่อมา

                    “ห้องนอนฉันมีเตียง...”

                    “ผมนอนพื้นครับ...” ราวกับว่าอีกฝ่ายจะไหวตัวเร็วไปหน่อย ประโยคต่อมาจึงกลายเป็นการพูดตัดหน้าสะบั้นความหวังของคนกล่าวอย่างไม่มีชิ้นดี ผู้เป็นหัวหน้าถึงกับหัวเราะครืนอย่างอดไม่ได้โดยที่เซสนั่งเก็บอุปกรณ์ทำแผลใส่กล่องปฐมพยาบาลไม่คิดสนใจคนร่วมห้อง

                    “ก็ได้...พื้นก็พื้น ไว้ฉันจะสละหมอนให้นายใบหนึ่งแล้วกัน ว่าแต่...อีกสองอาทิตย์ก็ถึงวันเกิดของนายแล้วนี่นา ?” เซสลุกขึ้นเก็บกล่องปฐมพยาบาลไว้ที่เดิมแล้วเดินไปหยิบหมอนบนโซฟาวางบนพื้นเตรียมจะล้มตัวนอน ทว่ากลับถูกแขนหนักๆ วางบนไหล่โอบตัวเข้ามาพิงคนพูดเสียก่อน

                    “ฉันมีของขวัญจะให้นายนะเซส รับรอง...นายต้องถูกใจแน่ๆ” น้ำเสียงไร้ซึ่งความลังเลหรือความไม่มั่นใจเป็นเอกลักษณ์ของชายหนุ่มที่เป็นผู้นำแก๊งคนนี้ เซสเหลือบมองคนพูดด้านหลังเงียบๆ ก่อนจะเลื่อนสายตากลับไปยังด้านหน้าเช่นเดิม เขารู้สึกแปลกใจเล็กน้อยที่ไม่ขัดขืนการโอบกอดของอีกฝ่าย ตรงข้ามเขากลับรู้สึกตื่นเต้นลึกๆ เมื่อนึกถึงว่าสองอาทิตย์หน้าชายหนุ่มเบื้องหลังเขาจะเอาอะไรมาเป็นของขวัญ

                    ...แต่ก็ได้แค่ตื่นเต้น...เพราะคุณหัวหน้าแก๊งคนนี้รสนิยมห่วยแตกสิ้นดี...

                   

    +++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

                    ชายหนุ่มร่างสูงในชุดสูทสีดำยืนพิงกำแพงพลางคาบบุหรี่มินต์ไว้ในปาก ดวงตาสีดำสนิทมองเหล่าชายฉกรรจ์ในชุดสูทสีดำยืนประจำตำแหน่งบ้าง คอยต้อนรับรถยุโรปสีดำสนิทราคาแพงที่แล่นเข้าประตูรั้วคันแล้วคันเล่า บางคนก็เดินเข้าเดินออกเพื่ออำนวยความสะดวกให้กับคนใหญ่คนโตที่เข้ามาร่วมงาน พวงดอกไม้ช่อใหญ่เล็กสีดำขาววางประดับตลอดแนวรั้วไปจนถึงทางเดินด้านใน กลุ่มควันลอยอ้อยอิ่งบดบังทัศนียภาพตรงหน้าจนพร่าเลือน แต่ก็ใช่ว่าจะไม่รับรู้ความเป็นจริงที่เกิดขึ้นในขณะนี้

                    ...เซอไพรซ์วันเกิดได้ห่วยแตกจริงๆ...

                    เวลาสองอาทิตย์ไม่นานเลย ทว่าเรื่องความเป็นความตายไม่เคยมีกำหนดระยะเวลา งานศพที่ถูกจัดขึ้นอย่างกะทันหันเนื่องจากเมื่อสองวันก่อนเกิดการปะทะภายในแก๊ง เซสที่เพิ่งได้มาสมทบทีหลังพบว่าเขาได้มาสายไปเสียแล้ว บุคคลที่เคยถูกเรียกว่า “หัวหน้าแก๊ง” มาตลอดถูกยิงเข้ากลางตัวทะลุปอด แม้ว่าจะถูกจับส่งโรงพยาบาลทันทีแต่ก็ไม่สามารถยื้อลมหายใจอีกฝ่ายไว้ได้ เขาไม่รู้เลยว่าโศกนาฏกรรมครั้งนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร เพราะเหตุนั้นเซสจึงเลือกที่จะออกมายืนมองบรรยากาศอยู่นอกตัวงานดีกว่าเข้าไปนั่งจ้องกล่องสี่เหลี่ยมประดับดอกไม้จนตะคริวกินขา

                    “เฮ้ย...นายน่ะ...” น้ำเสียงห้วนกระชากดังขึ้นไม่ไกลนัก เซสปล่อยผ่านเสียงนั้นอย่างไร้ความสนใจที่มารบกวนการเฝ้ามองของเขา ดวงตาสีดำสนิทเพียงแค่จ้องมองภาพตรงหน้าผ่านม่านควันสีเทาเท่านั้น

                    “เฮ้ย ! หูหนวกเรอะแก !!

                    พล่อก !...

                    ฝ่ามือหนักตบเข้าบ้องหูอีกฝ่ายเมื่อเซสถูกกระชากไหล่ คนโดนโจมตีถึงกับทรุดลงไปนั่งกับพื้น ทว่าตั้งสติได้ไม่ทันไรฝ่าเท้าหนักก็เตะเสยเข้าใต้คางจนหงายหลังล้มไปนอนบนพื้น ส้นรองเท้าหนังกระแทกบนริมฝีปากแล้วทิ้งน้ำหนักขยี้กระดูฟันและขากรรไกรจนผู้ถูกกระทำได้แต่นอนร้องอู้อี้ในลำคอเท่านั้น

                    “ขอโทษนะ...พูดใหม่สิครับ...” คำพูดไร้อารมณ์ดังขึ้นแผ่วเบาตรงข้ามกับการกดน้ำหนักที่ฝ่าเท้ากลับเพิ่มขึ้น เหล่าชายชุดดำรีบเดินเข้ามาล้อมวงทำท่าจะดึงตัวเซสออก ทว่ากลับมีมือหนึ่งกระชากคอเสื้อเซสแล้วดันจนติดกำแพง

                    “มีปัญหากับคนของฉันก็เหมือนมีปัญหากับฉันนะเซส...” ดวงตาสีดำสนิทจับจ้องบุคคลตรงหน้าที่จ้องกลับด้วยสายตาดุดัน สันกรามนูนขึ้นเล็กน้อยเมื่ออีกฝ่ายต้องขบกรามแน่นเพื่ออดทนขณะที่เซสเพียงแค่จ้องมองเท่านั้น

                    “นี่แกกล้าจ้องฉันที่เป็นหัวหน้าแก๊งคนใหม่ด้วยสายตาแบบนั้นงั้นเหรอ” คำขู่แสดงอำนาจที่เหนือกว่าใช้กดสายตาของเซสให้ต่ำลง เขาพยักหน้ารับเนิบๆ ก่อนยกมือขึ้นหยิบบุหรี่มินต์ออกจากปากแล้วพ่นควันที่อมไว้ในปากใส่อีกฝ่ายในระยะประชิด

                    “คุณหัวหน้าแก๊งที่ผมเคารพตายไปแล้วเพราะคุณไม่ใช่เหรอครับ...” รอยยิ้มมุมปากหายากกระตุกขึ้นเป็นการแสดงความหยามเหยียด คนถูกพ่นควันใส่หน้าถึงกับหน้าขึ้นสีจัดด้วยความโกรธ เขาขยุ้มคอเสื้อเซสแน่นแล้วกระแทกตัวเหยื่อในมือเข้ากับกำแพงอย่างแรง ใบหน้าบิดเบี้ยวผ่อนคลายลงเมื่อนึกประโยคถากถางอีกฝ่ายกลับได้

                    “หัวหน้าที่เคารพหรือคู่ขาของหัวหน้ากันแน่...” สิ้นคำเสียงหัวเราะเยาะเย้ยก็ดังขึ้นจากกลุ่มลูกน้องของชายอันธพาลตรงหน้านี้ ทว่าคำพูดนั้นกลับไร้ผลเมื่อเซสแย้มรอยยิ้มอีกครั้ง

                    “อยากได้ผมเป็นคู่ขาจนถึงกับต้องฆ่าคุณหัวหน้าทิ้งเลยเหรอครับ...” คำสวนไม่คาดฝันทำให้คนหาเรื่องถึงกับอึกอักไปต่อไม่ถูก ใบหน้าที่เคยเหยียดยิ้มกลับมานิ่งสนิทอีกครั้งก่อนปัดมือที่เกาะกุมคอเสื้อออกแล้วหมุนตัวเดินไปอีกทาง โดยที่ชายชุดดำบางคนพยายามจะขัดขวางเขาแต่ก็ไม่สำเร็จ ได้รับผลตอบรับเป็นการโจมตีหนักๆ จนต้องลงไปนอนกองกับพื้นแทน

                    “อย่าคิดว่าแกจะได้กลับมาเหยียบที่นี่อีกล่ะ !!!” เสียงตะโกนไล่หลังสำหรับเซสกลายเป็นเพียงแค่ถ้อยคำที่ปลิวมากับสายลมไร้แก่นสารเท่านั้น เซสปล่อยคำพูดเหล่านั้นผ่านโสตประสาทตนอย่างไม่คิดจะสนใจพลางหยิบซองบุหรี่มินต์ออกมาแล้วพบว่าเป็นแค่ซองเปล่าเท่านั้น ระหว่างทางเขาจึงแวะร้านขายของแต่ก่อนที่จะได้เอ่ยสั่งบุหรี่มินต์ที่เขาถูกใจบางสิ่งกลับดลใจให้เขาขยับปากพูดสั่งเป็นอย่างอื่นที่ผิดเพี้ยนไปจากปกติ

                    “...ไมล์ เซเว่น หนึ่งซองครับ...”

                    เมื่อจ่ายเงินเป็นที่เรียบร้อยแล้วเซสก็แกะซองบุหรี่หยิบมวนบุหรี่คาบไว้ในปากแล้วจุดไฟแช็ก กลุ่มควันที่ลอยอ้อยอิ่งจากปลายที่มอดไหม้เหมือนกับบุหรี่มินต์ที่เขาใช้เป็นปกติ แต่รสสัมผัสบางอย่างกับกลิ่นของบุหรี่นั้นแตกต่างกันออกไป ทว่าให้ความรู้สึกที่คุ้นเคยจนอดไม่ได้ที่มุมปากจะขยับรอยยิ้มบางเบา

                    ...คุณนี่มันรสนิยมห่วยแตกสิ้นดีจริงๆ...

     

    +++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

                    ซ่า !...

                    “ห่วยแตก !!!” เสียงแหลมแผดก้องเมื่อนิ้วมือเรียวสวยคว่ำแก้วน้ำเทของเหลวในแก้วรดศีรษะของชายหนุ่มในชุดพนักงานเสิร์ฟ เธอกระแทกแก้วลงกับโต๊ะอย่างแรงแล้วเหวี่ยงกระเป๋าสะพายฟาดแขนหนุ่มเสิร์ฟอีกรอบก่อนเชิดหน้าเดินก้าวยาวๆ ออกจากร้าน ดวงตาสีดำสนิทเหลือบมองเจ้าของร้านที่ยืนอยู่หลังเคาท์เตอร์คิดเงินเงียบๆ ดวงตาดุดันจ้องเขม็งมายังเขา มือใหญ่อวบหนายกขึ้นชี้นิ้วปาดคอตัวเองแล้วชี้ไปยังประตูหลังร้าน เพียงแค่นั้นก็เป็นคำตอบที่ชัดเจนพอสำหรับพนักงานเจ้าปัญหาคนนี้ เซสเดินไปเปลี่ยนชุดแล้วเดินออกจากร้าน เขาแวะเข้าห้องน้ำล้างหน้าเล็กน้อย โชคดีที่น้ำในแก้วเป็นน้ำเปล่าไม่อย่างนั้นเขาคงลำบากกว่านี้ เพราะเขายังไม่อยากกลับบ้านไปตอบคำถามพี่สาวที่สังเกตความผิดปกติบนตัวเขาได้ทุกกระเบียดนิ้วแน่ๆ

                    นี่ถ้าฉันไม่ลากนายมาอยู่แก๊ง ฉันว่านายเป็นโฮสต์ได้เลยนะ หน้าตากินขาดสุดๆ !

                    จู่ๆ คำพูดจากคนไร้รสนิยมคนหนึ่งก็ดังเข้ามาในหัวขณะที่เซสกำลังหยิบสมุดบันทึกจำนวนครั้งและสถานที่ที่ตกงาน เขาไม่เคยนึกถึงอาชีพแบบนี้เท่าไหร่เพราะมันค่อนข้างวุ่นวายในระดับหนึ่ง แต่เท่าที่ดูร้านในระแวกนี้ก็แทบไม่เหลืองานอะไรให้เขาเข้าไปทำได้อีกแล้ว เห็นทีเขาคงต้องทำตามคำแนะนำห่วยๆ ของคนคนนั้นอย่างเลี่ยงไม่ได้...

                    ...โฮสต์คลับ...สงสัยต้องหาข้ออ้างเรื่องงานใหม่กับพี่สาวให้ดีหน่อยล่ะนะ...

    ***************THE END****************

     

     

    BlackForest✿
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×